ผู้ที่ใช้เครื่องมือวิเคราะห์พวกโครมาโทกราฟ
(chromatograph)
หรือ
Temperature
Programmed Desorption (TPD) ต่าง
ๆ (เช่น
NH3-TPD)
มักพบว่าพีคที่ได้นั้นไม่ได้มีลักษณะเป็นพีค
Gaussian
ที่สมมาตร
แต่มีลักษณะเป็นพีค Gaussian
ที่ด้านขาขึ้นมักจะชันกว่าด้านขาลง
หรือเป็นพีค Gaussian
ที่ไม่สมมาตร
(ดูรูปที่
๑)
หรือที่เรียกว่ามีการลากหาง
ถ้าเป็นผลจากการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟ
การแปลผลว่าพีคที่ปรากฏนั้นเป็นของสารใดจะใช้เวลาที่สารนั้นหลุดออกมาจากคอลัมน์เป็นหลัก
ส่วนพีคมันจะสมมาตรหรือไม่สมมาตรไม่ใช่ปัญหา
ปัญหามันจะไปเกิดถ้าหากมีพีคของสารมากกว่าหนึ่งสารซ้อนทับกันอยู่
และต้องการแยกสัญญาณพีคนั้น
(peak
deconvolution) ว่าประกอบด้วยพีคย่อยกี่พีค
ที่แต่ละพีคมีความสูงและความกว้างเท่าใด
เพราะในการแยกสัญญาณพีคนั้น
สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือกำหนดรูปร่างพีคด้วยฟังก์ชันที่เข้ากับสภาพพีคที่เป็นจริงมากที่สุด
ซึ่งก็ควรเป็นฟังก์ชัน
Gaussian
ที่ไม่สมมาตร
แต่ปัญหาที่พบเห็นประจำคือซอร์ฟแวร์ส่วนใหญ่นั้นจะใช้ฟังก์ชันเริ่มต้นเป็น
Gaussian
ที่สมมาตร
ทำให้โครมาโทแกรมผลรวมที่เมื่อพิจารณาด้วยสายตาแล้วเห็นว่าควรมีพีคย่อยเพียงไม่กี่พีค
เช่นแค่ 2
พีค
แต่เมื่อทำ peak
fitting ด้วยฟังก์ชัน
Gaussian
ที่สมมาตรกลับพบว่าต้องมีพีคย่อยเป็นจำนวนมากจึงจะสามารถปรับผลการทำ
peak
fitting เข้ากับข้อมูลจริงได้
ซึ่งไม่ถูกต้อง
รูปที่ ๑ เส้นสีน้ำเงินแสดงพีค Gaussian ที่สมมาตร ส่วนเส้นสีส้มแสดงพีค Gaussian ที่ไม่สมมาตร ซึ่งเป็นลักษณะพีคการคายซับที่พบเห็นทั่วไปจากโครมาโทแกรมและการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค Temperature Programmed Desorption (TPD) ต่าง ๆ
รูปที่ ๑ เส้นสีน้ำเงินแสดงพีค Gaussian ที่สมมาตร ส่วนเส้นสีส้มแสดงพีค Gaussian ที่ไม่สมมาตร ซึ่งเป็นลักษณะพีคการคายซับที่พบเห็นทั่วไปจากโครมาโทแกรมและการวิเคราะห์ด้วยเทคนิค Temperature Programmed Desorption (TPD) ต่าง ๆ
สำหรับการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคตระกูล
TPD
ต่าง
ๆ นั้น
การแยกพีคด้วยฟังก์ชันที่ไม่เหมาะสมมักนำไปสู่การแปลผลการวิเคราะห์ที่ผิดพลาด
ตัวอย่างเช่นในกรณีของ
NH3-TPD
ที่บ่งบอกความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งด้วยพีค
NH3
ที่ปรากฏที่อุณหภูมิต่าง
ๆ
แม้ว่าพื้นผิวของแข็งนั้นจะมีตำแหน่งที่เป็นกรดที่มีความแรงอยู่เพียงชนิดเดียว
แต่พีค NH3
ที่คายออกมาจากตำแหน่งกรดเพียงชนิดเดียวนี้ก็มีลักษณะเป็นพีค
Gaussian
ที่ไม่สมมาตร
สาเหตุก็เพราะของแข็งที่ดูดซับ
NH3
นั้นเป็นของแข็งที่มีรูพรุน
รูปที่
๒ แบบจำลองการคายโมเลกุลออกจากพื้นผิวของแข็ง
รูปบนเป็นกรณีของของแข็งที่ไม่มีรูพรุน
ส่วนรูปล่างเป็นกรณีของของแข็งที่มีรูพรุน
โดยสมมุติให้พื้นผิวของแข็งดูดซับแก๊สเอาไว้ด้วยความแรงเท่ากันทุกตำแหน่ง
รูปที่
๒ ข้างบนเป็นแบบจำลองเพื่อแสดงให้เห็นภาพ
สมมุติว่าเรามีของแข็งที่มีตำแหน่งที่เป็นกรดที่มีความแรง
(strength)
เท่ากันหมดอยู่บนพื้นผิว
เริ่มแรกนั้นเราให้พื้นผิวดูดซับโมเลกุล
NH3
จนอิ่มตัวก่อน
จากนั้นจึงค่อย ๆ
เพิ่มอุณหภูมิของแข็งนั้นให้สูงขึ้น
เมื่ออุณหภูมิสูงเพียงพอตำแหน่งที่เป็นกรดเหล่านี้จะคายโมเลกุล
NH3
ที่มันจับเอาไว้พร้อมกันทั้งหมด
สำหรับของแข็งที่ไม่มีรูพรุนนั้น
(รูปที่
๒ บน)
โมเลกุล
NH3
ที่หลุดออกมาจากพื้นผิวก็จะมาอยู่ในกระแสแก๊สที่ไหลผ่านทันที
และจะถูกแก๊สพัดพาออกไปจากตัวของแข็ง
โมเลกุล NH3
ในกระแสแก๊สที่พัดพามันไปจะมีการกระจายความเข้มข้นเนื่องจากการแพร่
ทำให้ความเข้มข้นของ NH3
ในกระแสแก๊สมีการกระจายแบบ
Gaussian
ที่สมมาตร
แต่ถ้าเป็นของแข็งที่มีรูพรุน
(รูปที่
๒ ล่าง)
การดูดซับจะเกิดขึ้นทั้งตำแหน่งที่อยู่ใกล้ปากรูพรุนหรือภายในรุพรุน
เมื่ออุณหภูมิสูงพอ
ตำแหน่งเหล่านี้ก็จะปล่อยโมเลกุล
NH3
ออกจากพื้นผิวพร้อม
ๆ กัน แต่ในกรณีของแข็งที่มีรูพรุนนี้
โมเลกุล
ที่เดิมเกาะอยู่บนพื้นผิวด้านนอกหรือใกล้กับปากรูพรุนจะแพร่เข้าสู่เฟสแก๊สที่ไหลผ่านของแข็งและถูกพัดพาออกไป
แต่โมเลกุลที่อยู่ในรูพรุนจะใช้เวลามากกว่าในการแพร่ออกมาถึงปากรูพรุนและเข้าสู่กระแสแก๊สที่ไหลผ่าน
ยิ่งรูพรุนมีความลึกมาก
(เช่นในกรณีของอนุภาคที่มีขนาดใหญ่)
แม้ว่าโมเลกุล
NH3
ที่อยู่ที่ปากรูพรุนหรือที่ก้นรูพรุนจะหลุดออกมาจากพื้นผิวของแข็งที่อุณหภูมิเดียวกัน
แต่โมเลกุล NH3
ที่อยู่ลึกเข้าไปในรูพรุนจะใช้เวลาเดินทางมากกว่า
ทำให้ได้พีคการกระจายความเข้มข้นมีลักษณะที่เป็นพีคที่ลากหาง
(คือตอนขาขึ้นนั้นขึ้นเร็ว
ในขณะที่ขาลงนั้นตกลงช้ากว่าและใช้เวลานานกว่าจะหมด
แบบเส้นสีส้มในรูปที่ ๑)
รูปที่
๓ ในหน้าถัดไปแสดงการทดสอบการทำ
peak
fitting กับพีค
Gaussian
ที่ไม่สมมาตร
(เส้นสีส้มในรูปที่
๑ ซึ่งมีตำแหน่งจุดสูงสุดอยู่ที่
x
= 4.0 และความสูง
0.9)
ด้วยการใช้ฟังก์ชัน
Gaussian
ที่สมมาตร
พีค Gaussian
ที่ไม่สมมาตรในที่นี้สร้างขึ้นจากฟังก์ชัน
Gaussian
ที่มีพารามิเตอร์ความกว้างด้านซ้ายและด้านขวาของจุดสูงสุดของพีคที่ไม่เท่ากัน
โปรแกรมที่นำมาใช้ทำ peak
fitting คือ
fityk
version 0.9.8 จะเห็นว่าต้องใช้ฟังก์ชัน
Guassian
ที่สมมาตรถึง
4
ฟังก์ชันจึงสามารถปรับผลรวมฟังก์ชันให้เข้ากับพีคตั้งต้นได้
แต่ถ้าใช้ฟังก์ชัน Guassian
ที่ไม่สมมาตร
(ในโปรแกรม
fityk
เรียกว่าฟังก์ชัน
SplitGuassian)
พบว่าจะใช้เพียงฟังก์ชันเดียว
รูปที่
๓ ฟังก์ชันเส้นสีส้มในรูปที่
๑ เมื่อนำไปทำ peak
deconvolution ด้วยโปรแกรม
fityk
0.9.8 และใช้ฟังก์ชัน
Gaussian
ในการทำ
peak
fitting พบว่าต้องใช้ฟังก์ชัน
Gaussian
ถึง
4
ฟังก์ชันเพื่อจะปรับให้เข้ากับข้อมูล
แต่ถ้าใช้ฟังก์ชัน Gaussian
ที่ไม่สมมาตร
(โปรแกรมดังกล่าวเรียก
SplitGaussian)
พบว่าจะใช้เพียงฟังก์ชันเดียวเท่านั้น
การที่สารที่อยู่ในรูพรุนต้องใช้เวลาในการแพร่ออกมาสู่ของไหลที่ไหลผ่านอยู่ภายนอกก็เป็นคำอธิบายว่าทำไมในการวิเคราะห์ด้วยเครื่องแก๊สโครมาโทกราฟ
เวลาที่ใช้ packed
column ที่ใช้อนุภาคขนาดใหญ่
พีคที่ได้จึงมีการลากหางมาก
แต่พอเป็น capillary
column กลับได้พีคที่มีความแหลมคมมาก
เพราะ capillary
column
นั้นไม่ได้ใช้อนุภาคของแข็งที่มีการกระจายขนาดอนุภาคในการดูดซับอย่างที่
packed
column ใช้
แต่ใช้ชั้นฟิล์มที่มีความบางกว่ามากและมีความสม่ำเสมอมากกว่า
สำหรับแก๊สโครมาโทกราฟ
เราสามารถลดการลากหางได้ด้วยการเพิ่มอุณหภูมิของ
oven
ให้ไต่ขึ้นเรื่อย
ๆ ในระหว่างการวิเคราะห์
แต่ก็มีเหมือนกันที่จะเห็นพีคที่ปรากฏในโครมาโทแกรมที่มีด้านขาขึ้นลาดชันน้อยกว่าด้านขาลง
เช่นในกรณีของพีคขนาดเล็กจาก
capillary
column
ที่ออกมาในขณะที่มีการเพิ่มอุณหภูมิคอลัมน์ให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในระหว่างการวิเคราะห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น