"สนามเด็กเล่นหลังเวลาเลิกเรียน"
จะเรียกว่ามันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายก็ได้
แต่ก็เป็นความวุ่นวายที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
คนทั่วไปมักคิดว่าโรงเรียนนี้มีเพียงโรงเรียนเดียว
(ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้น)
แต่อันที่จริงโรงเรียนนี้มันมี
๒ โรงเรียน แยกเป็นฝ่ายประถม
(ป.๑
ถึง ป.
๖)
และฝ่ายมัธยม
(ม.
๑
ถึง ม.
๖)
มีผู้บริหารคนละชุดกัน
เด็กป.
๑
จะเลิกเรียนราว ๆ ๑๔.๔๐
น จากนั้นก็จะไปกินของว่างกันที่โรงอาหาร
(เป็นชั้นเดียวที่มีของว่างยามบ่ายกิน)
แล้วก็กลับมาเก็บของที่ห้องเรียนและเลิกเวลา
๑๕.๐๐
น ส่วนชั้นเด็กโตขึ้นก็จะเลิกเรียนเวลา
๑๕.๐๐
น หรือไปถึงประมาณ ๑๕.๓๐
น
โรงเรียนนี้ไม่มีการเรียนพิเศษวิชาการในช่วงเย็น
ที่เปิดให้เรียนก็จะเป็นพวกกิจกรรมต่าง
ๆ เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสค้นพบตัวเองว่าถนัดในด้านไหน
เช่น กีฬา ดนตรี ศิลป งานฝีมือ
ฯลฯ พวกนี้ซะมากกว่า
ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าอาจารย์จะไม่สอนเต็มที่ในห้องเรียน
(จากการที่ได้พูดคุยกับผู้ปกครองที่ลูกเรียนในบางโรงเรียนก็พบว่าบางแห่งอาจารย์มีการกั๊กสิ่งที่ควรสอนในห้องเรียนเอาไว้บางส่วนมาสอนตอนเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน
(เก็บค่าเล่าเรียนเพิ่ม)
ซึ่งเป็นการบังคับทางอ้อมให้นักเรียนต้องเรียนพิเศษกันทุกคน)
และการเรียนพิเศษเขาก็ไม่ได้เรียนกันมากมายอะไร
เพียงแค่ชั่วโมงเดียวก็เลิกแล้ว
เรียกว่าพอบ่ายสี่โมงครึ่งทางโรงเรียนก็ประกาศให้นักเรียนทุกคนลงมาจากตึก
และพอห้าโมงเย็นก็เรียกให้ทุกคนมารวมตัวกันหน้าโรงเรียนเพื่อรอให้ผู้ปกครองมารับกลับบ้าน
ลูกผมตอนเรียนอนุบาลก็ได้เรียนโรงเรียนที่มีแนวทางการเรียนแบบเดียวกับโรงเรียนที่ได้เข้าเรียนต่อชั้นประถม
คือไม่ได้เน้นยัดความรู้
(ที่ผู้ใหญ่ต้องการให้เด็กเรียนรู้)
ให้กับเด็ก
แต่เน้นไปที่การพัฒนาการตามวัยของเด็ก
ให้รักการเรียน รู้จักค้นหา
มีจินตนาการ ให้เด็กค้นพบตัวเองว่าชอบอะไร
ตอนที่มาสอบเข้าโรงเรียนนี้ยังอ่านหนังสือได้เพียงแค่คำง่าย
ๆ บางคำเท่านั้น
อาศัยครูคุมสอบอ่านข้อสอบให้ฟัง
แต่พอผ่านไปเพียงแค่เทอมเดียว
ก็สามารถไล่ทันเด็กคนอื่นที่อ่านหนังสือได้
(เรียกว่าคล่องก็ได้)
ตั้งแต่ก่อนเข้าป.
