เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้นำมาจากหนังสือ "คู่มือความปลอดภัยพื้นฐาน สำหรับนิสิตและบุคลากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" จัดทำโดยศูนย์ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์ความเป็นเลิศด้านการจัดการสารและของเสียอันตราย พิมพ์เผยแพร่เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๘๐๐ เล่ม
โดยในคู่มือดังกล่าวมีการวางแนวปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวและหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวอยู่ในหัวข้อ 4.2 หน้า ๒๐ และ ๒๑ (รูปที่ ๑ และ ๒) ซึ่งจะว่าไปการซ้อมรับมือเหตุแผ่นดินไหว โดยเฉพาะกับอาคารสูงด้วยแล้ว ไม่ทราบว่ามีใครเคยซ้อมกันที่ไหนหรือไม่ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้มันไม่ใช่เรื่องปรกติของประเทศไทย เพราะทำงานที่นี่ นั่งทำงานบนตึกสูงมาเกือบ ๓๐ ก็ยังไม่เคยเจอ เพิ่งจะมาเจอก็ตอนใกล้เกษียณอายุนี่แหละ
รูปที่ ๑ แนวปฏิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ที่กล่าวไว้ในคู่มือหน้า ๒๐ (ดาวน์โหลดไฟล์ pdf ได้จากหน้าเว็บของหน่วยงานดังกล่าว (https://www.shecu.chula.ac.th/data/boards/120/manual-basic-safety-students-staff.pdf)
ในการเขียนคู่มือรับเหตุนั้น ถ้าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นเป็นประจำ (เช่นไฟไหม้) เราก็สามารถอิงจากคู่มือที่มีผู้จัดทำไว้ก่อนหน้า โดยควรนำมาปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของหน่วยงาน และเมื่อมีเหตุการณ์จริงเกิดขึ้น ก็ได้เวลาที่ควรจะนำคู่มือที่เขียนไว้นั้นมาทบทวน ว่าสถานการณ์จริงเป็นเช่นไร แนวปฏิบัติตามคู่มือนั้นทำได้จริงหรือไม่ ควรมีการปรับแก้อย่างไร เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้ก็เรียกว่าเป็นการนำเอาประสบการณ์ตรงที่พบเจอมา ว่าพฤติกรรมของผู้ประสบเหตุในขณะที่เกิดเหตุนั้น เป็นเช่นไร และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการเกิดเหตุนั้นเป็นอย่างไร
ตอนที่เหตุเกิดนั้นอยู่ในห้องเรียนบนอาคารชั้น ๑๑ เป็นช่วงเวลาสัมมนาของนิสิตปริญญาเอก มีคนอยู่ในห้องประมาณ ๑๕ คน พออาคารเริ่มสั่นไหวรุนแรง ก็มีคนเปิดประตูมาบอกว่าเกิดแผ่นดินไหว แล้วคนในห้องก็ตกใจวิ่งกรูกันออกนอกห้องไปทันที (ทั้ง ๆ ที่อาคารยังสั่นไหวอยู่) เหลือผมนั่งอยู่ในห้องคนเดียวจนการสั่นมันสงบ ที่นั่งอยู่ได้ก็เพราะ ๓ ปีก่อนหน้าเคยเจอเหตุทำนองเดียวกันนี้ที่ประเทศญี่ปุ่น (ที่เล่าไว้ในบทความเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๘ มีนาคมที่ผ่านมา)
เพราะเราไม่เคยมีการฝึกรับมือเหตุการณ์เช่นนี้ หรือสำหรับผู้ที่ไม่เคยเผชิญเหตุเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเมื่อมีเหตุเกิดขึ้นจริง การตอบสนองของคนจึงเป็นไปตามสัญชาติญาณ คือเอาตัวรอดให้ปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการหนี ดังนั้นแนวปฏิบัติข้อ 1) 2) และ 4) (รูปที่ ๑) จึงไม่มีใครทำตาม (คือหนีออกไปกันตั้งแต่ช่วงที่แผ่นดินยังไหวอยู่)
