เครื่อง
GC-2014
FPD นี้ได้รับมาเมื่อราว
ๆ ปลายปีพ.ศ.
๒๕๕๓
นำเชื่อมต่อเข้ากับระบบและทดสอบกันจริงจังก็ตอนต้นปี
๒๕๕๔ และมีบันทึกของเครื่องนี้ออกมาครั้งแรกก็ตอนเดือนมีนาคม
๒๕๕๔ ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีการใช้งานบ้างไม่ใช้งานบ้าง
มาถึงปีนี้ได้เวลาที่จะนำกลับมาใช้งานกันยกใหญ่อีกครั้งก็เลยต้องลงไปตรวจสอบการทำงานกันสักหน่อย
เครื่องนี้ประกอบด้วย
Relay
ควบคุมวาล์ว
๒ ตัวดังนี้
Relay
91 ทำหน้าที่ควบคุมตำแหน่งวาล์วฉีดตัวอย่าง
โดย Pt
A คือตำแหน่งฉีดสารเข้าคอลัมน์
(carrier
gas ไหลผ่าน
sampling
loop และดันแก๊สตัวอย่างใน
sampling
loop เข้าคอลัมน์
GC)
และ
Pt
B คือตำแหน่งเก็บตัวอย่าง
(รับแก๊สตัวอย่างจากระบบเข้า
sampling
loop และระบายทิ้งออกไป)
Relay
92 ทำหน้าควบคุมวาล์วปิด-เปิดท่อรับแก๊สตัวอย่างเข้าสู่
Sampling
valve โดย
Pt
A คือตำแหน่งเปิดและ
Pt
B คือตำแหน่งปิด
ดังนั้นก่อนจะเก็บตัวอย่างอย่าลืมตั้ง
Relay
92 นี้ไปที่ตำแหน่ง
Pt
A ไม่เช่นนั้นจะฉีดตัวอย่างไม่เข้า
การทดสอบเริ่มตั้งแต่วันพุธที่
๑๘ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาและไปเสร็จสิ้นเอาเมื่อวาน
โดยในวันแรกนั้นเป็นการทบทวนการทำงานของระบบต่าง
ๆ การทำงานของระบบวาล์ว
การทำงานของตัวตรวจวัด
และไปสิ้นสุดด้วยการทดลองฉีดแก๊ส
SO2
เข้มข้น
10000
ppm ใน
N2
เมื่อวานเพื่อตรวจสอบการทำงานของ
FPD
(Flame Photometric Detector)
ในช่วงสองวันแรกตั้งสภาวะการทำงานของเครื่องเอาไว้ดังนี้
Carrier
gas (He) flow rate 15 ml/min
Air
pressure 35 kPa
Hydrogen
pressure 125 kPa
Injector
temperature 110 ºC
Column
temperature 180 ºC
Detector
temperature 185 ºC (สุดท้ายปรับเป็น
180ºC)
Sampling
rate 80 msec
เครื่องนี้มีระบบควบคุมการไหลของ
carrier
gasให้คงที่ผ่านทางคอมพิวเตอร์
ดังนั้นจำเป็นต้องตั้งความดันด้านขาออกของ
pressure
regulator ที่หัวถังแก๊สให้เพียงพอ
(สัก
5
bar) ส่วน
Injector
port นั้นไม่มีคอลัมน์ต่ออยู่
คอลัมน์ต่อตรงกับกับด้านขาออกของ
sampling
valve ที่มีการให้ความร้อนด้วย
heating
block อีกตัวหนึ่ง
รูปที่
๑ และ ๒ เป็นการทดสอบผลของอัตราการไหลของ
carrier
gas ที่มีต่อระดับ
base
line พบว่าเมื่อลดอัตราการไหลจะทำให้
base
line
ลดระดับลงในช่วงต้นก่อนที่จะเปลี่ยนระดับไปยังตำแหน่งที่สูงขึ้นในช่วงสุดท้าย
และเมื่อเพิ่มอัตราการไหลก็พบว่า
base
line มีการเพิ่มระดับสูงขึ้นก่อนที่จะลดระดับลงต่ำลงในช่วงสุดท้าย
และก่อนที่ระดับ base
line จะเข้าที่สัญญาณจะมีการแกว่งไปมาเล็กน้อย
การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงอัตราการไหล
carrier
gas ส่งผลต่อสัญญาณของ
FPD
ในระดับหนึ่ง
ส่วนรูปที่
๓ เป็นการปล่อยทิ้งไว้หลักจากการทดลองในรูปที่
๒ ผ่านไป ๒ ชั่วโมง
รูปนี้แสดงให้เห็นการเปลี่ยนระดับ
base
line เมื่อเปิดเครื่องทิ้งเอาไว้โดยไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับมัน
รูปที่
๔ และ ๕ เป็นการทดสอบผลการเปลี่ยนตำแหน่ง
sampling
valve ว่ามีผลต่อสัญญาณหรือไม่
ทั้งนี้เพราะเมื่อ sampling
valve เปลี่ยนจากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง
ความต้านทานในการไหลจะเปลี่ยนไป
อัตราการไหลของ carrier
gas จะเปลี่ยนไป
(ตำแหน่งฉีดสารตัวอย่างจะมีความต้านทานการไหลที่สูงกว่าตำแหน่งเก็บสารตัวอย่าง)
ทำให้ระบบต้องมีการปรับความดันเพื่อปรับอัตราการไหลให้กลับมาคงเดิม
ซึ่งผลกระทบตรงนี้ส่งผลให้โครมาโทแกรมที่ได้จากการฉีดสารตัวอย่างนั้นมีลักษณะที่มีการแกว่งในช่วงแรกอยู่บ้าง
(ดูรูปที่
๖)
ก่อนที่ระบบปรับตัวเข้าสู่สภาพเดิมได้
รูปที่ ๖ เป็นการฉีด carrier
gas ด้วย
sampling
valve เข้าคอลัมน์
ดังนั้นมันไม่ควรจะมีการแสดงพีคใด
ๆ พีคต่าง ๆ ที่เห็นในช่วง
2.5
นาทีแรกนั้นเป็นผลจากการเปลี่ยนตำแหน่งวาล์วที่ทำให้อัตราการไหล
carrier
gas ไม่นิ่งอยู่ชั่วขณะ
รูปที่ ๗ เป็นการทดลองฉีด SO2 10000 ppm ใน N2 ด้วย sampling valve (ขนาด sampling loop 0.1 ml) อันที่จริงปริมาณตัวอย่างที่ฉีดนั้นก็มากเกินกว่าทั้งคอลัมน์ที่ใช้และตัว FPD จะรับได้ พีคที่ได้นั้นเป็นพีคหัวตัดที่ความสูงของพีคแสดงให้เห็นว่า detector อิ่มตัว (วัดจนสุดสเกลสูงสุดที่วัดได้) ส่วนรูปที่ ๘ - ๑๓ นั้นเป็นภาพหน้าจอการตั้งเครื่อง GC
รูปที่ ๗ เป็นการทดลองฉีด SO2 10000 ppm ใน N2 ด้วย sampling valve (ขนาด sampling loop 0.1 ml) อันที่จริงปริมาณตัวอย่างที่ฉีดนั้นก็มากเกินกว่าทั้งคอลัมน์ที่ใช้และตัว FPD จะรับได้ พีคที่ได้นั้นเป็นพีคหัวตัดที่ความสูงของพีคแสดงให้เห็นว่า detector อิ่มตัว (วัดจนสุดสเกลสูงสุดที่วัดได้) ส่วนรูปที่ ๘ - ๑๓ นั้นเป็นภาพหน้าจอการตั้งเครื่อง GC
รูปที่
๑ การทดสอบผลของอัตราการไหลของ
carrier
gas ต่อระดับ
base
line ในรูปนี้เป็นการทดลองลดอัตราการไหลของ
carrier
gas จาก
15
ml/min ลงเหลือ
12
ml/min และเพิ่มกลับเป็น
15
ml/min ใหม่
ตอนที่ทดลองนี้เพิ่งจะเปิดเครื่องได้ไม่นาน
(แกน
x
ข้างล่างคือเวลาเป็นนาที
นับจากเปิดเครื่อง)
รูปที่
๒ เป็นรูปต่อเนื่องจากรูปที่
๑ โดยเป็นการทดสอบผลของอัตราการไหลของ
carrier
gas ต่อระดับ
base
line ในรูปนี้เป็นการทดลองเพิ่มอัตราการไหลของ
carrier
gas จาก
15
ml/min เป็น
18
ml/min และลดกลับลงเหลือ
15
ml/min ใหม่
(แกน
x
ข้างล่างคือเวลาเป็นนาที
นับจากเปิดเครื่อง)
จะเห็นว่าระดับสัญญาณสุดท้ายนั้นลดต่ำลงกว่าระดับสัญญาณตอนเริ่มต้นเปิดเครื่องอยู่เล็กน้อย
รูปที่
๓ หลังจากเปิดเครื่องทิ้งไว้กว่า
๓ ชั่วโมง รูปนี้แสดงการเปลี่ยนแปลงระดับสัญญาณ
base
line ในช่วงเวลา
๑ ชั่วโมง (สเกลเวลายังคงต่อเนื่องจากรูปที่
๑ และ ๒)
รูปที่
๔ ยังเป็นการทดลองต่อเนื่องจากรูปที่
๓ คราวนี้เป็นการทดสอบผลของการขยับตำแหน่งวาล์วเก็บ-ฉีดสารตัวอย่าง
(Relay
91) โดยลองสลับกันระหว่างตำแหน่งเก็บสารตัวอย่าง
(Pt
B) กับตำแหน่งฉีดสารตัวอย่าง
(Pt
A)
รูปที่
๕ ยังเป็นการทดลองต่อเนื่องจากรูปที่
๔ โดยังคงเป็นการทดสอบผลของการขยับตำแหน่งวาล์วเก็บ-ฉีดสารตัวอย่าง
(Relay
91) โดยลองสลับกันระหว่างตำแหน่งเก็บสารตัวอย่าง
(Pt
B) กับตำแหน่งฉีดสารตัวอย่าง
(Pt
A) กลับไปมาหลายครั้งเพื่อดูว่าลักษณะของ
spike
ที่เกิดขึ้นเมื่อวาล์วเก็บตัวอย่างขยับจาก
Pt
B เป็น
Pt
A นั้นเกิดขึ้นคงที่ทุกครั้งหรือไม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น