วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เงินไม่มี น้องไม่มา MO Memoir : Saturday 16 August 255

ตอนเข้าเรียนปี ๑ นั้น นิสิตปี ๑ ทั้งคณะก็มีกันกว่าสี่ร้อยคน สิ่งแรกที่รุ่นพี่พยายามทำก็คือทำอย่างไรจึงจะให้นิสิตปี ๑ นั้นรู้จักเพื่อนฝูงร่วมรุ่นกันให้ได้มากที่สุด
  
สำหรับนิสิตปี ๑ นั้น ทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดตารางสอนและตอนเรียนให้กับนิสิตทุกคน โดยใช้รายชื่อที่เรียงตามลำดับอักษรภาษาอังกฤษ ดังนั้นคนที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยตัวอักษรเดียวกันหรืออยู่ติดกัน ก็มักจะได้เรียนห้องเดียวกันเสมอไม่ว่าจะเป็นวิชาอะไร ด้วยการจัดแบ่งวิธีนี้ คนที่ชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "A" ก็จะได้เรียนกับคนที่ชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "A" หรือ "B" เท่านั้น โอกาสที่จะได้เรียนกับคนที่ชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "P" "S" "T" ฯลฯ นั้นไม่ต้องพูดถึง
  
ทางรุ่นพี่ก็หาทางทำให้นิสิตปี ๑ ที่ไม่ได้เรียนห้องเรียนเดียวกันได้มีโอกาสทำความรู้จักกัน ไม่ว่าจะใช้การแบ่ง "Group" ที่ให้นิสิตปี ๑ ทำกิจกรรมร่วมกัน โดยการแบ่ง "Group" นั้นใช้วิธีการนำรายชื่อที่เรียงตามลำดับอักษรนั้นมาเขียนอักษร A-Z (อันที่จริง Group สุดท้ายไม่ใช้ Z หรอก แต่ผมจำไม่ได้) เรียงลำดับ A, B, C, ... จนไปถึง group สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอักษร A ใหม่ ใครมีอักษรตัวไหนนำหน้าชื่อก็ได้อยู่ Group นั้น คนแรกที่ชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "A" ก็อยู่ group A คนที่สองของอักษร "A" ก็อยู่ group B ด้วยวิธีการนี้จึงทำให้คนที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "A" ได้มีโอกาสทำงานและทำความรู้จักคนที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "Z" แม้ว่าจะไม่เคยเรียนด้วยกัน
  
เหตุผลหลักที่จัดแบ่งกลุ่มกันด้วยวิธีนี้ก็เพื่อให้คนที่มาจากต่างที่กันและไม่ได้เรียนห้องเรียนเดียวกันได้มีโอกาส "ทำความรู้จักกัน" เมื่อมีกิจกรรมกลุ่ม โดยไม่ได้เน้นไปตรงที่ผลงานของกิจกรรมนั้น เช่นการทำพานดอกไม้ไหว้ครู จะเน้นไปที่การที่ทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้มีโอกาสมาทำความรู้จักกันและทำกิจกรรมร่วมกัน ส่วนความสวยงามของพานดอกไม้ไหว้ครูของกลุ่มนั้นถือเป็นผลพลอยได้

  
วิธีการอื่นนอกจากนั้นก็มีตอนซ้อมเชียร์เย็น รุ่นพี่ก็จะบอกให้นิสิตปี ๑ หันไปถามคนที่อยู่รอบข้างทั้ง ๘ คนให้หมด (ถ้านั่งอยู่กลางวง) ว่าใครชื่ออะไร มาจากไหน จะได้ทำความรู้จักกัน นอกจากนี้ยังมีการมอบแฟ้มให้นิสิตปี ๑ ถือพร้อมทั้งให้เขียนชื่อไว้บนแฟ้มด้วย เวลาเจอหน้ากันแล้วลืมไปว่าคนนี้ชื่ออะไร ก็ใช้วิธีการชำเลืองเอาบนแฟ้ม จะได้ไม่ต้องคอยถามกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะตัวผมเองที่ความจำเรื่องชื่อคนไม่ค่อยจะดี มักจะใช้วิธีการนี้เป็นประจำ
  
สำหรับบริเวณที่นั่งในคณะนั้นก็มีบริเวณที่มีเฉพาะนิสิตปี ๑ ไปนั่งจับกลุ่มกัน ซึ่งก็เป็นบริเวณข้างหอนาฬิกาฝั่งตรงข้ามตึกจักรพงษ์ในปัจจุบัน รุ่นพี่ปีอื่นก็มีบริเวณเฉพาะของแต่ละชั้นปีซึ่งในขณะก็เป็นบริเวณที่เรียกว่า "ลานอักษร" (ตอนนี้กลายเป็นสวนหย่อมที่ไม่เปิดโอกาสให้นิสิตเข้าไปนั่งพัก แต่สมัยนั้นมีแต่โต๊ะสำหรับนั่งพักใต้ร่มไม้เต็มไปหมด แถมยังใช้เป็นสถานที่เตะฟุตบอลด้วย) รุ่นพี่ก็มักจะบอกว่าไปรู้จักเพื่อนร่วมรุ่นกันให้ครบก่อน แล้วค่อยมาทำความรู้จักรุ่นพี่คนอื่น ๆ 
   
ในขณะที่คณะอื่นในมหาวิทยาลัยนั้นมีระบบโต๊ะ Group และพี่รหัส น้องรหัส แต่คณะที่ผมเรียนอยู่ตอนนั้นไม่มีระบบดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นในระดับคณะหรือของภาควิชา รุ่นพี่ก็บอกแต่เพียงว่าพี่ก็เป็นพี่ของน้องทุกคน รุ่นน้องคนไหนมีปัญหาก็ปรึกษารุ่นพี่คนใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น "พี่รหัส" ส่วนรุ่นพี่ก็ยินดีช่วยน้องทุกคนโดยไม่สนว่าน้องคนนั้นเป็น "น้องรหัส" หรือไม่
  
ด้วยระบบแบบนี้นอกจากจะทำให้รู้จักเพื่อนร่วมรุ่นทั้งชั้นปีได้ดีแล้ว (แม้จะไม่ทุกคนก็ตาม) เวลาเป็นปี ๑ ก็จะรู้จักรุ่นพี่ขึ้นไปถึงปี ๔ เวลาอยู่ปี ๔ ก็จะรู้จักรุ่นน้องลงมาถึงปี ๑ ดังนั้นช่วงเวลา ๔ ปีในมหาวิทยาลัยจึงรู้จักกัน ๗ รุ่น คือรุ่นก่อนหน้า ๓ รุ่นและรุ่นที่ตามหลังมาอีก ๓ รุ่น เวลามีกิจกรรมใด ๆ ก็ตามที่ต้องมีการระดมพล ก็ทำเพียงแค่บอกกล่าวไปยังหัวหน้าชั้นปีซึ่งก็จะบอกต่อกันจนทราบกันทั้งชั้นปี
  

ส่วนรุ่นพี่กลุ่มไหนจะสนิทสนมกับรุ่นน้องกลุ่มไหนมากเป็นพิเศษนั้น ไม่ได้มาจากการอยู่ร่วม group เดียวกัน แต่มาจากการเข้าร่วมชมรมหรือทำกิจกรรมร่วมกัน เช่นเข้าร่วมชมรมกีฬาหรือกลุ่มกองเชียร์ (ผมเองก็เข้าไปร่วมวงทั้งสองอย่าง) หรือร่วมทำงานนิทรรศการฯ ร่วมกัน 
   
