วันนี้เห็น
๑๐ อันดับบทความที่มีผู้เข้ามาอ่านมากที่สุดในรอบสัปดาห์มันแปลกดี
ก็เลยของบันทึกรูปเก็บเอาไว้หน่อย
ที่ว่าแปลกก็คือมันมีเรื่องที่เขียนให้กับผู้ที่สำเร็จการศึกษาถึง
๓ เรื่องปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน
คือเรื่องที่เขียนไว้เมื่อเดือนมีนาคม
๒๕๕๕ (๔
ปีที่ผ่านมา)
เดือนมีนาคม
๒๕๕๖ (ดอกไม้ที่เราเห็นในวันนั้น)
และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
(ไผ่ออกดอกบาน
ก็ถึงกาลลาจาก)
อันที่จริงเรื่องที่ผมเพิ่งจะนำลง
blog
ไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
ก็ไม่ได้กล่าวถึงอีก ๒
เรื่องก่อนหน้านั้นที่เขียนให้กับรุ่นที่จบไปก่อนหน้า
เลยสงสัยว่ามีคนไปขุดขึ้นมาเพื่อรำลึกความหลังหรือเปล่า
เมื่อเช้า
ระหว่างนั่งรถบริการรับส่งฟรีในมหาวิทยาลัย
ก็มีโอกาสได้พูดคุยสั้น ๆ
กับนิสิตผู้หนึ่ง
เป็นการแลกเปลี่ยนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตการทำงาน
ในมุมมองของผมนั้น
ความสุขในชีวิตการทำงานนั้นมันมีได้หลายรูปแบบ
ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
บางคนนั้น
ความสุขในชีวิตการทำงานก็คือ
การได้ทำงานในหน่วยงานที่ตนเองปราถนา
และชื่นชอบงานที่กระทำอยู่
พร้อมที่จะทำงานให้หน่วยงานดังกล่าวตลอดเวลา
บางคนนั้น
ความสุขในชีวิตการทำงานก็คือ
การได้ทำงานในหน่วยงานที่ไม่เบียดเบียนชีวิตความเป็นส่วนตัวของเขา
เขาพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับหน่วยงานนั้นในช่วงเวลางาน
แต่เขาก็ต้องการที่จะทุ่มเทเวลานอกเวลางานให้กับการใช้ชีวิตของเขาโดยไม่ปราถนาให้หน่วยงานมาดึงเอาเวลาส่วนนี้ไป
บางคนนั้น
ความสุขในชีวิตการทำงานก็คือ
การได้รู้สึกว่าตนเองได้ปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่งหน้าที่
ที่ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนพิเศษใด
ๆ จากผู้ได้รับประโยชน์นั้น
บางคนนั้น
ความสุขในชีวิตการทำงานก็คือ
การสามารถได้รับผลตอบแทนในรูปของทรัพย์สิน
ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญ
ในปริมาณที่ไม่มีขีดจำกัด
บางคนนั้น
ความสุขในชีวิตการทำงานก็คือ
การได้ทำงานที่ยังเปิดโอกาสให้มีครอบครัวและเวลาให้กับครอบครัว
ฯลฯ
ผมมองว่านิยามความสุขในชีวิตการทำงานของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
แต่ก็ไม่มีรูปแบบไหนที่จะได้มาโดยไม่ต้องแลกด้วยบางสิ่งบางอย่าง
เมื่อเราเลือกความสุขในรูปแบบหนึ่ง
เราก็อาจต้องสละความสุขในอีกรูปแบบหนึ่งออกไป
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวผู้เลือกเองว่าพอใจที่จะเลือกรูปแบบไหนมากกว่ากัน
เมื่อปีที่แล้ว
มีนิสิตที่เพิ่งจบป.ตรีคนหนึ่งมาถามผมเรื่องว่าจะเลือกทำงานที่ไหนดี
คือบ้านเขาอยู่ที่งามวงศ์วาน
และเขาได้งานที่บริษัทแห่งหนึ่งที่มีสำนักงานอยู่ที่แถวแยกรัชวิภาให้เงินเดือนเริ่มต้นประมาณห้าหมื่นบาท
กับอีกบริษัทหนึ่งที่มีสำนักงานอยู่ที่ถนนบางนา-บางปะกง
ประมาณกิโลเมตรที่ ๓๔ (แถว
อ.บางบ่อ)
ที่ให้เงินเดือนเริ่มต้นประมาณสามหมื่นบาท
ผมก็บอกเขาไปว่าบริษัทแรกนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบรรยากาศการทำงานเป็นอย่างไร
เพราะเห็นกี่คนที่ได้งานทำที่นั่นก็หายหน้าไปจาก
facebook
หมด
นาน ๆ จึงโผล่มาที
ส่วนบริษัทที่สองนั้นผมรู้จักรุ่นพี่ของคุณที่จบไปก่อนหน้าคุณหลายปีแล้ว
ขณะนี้เขาก็ยังทำงานอยู่ที่นั่น
แถมยังโผล่หน้ามาให้เห็นทาง
facebook
บ่อย
ๆ ว่าได้ไปเที่ยวที่ไหนบ้าง
คุยกันไปสักพักผมก็ถามเขาว่า
"ว่าแต่คุณคิดจะใช้ชีวิตหลังเลิกงานในแต่ละวันอย่างไร"
เท่านั้นเองเขาก็ตอบผมกลับมาว่า
เขาได้คำตอบแล้ว ไปทำที่บางบ่อดีกว่า
เพราะเชื่อว่าเลิกงานแล้วได้กลับบ้านแน่
เพราะบริษัทแรกนั้นเขาเคยไปฝึกงานที่นั่น
แถมโดนรุ่นพี่ต่อว่ามาว่ากลับบ้านเร็วเกินไป
คือกลับตอน ๓ ทุ่ม
ไม่ยอมกลับตอนเที่ยงคืนหรือตีสองเหมือนพี่เขา
ผมไม่ได้ตอบคำถามเขา
แต่ผมกลับตั้งคำถามใหม่ให้เขาตอบ
ซึ่งคำตอบของคำถามที่ผมตั้งใหม่ให้เขาตอบนั้น
มันไปตอบคำถามที่เขาถามผม
สักสองสามปีที่แล้ว
ผมก็ได้มีโอกาสพบปะกับรุ่นน้องคนหนึ่ง
(ห่างจากผมไม่กี่ปี
แต่ก็ทันกันตอนเรียน)
ระหว่างการเดินทางไปตรวจเยี่ยมนิสิตฝึกงานที่ระยอง
ได้มีโอกาสพูดคุยกันถึงเรื่องทั่วไป
ทั้งเรื่องหน้าที่การงานและครอบครัว
ซึ่งเขาก็มีปัญหาเรื่องลูกที่เป็น
"เด็กพิเศษ"
ทำให้ตอนนี้เขาต้องเปลี่ยนจากการทุ่มเทชีวิตให้กับงานมาเป็นเพื่อลูกแทน
ระหว่างการพูดคุยนั้น
เขาก็เปรยขึ้นมาเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ของเพื่อนของเขา
ที่ทำงานในบริษัทอีกกลุ่มหนึ่งแต่ทำธุรกิจทำนองเดียวกัน
ว่าเพื่อนของเขาที่เริ่มงานพร้อม
ๆ กันนั้นมีตำแหน่งก้าวหน้าไปกว่าเขาเยอะแล้ว
ผมก็เลยถามเขากลับไปว่าเป็นเพราะที่บริษัทที่เพื่อนคุณทำอยู่นั้น
"มีคนลาออกเยอะใช่ไหม"
คำตอบของเขาก็คือ
"ก็มีส่วน"
และก่อนหน้านั้นหลายปี
ผมได้รับหน้าที่ให้ไปดูแลนิสิตงาน
ณ บริษัทระดับแนวหน้าแห่งหนึ่งของประเทศ
ในวันปฐมนิเทศน์นั้นเขาก็เชิญอาจารย์ผู้ดูแลไปเข้าร่วมด้วย
ในระหว่างการปฐมนิเทศน์นั้น
ผู้บรรยายก็บอกว่าบริษัทนี้ตั้งมา
๒๐ ปีแล้ว พนักงานเต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวอายุเฉลี่ย
๒๖ ปี อายุงานเฉลี่ยแค่ ๖
ปีเท่านั้นเอง
หลังฟังการบรรยายผมก็บอกให้นิสิตลองไปหาคำตอบของคำถามต่อไปนี้
(๑)
บริษัทตั้งมานานแล้ว
ทำไมพนักงานมีอายุงานเฉลี่ยน้อยจัง
แสดงว่าพนักงานทำงานอยู่ได้ไม่นานใช่หรือไม่
คนมีอายุหายไปไหนหมด
(๒)
ในบริษัทนี้มีพนักงานสักกี่คนที่ได้แต่งงาน
(๓)
ในบรรดาผู้ที่ได้แต่งงานนั้น
มีสักกี่คนที่ได้มีโอกาสมีลูก
(โดยเฉพาะผู้หญิง)
ปีถัดมา
เมื่อนิสิตเหล่านี้กำลังจะจบการศึกษา
ทางบริษัทดังกล่าวก็โทรมาหาผม
บอกว่าให้นิสิตเหล่านี้ไปสมัครงานกับเขาหน่อย
เขาพร้อมที่จะรับทำงานทำที
เพราะประทับใจการทำงานของนิสิตกลุ่มนั้นขณะที่ฝึกงานมาก
และเขาก็ประสงค์จำทำโครงการต่อเนื่องจากงานที่นิสิตกลุ่มนั้นทำตอนฝึกงาน
ผมก็เลยแจ้งให้นิสิตกลุ่มดังกล่าวทราบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น