ยุคเศรษฐกิจ
๑.๐
สังคมเกษตรกรรม :
จุดขายประเทศไทย
แรงงานภาคการเกษตรค่าจ้างถูก
ยุคเศรษฐกิจ
๒.๐
สังคมอุตสาหกรรมเบา :
จุดขายประเทศไทย
แรงงานภาคอุตสาหกรรมเบา
(แรงงานไม่ค่อยมีฝีมือ)
ค่าจ้างถูก
ยุคเศรษฐกิจ
๓.๐
สังคมอุตสาหกรรมหนัก :
จุดขายประเทศไทย
แรงงานภาคอุตสาหกรรมหนัก
(แรงงานมีฝีมือ)
ค่าจ้างถูก
ยุคเศรษฐกิจ
๔.๐
สังคมเทคโนโลยี :
จุดขายประเทศไทย
แรงงานทำแลปวิจัยราคาถูก
(สั่งให้ทำอะไรก็สั่งมาเหอะ
พร้อมทำตามที่สั่ง อย่าให้ต้องคิด)
ผมโพสข้อความข้างบนเอาไว้เล่น
ๆ ใน facebook
ส่วนตัวที่มีไว้ทักทายเล่นกับศิษย์เก่าระดับบัณฑิตศึกษาของภาควิชา
เกี่ยวกับมุมมองของผมที่มีต่อสิ่งที่ตอนนี้ไม่ว่าใครต่อใครเขาจะพูดอะไร
ก็ชอบเติมเลข ๔.๐
ต่อท้ายเข้าไปทุกที
(จะว่าไปถ้าจะให้ถูกต้องตามกระแส
เลขที่เติมก็ต้องเป็นเลขอารบิกด้วยนะครับ
ไม่ใช่เติมเลขไทยแบบที่ผมเขียน
การใช้เลขไทยแบบผมมันไม่เป็นสากลนิยมนะครับ)
ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับวิศวกรคนไทยที่ทำงานอยู่ในวงการหลายท่าน
เกี่ยวกับความสามารถในการ
"แข่งขัน"
ของวิศวกรไทย
โดยแต่ละท่านที่ได้สนทนาด้วยนั้นต่างก็มีประสบการณ์ในการทำงานกับวิศวกรต่างชาติ
โดยเฉพาะกับวิศวกรญี่ปุ่นและเกาหลี
แต่ก่อนที่จะถกเถียงกันเรื่องความสามารถใน
"การแข่งขัน"
ผมคิดว่าควรที่ต้องมาตกลงกันก่อนว่านิยามของคำว่า
"การแข่งขัน"
นั้นคืออะไร
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยไปฝึกอบรมที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเกือบ
๓๐ ปีที่แล้ว
ผมเห็นว่าญี่ปุ่นพัฒนาประเทศด้วยการพัฒนาคนให้มีความรู้ที่ดีในสาขาวิชาชีพต่าง
ๆ ก่อนครับ เขามองว่าอะไรเป็นอุปสรรคในการศึกษา
จำเป็นต้องจัดการกับอุปสรรคตรงนั้นก่อน
และอุปสรรคแรกที่เขาเห็นก็คือ
"ภาษา"
ซึ่งเขาแก้ด้วยการ
"แปล"
ตำราและหนังสือต่าง
ๆ เป็นภาษาญี่ปุ่น
เพื่อให้คนญี่ปุ่นสามารถเข้าถึงความรู้ที่รับมานั้นได้ง่าย
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเวลาที่พูดคุยกับวิศวกรคนไทยหลายรายที่เคยทำงานกับวิศวกรเกาหลีหรือญี่ปุ่น
ที่มักจะพบว่า "ภาษาอังกฤษ"
เพื่อการสื่อสารของวิศวกรเหล่านั้นสู้วิศวกรไทยไม่ได้
แต่ถ้าเป็นเรื่องทางวิชาการ
(ที่ใช้เหตุผลทางเทคนิคในการตัดสินใจ)
มันกลับกันครับ
สมัยนั้นผมเคยประสบปัญหาเรื่องการสื่อสารภาษาอังกฤษอย่างไรกับวิศวกรญี่ปุ่นที่ทำงานหน้างาน
สมัยนี้ก็ยังทราบว่าวิศวกรไทยปัจจุบันก็ยังคงประสบกับปัญหานี้อยู่
แต่ด้วยการที่ประเทศญี่ปุ่นเองมีวิศวกรที่ภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง
(แต่ความรู้ทางวิศวกรรมศาสตร์ที่ดีมาก)
เป็นจำนวนมาก
ทำให้ประเทศของเขาสามารถ
"แข่งขัน"
กับต่างประเทศที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีเดิม
คือบริษัทของอเมริกาหรือยุโรปได้
ผมเห็นว่าเป็นเพราะว่านิยามของคำว่า
"การแข่งขัน"
ของเขาแตกต่างไปจากของเราครับ
"การแข่งขัน"
ของเขาคือการที่ประเทศของเขามีบริษัทที่เป็นของชาติเขาเอง
