"เราเก็บความรู้สึกดี
ๆ ที่มีต่อกันตลอดช่วงเวลา
๓ ปีที่ผ่านมา
ให้มันคงอยู่ต่อไปตลอดกาลจะดีกว่าไหม"
นั่นเป็นประโยคที่ผมมักจะบอกกับนิสิตของภาควิชา
ที่เข้ามาสอบถามผมเรื่องการเรียนต่อปริญญาโท
ว่าผมมีหัวข้อทำวิจัยเรื่องอะไรบ้าง
และผมก็จะบอกกับนิสิตเหล่านั้นไปว่า
เรื่องความรู้ ความสามารถ
ของพวกคุณนั้น ผมไม่มีข้อสงสัยใด
ๆ เชื่อมั่นในฝีมือ
เพราะเห็นหน้ากันมาตลอด ๓
ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เข้าภาควิชา
แต่การเรียนปริญญาโทหรือปริญญาเอกนั้นมันแตกต่างกัน
เวลาเรียนปริญญาตรี
ถ้าไม่ชอบหน้าอาจารย์ผู้สอน
ก็หลบหน้าได้ ย้ายไปเรียนห้องอื่นก็ได้
แต่พอมาเป็นระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอกแล้ว
จะจบหรือไม่จบนั้น
เรียกได้ว่าขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาเพียงคนเดียว
เห็นมาหลายรายแล้วด้วยว่า
พอเรียนจบเมื่อใด
ก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน
ไม่จำเป็นถึงที่สุดก็ไม่อยากเจอหน้า
บางรายถึงขั้นเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์เพื่อไม่ให้อาจารย์ที่ปรึกษาติดต่อได้
(แต่เขากลับมาแจ้งหมายเลขใหม่ของเขาให้ผมทราบ
และยังเล่น Facebook
กับผมอยู่)
และเมื่อไม่นานมานี้ก็มีนิสิตปริญญาโทบางราย
(ที่ไม่ได้เรียนกับผม)
มาเปรย
ๆ กับผมว่า เขาเข้าใจความหมายของประโยคที่ผมเคยบอกเขาเมื่อสองปีก่อนหน้านั้นแล้ว
การสอนนิสิตปริญญาตรีนั้นเรียกว่าเป็นการให้ความรู้แก่นิสิต
โดยนิสิตต้องสอบผ่านเกณฑ์ของวิชาต่าง
ๆ นั้นให้ได้
ตัวอาจารย์เองไม่ได้ผลงานอะไรจากการสอบผ่านของนิสิต
ไม่ได้อะไรจากข้อสอบที่นิสิตทำได้หรือไม่ได้
(นิสิตเยอะก็ต้องตรวจข้อสอบเยอะไปด้วย)
ได้แต่เพียงภาระงานสอนเท่านั้น
นิสิตสอบตกก็ต้องกลับมาให้อาจารย์สอนใหม่
ตกเยอะ ๆ ก็เป็นภาระให้อาจารย์ต้องเปิดคอร์สตาม
(จะในภาคการศึกษาถัดมา
หรือภาคฤดูร้อนก็ตามแต่)
ให้กับนิสิตที่ตกอีก
แต่การสอนปริญญาโท-เอกนั้น
อาจารย์ได้ประโยชน์จากผลงานที่นิสิตเป็นผู้ลงมือทำ
ยิ่งมีนิสิตทำงานให้มาก
ก็ยิ่งมีโอกาสมีผลงานมาก
ยิ่งมีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งทางวิชาการมากขึ้น
ไม่ได้ประเมินที่จำนวนนิสิตจบ
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มักเห็นการเอาเกณฑ์การจบ
(ที่อาจจะสูงกว่า)
สำหรับนิสิตปริญญาเอกมาใช้กับนิสิตปริญญาโทของตัวเอง
และเพิ่มเกณฑ์การจบขึ้นมาเองตามความพอใจ
สำหรับนิสิตปริญญาเอกของตนเอง