ความผูกพันแบบนี้เห็นได้ชัดในวันรับปริญญา ในเย็นวันที่คณะรับปริญญานั้น เป็นที่ทราบกันระหว่างนิสิตปี ๒-๔ ว่า คืนนั้นพี่นายช่างที่เพิ่งจะรับปริญญาไปในบ่ายวันนั้น จัดงานเลี้ยงให้รุ่นน้องปี ๒-๔ ที่ห้องอาหารหรือที่ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมไหน (ปี ๑ ไม่เกี่ยว) ดังนั้นหลังจากส่งรุ่นน้องปี ๑ กลับบ้านหลังส่งเสด็จแล้ว บรรดานิสิตปี ๒-๔ ก็จะไปรวมตัวกัน ณ สถานที่จัดงาน เรียกว่าไปกินฟรีโดยมีพวกพี่ ๆ ที่จบรับปริญญานั้นเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด (ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม) ชุดที่ไปร่วมงานก็เป็นชุดนิสิตที่ใส่ในงานรับปริญญานั่นแหละ ตอนที่ผมเป็นนิสิตก็ได้มีโอกาสไปร่วมงานที่พี่ ๆ จัดให้ และตอนที่จบรับปริญญาก็ได้มีโอกาสจัดงานเช่นนี้ให้กับรุ่นน้องอีก ๓ ชั้นปีที่ทันเห็นหน้ากันตอนผมเรียนปี ๔ ด้วย จำได้ว่าการจัดงานดังกล่าวก็ไม่ได้มีการบังคับให้ต้องจ่ายเงิน ใครอยากช่วยเท่าใดก็ช่วยตามเท่าที่มี (เพราะบางคนมีงานทำแล้วแต่บางคนยังไม่มีงานทำ) แต่ทุกคนก็สามารถไปร่วมงานดังกล่าวได้หมด
  
งานเลี้ยงดังกล่าวผมไม่ทราบเหมือนกันว่ามีจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด และจัดเป็นครั้งสุดท้ายในปีพ.ศ.ใด เพราะเมื่อผมกลับมาทำงานในอีก ๖ ปีต่อมา ก็ไม่พบว่ามีการจัดงานรูปแบบดังกล่าวแล้ว
  
สมัยที่เรียนหนังสือนั้น ตอนเป็นรุ่นน้องก็ไม่เคยได้รับหนังสืออะไรจากรุ่นพี่ หรือมีรุ่นพี่พาไปเลี้ยงเป็นการเฉพาะกลุ่มเล็ก ๆ จะไปกันทีก็เป็นในฐานะชมรมหรือไม่ก็ภาควิชา และก็ไม่ได้คาดหวังว่าต้องได้ในสิ่งนั้นด้วย และพอเป็นรุ่นพี่ก็ไม่เคยให้หนังสือเรียนอะไรแก่รุ่นน้อง (เพราะจะเก็บเอาไว้ใช้ตอนทำงาน) และก็ไม่ได้พารุ่นน้องไปเลี้ยงอะไร (เพราะไม่ค่อยมีตังค์) และก็ไม่คิดว่ามันเป็นหน้าที่หลักที่รุ่นพี่พึงกระทำ นอกจากนี้ก็ไม่เห็นรุ่นน้องคาดหวังให้รุ่นพี่ทำอย่างนั้นด้วย (คิดเอาเองนะ) สิ่งสำคัญที่ได้รับจากรุ่นพี่ในตอนนั้นก็คือ น้ำใจ ความห่วงใย และการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ

ภาพแรกที่เอามาแสดงคือแฟ้มที่ผมใช้ตอนเป็นนิสิตปี ๑ ส่วนภาพที่ ๒ นั้นเห็นโผล่ทาง facebook เมื่อไม่นานนี้ เขียนมาถึงตรงนี้ก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันเกี่ยวข้องกับชื่อเรื่องที่ตั้งไว้หรือเปล่า เอาเป็นว่าขอจบ Memoir ฉบับนี้ลงที่ตรงนี้ก็แล้วกัน :)

ไม่มีความคิดเห็น: