ถ้าเป็นปีก่อนหน้านี้
ช่วงเวลานี้ของปี
ชีวิตในมหาวิทยาลัยก็คงเต็มไปด้วยความสนุกครึกครี้น
เพราะเป็นช่วงเวลาที่น้องใหม่เริ่มเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย
จำได้ว่าเมื่อสักสิบกว่าปีที่แล้ว
ตอนเดือนพฤษภาคมจะมีรุ่นพี่ต่าง
ๆ มาซ้อมเต้นไปร้องเพลงไปพร้อมกับตีกลองลั่นไปทั่วมหาวิทยาลัย
ตามมุมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้ายันเย็น
ลูกผมซึ่งกำลังจะเข้าเรียนป.
๑
ยังหันมาถามผมเลยว่า วัน
ๆ พี่ ๆ ในมหาวิทยาลัยเขาทำอะไรกันบ้าง
เห็นเขาตีกลองร้องเพลงกันทั้งวัน
ผมเองก็ยังเคยถามรุ่นพี่เหล่านั้นว่า
"ถามจริง
ๆ เหอะกิจกรรมรับน้องที่พวกคุณจัดเตรียมกันเนี่ย
มันมีกิจกรรมอะไรบ้างที่เพิ่มวุฒิภาวะทางสังคมให้กับนิสิตใหม่ของมหาวิทยาลัย"
คำตอบที่ได้รับทุกปีก็คือความเงียบ
๓๐
ปีที่แล้วก็มีโอกาสได้เป็นน้องใหม่กับเขาเหมือนกัน
ตอนนั้นมีเรื่องหนึ่งที่เสียดายคือไม่มีโอกาสไป
"ส่องเทียน"
ดูผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เขานำมาติดอยู่ริมรั้วข้างสนามจุ๊บ
(ก็สนามกีฬาของจุฬานั่นแหละ
แต่ตอนนี้รั้วถูกรื้อไปหมดแล้ว)
เข้าใจว่ารุ่นผมจะเป็นรุ่นแรกที่ไม่ได้มีการส่องเทียน
ที่เรียกว่าส่องเทียนก็เพราะก่อนวันที่เขากำหนดว่าเป็นวันประกาศผล
เจ้าหน้าที่จะนำผลสอบมาติดบอร์ดในตอนกลางคืน
ใครอยากรู้เร็วก็ต้องมาดูกันตอนกลางคืน
มาส่องเทียนหารายชื่อตัวเอง
บริเวณรอบ ๆ ก็จะมีรุ่นพี่มารอรับรุ่นน้อง
ใครสอบติดก็ดีใจไป
ใครสอบไม่ติดก็เสียใจไป
ประตูหน้ามหาวิทยาลัยตอนนั้นมีสัญญาณไฟจราจร
ยังไม่มีสะพานลอยสักสะพาน
(มีแต่อุโมงค์)
ข้ามถนนหน้ามหาวิทยาลัยยังต้องกดไฟสัญญาณกันอยู่
สะพานลอยนี่มาสร้างกันในปีถัดมา
พอมีสะพานลอย ก็เลิกใช้ไฟสัญญาณให้คนข้าม
เหลือแต่ไฟจราจรสำหรับรถยนต์
เมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
ก็ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรตั้งหลายอย่าง
เริ่มจากการหาเพื่อนใหม่และกิจกรรมทำ
รูปแบบการเรียนที่ต้องเดินไปเรียนตามตึกเรียนของคณะต่าง
ๆ และต้องไปให้ทันเวลา
สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ
ที่เคยใช้กันสมัยเรียนนั้น
(ยกเว้นตำราเรียนยังเก็บเอาไว้อยู่)
ก็สูญหายและผุพังไปตามเวลา
ที่ยังคงเหลือติดตัวมาและยังใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบันก็มีอยู่
๓ อย่างคือ นาฬิกาข้อมือ
เครื่องคิดเลข และกล่องดินสอ
นาฬิกาข้อมือเรือนนี้คุณพ่อให้มาตอนสอบติดมหาวิทยาลัย
แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ค่อยได้นำมาใส่
เพราะเกรงมันจะโทรม
แต่ก็ยังหาโอกาสใส่อยู่เรื่อย
ๆ ด้วยความที่มันเดินเที่ยงตรง
และเป็นเรือนที่ติดข้อมือตามไปยังประเทศต่าง
ๆ หลายประเทศหลังเรียนจบปริญญาตรี
สิ่งหนึ่งที่นาฬิกาเรือนนี้สอนให้รู้จักก็คือ
ค่าของเวลาไม่ได้อยู่ที่มูลค่าของนาฬิกา
แต่อยู่ที่เรารู้จักที่จะรักษาและใช้เวลาที่เรามีอยู่นั้นอย่างคุ้มค่าหรือไม่
เมื่อปีที่แล้วนาฬิกาเรือนนี้มีปัญหา
เอาไปให้ทางร้านเขาดูให้
พอเขาเห็นเขาก็บอกก่อนเลยว่าไม่แน่ใจว่ารุ่นนี้จะหาอะไหล่ได้
ตอนนั้นก็รู้สึกวูบไปเหมือนกัน
