(รูปจาก
Facebook
ของ
Rak
Rmornwiwat)
****************************************
นักเรียนไทย
๔ คนที่เดินทางไปศึกษาต่อที่
Imperial
College ด้วยกันในปีพ.ศ.
๒๕๓๒
ถ่ายที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕
ถ่ายที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕
****************************************
ผมกับพี่ซุปกลับมาทำงานในปีพ.ศ.
๒๕๓๗
ดังนั้นนิสิตรุ่นแรกที่เราได้สอนก็คือนิสิตป.ตรี
ที่เข้าศึกษาในปีการศึกษา
๒๕๓๖ (เข้าภาควิชาในปีการศึกษา
๒๕๓๗)
และนิสิตป.โท-เอก
ที่เข้าศึกษาในปีการศึกษา
๒๕๓๗ ถ้านับถึงวันนี้
พี่ซุปก็ได้สอนหนังสือมาครบ
๒๐ รุ่นแล้วครับ
ผมเองก็ไม่ได้ไปงานทุกคืน
แต่ทุกครั้งที่ไปก็พบว่ามีศิษย์เก่าจากรุ่นต่าง
ๆ ผลัดเปลี่ยนกันมาร่วมงานเสมอทุกคืน
ซึ่งตรงนี้อาจทำความลำบากใจให้กับเจ้าภาพว่าผู้ที่มาร่วมงานเป็นใคร
แม้แต่ผมเองหลายรายก็จำได้แค่หน้าว่าเป็นศิษย์เก่าของภาควิชา
แต่จำชื่อและจำรุ่นไม่ได้ว่าเข้าเรียนในปีพ.ศ.ใด
นอกจากนี้ก็ยังมีผู้ที่เคยศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษในช่วงเวลาเดียวกันเข้ามาร่วมรำลึกถึงด้วย
ถ้าไม่นับบรรดาผู้ที่ทำงานอยู่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์แล้ว
ผมก็ขอยืนยันได้ว่าบรรดาคนแปลกหน้าทั้งหลายที่ทางเจ้าภาพคงไม่คุ้นหน้าหรือรู้จักมาก่อน
คือผู้ที่รู้จักกันพี่ซุปในฐานะเพื่อนสมัยเรียนหนังสือ
และศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของภาควิชาวิศวกรรมเคมี
นับตั้งแต่ปีพ.ศ.
๒๕๓๗
จนถึงปีปัจจุบัน
เหตุผลที่ผมนำคำไว้อาลัยของใครต่อใครที่เขียนให้กับพี่ซุป
(ทั้งที่ส่งมาให้ผมโดยตรงและ
copy
มาจากหน้า
facebook
โดยไม่ขออนุญาตเข้าของ
-
ต้องขอโทษด้วยครับ)
มาลงใน
blog
นี้ก็เพราะเห็นว่า
คำไว้อาลัยเหล่านั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้เห็นว่า
คนที่ยังมีภาระหน้าที่ที่ยังต้องปฏิบัติ
และยังมีโอกาสอยู่นั้น
ควรพึงปฏิบัติอย่างไรครับ
และเห็นว่าการนำมาเผยแพร่จะเป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปครับ
อย่างน้อยก็ถือได้ว่าเป็นการสอนครั้งสุดท้ายของพี่ซุปให้กับผู้ที่ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่ครับ
****************************************
****************************************
****************************************
ขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่สอนสั่งครับ
หลับให้สบายนะครับอาจารย์
ตุลย์
เสริมศิริวิบูลย์ #5030175521
****************************************
****************************************
รูปนี้ผมเขียนไว้หลังรูปว่า
๒๘ กันยายน ๒๕๕๓
St.
