"คิดให้ดีนะ
จะเอาจริงไหม เขียนน่ะมันง่าย
แต่ทำมันยากกว่าเยอะนะ"
นั่นคือหนึ่งในประโยคที่ผมคุยกับอาจารย์รุ่นน้องที่ร่วมสอนวิชาเดียวกันอยู่
เมื่อทางภาคเขาอยากให้ผมเขียนลงในแบบฟอร์มว่า
ในวิชาที่ผมสอนนั้น
ผมจะแทรกการสอน "คุณธรรม
และจริยธรรม"
เรื่องอะไรให้กับนิสิต
ในวิชาที่เกี่ยวกับการคำนวณเชิงตัวเลข
(พวก
Numerical
technique ที่เริ่มตั้งแต่การแก้ระบบสมการพีชคณิตเชิงเส้น-ไม่เชิงเส้น
ไปจนถึงการแก้ปัญหาระบบสมการอนุพันธ์สามัญ-อนุพันธ์ย่อย
และ optimisation)
นี่นะ
ผมว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการสอน
"คุณธรรมและจริยธรรม"
ให้ก็คือ
"ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง"
ข้อความสองบรรทัดข้างบนคือสิ่งที่ผมได้เขียนไว้ใน
Memoir
ตอนที่
(๑)
ของเรื่องนี้
(ปีที่
๗ ฉบับที่ ๘๔๐ วันอังคารที่
๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ เรื่อง "เขียนไว้ เพื่อเตือนใจตนเอง (๑)"
คือก่อนหน้านี้ผมได้ยินมาว่าเขาจะมีการเน้นเรื่องการสอนเรื่อง
"คุณธรรม
จริยธรรม"
ให้กับนิสิต
โดยจะหาวิชาที่จะให้รับผิดชอบแทรกเรื่องดังกล่าวเข้าไป
เรื่องที่เขานำเสนอกันให้สอนก็คือ
การตรงต่อเวลา (เข้าเรียนให้ตรงเวลา)
การหลับในห้องเรียน
การเข้าเรียน การแต่งกายให้ถูกระเบียบ
(ตามระเบียบมหาวิทยาลัย)
และการลอกการบ้าน
ในการสัมมนา
(ที่ผมไม่ได้เข้าร่วม)
ได้ยินมาว่ามีการสนับสนุนการสอนดังกล่าว
แต่ดูเหมือนว่าพอจะหาวิชาที่จะรับผิดชอบให้สอน
ต่างมีเหตุผลข้ออ้างต่าง
ๆ ว่าวิชาฉันต้องไปรับผิดชอบ
outcome
ด้านอื่นแล้ว
ดังนั้นขอไม่รับผิดชอบ
outcome
เรื่อง
"คุณธรรม
จริยธรรม"
พออาจารย์ผู้สอนวิชาเหล่านี้รวมกลุ่มกันได้มากพอ
ก็สามารถกำหนดให้วิชาเสียงข้างน้อยต้องเป็นผู้รับผิดชอบได้
ตอนที่เขามาบอกให้ผม
"เขียน"
เพื่อที่เขาจะได้มี
"หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร"
ว่าวิชาที่ผมสอนต้องรับผิด
(คงจะไม่มีคำว่า
"ชอบ")
ในเรื่องดังกล่าว
(ตามรูปที่เอามาให้ดูข้างต้น)
ผมก็ถามเขาตรง
ๆ ว่าทำไมต้องเขียน
ในเมื่อเรื่องนี้มันเป็น
"หน้าที่"
หนึ่งของอาจารย์ทุกคนอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะต้องสอนวิชาใด
ผมก็ได้คำตอบแบบไม่ชัดเจนว่าก็วิชาอื่นเขารับหน้าที่อื่นไปแล้ว
(สารพัดอย่าง)
และอยากให้มี
"หลักฐาน"
ว่ามี
"ผู้รับผิด(ชอบ)"
ในแต่ละหมวดหมู่ที่อยากให้นิสิตมี
ผมก็ถามต่อไปว่า
ที่จะให้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรนี่ก็เพื่อ
เวลานิสิตมีปัญหาด้าน
"คุณธรรม
จริยธรรม"