ผมเคยตั้งคำถามนี้ในที่ประชุมหน่วยงานผู้ชอบแจกจ่ายทุนให้อาจารย์ไปหานิสิตเรียนปริญญาเอกช่วยทำวิจัย
โดยดูที่จำนวนpaper
ที่อาจารย์เคยตีพิมพ์และสัญญาว่าจะตีพิมพ์เป็นหลักในการให้ทุน
ผมตั้งคำถามว่า
ผมไม่รู้ว่านิสิตที่จบปริญญาโดยมีบทความวิชาการตีพิมพ์วารสารวิชาการต่างประเทศนั้น
เขา "โง่"
หรือ
"ฉลาด"
และอาจารย์ผู้นั้นทำถูกต้องหรือไม่
เพราะตามระเบียบการศึกษานั้น
(ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของวิชาด้วยว่าเป็นสายวิทย์หรือศิลป)
การจบปริญญาเอกนั้นใช้เพียงแค่บทความวิชาการตีพิมพ์วารสารวิชาการระดับนานาชาติเพียงแค่
"๑
ฉบับ"
เท่านั้น
โดยไม่สนด้วยว่านิสิตจะมีชื่ออยู่ตรงไหนของบทความ
ดังนั้นถ้าหากผลงานวิทยานิพนธ์ของนิสิตปริญญาโทผู้นั้นตีพิมพ์เป็นบทความได้
ก็ควรที่จะให้เขาได้รับปริญญาเอกไปเลย
คำถามที่ผมสงสัยก็คือนิสิตคนดังกล่าวรู้หรือไม่ว่าเขาโดนอาจารย์ของเขานำเอาเงื่อนไขการจบระดับปริญญาเอกมาใช้กับเขา
และไปเพิ่มจำนวนบทความ
(ทำเองโดยไม่มีระเบียบรองรับ)
ที่เขาต้องทำเพื่อใช้จบปริญญาเอก
คำถามดังกล่าวผมไม่ได้รับคำตอบ
แต่ในใจตอนนั้นคิดว่ายังดีนะ
ที่ไม่คลั่ง paper
กันถึงขนาดกำหนดให้
senior
project ต้องมีการตีพิมพ์บทความวิชาการในวารสารวิชาการนานาชาติ
(แต่ตอนนี้ก็เห็นมีเกิดขึ้นแล้ว)
ผมเคยบอกกับผู้ที่มีได้ชื่อว่าเป็นนักวิจัยอาวุโสผู้หนึ่งว่า
ในมุมมองของผม
การสอนที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่การตั้งเกณฑ์การจบให้สูงกว่ามาตรฐาน
การที่เกณฑ์บอกว่าต้องการเพียงแค่บทความเดียวเพื่อสำเร็จการศึกษา
แต่อาจารย์ที่ปรึกษาไปตั้งเองว่าต้องไม่ต่ำกว่า
๓ นั้น ไม่เช่นนั้นจะไม่ให้จบ
ผมถือว่าเป็นการกระทำที่มิชอบ
ไม่ใช่สิ่งที่คนที่เรียกตนเองว่า
"อาจารย์"
พึงกระทำ
เป็นสิ่งที่ผมรับไม่ได้
แต่ถ้านิสิตเขาอยากทำเพิ่มขึ้นเองโดยไม่มีการบังคับหรือกดดัน
แต่มันเกิดจากความต้องการของเขาเอง
นั่นถือว่าการสอนประสบความสำเร็จ
เพราะผู้สอนนั้นสามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากเรียนรู้อย่างต่อเนื่องในศาสตร์สาขานั้น
ตัวอย่างวิธีการกระตุ้นให้ผู้เรียนขยันเรียนที่เห็นได้ชัดคือการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี
ระเบียบกลาง
(ที่ทุกมหาวิทยาลัยใช้ร่วมกันและปฏิบัติเหมือนกันหมด)
กำหนดไว้เพียงแค่ถ้าผลการเรียนเฉลี่ยของทุกวิชารวมกัน
(โดยเรียนผ่านทุกวิชา)
ได้ไม่ต่ำกว่า
๒.๐๐
ก็สามารถสำเร็จการศึกษาได้