ที่สามารถไปประมูลงานออกแบบและก่อสร้างแข่งขันกับบริษัทของประเทศอื่นได้
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ
ที่เมื่อเราคิดจะทำอะไรสักอย่างโดยเริ่มจากศูนย์
(เช่นสมมุติว่าจะสร้างโรงกลั่นน้ำมัน)
เราเพียงแค่บอกโจทย์ว่าเราต้องการอะไร
(โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่นเท่าใด
จะเอาน้ำมันจากไหนมากลั่น
และผลิตภัณฑ์ที่ได้ต้องมีคุณลักษณะอย่างไร
และอาจรวมไปถึงต้นทุนในการผลิต)
จะมีบริษัทของประเทศเหล่านั้น
(เช่น
มิตซุย มิตซูบิชิ ฮุนได แดวู)
พร้อมที่จะเข้ามาประมูลงานการออกแบบทางวิศวกรรมที่เริ่มจากศูนย์
กล่าวคือตั้งแต่การออกแบบทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง
ไม่ว่าจะเป็นส่วนรับเข้าวัตถุดิบ
รูปแบบกระบวนการกลั่น
การปรับสภาพผลิตภัณฑ์
การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของ
pressure
vessel ต่าง
ๆ ที่ให้รายละเอียดได้ถึงการนำไปขึ้นรูป
การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์ต่าง
ๆ (เช่น
ท่อ วาล์ว ปั๊ม คอมเพรสเซอร์
อุปกรณ์ไฟฟ้า ฯลฯ)
การออกแบบวิธีการเดินเครื่อง
ฯลฯ และเวลาที่เขาประมูลงานได้
เขาก็จะส่งวิศวกรของเขามาทำงานที่ประเทศเรา
เท่าที่เคยพบนั้น
ภาษาอังกฤษในพูดจาสื่อสารของวิศวกรของพวกเขานั้นมักจะสู้วิศวกรไทยไม่ได้
แต่ถ้าเป็นเรื่องวิชาการทางด้านวิศวกรรมล่ะก็
มันมักจะกลับกัน
(ผมมักจะให้คำแนะนำว่าวิศวกรไทยที่มาบ่นให้ฟังว่าเวลาคุยเรื่องงานกับวิศวกรญี่ปุ่นหรือเกาหลีมักจะมีปัญหาในการสื่อสารภาษาอังกฤษว่า
ให้ใช้วิธี "เขียน"
ประกอบ
ไม่ว่าจะเป็นสมการหรือรูป
มันจะช่วยป้องกันการสื่อสารผิดพลาดได้ดีขึ้น)
ส่วน
"การแข่งขัน"
ของเรา
(ที่ผมได้ยินได้ฟังมาจากอาจารย์ในมหาวิทยาลัยทั้งที่เป็นผู้สอนและผู้บริหารหลายคนกล่าวถึง)
คือการทำให้วิศวกรของเรารู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารที่ดี
เพื่อที่จะได้สามารถไปสมัครทำงานเป็น
"ลูกจ้างบริษัทต่างชาติ"
แข่งขันกับวิศวกรที่จบจากประเทศอื่นในอาเซียนได้ครับ
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่การเรียนการสอนของเราจะเน้นไปที่การนำเสนอและใช้
power
point กันมากเหลือเกิน
ขนาดในการประชุมวิชาการยังตัดสินผลงานวิจัยด้วยการดูแค่
power
point ทำออกมาดีแค่ไหน
ผมยังเคยมีประสบการณ์ในฐานะนั่งเป็นกรรมร่วมที่ไม่เห็นด้วยกับกรรมการร่วมตัดสินอีกท่านที่จะให้รางวัลงานวิจัยดีเด่น
โดยดูจากเทคนิคการนำเสนอเพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้เป็นเพราะผมจับได้ว่าผลการทดลองที่นำมาแสดงนั้นมันมั่วและผิดพลาดเยอะไปหมด
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจนะครับทำไมถึงมีการบ่นบนหน้าเว็บบอร์ดสาธารณะที่เป็นที่รู้จักกันเว็บหนึ่ง
ว่าทำไมโอกาสที่จะก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานของบริษัทยักษ์ใหญ่บางบริษัท
ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำ
"PowerPoint"
ได้ดีแค่ไหน
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณมี
"ผลการทำงาน"
ที่ดีแค่ไหน
ผมเคยเสนอความคิดเห็นส่วนตัวในที่ประชุมสภาวิชาการของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งเอาไว้ว่า
ตัวผมนั้นมองว่าภาษาอังกฤษสำหรับวิศวกรนั้นมันแบ่งออกได้เป็น
๓ ส่วนด้วยกัน
ส่วนแรกคือภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
ตรงนี้คงต้องยอมรับว่าในมหาวิทยาลัยใหญ่
ๆ
นั้นนิสิตนักศึกษาจำนวนไม่น้อยต่างมีความรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารที่ดี
แต่เมื่อเทียบกับจำนวนนิสิตนักศึกษาทั้งหมดแล้วก็จัดว่าน้อยอยู่
ประเด็นที่ควรต้องพิจารณาคือการพัฒนาความสามารถตรงนี้ควรเป็นหน้าที่ใคร
ของหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการสอนภาษาอังกฤษ
หรือหน่วยงานที่สอนวิชาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์
ส่วนที่สองคือภาษาอังกฤษเพื่อการทำงานทางเทคนิค
ศัพท์ตรงนี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับศัพท์เทคนิค
ดังนั้นอย่าไปคาดหวังว่าผู้สอนสนทนาภาษาอังกฤษทั่วไปจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้
ในส่วนของสาขาวิชาของผมเองนั้นผมพบว่าแม้แต่ตัวอาจารย์มหาวิทยาลัยเองที่ไปจบเมืองนอกมาก็มีปัญหาตรงนี้
เผลอ ๆ จะเป็นส่วนใหญ่ซะด้วย
ทั้งนี้เป็นเพราะการขาดประสบการณ์ภาคอุตสาหกรรมจริงของอาจารย์
(เอาเป็นว่าเฉพาะในสาขาของผมเองก็แล้วกัน)
ทำให้ไม่ทราบว่าอุปกรณ์ที่ใช้กันจริงนั้นมีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง
และอุปกรณ์เหล่านั้นใช้งานอย่างไร
และมีชิ้นส่วนประกอบอะไรบ้าง
แต่ละชิ้นส่วนมีชื่อว่าอะไร
เมื่อไม่ทราบว่ามันต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง
ก็ไม่ต้องคาดหวังว่าจะรู้จักชื่อเรียกชิ้นส่วนเหล่านี้
ส่วนที่สามคือภาษาอังกฤษเพื่อการเขียนบทความวิชาการ
ตรงนี้เป็นของถนัดของอาจารย์รุ่นใหม่
เพราะถ้าไม่ผลิตบทความวิชาการก็จะไม่ได้รับการต่อสัญญาจ้าง
แต่ภาษาอังกฤษตรงนี้มันเป็นภาษาที่ต้องเขียนให้อ่านสับสน
และมันไม่ใช่ภาษาพูด
ศัพท์ที่ใช้กันเป็นศัพท์สำหรับใช้ในงานวิจัยเท่านั้น
ไม่ใช่ศัพท์ที่คน (หรือวิศวกร)
ทั่วไปพูดกัน
ภาษาอังกฤษเพื่อการเขียนบทความวิชาการ
กับภาษาอังกฤษเพื่อการเขียนบันทึกข้อความในการทำงานทางเทคนิคนั้นมันไม่เหมือนกัน
การเขียนบทความวิชาการมักจะใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษเลิศหรูเฉพาะทาง
จนแม้แต่ตัวอาจารย์เองที่ไม่ได้ทำวิจัยในทางด้านนั้น
(และไม่ได้สนใจงานวิจัยด้านอื่นที่ตัวเองไม่ได้ทำวิจัย)
ก็ยังอ่านไม่รู้เรื่อง
(ทั้ง
ๆ ที่ตัวอาจารย์เองก็จบมาจากต่างประเทศ
เรียนวิชาพื้นฐานมาหมดแล้ว
จบการเรียนระดับสูงมาแล้วด้วย
แถมยังมีบทความวิจัยตีพิมพ์เป็นภาษาต่างประเทศอีก)
แต่ที่แปลกก็คือเห็นมีความพยายามที่จะทำให้นิสิตปริญญาตรีอ่านบทความวิชาการให้เข้าใจให้ได้
(คืออาจารย์จะคัดบทความเฉพาะทาง
ทางด้านที่ตัวเองทำวิจัย
มาให้นิสิตอ่าน)
ตอนแรกของบทความชุดนี้คงจะขอพอแค่นี้ก่อนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น