จะได้มีหลักฐานให้ด่าใช่ไหมว่าควรด่านใคร
ว่า สอนอย่างไร ทำไมนิสิตถึงยังทำตัวไม่ดี
คนที่ไม่ได้เขียนแสดงความรับผิดชอบการสอนเรื่องนี้ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร
รอดตัวไป
จากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา
พอเกิดปัญหาจริง ๆ ก็มาดูกันที่
"ลายลักษณ์อักษร"
ครับ
ไม่ใช่คำพูดที่เป็นลมออกมาจากปาก
คนใกล้กัน
ตอนขอให้ช่วยก็รับรองโน่นรับรองนี่ด้วยลมปาก
พอเกิดปัญหาทีก็บอกไม่รู้เรื่อง
ขอดูเป็นลายลักษณ์อักษร
เรื่องแบบนี้ก็เคยโดนกับตัวเองมา
เรื่องทำนองนี้ผมเคยได้ท้วงไปว่า
เราจะสอนอะไรต้องดูเนื้อหาในหลักสูตรเป็นหลัก
ว่าทางสภาวิศวกรเขาให้เราสอนอะไร
และเราก็ต้องสอนเนื้อหาในนั้นให้ครบในเวลาที่กำหนดให้ได้ก่อน
ถ้ามีเวลาเหลือก็ค่อยแทรกให้ได้
ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ จะให้แทรกเข้าไปดื้อ
ๆ เบียดบังเวลาเนื้อหาหลัก
ซึ่งมันจะส่งผลต่อเนื้อหาที่จะทำให้นิสิตได้
กว.
และมันจะดีกว่าถ้าทางหน่วยงานจัดอบรมพิเศษแยกออกจากเนื้อหาวิชาให้กับนิสิตโดยตรง
แต่เขาก็ไม่ยอมทำครับ
ทำนองว่าบอกให้คนอื่นไปทำนั้นมันง่ายกว่าลงมือทำเอง
ความคิดเห็นส่วนตัวคือถ้าอยากให้นิสิตเขามีคุณธรรมและจริยธรรมในด้านใด
อาจารย์ก็ควรต้องทำตัวให้เป็นตัวอย่างในด้านนั้นครับ
ไม่ใช่ทำเพียงแค่เอากฎ-ระเบียบไปแจกให้กับนิสิต
พูดในห้องนิดหน่อย
แล้วก็บอกว่าสอนแล้ว
อาจารย์รายหนึ่งเวลาสั่งงานนิสิตป.โท-เอกให้ไปทำโน่นทำนี่ก็สั่งด้วยวาจา
พอนิสิตไปทำตามที่สั่งแล้วเอาผลมารายงานก็มักจะโดนถามกลับว่า
"ไปทำอย่างนั้นทำไม
ใครสั่งให้ไปทำ"
ทำอย่างนี้เป็นประจำ
จนนิสิตต้องจดบันทึกการประชุมเอาไว้ว่าอาจารย์ผู้นั้นบอกให้ทำอะไรบ้างในระหว่างการประชุม
แต่ขนาดมีบันทึกการประชุมอ้างอิง
ก็ยังมีข้อแก้ต้วออกมาว่าเขาไม่ได้พูดอย่างนั้นซักหน่อย
คนจดบันทึกเขียนลงไปอย่างนั้นได้อย่างไร
การประชุมนั้นก็ไม่ได้มีอาจารย์รายนั้นเพียงรายเดียว
แต่เป็นการประชุมร่วมของกลุ่มวิจัยที่มีอาจารย์เข้าร่วมประชุมหลายราย
แต่ดูเหมือนไม่มีใครอยู่ข้างนิสิตเลย
พฤติกรรมแบบนี้ทำให้นิสิตเกิดความระแวงในตัวอาจารย์แพร่ขยายออกไป
ด้วยเหตุนี้ทางกลุ่มของเราผมจึงแก้ปัญหาด้วยการออก
Memoir
ในหัวข้อเรื่อง
"แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส
xx
ตอนที่
yy"
โดยผมเป็นผู้พิมพ์เองและแจกจ่ายให้พวกคุณทางอีเมล์
โดยในนั้นจะมีการระบุชัดเจนว่าเป็นงานของใคร
ให้ทำอะไร และด้วยเหตุผลใด
เวลาที่เราสอนให้คนอื่นเขาทำอะไร
เราเคยอธิบายเหตุผลหรือเปล่าครับว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น
สำหรับเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่มจะหัดเรียนรู้
ต้องยอมรับว่าเป็นการยากที่จะใช้เหตุผลในการสอน
ต้องให้เขามีประสบการณ์มากพอก่อนเขาจึงจะมองเห็นว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่สอนเขานั้นมันมีประโยชน์ต่อเขาอย่างใด
แต่สำหรับผู้ที่โต ๆ
กันแล้วผมว่าเราควรมีเหตุผลที่ใช้บอกกับเขาว่าทำไปเราจึงอยากให้เขาทำสิ่งนั้น
แต่การที่เขาไม่ได้ทำในสิ่งที่เรา
(คิดว่าดีและ)
บอกให้เขาทำหรือคาดว่าเขาควรต้องทำ
มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนไม่ดีโดยตัดสินจากการที่เขาไม่กระทำในสิ่งที่เราบอกให้เขาทำหรือคาดว่าเขาควรต้องทำ
ในหลาย ๆ กรณีมันมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังครับ
ที่ทำให้เขาไม่กระทำในสิ่งที่เราบอกให้เขาทำหรือคาดว่าเขาควรต้องทำ
และมันก็ควรคิดว่าเป็นความผิดของเขาด้วยเนื่องด้วยมันเป็นเหตุสุดวิสัยหรือนอกเหนือการควบคุมของเขา
วันนี้ขอเริ่มจากเรื่องแรกคือการรักษาเวลาหรือตรงต่อก่อน
ในบางงานนั้นเรื่องการตรงต่อเวลาเป็นเรื่องสำคัญ
(เช่นการยื่นซองประกวดราคาที่กำหนดให้ต้องยื่นภายในเวลาเท่าใด
พ้นจากเวลาดังกล่าวเพียงนาทีเดียวก็ไม่รับเรื่องแล้ว
หรือในการสอบแข่งขันที่มีด้วยกันหลายห้องสอบ)
ผมเคยเข้าร่วมฟังการสัมมนาที่มีนักกฎหมายเข้าร่วม
เกี่ยวกับการส่งเอกสารให้ถึงมือผู้รับภายในกำหนดเวลา
มีนักกฎหมายท่านหนึ่งถามว่า
ในกรณีที่อนุญาตให้ส่งเอกสารได้ทางโทรสาร
(แฟกซ์)
เราจะนับว่าเอกสารนั้นถึงมือผู้รับสมบูรณ์เมื่อเวลาใด
จะนับที่เวลาที่หน้าแรกเริ่มปรากฏบนเครื่องรับ
หรือจะนับที่เวลาที่หน้าสุดท้ายมาครบสมบูรณ์
การส่งทางอีเมล์หรือไปรษณีย์นั้นเราถือได้ว่าเอกสาร
"ทั้งฉบับ"
ถึงมือผู้รับพร้อม
ๆ กัน แต่การส่งทางโทรสารนั้นเนการส่งเอกสาร
"ทีละหน้า"
ถ้าช่วงเวลาที่หน้าแรกและหน้าสุดท้ายมาถึงมันก่อนเวลาเส้นตายมันก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าหากมาคร่อมเวลาเส้นตายจะให้ตีความอย่างไร
ในงานที่มีการแข่งขันกันสูง
(เช่นเปิดซองประมูล)
ยิ่งคู่แข่งน้อยลงก็ยิ่งเพิ่มโอกาส
ยิ่งในปัจจุบันที่ใช้การส่งข้อมูลทางคอมพิวเตอร์หรืออีเมล์
ที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถตั้งเวลานาฬิกาของตัวเองได้
ทำให้ต้องแก้ปัญหาด้วยการให้ตั้งเวลาคอมพิวเตอร์ให้ตรงกับเวลามาตรฐาน
ประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
เรื่องหลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ
พ.ศ.
๒๕๕๐
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์
พ.ศ.
๒๕๕๐
ในข้อ ๙ นั้นกำหนดไว้ว่า
ผู้ให้บริการต้องตั้งนาฬิกาของอุปกรณ์บริการทุกชนิดให้ผิดพลาดได้ไม่เกิน
"๑๐
มิลลิวินาที"
ทีนี้เราลองมาดูเรื่องการเข้าเรียนกันบ้าง
ช่วงเวลาปรกติสำหรับการสอนหนังสือของมหาวิทยาลัยของเรานั้นคือ
๘.๐๐
-
๑๖.๐๐
น ในวันราชการ ถ้านอกช่วงเวลาดังกล่าว
(เช่นหลัง
๑๖.๐๐
น เป็นต้นไป หรือเวลาใด ๆ
ในวันหยุด)
จะชื่อเป็นการสอนนอกเวลา
ดังนั้นการที่เริ่มเรียนการสอนเวลา
๘ โมงเช้านั้น
จะถือว่าเช้าเกินไปผมว่ามันก็ไม่ถูก
ในหลายบริษัทใหญ่ก็เริ่มงานเวลา
๗.๓๐
น ด้วยซ้ำ โรงเรียนต่าง ๆ
ก็เริ่มเรียนกันไม่ช้ากว่านี้
(โรงเรียนที่ลูกผมเรียนเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จกันก่อน
๘ โมงเช้าด้วยซ้ำ)
แต่อาจเป็นเพราะการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นไม่ต้องมีการเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้า
นิสิตก็เลยไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องมาให้ทันเวลา
ตัวอาจารย์ผู้สอนเองก็ไม่ได้ทำงานแบบมี
"อาจารย์ใหญ่"
คอยกำกับดูแล
จะมาถึงช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร
และถ้าขอย้ายเวลาสอนให้สายได้อีกก็จะยิ่งดีใจ
ในวิชาบรรยายผมจะบอกกับนิสิตเสมอว่า
ถึงเวลาเข้าเรียนก็เข้าห้องเรียนได้เลย
ไม่ใช่ต้องมารอว่าให้คนโน้นเข้าก่อนคนนี้เข้าก่อน
หรือต้องรอให้อาจารย์เข้าห้องเรียนก่อน
หรือมาเรียกให้เข้าห้องเรียน
ต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องปฏิบัติ
ถ้าอาจารย์เข้าสอนสายก็ต้องถือว่าเป็นความผิดของอาจารย์
นิสิตจะใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าเรียนสายไม่ได้
เพราะตัวอาจารย์เองก็จะใช้เป็นข้ออ้างอีกว่าที่ไปสอนสายเพราะนิสิตชอบเข้าเรียนสาย
มันอ้างกันวนไปวนมาแต่ที่สรุปได้ก็คือ
"ไม่มีวิจารณญาณในการแยกแยะ
ผิด ชอบ ชั่ว ดี ทั้งสองฝ่าย"
โดยเฉพาะตัวอาจารย์เอง
แทนที่จะทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่นิสิตไม่ว่าจะเป็นการประพฤติตัวให้เป็นตัวอย่าง
หรือพึงแยกแยะการกระทำที่พึงปฏิบัติและไม่พึงปฏิบัติ
และไม่พึงปฏิบัติในสิ่งที่ไม่เหมาะสม
แต่กลับใช้ข้ออ้างทำนองว่า
"ก็ทำไมคนอื่นเขาทำตัวไม่ดีได้
ฉันก็ต้องมีสิทธิทำตัวไม่ดีได้บ้างซี่"
ในการสอนวิชาบรรยายนั้นผมถือว่าคนที่มาตามเวลานั้นเป็นผู้ไม่มีความผิดที่จะต้องมานั่งเสียเวลารอคนมาสาย
คนมาสายต่างหากที่ต้องไปหาเองว่าช่วงเวลาก่อนมาถึงนั้นเขาเรียนอะไรกันไปบ้างแล้ว
เพราะถ้าขืนไปรอเวลาให้ผู้มาสายมาถึงก่อนจึงจะเริ่มเรียน
มันจะเป็นเหมือนกับการให้ความสำคัญกับผู้ที่ไม่รักษาเวลาและไม่ให้เกียรติคนที่ปฏิบัติตามกติกา
แต่ถ้าเป็นวิชาปฏิบัติการเคมีนั้นบ่อยครั้งที่เราจำเป็นต้องรอ
ทั้งนี้เพราะมันมีข้อห้าม
ข้อควรระวัง ฯลฯ
ที่ต้องประกาศกันให้ทราบก่อนเริ่มทำการทดลอง
ถ้าใครก็ตามมาสายแล้วไม่รู้ข้อห้ามดังกล่าวและเผลอไปทำเข้า
ก็อาจเกิดอันตรายแก่ผู้อื่นได้
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรอ
แต่ทางแลปก็มีมาตรการอื่นจัดการกับผู้ที่ชอบมาสาย
อาจารย์ผู้หนึ่ง
(อาวุโสแล้วด้วย)
ตอนมีตำแหน่งบริหารก็มักชอบจัดประชุม
(ทำนองว่าหาเพื่อนคุย
เพราะถ้าไม่มีการประชุมเขาก็ไม่รู้ว่าจะคุยกับใคร
ด้วยเรื่องอะไร)
และแกก็ชอบมาสายประจำ
(สายมากด้วย)
ให้คนอื่นเขานั่งรอ
บางคนเขาก็ทนไม่ไหวเขาก็มาสายบ้าง
แต่พอแกมาถึงที่ประชุมและพบว่าทำไมบางคนยังไม่มาก็ยังไปว่าคนอื่นเขาอีกว่าทำไมมาสาย
แล้วให้เจ้าหน้าที่ไปโทรตาม
จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีประชุมกันตามปรกติ
คนเข้าร่วมประชุมก็มากันเกินครึ่งแล้ว
พอแกเดินเข้ามาเห็นว่ายังมากันไม่ครบก็บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า
"มาครบเมื่อใดให้โทรไปตามด้วย"
แกจะกลับไปทำงานที่ห้องทำงานของแกเพื่อรอผู้เข้าประชุม
พออาจารย์ผู้นั้นเดินออกจากห้องไป
คนอื่นทุกคนที่มานั่งรออยู่ก็ลุกเดินไปบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า
"มาครบเมื่อใดให้โทรไปตามด้วย"
เช่นกัน
ทำเอาเจ้าหน้าที่ถึงกับยิ้ม
(เพราะทราบพฤติกรรมอาจารย์ผู้ชอบนัดประชุมดี)
และหลังจากเหตุการณ์วันนั้นก็ดูเหมือนว่าแกจะปฏิบัติตัวดีขึ้นเยอะ
(ผมก็เป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น)
เรื่องมัวแต่รอให้ใครเข้าห้องก่อนนี่บางทีมันก็ทำให้ไม่ได้เรียน
มีอยู่ปีหนึ่งผมมีสอนตอนบ่ายโมง
ไปถึงห้องเรียนแล้วก็ยังไม่มีนิสิตมาเรียน
รออยู่ประมาณ ๑๕
นาทีก็เขียนทิ้งไว้บนกระดานว่าถ้ามีใครมาเรียนก็โทรติดต่อหรือให้ไปหาได้ที่ห้องทำงาน
จะรออยู่ที่นั่น
(หน้าประตูไม่มีที่ให้เขียนอะไร)
อีกสักครึ่งชั่วโมงถัดมาก็มีนิสิตโทรมาหาถามว่าวันนี้งดการสอนหรือไม่
ผมก็ถามเขากลับไปว่าไม่เห็นที่เขียนไว้บนกระดานหรือไง