แต่สุดท้ายทางช่างเขาก็หาอะไหล่เปลี่ยนให้ได้
มันก็เลยมีชีวิตอยู่คู่กันมาจนถึงวันนี้
ดูเหมือนว่า
CASIO
fx-3600P
จะเป็นเครื่องคิดเลขรุ่นที่เป็นที่นิยมมากที่สุดของนิสิตที่ต้องใช้เครื่องคิดเลขในยุคนั้น
เพราะความที่ราคามันไม่แพงและเป็นเครื่องคิดเลขที่มีฟังก์ชันคำนวณทางวิทยาศาสตร์ครบถ้วน
แถมเขียนโปรแกรมสั้น ๆ
ได้ด้วย ๒ โปรแกรม
เดิมตัวเครื่องนั้นจะมีเคสพลาสติกแบบพับปิดหน้ามาให้ด้วย
แต่เคสนั้นก็พังไปหมดแล้ว
เหลือแต่ตัวเครื่องที่ยังคงใช้งานได้อยู่
ปัจจุบันเครื่องนี้ก็ไม่ได้พกติดตัวไปไหนแล้ว
เพราะใช้แอปบนหน้าจอโทรศัพท์แทน
แต่ยังคงเป็นเครื่องที่วางเคียงข้างอยู่ประจำโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่บ้านอยู่
ของอีกชิ้นหนึ่งที่ยังคงใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ก็คือกล่องดินสอ
ที่น่าแปลกก็คือตอนเรียนมัธยมจะใช้ปากกาลูกลื่นจดโน่นจดนี่
แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยกลับชอบใช้ดินสอกดมากกว่า
อาจเป็นเพราะว่ามันเขียนลื่นกว่า
และเวลาเขียนผิดก็ลบได้ง่าย
แต่มีวิชาหนึ่งที่บังคับให้ต้องใช้ดินสอในการเรียนก็คือวิชาเขียนแบบ
จำได้ว่าตอนนั้นชั่วโมงแรก
ๆ อาจารย์ผู้สอนบอกเลยว่าให้ไปหาดินสอเบอร์
H
2H และ
4H
มาใช้เรียน
เบอร์ H
นี้บอกความแข็งของไส้ดินสอ
ยิ่งเบอร์สูงก็ยิ่งแข็งมากขึ้น
(แต่เส้นก็อ่อนลงด้วย)
เบอร์
H
ดูเหมือนจะใช้ลากเส้นทั่วไป
ส่วนเบอร์ 4H
จะใช้ตีเส้นบอกมิติ
เรียนเขียนแบบชั่วโมงแรก
ๆ ก็ต้องเรียนวิธีการเหลาดินสอ
(ใช้มีดพับ)
และการลากเส้นว่าลากอย่างไรให้เส้นมีขนาดสม่ำเสมอ
เพราะเวลาที่เราลากเส้นนั้นไส้ดินสอจะสึก
ทำให้ได้เส้นโตขึ้น
ดังนั้นเวลาลากเส้นก็ต้องหมุนดินสอไปด้วย
จะได้เส้นที่มีความกว้างสม่ำเสมอมากกว่า
จากนั้นก็ต้องมานั่งหัดเขียน
a
b c d กันใหม่
ตามมาตรฐานตัวอักษรของการเขียนแบบในเวลานั้น
ไม่ใช่นึกจะเขียนตามใจฉัน
เพราะถ้าคนอื่นอ่านแบบผิดก็มีหวังวุ่นกันใหญ่
ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น
ช่วงเวลา ๔ ปีในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่ดี
(อาจเรียกได้ว่าที่สุด)
ของชีวิต
เป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่อาจมีทั้งผิดหวังและสมหวัง
เป็นช่วงเวลาที่ส่งผลต่อความคิดและการมองโลกของผู้เรียน
ขึ้นอยู่กับว่าผู้เรียนได้มีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตสัมผัสกับอะไรบ้าง
เป็นช่วงเวลาที่อาจกำหนดอนาคตของตนเอง
ไม่ว่าหน้าที่การงานหรือครอบครัว
(จำนวนไม่น้อยนะที่ได้คู่ชีวิตตอนเรียนมหาวิทยาลัย)
ผมถึงพยายามบอกกับนิสิตทั้งหลายว่า
การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้มีเพียงเพื่อสอบผ่านให้ได้เกรดสูง
ๆ แต่ยังประกอบด้วยการเรียนรู้การใช้ชีวิต
การออกไปสัมผัสกับสิ่งที่เราไม่เคยได้รับรู้หรือเคยได้ยินมาก่อน
ที่อาจส่งผลต่อความคิดและการกระทำของเราในอนาคต
สิ่งที่ผมเขียนมาในย่อหน้าข้างบนนั้นจะเป็นความจริงแค่ไหนนั้น
ผมว่าสิ่งต่าง ๆ
ของคนที่เพิ่งจบการศึกษาที่ได้เขียนลงไปใน
facebook
ของเขานั้น
มันตอบคำถามนั้นเรียบร้อยแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น