Augustine's Abbey เมือง
Canterbury
พี่กุม
(ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม)
ทำงานด้านฉายรังสีที่ศิริราช
นอกนั้น นักเรียนที่มีมาเรียนที่
Imperial
วิศวทั้งหมด
****************************************
****************************************
****************************************
****************************************
****************************************
****************************************
(หมายเหตุ : ขณะนี้นิสิตผู้นี้กำลังศึกษาอยู่ ณ ประเทศญี่ปุ่น)
(หมายเหตุ : ขณะนี้นิสิตผู้นี้กำลังศึกษาอยู่ ณ ประเทศญี่ปุ่น)
****************************************
อาจารย์ศุภกนก
“ครู” ผู้เป็นที่รัก
อาจารย์ศุภกนกเป็นรุ่นพี่ของดิฉัน
2
ปี
เรารู้จักกันมานาน...ย้อนหลังไปกว่า
20
ปี
เมื่อคราวไปเรียนหนังสือที่ประเทศอังกฤษ
นับตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันจนถึงวันนี้เรามีความนับถือเอื้ออาทรต่อกันแบบพี่-น้อง
ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
แต่คงมีน้อยคนที่จะทราบว่าใจของดิฉันนับถืออาจารย์ศุภกนกเป็น
“ครู” ที่รักยิ่งคนหนึ่ง
ถึงแม้จะรู้จักและร่วมงานกันมานาน
แต่ดิฉันเพิ่งมีโอกาสอันดีได้สอนคู่กับอาจารย์ศุภกนกในวิชา
Thermo
II ปีการศึกษา
2555
ปีแรกของหลักสูตรปรับปรุงใหม่วิศวกรรมเคมี
ซึ่งมีเนื้อหาใหม่ที่ดิฉันต้องสอนเป็นครั้งแรก
แต่นับเป็นโชคดีมากที่ได้สอนร่วมกับอาจารย์ศุภกนกผู้ซึ่งมีใจรักและมีความรู้อย่างลึกซึ้งในวิชา
Thermodynamics
เป็นอย่างยิ่ง
ถือเป็นมือหนึ่งของภาควิชา
และดิฉันเชื่อว่าเป็นระดับต้นของประเทศ
ตลอดภาคการศึกษาปลาย
ปีการศึกษา 2555
อาจารย์ศุภกนกจะเดินมาหาดิฉันที่ห้องทำงานทุกเช้าวันอังคารเวลา
8
โมง
เพื่อให้ดิฉันได้ซักถามข้อสงสัยต่างๆในเนื้อหาวิชา
มีเนื้อหาส่วนหนึ่งที่ไม่ปรากฏสอนไว้ในหนังสือเล่มใดๆที่ดิฉันอ่านพบ
แต่อาจารย์ศุภกนกอธิบายทฤษฎีนั้นได้จากใจของท่าน
เหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เกินขึ้นหลายๆครั้ง
ดิฉันรู้สึกทึ่ง จนอดถามออกไปไม่ได้ว่า
“พี่รู้ได้อย่างไรคะเนี่ย”
อาจารย์ตอบว่า
“พี่คิดต่อยอดเอาเอง
มันอยู่ในสายเลือดพี่แล้วล่ะรุ้ง
รู้ไหมว่าพี่เข้าเรียนกับ
Prof.
Wisniak ตลอดทั้งคอร์สมาแล้วไม่ต่ำกว่าสี่รอบ”
(Prof.Wisniak
เป็นปรมาจารย์ทาง
Thermodynamics
จากมหาวิทยาลัย
Bee-sheva
ประเทศอิสราเอล
ซึ่งภาควิชาฯเคยเชิญท่านมาสอนในวิชา
Advanced
Thermodynamics เป็นเวลาหลายปีต่อเนื่องกัน)
ดิฉันได้แต่อึ้ง
ไม่ได้ตอบท่านว่าอะไร
แต่จำได้ว่าแทบจะอ้าปากค้างเมื่อทราบว่าท่านทุ่มเท
เข้าเรียนด้วยตัวเอง ทั้งรายวิชา
ต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายปี
มีครั้งหนึ่งดิฉันรบกวนให้ท่านสอนการใช้ฟังก์ชัน
solver
ในโปรแกรม
Excel
เพื่อแก้หลายสมการ
หลายตัวแปร ไปพร้อมๆกัน
(จำได้ว่าตอนนั้นประมาณ
9
ตัวแปร)
อาจารย์ปรับรูปสมการและทำให้ดูอย่างคล่องแคล่ว
ง่ายดาย ดิฉันอดทึ่งไม่ได้อีกครั้ง
จึงถามออกไปเช่นเดิมว่า
“พี่คิดได้เองหรือคะเนี่ย”
อาจารย์ตอบว่า
“คิดเองซี
รุ้งรู้ไหมว่าพี่ฝึกทำมาแล้วเป็นหมื่นครั้ง”
เป็นอีกครั้งที่ดิฉันพูดไม่ออก
แต่จำคำพูดนี้ได้ไม่ลืมเลย
เมื่อคราวที่เริ่มสอนร่วมกับอาจารย์ศุภกนกเป็นปีแรก
สิ่งที่ดิฉันได้เป็นของขวัญจากท่านเสมอคือ
หนังสือ Thermodynamics
จากแหล่งต่างๆ
จากเดิมดิฉันเคยมีอ่านของตัวเองเพียง
4
เล่ม
ภายในปีการศึกษา 2555
ปีเดียว
ดิฉันมีหนังสือเพิ่มขึ้นมาเป็น
10
เล่ม
โดยสองเล่มสุดท้ายที่อาจารย์ศุภกนกให้มาพร้อมกัน
คือ Chemical
reactor theory และ
The
principles of chemical equilibrium
อาจารย์ยื่นหนังสือสองเล่มนี้ให้แล้วบอกว่า
“เพื่อลูกศิษย์ของเรา”
ถึงแม้ว่าอาจารย์ศุภกนกจะมีความรู้ลึกซึ้งแค่ไหนในวิชา
Thermodynamics
แต่เมื่อถึงเวลาตัดเกรดนิสิต
ท่านมักเป็นคนที่จะคอยบอก
(แกมขอร้อง)
เพื่อนร่วมงานเสมอว่า
“ช่วยนิสิตเถอะ อย่าให้ F
เลย”
ปีการศึกษา
2556
ดิฉันเป็นผู้สอนวิชา
Thermo
II คนละตอนเรียนกับอาจารย์ศุภกนก
เวลาสอนของดิฉันต่อจากท่าน
ในห้องเรียนเดียวกัน
หลายครั้งดิฉันมายืนรอก่อนเวลา
หลายครั้งนิสิตถามอาจารย์หลังเลิกเรียน
ทำให้ดิฉันได้สังเกตเห็นความรักและเมตตาที่อาจารย์ศุภกนกมีให้แก่ลูกศิษย์
ท่านเรียกตัวท่านเองเสมอว่า
“ครู”
และดูเหมือนท่านจะมีความสุขมากที่ได้สอนและได้ตอบคำถามลูกศิษย์
คำว่า
“เพื่อลูกศิษย์ของเรา”
ที่อาจารย์ศุภกนกพูดกับดิฉันในครั้งก่อนนั้น
ตอนนั้นดิฉันแค่ประทับใจเฉยๆ
ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น
แต่มาวันนี้เมื่อได้คิดย้อนหลังกลับไปถึง
ความมุ่งมั่นพัฒนาวิชาการของอาจารย์
ความทุ่มเทให้กับการทำงาน
ความเมตตาที่ท่านมีต่อดิฉัน
และต่อลูกศิษย์
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อใครเลย
นอกจาก “เพื่อลูกศิษย์ของเรา”
ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงนับถือท่านเป็น
“ครู” ที่รักยิ่งของดิฉันท่านหนึ่ง
สีรุ้ง
ปรีชานนท์
30
มิถุนายน
2557
****************************************
****************************************
"คนเราไม่ได้เก่งอย่างเดียว
ต้องมีดวงด้วย"
นี่เป็นคำปลอบใจที่อาจารย์มีให้อ๊อฟในวันที่อ๊อฟนั่งร้องไห้ในห้องอาจารย์
ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ
จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลาร่วม
