วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

สอบจบแล้ว MO Memoir : Friday 23 April 2553

ก็ขอแสดงความยินดีกับทั้ง ๓ คนที่สอบปกป้องวิทยานิพนธ์ผ่านไปได้ด้วยดี ตอนนี้ก็คงเหลือแต่การแก้ไขรูปเล่มกับการทำการทดลองเพิ่มเติมเล้กน้อยตามที่กรรมการสอบเสนอแนะ


ในส่วนของผู้เรียนนั้นถือได้ว่าการสอบวิทยานิพนธ์เป็นการสอบวัดผลการเรียน ซึ่งเมื่อสอบผ่านก็ถือว่าการเรียนสิ้นสุดลงแล้ว

แต่ในส่วนของผู้สอนนั้นผมถือว่าการสอบวิทยานิพนธ์เป็นการเริ่มต้นการวัดผลการสอน ซึ่งเมื่อผู้เรียนสอบผ่านก็จะเป็นการวัดผลผู้สอนว่าการสอนที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร


เมื่อวันพุธที่ผ่านมามีคนถามผมในที่ประชุมว่า มีนิสิตของภาควิชามาสมัครเรียนต่อโท-เอกด้วยหรือเปล่า ผมก็ตอบไปว่ามีเหมือนกัน และผมก็บอกนิสิตเหล่านั้นว่า ในด้านความสามารถในการเรียนต่อแล้วผมไว้ใจพวกเขา เพราะสอนมากับมือเป็นเวลาถึง ๓ ปี แต่การสอนระดับปริญญาตรีกับระดับโท-เอกนั้นไม่เหมือนกัน ความขัดแย้งระหว่างนิสิตและอาจารย์นั้นค่อนข้างจะสูง (ถ้านิสัยการทำงานไม่เหมือนกัน) ผมก็บอกนิสิตป.ตรีที่เข้ามานั่งคุยด้วยไปตรง ๆ ว่า บ่อยครั้งที่ผมคิดว่าเราเก็บความรู้สึกดี ๆ ตลอดช่วงเวลา ๓ ปีที่ได้อยู่ด้วยกันนั้นเอาไว้ให้คงอยู่ตลอดไป ดีกว่าจะมาขัดแย้งกันในระหว่างการเรียนต่ออีก ๒ ปี ซึ่งมันสามารถทำลายความรู้สึกดี ๆ ใน ๓ ปีก่อนหน้านั้นจนหมด จนทำให้ไม่อยากมองหน้ากันไปตลอดชีวิต

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมผมจึงต้องให้คนที่อยากมาเรียนกับผม ควรที่จะต้องไปพูดคุยกับผู้ที่ทำงานกับผมก่อน เพื่อให้ทราบนิสัยการทำงานของผม ถ้าคิดว่าจะทำงานเข้าด้วยกันไม่ได้ก็ไม่ควรมาเรียนด้วยกัน ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองใด ๆ ถ้าหากเขาเปลี่ยนใจไม่มาเรียน ซึ่งผมถือว่าเป็นการดีต่อกันทั้งสองฝ่าย


การเรียนระดับโท-เอกนั้นจะจบหรือไม่จบสามารถพูดได้ว่าขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษาเพียงคนเดียว เมื่อนิสิตได้เข้าเรียนกับอาจารย์ที่ปรึกษาคนใดแล้วก็มักกังวลว่าถ้าไม่ทำตามที่อาจารย์สั่ง (แม้ว่าตัวเองจะไม่ชอบก็ตาม) หรือแสดงความคิดเห็นขัดแย้งกับอาจารย์ที่ปรึกษา ก็อาจโดนอาจารย์ที่ปรึกษากลั่นแกล้งให้ไม่จบได้ ดังนั้นตัวนิสิตเองก็ต้องทนจำยอมรับสภาพไปจนกว่าอาจารย์ลงลายมือชื่อในเอกสารการสอบที่เกี่ยวข้องจนครบถ้วน

และเมื่อนิสิตได้ลายมือชื่อจากอาจารย์ครบถ้วนและส่งเอกสารทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย อาจารย์ผู้สอนก็จะทราบว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ที่มีความสัมพันธ์กันในรูปแบบนิสิตกับอาจารย์ นิสิตนั้นมีความรู้สึกอย่างไรกับตัวอาจารย์ผู้สอน

พวกคุณอาจเห็นผมโดยบังเอิญในที่ใดที่หนึ่งสักแห่ง แล้วเดินเข้ามาทักหาย (แบบเต็มใจ) หรือเมื่อเห็นผมแล้วก็เดินหลีกไปเพราะไม่อยากเจอหน้า ไม่อยากพูดคุยด้วยอีกแล้ว


ความรู้สึกไม่ดีที่นิสิตมีต่อผมนั้น ผมนำกลับมาคิดพิจารณาเสมอ ถ้าผมคิดว่าสิ่งที่บอกให้เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ไปทำให้เขาไม่ชอบหน้าผมชนิดที่เรียกว่าจบแล้วก็ไม่อยากเจอหน้ากันอีกเลย ผมก็ต้องปล่อยเลยตามเลย (ที่ผ่านมานั้นผมเคยบอกให้พวกคุณทำในสิ่งใดที่ไม่ดีบ้างหรือเปล่า) แต่ถ้าสิ่งที่บอกให้ทำนั้นเป็นความผิดพลาดของผมเอง ก็จะนำกลับมาแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นกับรุ่นถัดไป


ขอให้พวกคุณที่ผ่านการสอบแล้วได้มีชีวิตที่เป็นสุขต่อไป ขอให้โชคดีทุกคน

ไม่มีความคิดเห็น: