วัสดุอะไรก็ตามที่เห็นว่ามันไม่ปลอดภัยที่จะนำมาใช้ในการบรรจุอาหาร
ต้อง "สั่งห้าม"
การใช้ครับ
ต้องออกเป็นกฎหมายบังคับใช้เลย
ทำทำนองเดียวกับบุหรี่และสุราที่ทำการควบคุมการจำหน่ายไปเลย
ไม่ใช่ทำเพียงแค่ออกมาเพียงแค่
"รณรงค์"
ทำเพียงแค่รณรงค์มันเหมือนกับว่าข้อกล่าวหานั้นมันคงจะ
"ไม่จริง"
ก็เลยไม่กล้ารณรงค์ให้ออกเป็นกฎหมาย
เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเห็นมีข่าวหน่วยงานของรัฐหน่วยงานหนึ่งคือ
"กรมอนามัย"
รณรงค์เลิกใช้กล่องโฟม
โดยอ้างว่าเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
ที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือ
"กรมอนามัย"
เป็น
"หน่วยงานของรัฐ"
ชื่อของกรมก็บอกอยู่แล้วว่ามีหน้าที่อะไร
ดังนั้นถ้าหากว่าเห็นสิ่งใดเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
ทางกรมก็น่าจะผลักดันให้ออกกฎหมาย
"ห้ามใช้"
ไม่ใช่ทำเพียงแค่
"เชิญชวน"
และจะว่าไปแล้วเหตุผลที่มีการกล่าวอ้างถึงอันตราย
(การปนเปื้อนของสารสไตรีนในอาหารที่บรรจุในกล่องโฟม)
นั้นก็ทางกรมไม่ได้แสดงหลักฐานชัดเจนว่าทางกรมได้มีการทดสอบและพิสูจน์แล้วว่าเกิดขึ้นจริง
เพราะถ้าทางกรมมีหลักฐานยืนยันแน่นอน
ก็ควรที่จะผลักดันให้มีการออกเป็นกฎหมายบังคับห้ามการนำมาใช้ไปเลย
รูปที่ ๑ กล่องบรรจุอาหารที่ซื้อมาจากตลาดนัดในหน่วยงาน เดิมร้านนี้เขาใช้กล่องโฟมบรรจุอาหาร พอทางหน่วยงานเขารณรงค์ไม่ให้ใช้กล่องโฟมบรรจุอาหาร เขาก็เปลี่ยนมาเป็นกล่องพลาสติกใส ชื่อพลาสติกที่ใช้ผลิตระบุเอาไว้ในวงกลมเหลือง
รูปที่ ๑ กล่องบรรจุอาหารที่ซื้อมาจากตลาดนัดในหน่วยงาน เดิมร้านนี้เขาใช้กล่องโฟมบรรจุอาหาร พอทางหน่วยงานเขารณรงค์ไม่ให้ใช้กล่องโฟมบรรจุอาหาร เขาก็เปลี่ยนมาเป็นกล่องพลาสติกใส ชื่อพลาสติกที่ใช้ผลิตระบุเอาไว้ในวงกลมเหลือง
อันที่จริงเรื่องเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์กล่องโฟมผมเคยเขียนเอาไว้แล้วครั้งหนึ่งเมื่อ
๒ ปีที่แล้ว (Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๗๗ วันพุธที่ ๑๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เรื่อง
"เรื่องของสไตรีน
(คิดสักนิดก่อนกด
Share
เรื่องที่
๑)"
ซึ่งตอนนั้นผมได้กล่าวถึงการพิจารณาข้อมูล
ที่มีการให้ข้อมูลมาเป็นจุด
ๆ ที่ "ดูเหมือน"
ว่าสัมพันธ์กัน
ที่ทำให้คนรับข้อมูลที่ไม่มีความรู้ที่ดีพอนั้นเข้าใจผิดได้
และปัญหาก็คือข้อมูลที่ให้มักเป็นข้อมูลที่ดูเหมือนเป็น
"ข้อมูลทางเทคนิค"
จากคนที่เป็น
"ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง"
ที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าสิ่งที่เขาอ้างนั้นถูกต้องหรือไม่
รูปที่
๒ พลาสติกมันใสก็เลยถ่ายรูปยากหน่อย
(ด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือ)
พลาสติกที่ใช้ทำกล่องนี้ก็คือพอลิสไตรีนครับ
ตัวเดียวกับที่ใช้ทำ "กล่องโฟม"
ในกรณีของการโจมตีกล่องโฟมที่ใช้บรรจุอาหารนั้น
พอจะสรุปข้อมูลการโจมตีได้ดังนี้
(ก)
สไตรีนที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตพอลิสไตรีนที่มาทำเป็นกล่องโฟมนั้นเป็นสารก่อมะเร็ง
อันนี้ผมไม่เถียง
เพราะมันมีรายงานผลการทดลองและวิจัย
(ข)
พอลิสไตรีนทำจากสไตรีน
อันนี้ผมก็ไม่เถียง
เพราะบ้านเราก็มีโรงผลิตอยู่ให้เห็น
(ค)
สไตรีนละลายได้ดีในน้ำมันพืช
อันนี้ก็ไม่เถียง
เพราะใครเรียนเคมีอินทรีย์มาก็รู้กันทั้งนั้นว่าโมเลกุลไม่มีขั้วละลายได้ดีในตัวทำละลายที่เป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว
(ง)
อาหารบรรจุกล่องโฟมจะปนเปื้อนสไตรีน
ดังนั้นการบริโภคอาหารบรรจุกล่องโฟมจะทำให้เป็นมะเร็งเร็วขึ้น
ข้อมูลในข้อ
(ง)
ผมมองว่าเป็นข้อมูลที่น่าสงสัยมากที่สุด
เพราะยังไม่เคยเห็นผลการทดลองพิสูจน์
เป็นเพียงแค่ข้อสรุปที่เกิดขึ้นจากการนำเอาข้อ
(ก)-(ค)
มายำรวมกันเพื่อให้ได้ข้อ
(ง)
ผมมองว่าประเด็นมันอยู่ตรงที่หลังจากนำสไตรีนมาผลิตเป็นพอลิสไตรีน
และนำพอลิสไตรีนมาผลิตเป็นกล่องโฟมอีกทีนั้น
(๑)
มันยังมีสไตรีนหลงเหลืออยู่ในกล่องโฟมหรือไม่
และ
(๒)
ถ้ามันมีสไตรีนหลงเหลือติดมากับกล่องโฟม
สไตรีนดังกล่าวอยู่ในรูปที่เป็นพิษและสามารถรั่วไหลออกมาปะปนกับอาหารจนก่อให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภคได้หรือไม่
ถ้ามันมีการพิสูจน์ว่าข้อ
(๒)
มันเป็นจริง
มันก็จะเป็นการปิดฉากการใช้กล่องโฟมในการบรรจุอาหารไปเลยครับ
ทดลองพิสูจน์กันเลยดีกว่าว่าข้อ
(๒)
มันเป็นจริงหรือไม่
ถ้าพบว่ามันเป็นจริงก็สามารถที่จะออกกฎหมายบังคับการใช้กล่องโฟมในการบรรจุอาหารได้เลย
ไม่ต้องมาเสียเวลารณรงค์
เราลองมาพิจารณาโลหะโครเมียม
(chromium
- Cr) เป็นตัวอย่างก็ได้ครับ
โครเมียมจัดเป็นโลหะหนักที่มีพิษสูงตัวหนึ่ง
จำให้ต้องมีการควบคุมปริมาณโครเมียมในน้ำทิ้งอย่างเข้มงวด
แต่วัสดุชนิดหนึ่งที่มีโลหะโครเมียมผสมอยู่ในปริมาณสูงและมีการนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและยาคือเหล็กกล้าไร้สนิม
(stainless
steel) เบอร์
316
หรือที่เรียกว่า
SS-316
นั่นแหละครับ
มันประกอบด้วยโครเมียมสูงถึง
18%
(เหล็กกล้าไร้สนิมเบอร์
304
หรือ
SS-304
ที่นำมาทำเครื่องครัวใช้กันตามบ้านเรือนก็ประกอบด้วยโครเมียมถึง
18%
เช่นกัน)
แต่ไม่ยักมีใครออกมาโวยวายว่าถ้าบริโภคอาหารหรือยาที่สัมผัสกับภาชนะใด
ๆ ก็ตามที่ทำจากเหล็กกล้าไร้สนิม
จะได้รับโลหะโครเมียมเข้าสู่ร่างกาย
ทีนี้ถ้าผมเขียนเรื่องพิษของโครเมียมดูบ้าง
โดยจะเขียนแบบข้อ (ก)
- (ง)
ในหน้าที่แล้วดูบ้างนะครับ
(i)
โครเมียมเป็นโลหะหนักที่เป็นพิษ
(อันนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปในทางการแพทย์)
(ii)
โครเมียมใช้ในการผลิตเหล็กกล้าไร้สนิมเบอร์
304
และ
316
(อันนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปในทางวิศวกรรม)
(iii)
ไอออนของโครเมียมที่เป็นพิษนั้นสามารถละลายน้ำได้
(อันนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปในทางด้านสิ่งแวดล้อม)
(iv)
อาหารที่บรรจุในภาชนะทำจากเหล็กกล้าไร้สนิมจะปนเปื้อนโครเมียม
ดังนั้นการบริโภคอาหารบรรจุในภาชนะที่ทำจากเหล็กกล้าไร้สนิมจะทำให้ได้รับโครเมียมเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น
(คือตายเร็วขึ้น)
ข้อ
(iv)
ได้จากการนำข้อ
(i)
- (iii) มายำรวมกันแบบเดียวกับข้อ
(ง)
ของกรณีสไตรีน
ว่าแต่เมื่ออ่านมาถึงจุดนี้แล้วความรู้สึกของคุณระหว่างข้อสรุป
(ง)
กับ
(iv)
เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร
ตลาดนัดในหน่วยงานเขารณรงค์ให้เลิกใช้กล่องโฟมบรรจุอาหาร
ผู้ค้าเขาก็เลยเปลี่ยนจากกล่องโฟมเป็นกล่องพลาสติกใส
ร้านที่ผมซื้อกินเป็นประจำเขาก็เปลี่ยนจากกล่องโฟมเป็นกล่องพลาสติกใส
แต่พอพลิกดูใต้กล่องว่ามันทำจากพลาสติกอะไร
พบว่ามันคือ "พอลิสไตรีน"
เหมือนเดิม
เพียงแต่มาในรูปแบบที่แตกต่างกัน
(รูปที่
๑ และ ๒)
รูปที่
๓
ลวดเย็บกระดาษที่ปัจจุบันนำมาใช้กับภาชนะบรรจุอาหารอย่างแพร่หลาย
ตกลงว่าไอ้ที่บอกว่ามันอันตรายคือ
"โฟม"
หรือ
"สไตรีน"
หรือ
"พอลิสไตรีน"
ตอนกล่าวหากล่องโฟมว่ามีสารพิษ
ย่อยสลายยาก
ก็เน้นไปที่สไตรีนที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตพอลิสไตรีนและนำมาทำเป็นกล่องโฟมอีกที
แต่พอมันมาในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่กล่องโฟม
กลับมองไม่เห็นกัน
ตัวที่ผมเห็นว่าอันตรายมากกว่า
โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ๆ
แต่ไม่ค่อยมีการรณรงค์ห้ามการใช้กันเท่าใดนักคือ
"ลวดเย็บกระดาษ"
ลวดเย็บกระดาษไม่ใช่สิ่งของที่จะต้องมีการสัมผัสกับอาหาร
ดังนั้นมันจึงไม่มีมาตรควบคุมด้านสารพิษ
ตัวลวดเองก็เห็น ๆ
กันอยู่ว่ามันไม่ได้มีแต่เหล็ก
แต่ยังมีการเคลือบผิวเอาไว้ด้วยเพื่อกันสนิมและให้มีสีต่าง
ๆ สารที่นำมาเคลือบก็พิจารณาจากการใช้งานเพื่อการเย็บกระดาษเป็นหลัก
ไม่ได้มีการพิจารณาเพื่อการนำมาใช้กับบรรจุภัณฑ์และมีการสัมผัสกับอาหารโดยตรง
ตอนนี้ก็เห็นใช้กันเกร่อทั่วไปหมด
ไม่ว่าจะเป็นกับกล่องชานอ้อย
หรือกระทงใบตองธรรมชาติ
(ไม่ว่าจะเป็นกระทงของหวานหรือของคาว)
บอกตามตรงเลยว่าบางทีก็อยากสนับสนุนผู้ค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
เช่น ใบตอง มาทำเป็นผลิตภัณฑ์บรรจุอาหาร
แต่พอเห็นเขาใช้ลวดเย็บกระดาษในการเย็บใบตองแล้ว
ก็ตัดใจไม่ซื้อ
เพราะไม่อยากให้ตัวเองและครอบครัวเสี่ยงตายกับการกินลวดเย็บกระดาษและสารเคมีที่เคลือบลวดเย็บกระดาษเข้าไป
ตอนนี้ก็รอดูอยู่ว่าจะมีหน่วยงานไหนหรือจะมีใครทำ
Inforgraphic
รณรงค์เรื่องการไม่ใช่ลวดเย็บกระดาษกับบรรจุภัณฑ์อาหารหรือเปล่า
เห็นมีแต่ของอย.
ออกมาเมื่อหลายปีที่แล้ว
แต่ก็ไม่เห็นมีใครสนใจรณรงค์ทำต่ออีก
รูปที่
๔
หน้าเว็บข่าวเตือนอันตรายจากลวดเย็บกระดาษจากสำนักงานอาหารและยา
เป็นเรื่องปรกติที่ของใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ของเก่านั้นมักจะโจมตีของเก่าว่าไม่ดีอย่างนั้น
ไม่ดีอย่างนี้
ซึ่งก็เป็นเรื่องปรกติที่ของใหม่ที่จะเข้ามาแทนควรจะต้องไม่มีปัญหาอย่างที่ของเก่ามี
เช่นกรณีของกล่องชานอ้อยที่มีความพยายามผลักดันให้เข้ามาแทนที่กล่องโฟม
พึงสังเกตหน่อยนะครับว่าเขาพยายามเข้ามาแทนที่
"กล่อง"
แต่ไม่พยายามเข้าไปแทนที่
"ถ้วย"
หรือ
"แก้ว"
ที่ใช้บรรจุอาหารที่เป็นพวกน้ำ
ตรงนี้น่าตั้งคำถามนะครับว่าทำไม
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้แปลว่าของใหม่ที่ถูกผลักดันให้เข้ามาแทนที่นั้นจะไม่มีข้อเสีย
เพียงแต่เขาอาจจะละไว้ไม่กล่าวถึงหรือยังไม่มีใครคำนึงถึง
ตรงนี้คงจะขอเปิดประเด็นสำหรับการพิจารณาเอาไว้ว่าจะจริงเท็จแค่ไหน
การทำการเกษตรในบ้านเรานั้นมีการใช้สารเคมีไม่ว่าจะเป็นในรูปของปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืชกันอย่างแพร่หลาย
ในส่วนของผลิตภัณฑ์อาหารนั้นมีการตรวจสอบการปนเปื้อนของสารเคมีทางการเกษตรที่ตกค้างอยู่ในอาหารอยู่เป็นประจำ
แต่ในกรณีของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ไม่ได้นำไปใช้เป็นอาหาร
แต่นำมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีการสัมผัสกับอาหารโดยตรง
เช่น "กล่องชานอ้อย"
นั้นมีการตรวจสอบกันมากน้อยแค่ไหน
ตรงนี้ยังไม่เคยเห็นข้อมูล
(แต่ดูเหมือนถ้าเป็นตะเกียบไม้ชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้งจะเคยมีการตรวจสอบ)
ในบ้านเรานั้นก็มีการปลูกอ้อยในพื้นที่ปนเปื้อนโลหะหนักที่เป็นพิษต่อคน
เพื่อให้ต้นอ้อยดูดซับโลหะหนักมาเก็บไว้ในลำต้น
ซึ่งอ้อยที่ได้นั้นก็ต้องส่งไปยังโรงงานผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
ไม่ส่งไปยังโรงงานผลิตน้ำตาลเพื่อการบริโภค
ในอุตสาหกรรมน้ำตาลเองก็นำเอาชานอ้อยไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตน้ำตาล
(โรงงานต้องการความร้อนในการระเหยน้ำจากน้ำอ้อยเพื่อให้ได้น้ำตาลทราย)
ดังนั้นคำถามที่น่าจะถามก็คือชานอ้อยที่นำมาผลิตกล่องชานอ้อยนั้นมาจากไหน
มีการตรวจสอบการปนเปื้อนสารพิษหรือไม่
โดยหน่วยงานใด
เพราะจะว่าไปแล้วพวกสารเคมีทางการเกษตรที่ใช้กันนั้นมีความเป็นพิษต่อร่างกายที่รุนแรงไม่น้อยหน้าใครเช่นกัน
ผมไม่ว่าอะไรนะ
ถ้าจะรณรงค์ให้ใช้กล่องชานอ้อยแทนการใช้กล่องโฟม
ด้วยเหตุผลที่ว่ามันย่อยสลายโดยธรรมชาติได้ง่ายกว่ากล่องโฟม
แต่ด้วยเหตุผลที่ว่ามัน
"ปลอดภัยมากกว่า"
นี่ซิ
ที่ผมสงสัยอยู่
ด้วยเหตุผลนี้แหละทำให้ผมตั้งชื่อ
Memoir
ฉบับนี้ว่า
"ใช้กล่องโฟมบรรจุอาหาร
ปลอดภัยกว่า"
หน่วยงานวิชาการใด
ๆ ที่มีหน้าที่ (หรือคิดว่ามีหน้าที่)
รับผิดชอบต่อความปลอดภัยของคนในสังคมนั้น
เวลาที่จะประกาศเชิญชวนหรือออกข้อห้ามใด
ๆ ผมเห็นว่าควรที่จะสามารถชี้แจงเหตุผลได้ครบถ้วน
รอบด้าน ไม่ใช่นำเอาสิ่งที่แชร์กันต่อ
ๆ กันมาทางอินเทอร์เน็ต
(ซึ่งไม่รู้ว่าเริ่มต้นที่ไหน)
มาใช้เป็นเหตุผลโดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือความสมเหตุสมผลของข้อสรุป
เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดหรือไม่สามารถตอบข้อโต้แย้งได้
เหตุการณ์นั้นก็อาจมากเพียงพอที่จะทำลายความน่าเชื่อถือที่หน่วยงานนั้นสะสมมาเป็นเวลานานได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น