4
ปี
แล้ว แต่ประโยคนี้ยังประทับอยู่ในใจตลอดมา
ทุกครั้งที่พบกัน หรือได้คุยกัน อาจารย์มักจะมีเรื่องมาชวนคุยเสมอ แม้กระทั่งการฝากฝังโอกาสในการทำงานให้กับน้องๆ อาจารย์มีความห่วงใยกับทุกคนเสมอ ขนาดเด็กที่เคยบอกอาจารย์ว่า "ไม่อยากไป ไม่อยากทำ.... เลย" แต่อาจารย์กลับบอกว่าเรามีโอกาสให้ทำ ทำให้สุดครับ
สัญญาว่าจะนำคำสอนของอาจารย์ทุกคำมาปฏิบัติตาม จะเป็นคนดีของสังคมอย่างที่อาจารย์เพียรบอกลูกศิษย์ทุกคนว่า "คนเก่งมีเยอะแล้ว แต่เป็นทั้งคนเก่งและคนดีนั้นหายาก"
อาจารย์ซุปไม่ได้จากพวกเราไปไหน ภาพและเสียงของอาจารย์ยังติดอยู่ในใจของลูกศิษย์ทุกคนค่ะ ขอให้อาจารย์พักผ่อนให้สบายนะคะ
ด้วยเคารพและอาลัยอย่างสุดซึ้ง
อ๊อฟ นิสิต ป.โท ปี 48, ป.เอก ปี 50
****************************************
****************************************
คำไว้อาลัยชุดแรกที่ได้รวบรวมเอาไว้นั้น นำเผยแพร่บน blog ในเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น ของวันศุกร์ที่ ๒๗ มิถุนายน และนำเผยแพร่ทาง facebook ของผมที่มีนิสิตป.ตรี - โท - เอก อันที่จริงผมก็มีส่วนผิดอยู่ตรงที่เคยประกาศไปว่าจะเปิดรับข้อความจนถึงเย็นวันศุกร์ และนำขึ้น blog ในเช้าวันเสาร์ แต่กลับเป็นว่านำขึ้น blog ในเย็นวันศุกร์เลย ทำให้มีข้อความไว้อาลัยบางส่วนที่เข้ามาทีหลังตกค้างอยู่ และนับจากเวลาที่ประกาศว่าได้ทำการเผยแพร่แล้วนั้นไปจนถึงเวลาก่อนที่ผมจะเดินทางไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพที่ซุป ก็มีผู้เข้ามาอ่านกว่า ๓๕๐๐ ราย แสดงว่ามีคนคิดถึงแกมากมายหรือเกิน ผมเชื่อว่าผู้ที่เข้ามาอ่านนั้น คงมีจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก พร้อมกับภาพเหตุการณ์ในอดีตในช่วงที่ได้รู้จักกับพี่ซุป
บันทึกเก็บตกฉบับนี้คงไม่สามารถเก็บรวบรวมคำไว้อาลัยทั้งหมดที่มีผู้เขียนถึงใน facebook ได้ ทำได้เพียงแค่พยายามเก็บรวบรวมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
****************************************
๖ โมงเย็นแล้ว ผมกับเจ้าหน้าที่ของภาควิชาที่เป็นน้อง ๆ ในที่ทำงานเดียวกันกับคุณเล็ก (ภรรยา อ.ศุภกนก) กล่าวคำอำลาเจ้าภาพ ดูเหมือนเราจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ไม่ใช่ญาติที่ยังคงเหลืออยู่ ขณะที่เพิ่งจะเดินผ่านรั้วกั้นบริเวณเมรุ ก็เห็นรุ่นพี่วิศวรุ่นเดียวกับพี่ซุป (ที่ผมได้พบในงานสวดก่อนหน้านี้) ผู้หนึ่งยืนอยู่คนเดียว ผมยกมือไหว้พี่คนนั้น แกก็รับไหว้ผม และหันไปแนะนำให้รู้จักกับอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาพอดี พร้อมกับบอกว่า
"นี่ คนนี้มาไกล แต่ก็ยืนยันว่าต้องมาให้ได้ เพื่อมาบอกลาเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย"
แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปข้างใน
****************************************
(วัดหัวลำโพง
เสาร์ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๗ -
ไฟพระราชทานเพลิงศพ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น