ทีนี้เมื่อลงมาจากอาคารแล้วเขาทำอะไรกันต่อ (แนวปฏิบัติข้อ 4) ในรูปที่ ๑ และข้อ 2) ในรูปที่ ๒)
บริเวณตึกที่ทำงานนั้นมีตึกสูงอยู่ ๒ ตึก และอาคารขนาด ๓-๕ ชั้นอีกหลายตึก บ่ายวันนั้นแดดก็แรง บริเวณที่เป็นที่ว่างโล่ง ๆ ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไร ผู้คนที่ลงมาจากอาคารต่าง ๆ ก็เลยไปหลบอยู่ชั้นล่างของอาคารสูงบ้าง ชายคาของอาคารเตี้ยบ้าง หรือด้านที่เป็นร่มเงาของอาคารสูง ผมลงมาทีหลังก็ยังถามนิสิตที่ลงมาก่อนว่าทำไมมาหลบอยู่แถวนี้ เขาก็บอกว่ากลัวอาคารถล่ม ผมก็บอกว่าถ้ามันถล่มจริง นั่งยืนแถวนี้ก็ไม่รอดหรอก แถวยังอาจบาดเจ็บจากเศษกระจกหรือกระเบื้องที่อาจร่วงหล่นลงมาจากผนังอาคารได้อีก ถ้าอยากปลอดภัยจากอาคารถล่มก็ต้องไปโน่น สนามหน้าเสาธง
ลงมาบริเวณลานข้างตึกข้างล่างก็ไม่เห็นมีใครประกาศว่าควรต้องทำอย่างไร (เช่น ยกเลิกการเรียนการสอน, กิจกรรม, การทำงาน และให้กลับบ้านได้ เว้นแต่ผู้ที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ เช่นการปิดเครื่องไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ) ทั้ง ๆ ที่วันนั้นทางคณะมีงานเปิดให้คนเข้าชม มีหน่วยประชาสัมพันธ์ที่ประกาศเรื่องราวต่าง ๆ ออกลำโพงให้ได้ยินกันทั่วได้ แต่ก็ไม่มีผู้ที่มีอำนาจสั่งการใด ๆ ออกมาแจ้งให้ต้องทำอย่างไรต่อ ได้ยินแต่เสียงประกาศของนิสิตเป็นบางครั้งว่าให้ออกมาจากอาคาร ตอนเดินผ่านคณะต่าง ๆ กลับไปเอารถที่จอดไว้ที่อาคารจอดรถเพื่อขับกลับบ้าน ก็เห็นผู้คนที่ลงมาจากอาคารสูงก็มานั่งหลบแดดกันข้าง ๆ อาคารสูงที่หนีลงมา แม้ว่าทางมหาวิทยาลัยจะไม่มีระบบเสียงตามสาย แต่ก็ยังมีรถติดเครื่องขยายเสียงของหน่วยรักษาความปลอดภัย ที่สามารถแล่นประกาศข่าวสารไปตามบริเวณต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยได้
ช่วงแรกหลังเกิดเหตุ ก็พบปัญหาของระบบสื่อสาร ไม่ว่าระบบโทรศัพท์มือถือหรือ wifi ของมหาวิทยาลัย ซึ่งดูเหมือนว่าจะล่มไปชั่วขณะและตามด้วยการแย่งกันใช้ช่องสัญญาณ (ลองพยายามติดต่อโดยใช้โปรแกรม Line ผ่านทางระบบ wifi ซึ่งมันต่อเข้าระบบใยแก้วของมหาวิทยาลัย ก็ทำไม่ได้) ดังนั้นสิ่งที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดตามข้อ 5) ในรูปที่ ๒ มันก็เกิดขึ้นจริง แต่ปัจจุบันการติดต่อส่งข้อความของคนส่วนใหญ่ในบ้านเรานั้นไม่ได้ส่งข้อความผ่านทาง SMS (ซึ่งมันต้องเสียค่าบริการ) แต่จะส่งผ่านทางโปรแกรม Line แทน ทำให้นอกจากมีการส่งทั้งข้อความ ก็ยังมีการส่งรูปภาพและคลิปวิดิทัศน์อีก (ซึ่งต้องส่งผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่) ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าจะพบว่าช่วงนั้นระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตผ่านทางระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่จะมีปัญหา
ทีนี้มาดูประเด็นที่ว่าให้ใช้วิทยุฟังคำแนะนำฉุกเฉิน ตรงนี้คงต้องไปดูว่าเหตุที่เกิดนั้นเป็นเหตุอะไร ผู้ประสบเหตุนั้นเป็นใครและอยู่ที่ไหน ในกรณีของภัยพิบัติเช่นน้ำท่วม ดินถล่ม ทางคมนาคมเข้าออกหมู่บ้านถูกตัดขาด ผู้ที่เดือดร้อนนั้นยังอาศัยอยู่ในบ้าน ซึ่งแต่ละบ้านก็ยังมีเครื่องรับวิทยุ คำแนะนำนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี (รูปที่ ๓) แต่ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ คนจำนวนมากที่หนีลงมาจากอาคารสูงเป็นคนที่ทำงานอยู่บนอาคารสูง ซึ่งคงไม่มีใครพกวิทยุติดตัวมาทำงาน หรือคนที่อาศัยอยู่บนคอนโดมีเนียมที่ต้องรีบหนีลงมา ก็คงไม่คว้าวิทยุติดตัวลงมา สิ่งที่คนปัจจุบันน่าจะรีบคว้าติดตัวลงมามากกว่าคือโทรศัพท์มือถือ
โทรศัพท์มือถือมันก็รับวิทยุ FM ได้นะครับ แต่มันต้องเสียบหูฟังแบบมีสาย เพราะมันใช้สายของหูฟังนั้นเป็นสาอากาศรับคลื่น ว่าแต่ตอนนี้มีสักกี่คนที่พกหูฟังแบบมีสายติดตัวไว้ตลอดเวลา โทรศัพท์ที่มีเสาอากาศดึงยืดออกมารับคลื่นวิทยุ (FM) และโทรทัศน์ได้ ก็เลิกผลิตไปนานแล้ว (แต่ผมเองก็ยังเก็บไว้เป็นที่ระลึกอยู่หนึ่งเครื่อง)
คนอยู่ในเมืองที่เป็นพื้นราบ การรับฟังวิทยุ FM นั้นไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นต่างจังหวัดที่ภูมิประเทศสูง ๆ ต่ำ ๆ มีภูเขาขวางกั้นมุมมองจากสถานีส่ง มันจะมีปัญหาเรื่องการรับฟังวิทยุ FM ซึ่งตรงนี้คลื่นวิทยุ AM มันทำหน้าที่ได้ดีกว่า คือมันเลี้ยวเบนไปตามภูมิประเทศได้ดีกว่าและไปได้ไกลกว่า แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีโทรศัพท์มือถือเครื่องไหนรับฟังวิทยุ AM ได้
ข้อดีของวิทยุทรานซิสเตอร์คือมันกินไฟต่ำ ใช้ถ่านไม่กี่ก้อนก็อยู่ได้นานเป็นสัปดาห์ ตอนไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในภาคใต้เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ นั้น ในช่วงแรกเครือข่ายระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยังไม่มีปัญหา แต่พอไฟฟ้าดับนานจนไฟในแบตเตอรี่สำรองของเสารับสัญญาณโทรศัพท์มันหมด ระบบโทรศัพท์มือถือก็ใช้การไม่ได้
อีกเรื่องที่น่าจะนำมาพิจารณาคือเรื่องรองเท้า (แนวปฏิบัติข้อ ๔ ในรูปที่ ๑ และข้อ ๓ ในรูปที่ ๒) ที่บอกให้ใส่รองเท้าหุ้มส้นเสมอ ถ้าพิจารณาตามความเป็นจริง อย่างแรกก็คือเวลาออกจากบ้านมีใครพกรองเท้าติดตัวนอกจากคู่ที่ใส่อยู่บ้าง หลายคนที่มีโต๊ะทำงานส่วนตัว ก็อาจมีรองเท้าอีกคู่ (ที่มักจะเป็นรองเท้าแตะ) ไว้สำหรับใส่เวลานั่งทำงาน ดังนั้นคำแนะนำตรงนี้แทนที่จะบอกให้ใส่รองเท้าหุ้มส้นเสมอ (หรือถ้าถอดรองเท้าหุ้มส้นไว้ที่โต๊ะทำงาน ก็ต้องกลับไปเปลี่ยนก่อนอย่างนั้นหรือ) น่าจะเปลี่ยนเป็นคำเตือนว่า ให้ระวังเศษแก้วหรือวัตถุมีคมอื่นทิ่มตำเท้าเวลาอพยพ ไม่ว่าจะใส่รองเท้าชนิดใดก็ตาม (พวกรองเท้าพื้นยางเนี่ย เศษแก้วก็แทงทะลุพื้นได้เช่นกัน)
วันนี้ก็ขอบันทึกเรื่องราวและมุมมองส่วนตัวไว้เพียงแค่นี้