เขาก็ตอบว่าไม่เห็น
ห้องเรียนนั้นไม่ใช่ห้องแอร์
แม้ประตูห้องจะเปิดแต่ที่ประตูมันมีบังตาอยู่
นิสิตแรกที่มาถึงก็ทำเพียงแค่แง้มบังตาชำเลืองเข้าไปในห้องว่ามีใครมาหรือยัง
พอเห็นห้องว่าง ๆ
ก็เลยนั่งรออยู่หน้าห้อง
คนอื่น ๆ
ที่มาทีหลังพอเห็นเพื่อนนั่งรออยู่หน้าห้องก็เลยจับกลุ่มกันอยู่หน้าห้องนั้น
ไม่มีใครคิดจะเข้าไปในห้องเลยสักคน
แต่การมาสายในชั่วโมงที่ก่อนหน้านั้นนิสิตมีการเรียนการสอน
ผมพบว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่ความผิดของนิสิต
โดยหลักแล้ว
(แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นจะสอนกัน)
ตารางเวลาเรียน
๑ ชั่วโมงหรือ ๖๐ นาทีนั้น
เขาให้เริ่มสอนกันตอนต้นชั่วโมง
เช่นวิชาเรียน ๘ โมงเช้า
ก็ให้เริ่มสอนตอน ๘.๐๐
น และสอนเพียงแค่ ๕๐ นาที
อีก ๑๐
นาทีที่เหลือก็เพื่อให้นิสิตมีเวลาเดินย้ายไปเรียนอีกห้องเรียนหนึ่ง
และให้ผู้สอนในวิชาถัดไปมีเวลาเข้ามาเตรียมการสอน
แต่อาจารย์บางคนมาสอนสายหรือไม่สามารถสอนเนื้อหาที่เตรียมมาได้ในเวลา
๕๐ นาที เล่นยืดออกไปจนเต็มชั่วโมง
(หรือบางครั้งก็เลยเวลาด้วย
จนผมต้องเข้าไปบอกว่ามีอีกวิชาหนึ่งรอใช้ห้องอยู่นะ
และต้องทำเช่นนี้แทบทุกสัปดาห์)
ผลก็คือนิสิตกลุ่มดังกล่าวเข้าเรียนวิชาถัดไปสาย
(มันว่าไม่ใช่ความผิดของนิสิตเลย)
และพอวิชาถัดไปต้องเริ่มสาย
อาจารย์ผู้สอนวิชาถัดไปก็เลยถือโอกาสเลิกสอนสายตามไปอีก
มันก็เลยเป็นปัญหาส่งต่อวิชาถัดไปอีก
(ถ้ามี)
ผมว่าอาจารย์ที่มาสอนสายนั้น
ยังไงก็ต้องเลิกสอนตามเวลาปรกติอยู่ดี
ไม่มีสิทธิใด ๆ
จะถือโอกาสเลิกสอนสายด้วยข้ออ้างที่ว่าฉันเริ่มสอนสาย
เพราะมันทำความเดือดร้อนให้แก่นิสิต
ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่ความผิดของนิสิต
อาจารย์บางรายหนักข้อขึ้นไปอีก
คณะจัดห้องเรียนให้กับนิสิตเรียนวิชาต่าง
ๆ ที่อาคารเรียนรวม
นิสิตจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินเปลี่ยนห้องเรียน
แต่ห้องทำงานของอาจารย์อยู่อีกตึกหนึ่ง
ที่บังเอิญมีห้องเรียนซะด้วย
พออาจารย์ขี้เกียจเดิน
(อ้างโน่นอ้างนี่สารพัดในการต้องเดินไปสอนที่อาคารเรียนรวม)
ก็ประกาศย้ายห้องเรียนมาที่ตึกที่อาจารย์นั่งทำงาน
ทีนี้พอนิสิตเรียนวิชาแรกที่อาคารเรียนรวม
พอมาถึงวิชาที่สองก็ต้องย้ายมาอีกตึกหนึ่ง
แถมต้องมารอขึ้นลิฟต์ที่มีอยู่ไม่กี่ตัว
(ใครจะเดินขึ้นบันไดไปเรียนบนห้องเรียนที่อยู่สูงจากพื้นกว่า
๕๐ เมตร)
ทำให้ไปเรียนสายกันยกชั้น
พอเรียนวิชานั้นเสร็จก็ต้องมารอลิฟต์เพื่อกลับมาเรียนอีกวิชาที่อาคารเรียนรวมอีก
ทีนี้พออาจารย์คนอื่นเห็นคนนี้ทำได้ก็เลยเอาบ้าง
กรรมจึงต้องมาตกอยู่ที่ตัวนิสิต
มีอยู่ปีหนึ่งไปสอนหนังสือตามเวลา
ปรากฏว่าชั่วโมงนั้นมีนิสิตมาเรียนเพียงแค่ไม่กี่คน
อีกหลายสิบคนไม่ปรากฏตัวโดยแม้แต่เพื่อนเองก็ยังไม่ทราบสาเหตุ
หลังจากสอนจบแล้วจึงมาทราบภายหลังว่า
วิชาก่อนหน้าวิชาที่ผมสอนที่นิสิตกลุ่มที่ไม่มาเรียนวิชาผมไปเข้าเรียนนั้น
เขามีการสอบย่อย
ซึ่งกำหนดเวลาไว้เพียงชั่วโมงเดียว
แต่ทีนี้พอคนสอนเขาเห็นว่าห้องดังกล่าวที่เขาใช้สอบย่อยนั้นไม่มีใครใช้ในชั่วโมงถัดไป
เขาก็เลยขยายเวลาสอบขึ้นเป็น
๒ ชั่วโมง
โดยเขาไม่คำนึงถึงว่านิสิตกลุ่มที่เขาจัดสอบย่อยนั้นมีการเรียนในชั่วโมงถัดไป
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นิสิตต้องยอมขาดเรียนในชั่วโมงถัดไปเพื่อทำข้อสอบย่อย
อาจารย์บางรายก็ชอบให้นิสิตทำข้อสอบย่อยตอนท้ายชั่วโมง
ทั้ง ๆ ที่เวลาเหลือไม่พอที่จะทำข้อสอบดังกล่าว
ผลก็คือนิสิตกลุ่มดังกล่าวไปเรียนวิชาอื่นสาย
และนิสิตกลุ่มถัดไปที่จะใช้ห้องนั้นเป็นห้องเรียนก็ต้องเริ่มเรียนสายไปด้วย
แต่การที่มาสายเนื่องจากรอลิฟต์บางทีมันก็เป็นเหตุผลที่ยากจะรับฟังเหมือนกัน
คือตึกเรียนรวม (อาคาร
๓)
ที่ผมสอนเป็นประจำนั้นเป็นตึก
๔ ชั้น เดิมทีตึกนี้ไม่มีลิฟต์
ทั้งผู้เรียนผู้สอนก็ต้องเดินขึ้นบันไดกัน
แต่พอมีเสียงร้องเรียนจากอาจารย์อาวุโสว่าเดินขึ้นบันไดไม่ค่อยไหว
(ไขข้อไม่ดี)
แถมในช่วงหลังยังต้องแบบคอมพิวเตอร์ไปสอนอีก
ก็เลยมีการก่อสร้างลิฟต์ให้
ซึ่งมีเพียง ๓ ตัว
(สำหรับอาคารที่มีห้องเรียนประมาณ
๕๐ ห้อง โดยเดิมหวังจะให้อาจารย์ใช้เป็นหลัก)
แต่ลิฟต์แต่ละตัวก็ขนคนได้เพียงแค่
๔-๘
คนอย่างมาก และมีนิสิตไปต่อคิวรอใช้กันมาก
เวลาไปสอนผมก็เดินขึ้นบันไดไป
ส่วนนิสิตก็ไปรอลิฟต์
ปรากฏว่าผมไปถึงห้องเรียนก่อน
ส่วนนิสิตก็อ้างว่าห้องเรียนอยู่สูง
(ชั้น
๓ หรือชั้น ๔)
เดินขึ้นแล้วเหนื่อย
(ทั้ง
ๆ ที่พวกเขายังเป็นวัยรุ่นที่มีสุขภาพแข็งแรง
ถ้าเป็นผู้พิการหรือมีโรคประจำตัวเช่นโรคหัวใจก็ว่าไปอย่าง)
ในโรงเรียนนั้นมักจะถือว่าถ้าตอนเช้านักเรียนมาสายถือว่าเป็นความผิด
โดยไม่มีการสอบถามว่ามาสายด้วยเหตุใดและมาสายเป็นประจำหรือไม่
คนที่มาสายเป็นประจำก็ควรที่ต้องมีการค้นหาสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมเขาจึงมาสาย
และจะแก้ปัญหาให้เขาได้อย่างไร
ไม่ใช่ใช้แต่การลงโทษ
ส่วนคนที่ตามปรกติหรือส่วนใหญ่ไม่เคยมาสาย
พอวันไหนเขามาสายก็รีบสรุปเลยว่านักเรียนคนนั้นทำตัวไม่ดีผมว่ามันก็ไม่ถูก
ต้องมาดูว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้วันนี้เขามาไม่ทันเวลา
ตัวผมเองก็ยังเคยเจอปัญหาที่ไม่สามารถจะส่งลูกไปเรียนให้ทันเวลาหรือเข้าสอนตอน
๘ โมงเช้าให้ทันเวลาในบางครั้ง
เช่นมีอุบัติเหตุอยู่หน้าปากซอย
ศพยังนอนขวางถนนอยู่
ต้องรอเจ้าหน้าที่นิติเวชมาตรวจที่เกิดเหตุก่อน
หรือไม่ก็ถนนทรุดจากการก่อสร้างจนรถวิ่งผ่านไม่ได้หรือเหลือเพียงแค่ช่องทางเดียว
ทำให้รถติดหนักจนออกมาปากซอยไม่ได้เพราะรถที่ถนนหน้าปากซอยมันขยับไปไหนไม่ได้
จะไปใช้ทางเลี่ยงก็ใช้ไม่ได้อีก
เพราะมันไม่สามารถกลับรถได้หรือออกปากซอยได้
ถ้าเราเปลี่ยนมาเป็นมองภาพว่า
สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ชอบที่จะต้องมารอใครที่ชอบมาสาย
และตัวเขาเองก็ไม่ชอบที่จะถูกผู้อื่นมองว่าเป็นคนไม่รักษาเวลา
ผมว่าถ้าเรายอมทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เขามาเข้าเรียนสาย
เราก็จะหลีกเลี่ยงการเข้าใจผู้อื่นในทางที่ผิดได้
เว้นแต่มีบุคคลบางประเภทที่
"จงใจ"
จะต้องเป็น
"คนสุดท้าย"
ที่ไปถึงที่นัดหมาย
เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าฉันเป็น
"คนสำคัญ"
ที่สุดที่ทุกคนต้องรอโดยไม่เห็นความสำคัญของผู้อื่น
ใครที่ต้องเจอกับคนแบบนี้ก็เลือกเอาเองแล้วกันว่าจะคบกับเขาในรูปแบบไหนอย่างไร
มีอยู่คราวหนึ่งมีรายหนึ่งมาสายแล้วบอกกับผมว่ามันเป็น
"XX
time" (เติมคำย่อมหาวิทยาลัยตรง
XX
เอาเองก็แล้วกัน)
ทำนองเป็นเรื่องปรกติที่ว่าคนจบสถาบันนี้นัดเวลาไหนมักจะมาสายเป็นประจำ
ผมก็ตอบเขากลับไปว่าคุณจะเลวก็เลวไปคนเดียว
อย่าไปพูดเหมารวมให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าคนจบจากสถาบันนี้จะมีพฤติกรรมแบบคุณทุกคน
ผมเองก็จบจากสถาบันดังกล่าวมาก่อนคุณอีก
และสมัยเรียนก็ไม่เคยมีใครสอนว่าการมาสายเป็นเรื่องปรกติ
มีแต่สอนให้ตรงต่อเวลา
การที่คนจำนวนมากทำไม่ถูก
ผมเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องปรกติของสังคมที่คนอื่นที่ไม่เคยทำพฤติกรรมดังกล่าวควรลอกเลียนแบบ
แต่มันแสดงให้เห็นถึงความเสื่อมทางความคิดของคนในสังคมนั้นที่ไม่รูจักแยกแยะ
ผิด ชอบ ชั่ว ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น