๑
การเรียนรู้ของเด็กนั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ความรู้จากตำรา
เด็ก ๆ ยังต้องเรียนรู้การดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น
และผมเองก็มองว่าการเล่นของเด็กนั้นไม่เพียงแค่เป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ของเขา
แต่ยังเป็นการออกกำลังกายของเขาด้วย
เด็กนั้นมีความสามารถในการสร้างการละเล่นของเขาขึ้นมาเอง
กำหนดกติกากันเอง
และเป็นเรื่องปรกติที่เห็นเขาเล่นกันเพื่อความสนุกสนาน
มากกว่าการเล่นเพื่อเอาชนะหรือเพื่อแสดงตนให้เห็นว่าเก่งกว่าคนอื่น
(แบบที่พ่อแม่จำนวนไม่น้อยต้องการเช่นนั้น)
โรงเรียนที่ลูกผมเรียนกับที่ทำงานผมก็อยู่ใกล้กัน
ตอนเช้าก็ต้องส่งลูกมาให้ทันเข้าแถวก่อน
๗.๕๐
น แล้วผมก็เลยไปทำงานต่อ
วันไหนมาเร็วก็จอดรถก่อน
ตอนลูกเล็ก ๆ
ก็เดินแบกกระเป๋ามาส่งลูกที่หน้าโรงเรียน
จากนั้นก็ให้เขาสะพายกระเป๋าเข้าโรงเรียนไป
ส่งถึงทางเข้าห้อง
แล้วผมก็เดินต่อไปยังที่ทำงาน
ถ้ามาถึงสายก็จอดรถใกล้ประตูแล้วให้เขาเดินเข้าไปเอง
สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ผมพบว่าอาจารย์ของโรงเรียนนี้พยายามจะให้ผู้ปกครองทำความเข้าใจก็คือ
อย่าไปดูคะแนนเฉลี่ยของเด็กว่าได้มากหรือน้อยเท่าใด
หรือไปแปลผลคะแนนสอบว่าเด็ก
"เก่ง"
หรือ
"ไม่เก่ง"
แต่ให้มองว่าเขา
"ถนัด"
หรือ
"ไม่ถนัด"
เมื่อพบว่าเขาทำคะแนนได้ดีในด้านใด
ก็แสดงว่าเขามีความถนัดในด้านนั้น
และก็ควรที่จะส่งเสริมเขาให้มีการพัฒนาทางที่เด็กคนนั้นถนัด
ไม่ใช่ทางด้านที่ผู้ปกครองต้องการ
บ่อยครั้งที่ผมเห็นผู้ปกครองที่เห็นเด็กทำคะแนนสอบไม่ได้ดังใจก็มาลงเอาที่เด็ก
หรือไม่ก็ใช้คะแนนสอบของลูกมาเป็นตัวคุยโอ้อวดข่มทับกับ
ภรรยาของผมเคยเกริ่มกับผมว่าควรจะให้ลูกไปเรียนพิเศษตามที่ต่าง
ๆ เหมือนกับลูกคนอื่นที่ผู้ปกครองเขาเอามาพูดคุยโอ้อวดกันไหน
ผมก็ตอบไปว่าผมเจอมากับตัวเองหลายรายแล้ว
เด็กที่ถูกยัดเยียดความต้องการของผู้ปกครองให้ตั้งแต่เล็ก
พอโตขึ้นมาถึงแม้ว่าจะสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะที่ได้ชื่อว่าเป็นชั้นนำของประเทศ
สุดท้ายเมื่อเขาไม่สามารถรับความกดดันได้อีกในขณะที่กำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย
ผลนั้นลงเอยอย่างไร
ผมถึงเคยกล่าวว่าผมจะไม่รู้สึกแปลกใจถ้าเห็นข่าวนิสิตฆ่าตัวตายเพราะผลการเรียนไม่ได้ดังใจ
(ของใครสักคน)
เลิกงานตอนสี่หรือห้าโมงเย็นผมก็เดินมารับลูกกลับบ้าน
วันไหนเขาเหนื่อยก็จะขอกลับบ้านเร็ว
แต่ส่วนใหญ่มักจะพบว่าติดพันอยู่กับเพื่อน
ๆ เรียกว่าถ้ายังมีเพื่อนอยู่ก็ยังเล่นกันไม่เลิก
เรียกว่าสนามเด็กเล่นสนามเดียวมีเด็กเล่นอะไรต่อมิอะไรกันไม่รู้กี่อย่าง
แต่เขาก็เล่นกันได้
และเล่นกันได้อย่างมีความสุข
ผมเองก็ฆ่าเวลาด้วยการเอาหนังสือไปนั่งอ่านรอสลับกับดูเด็กเล่นวิ่งเล่นอยู่ในสนาม
ปรกติผมก็ทำหน้าที่เป็นผู้รับ-ส่งลูกเกือบทุกวัน
จะมียกเว้นบางในบางวันที่งานสอนเลิกค่ำ
หรือไม่ก็ติดธุระไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ
(ซึ่งในแต่ละปีก็มีไม่กี่วัน)
ที่ต้องวานให้คนอื่นทำหน้าที่รับ-ส่งเอง
เวลาหลังเลิกเรียน
ลูกคนโตนั้นถ้าไม่ปีนป่ายเล่นทรายอยู่ที่สนามเด็กเล่น
ก็จะไปกินขนมที่โรงอาหารหรือขึ้นไปอ่านหนังสืออยู่บนห้องสมุดกับเพื่อน
ส่วนลูกคนเล็กก็มักจะเกาะแกะช่วยงานอาจารย์ประจำชั้นหลังเลิกเรียน
จนถึงเวลาปิดห้องเรียนหรือไม่ก็ครูลงจากตึก
จึงค่อยลงมา
พอโตขึ้นหน่อยก็ไปอยู่ตามห้องกิจการนักเรียนและห้องวงโยธวาทิต
และกว่าจะเข้าบ้านได้ก็มีบ่อยครั้งที่ต้องไปแวะซื้อของต่าง
ๆ สำหรับให้ลูกทำการบ้านและงานฝีมือก่อนจะเข้าบ้าน
โชคดีที่ทางเข้าปากซอยมีร้านขายเครื่องเขียนใหญ่อยู่สองร้าน
จึงไม่ค่อยมีปัญหาในการหาซื้ออุปกรณ์ต่าง
ๆ
สภาพภายนอกของโรงเรียนส่วนใหญ่ยังเหมือนเดิม
มีการตกแต่งซ่อมแซมในบางส่วน
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดเห็นจะได้แก่การมีอาคารหลังใหม่ปรากฏขึ้นมาเนื่องในโอกาสที่โรงเรียนมีอายุครบ
๕๐ ปี โดยได้รื้ออาคารเอนกประสงค์หลังเดิมทิ้งไป
(เป็นเพียงแค่โรงเรือนมีหลังคา)
ส่วนสภาพห้องเรียนภายในก็มีการปรับปรุงและพัฒนาไปตามการศึกษา
ซึ่งตรงนี้ต้องขอชื่นชมผลงานของคณะผู้บริหารสมาคมผู้ปกครองที่ทำหน้าที่ได้ดีมาตลอด
โรงเรียนนี้ผมเดินเวียนเข้าออกเพื่อรับส่งลูกตั้งแต่คนโตเข้าเรียน
ป.
๑
จนกระทั่งถึงเดือนนี้ที่คนเล็กจบ
ป.
๖
และจะย้ายไปยังฝั่งโรงเรียนมัธยมในปีการศึกษาหน้า
และเดือนนี้ก็คงจะเป็นเดือนสุดท้ายที่จะได้เข้าไปนั่งรอรับลูกกลับบ้านในโรงเรียนนี้
หลังจากที่ทำเป็นกิจวัตรประจำติดต่อกันมาเป็นเวลา
๑๑ ปี
เรื่องนี้ก็อาจมีส่วนที่ทำให้หน้าที่การงานไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนในช่วงเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา
แต่จะว่าไปแล้วมันก็เป็นการตัดสินใจเลือกของผมเอง
และผมก็พบว่ามันเป็นการตัดสินใจเลือกที่ไม่ผิด
เพราะความสุขจากการที่เราได้อะไรมาเป็นของเรา
กับการที่เราได้ทำให้ลูกของเราได้อะไรมานั้น
มันไม่เหมือนกัน :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น