แต่เขาใช้การกระตุ้นด้วยการกำหนดผลการเรียนเฉลี่ยที่สูงขึ้นไปอีก
ที่จะทำให้ได้คำว่า "เกียรตินิยม"
ปรากฏในใบปริญญาบัตรด้วย
(ตรงนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละมหาวิทยาลัยว่าจะกำหนดที่ใด)
นิสิตเป็นคนรับทุน
ไม่ใช่อาจารย์ ดังนั้นถ้านิสิตเรียนไม่จบ
นิสิตต้องเป็นผู้ชดใช้ทุน
ไม่ใช่อาจารย์
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นว่านิสิตที่
"เผลอ"
รับทุนเข้ามาแล้ว
โดยคิดว่าจะจบได้ตามเกณฑ์ของมหาวิทยาลัย
กลับต้องมาเจอกับเกณฑ์การจบตามความพึงพอใจของอาจารย์
ต้องระทมทุกข์แค่ไหนกว่าจะเรียนจบ
โดยเฉพาะพวกที่โดยใช้ให้ทำผลงานตีพิมพ์ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียน
เพื่อให้อาจารย์มีผลงานเอาไปอวด
แต่นิสิตเองไม่มีเวลาที่จะดูหนังสือสอบ
Qualify
พอสอบ
Qualify
ไม่ผ่านก็ต้องพ้นสภาพนิสิต
ทุนที่รับมาก็ต้องชดใช้
(อาจารย์ไม่เกี่ยว)
ส่วนผลงานที่ทำไปก่อนหน้านั้นคนทำก็เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
แต่อาจารย์ยังเอาไปใช้ขอความดีความชอบของตัวเองได้อยู่
ผมเคยบอกกับนิสิตเหล่านี้ว่า
ความก้าวหน้าในอาชีพของนักวิจัยที่เรียกตัวเองว่าอาจารย์นั้น
ขึ้นอยู่กับจำนวนบทความตีพิมพ์ที่มีชื่อเขา
ไม่ได้ขึ้นกับจำนวนนิสิตที่ทำบทความให้เขา
ถ้าเขากำหนดขึ้นมาว่าถ้าไม่ได้
๑๐ papers
จะไม่ให้จบ
คุณฝืนทำไปได้แค่ ๙ papers
แล้วโดดตึกตาย
อาจารย์เขาก็ยังเอา ๙ papers
ที่คุณทำไว้ก่อนหน้านั้นไปขอความดีความชอบได้
เรื่องการตายของคุณมันไม่ส่งผลอะไรต่อการเลื่อนตำแหน่งของเขา
หรือคุณทำได้ ๙ papers
แล้วทนอยู่ต่อไม่ไหวต้องลาออกไป
อาจารย์เขาก็เอา ๙ papers
นั้นไปของความดีความชอบได้เช่นกัน
ส่วนคุณก็ต้องไปชดใช้ทุนที่คุณได้รับมา
อาจารย์เขาไม่ต้องเสียอะไรซักบาท
และที่สำคัญนั้น
ในหลาย ๆ ทุนนั้น อาจารย์เขาได้เงินค่า
"ที่ปรึกษา"
ให้กับนิสิตเป็นรายเดือนด้วย
ยิ่งเขามีนิสิตหลายคนเขาก็ยิ่งได้เงินตรงนี้มากขึ้นเรื่อย
ๆ (หลายรายอยู่ในหลักแสนต่อเดือน)
ส่วนเขาจะให้คำปรึกษาหรือไม่นั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง
เวลาที่นิสิตเรียนไม่จบนิสิตก็ต้องชดใช้เงินค่าใช้จ่ายรายเดือนที่แหล่งทุนให้
แต่ตัวอาจารย์เองไม่ต้องคืนเงินที่รับมาทุกเดือนนะ
ด้วยเหตุนี้ผมจึงมักเปรย
ๆ กับนิสิตหลายรายที่มาปรึกษากับผมว่า
"ก่อนลงนามรับทุน
อ่านสัญญาให้ดีก่อน"
ด้วยเหตุนี้เวลาที่มีนิสิตที่สนใจจะทำวิจัยระดับปริญญาโทกับผม
และมีโอกาสมาพบกับผมก่อนการสอบ
ผมจะบอกกับเขาเสมอว่าให้หาโอกาสไปคุยกับนิสิตคนที่กำลังเรียนอยู่กับผมก่อน
เพราะจะได้รู้นิสัยการทำงานของผมว่าเป็นอย่างไร
เพราะถ้านิสัยการทำงานไม่ตรงกันมันจะวุ่น
เครียดทั้งสองฝ่าย คนที่ไม่ชอบคิด
ชอบทำตามคำสั่ง
ก็ต้องหาอาจารย์ที่ปรึกษาที่สั่งอย่างเดียว
ส่วนคนที่ชอบคิดก็ต้องหาอาจารย์ที่ปรึกษาที่เปิดโอกาสให้เขาแสดงความคิดเห็นและทดสอบความคิดของเขา
ผมไม่เคยเห็นอาจารย์คนไหนที่เป็นคนที่
"ดี"
ในสายตานิสิตทุกคน
หรือเป็นคนที่ "เลว"
ในสายตานิสิตทุกคน
แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนโท-เอกนั้นเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนิสิตกับอาจารย์
ดังนั้นทั้งสองฝั่งต้องมีรูปแบบการทำงานที่สอดคล้องกันมันถึงจะอยู่ได้อย่างราบรื่น
มีนิสิตจำนวนไม่น้อยต้องไปอยู่ในอีกสภาพหนึ่งที่ไม่ได้คาดหวังเอาไว้เมื่อมาเรียนก็คือ
อาจารย์ไม่ได้สนใจเลยว่าการทำงานของเขาประสบปัญหาอย่างไรบ้าง
เขาขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องใดบ้าง
ปล่อยให้ทำงานตามยถากรรม
อาจารย์ที่ปรึกษาสนอยู่อย่างเดียวคือนิสิตมีผลแลปให้เขาตีพิมพ์
paper
หรือส่งบริษัทที่รับทุนทำวิจัยหรือเปล่าแค่นั้นเอง
เคยมีนิสิตที่มีปัญหาเรื่องผลการทดลอง
(โดยเฉพาะผลการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือ)
ไม่เป็นไปตาม
"ความต้องการ"
ของอาจารย์ที่ปรึกษาของเขา
มาขอคำปรึกษากับผม
และที่แย่ก็คืออาจารย์ที่ปรึกษาไม่รับฟังความคิดเห็นของเขา
หรือให้คำปรึกษาใด ๆ
บอกแต่เพียงอย่างเดียวว่าไปทำมาให้ได้
(ผลตามที่เขาต้องการ)
แค่นั้นเอง
ผมก็ถามเขากลับไปว่า
(แบบพูดทีเล่นทีจริงว่า)
จริงหรือเปล่าที่อาจารย์ของคุณเขาไม่สนใจเลยว่าคุณจะทำการทดลองอย่างไร
ไม่เคยมาดูเลยว่าคุณทำการทดลองอย่างไร
รอฟังผลอยู่ที่ห้องทำงานหรือเวลาประชุมกลุ่มเท่านั้น
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงทำไมคุณไม่เปลี่ยน
"วิกฤต"
ให้เป็น
"โอกาส"
ล่ะ
ด้วยการ "เขียน"
ผลแลปให้เขาตามที่เขาต้องการเลย
ดูเหมือนว่าจะมีอยู่หลายรายเหมือนกันที่ทำตามที่ผมบอกข้างต้น
ทำให้จบแบบ happy
ending ไปทั้งสองฝ่าย
คือนิสิตได้รับปริญญา
ส่วนอาจารย์ก็ได้บทความไปขอความดีความชอบ
แต่ที่ผมคิดไม่ถึงก็คือ
เคยมีนิสิตรายหนึ่งมาปรึกษากับผมเรื่องทำนองนี้
ผมก็บอกเขาไปตามย่อหน้าข้างต้น
เขาก็ไม่ทำตาม (ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดี)
แต่อาจารย์เขาทนไม่ไหว
เลยบอกให้เขาทำอย่างที่ผมบอกข้างต้นซะเอง
จะได้เขียน paper
ได้สักที
ส่วนอาจารย์รายนั้นจะทำอย่างนี้กับนิสิตรายอื่นของเขาหรือไม่นั้น
ผมไม่ทราบ
เรื่องมันควรจะจบแค่นี้ถ้าหากว่าไม่มีการนำเอา
"ผลการทดลอง"
นั้นไปนำเสนอต่อบริษัทเพื่อขอทุนวิจัย
แต่พอมีการเอาไปนำเสนอขอทุนวิจัยจากบริษัท
เรื่องมันก็เลยแดงขึ้นมา
เพราะไม่มีใครสามารถทำซ้ำผลการทดลองตามที่ได้ตีพิมพ์ในบทความนั้นได้
จะติดต่อนิสิตคนที่เขียนบทความนั้นก็ติดต่อไม่ได้
(ถึงได้เขาก็ไม่กลับมาให้เห็นหน้าหรอก)
คนที่ซวยคือคนที่มารับช่วงงานต่อ
เพราะไม่สามารถทำซ้ำ
(สิ่งที่เรียกว่า)
"ผลการทดลอง"
ของคนก่อนหน้าได้
ตรงนี้ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ตรงในการเป็นกรรมการสอบปกป้องวิทยานิพนธ์ของนิสิตปริญญาเอกผู้หนึ่ง
ที่ตรวจพบว่าตัวเลขที่นำมาแสดงนั้นมีความขัดแย้งกัน
สาเหตุเป็นเพราะระเบียบวิธีการทดลองนั้น
"ใช้ไม่ได้"
(มันไม่ได้เพียงแค่ผิดพลาดที่ทำให้ผลมันคลาดเคลื่อน
แต่มันไม่ถูกต้องกับการทดลองนั้นเลย)
นอกจากนี้ยังพบว่าตัวเลขบางตัวที่ปรากฏนั้นเป็นค่าที่
"คิดเองว่า"
มันต้องเป็นเช่นนั้น
ปัญหาตรงนี้เกิดจากอาจารย์ที่ปรึกษาไม่มีประสบการณ์การทำการทดลอง
และไม่ได้สนใจว่าการทดลองจะเป็นอย่างไร
ขอให้มีตัวเลขก็พอ
นิสิตต้องไปออกแบบการทดลองเอง
จะทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เรียกได้ว่าได้ทำการทดลอง
โดยไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของวิธีการ
ขอเพียงแค่มีตัวเลขก็พอแล้ว
สำหรับผมแล้ว
ถ้าระเบียบวิธีการทดลองนั้นผิดพลาด
ผมแลปก็ไม่ต้องพิจารณาใด
ๆ แล้ว (จะดูมันทำไปอีกกับตัวเลขที่ไม่มีความน่าเชื่อถือใด
ๆ)
ผมเองให้คะแนนสอบเป็น
"ตก"
แต่นิสิตคนนั้นก็ผ่านการสอบด้วยคะแนนเสียงข้างมากจากกรรมการ
ที่เห็นว่าเขามีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติถึง
๓ บทความ
กรรมการสอบนั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันได้นะครับ
หลายครั้งที่ผมต้องไปนั่งเป็นประธานกรรมการสอบนิสิตปริญญาโท
แล้วพบว่าสอบไปสอบมากลายเป็นว่าจะให้นิสิตนั้นต้องทำงานเพิ่มอีก
ไม่ใช่นั้นไม่ให้จบ
ทั้งนี้เพื่อที่จะได้มีผลงานตีพิมพ์บทความในวารสารวิชาการนานาชาติเพิ่มได้อีก
จนผมในฐานะประธานต้องเข้าแทรกว่า
ตรงนี้มันเป็นเงื่อนไขการจบปริญญาเอก
ไม่ใช่ปริญญาโท
และขณะนี้เรากำลังสอบนิสิตปริญญาโท
ดังนั้นต้องใช้เกณฑ์มาตรฐานของนิสิตปริญญาโทมาใช้ในการสอบ
และเมื่อนิสิตขอสอบปกป้องวิทยานิพนธ์นั้นแสดงว่าทั้งตัว
"อาจารย์ที่ปรึกษา"
และ
"นิสิต"
เองเห็นว่าผลงานนั้น
"เพียงพอ"
และ
"เหมาะสม"
แล้วสำหรับวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท
แต่การแก้ไขเพิ่มเติมเล็กน้อยนั้นยังพอทำได้อยู่
จะให้ทำตรงไหนก็บอกมาเลย
จะได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในผลการสอบว่าต้องทำตามเงื่อนไขนี้ก่อนจึงจะให้ผ่าน
แต่ถ้าคิดว่ายังขาดโน่นขาดนี่อีกเยอะ
ก็ต้องให้สอบตกไปเลย
(หรือไม่ก็ยกเลิกการสอบ
ถ้านิสิตยังมีเวลาเหลือเรียนต่อ)
และช่วยให้เหตุผลเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยว่าทำไมถึงให้ตก
เพื่อที่เวลามีการร้องเรียนจะได้ตรวจสอบย้อนหลังได้
เมื่อการประเมินอาจารย์สนใจแต่เพียง
"Output"
มันก็ไม่แปลกที่จะมีการ
"บิดเบือนกระบวนการ"
ต่าง
ๆ เพื่อให้ได้ output
ออกมาให้ได้มากที่สุด
โดยไม่สนใจว่าการกระทำเพื่อให้ได้
output
นั้นมันเป็นการกระทำที่มี
"คุณธรรม"
และถูกต้องตามหลัก
"จริยธรรม"
หรือไม่
ผมว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการสอน
"คุณธรรมและจริยธรรม"
ให้แก่นิสิตก็คือ
"ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง"
ที่เขียนเรื่องนี้ก็เพื่อ
"เตือนใจตนเอง"
ว่า
สิ่งใดที่ได้ประสบมาและเห็นว่ามันไม่ดี
ไม่เหมาะสมนั้น ก็อย่าพึงกระทำ
การกระทำสิ่งใดทั้ง ๆ
ที่เห็นว่ามันเป็นสิ่งไม่ดีนั้น
มันแย่ยิ่งกว่าการทำโดยไม่รู้อีก
และเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ให้กับคนที่อ่อนประสบการณ์
(เช่นผมเมื่อเข้ามาทำงานใหม่)
จะได้รับรู้ว่าผลประโยชน์เฉพาะตนที่คนอื่นหยิบยื่นให้ตรงหน้านั้น
มันมีผลเสียระยะยาวในด้านอื่นอย่างไร
ที่ผมขึ้นเลข (๑)
กำกับไว้ที่หัวเรื่องก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่ายังมีเรื่องอื่นที่จะเขียนอีก
แต่ฉบับนี้เห็นว่าบ่นมายาวมากพอแล้ว
ก็ต้องขอพักไว้ก่อน
เคยมีอาจารย์ในภาควิชามาปรึกษาหารือกับผมว่า
ทำอย่างไรจึงจะสามารถชักจูงให้นิสิตของภาควิชาสนในเรียนต่อที่ภาควิชาให้มากขึ้น
จะได้มีเด็กดี ๆ
มาช่วยเป็นแขนขาทำงานวิจัยให้อาจารย์
ผมก็ตอบเขากลับไปว่า
"เราเคยมีช่วงเวลานั้น
แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดนั้นมันผ่านไปแล้ว"
และผมเองก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นช่วงเวลาเช่นนั้นกลับคืนมาอีกครั้งก่อนที่ผมจะเกษียณอายุราชการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น