แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ผี แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ผีที่บางโทรัด เลียบทางลัดไปบ้านกาหลง MO Memoir : Sunday 22 July 2561

" ... วันรุ่งขึ้น บางคนนั่งเรือไปทางราชบุรี บางคนก็กลับรถไฟ โดยเอารถยนต์จอดไว้ที่มหาชัย สำหรับผมกลับรถไฟตามเดิม ก่อนจะถึงสถานีบ้นแหลมท่าฉลอมก็เจอสถานีบางโทรัดเข้า ก็หวนนึกถึง "ผีที่บางโทรัด" เมื่อหลายปีขึ้นมาได้ทันที ... " (จากเรื่อง "ผีที่บางโทรัด" ในหนังสือ "ผีกระสือที่บางกระสอ" โดย สง่า อารัมภีร พิมพ์ครั้งที่สาม โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙)


รูปที่ ๑ ป้ายชื่อสถานีริมทางรถไฟสาย บ้านแหลม - แม่กลอง ถ่ายในขณะที่รถไฟกำลังเคลื่อนที่เข้าสถานี

บ้านบางโทรัด อยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร การเดินทางจากกรุงเทพนั้น ถ้าเป็นทางรถไฟก็ต้องไปขึ้นที่สถานีวงเวียนใหญ่ จับรถไฟสายวงเวียนใหญ่-มหาชัย สุดทางที่สถานีมหาชัยก็ต้องนั่งเรือข้ามแม่น้ำท่าจีนเพื่อไปขึ้นรถไฟสายแม่กลองอีกขบวนที่สถานีบ้านแหลม แต่ถ้าเป็นทางรถยนต์ก็ใช้ถนนพระราม ๒ (หรือ ธนบุรี-ปากท่อ ตามชื่อเก่า) ประมาณหลักกิโลเมตรที่ ๔๐ กว่า ๆ (เท่าไรจำไม่ได้) จะสังเกตเห็นโรงงานน้ำมันพืชโอลีนอยู่ทางด้านซ้าย ถัดไปหน่อยจะเห็น "วัดเกตุมดีศรีวราราม" อยู่ทางด้านซ้าย ถนนเข้าบ้านบางโทรัดก็อยู่ข้างวัดนั้น
 
ผมรู้จักชื่อนี้ครั้งแรกก็จากเรื่องเล่าที่ยกมาข้างต้น ขับผ่านถนนพระราม ๒ ก็หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีโอกาสจะแวะเข้าไปเยี่ยมชมสถานที่ที่หนังสือกล่าวไว้ซักที วัดที่หนังสือกล่าวไว้นั้นชื่อ "วัดบางโทรัด" ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปัจจุบันคือวัดไหน แต่เดาว่าน่าจะเป็น "วัดบัณฑูรสิงห์" เพราะเป็นวัดที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟและอยู่ริมคลองสุนัขหอน (ตามชื่อทางการที่ทำให้มันดูสุภาพกว่าชื่อคลองหมาหอน) เพราะในเรื่องเล่านั้นมีการกล่าวถึงการจัดการแข่งเรือ (ย่อหน้าถัดไป)


รูปที่ ๒ สถานีรถไฟบางโทรัดอยู่ทางด้านขวา คลิปวิดิโอที่แนบมานั้นเป็นภาพจากกล้องหน้ารถในช่วงถนนเลียบทางรถไฟจากสถานีบางโทรัดมายังสถานีบ้านกาหลง ในวิดิโอจะมีสะพาน ๒ สะพานด้วยกัน สะพาน ๑ คือสะพานแรกที่ปรากฏที่ทางขึ้นลงค่อนข้างจะหักมุม รถท้องเตี้ยอาจเกิดปัญหาได้ ส่วนสะพาน ๒ อยู่ก่อนถึงสถานีกาหลง เป็นสะพานหลากสี วัดบัณฑูรสิงห์ก็อยู่ทางมุมขวาของภาพ โดยอยู่เยื้องออกมาทางด้านซ้ายของโรงเรียนสมุทรสาครติดกับสะพานข้ามคลองสุนัขหอน

" ... ทีนี้อนันต์เขาไปรับปากสมภารวัดบางโทรัดจะถ่ายหนังให้เวลาที่วัดมีงาน คราวนั้นดูเหมือนจะมีงานแข่งเรือ แล้วก็มีงานกุศลสร้างโบสถ์ เราไปกันทั้งชุดทางรถไฟ ขึ้นรถไฟที่ปากคลองสาน วิ่งแบบสโลว์ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง กว่าจะถึงบางโทรัดก็เย็นโข ไปไหว้ท่านสมภารแล้วมัคทายกก็นำพวกเราไปที่บ้านหลังวัดให้มารับทางอาหารเย็นเสียก่อนพอขึ้นไปบนบ้านก็ตกใจถอยหลังทีเดียว แม่โชงวางเรียงไว้ขวดใหญ่ถึง ๒๔ ขวด โซดา ๒ ลัง น้ำแข็ง ๒ กระติก ถ้วยแก้ว ๒ โหล คงจะมีเผื่อไว้เวลาแก้วแตกหรือสำรองไว้ให้เราเคี้ยวแก้วเล่น ... "

ผมโฉบผ่านบางโทรัดครั้งแรกเมื่อตอนต้นเดือนที่ผ่านมา ระหว่างการเดินทางด้วยรถไฟจากบ้านแหลมไปแม่กลอง ก็เลยได้มีโอกาสถ่ายรูปป้ายสถานีรถไฟบางโทรัดตอนที่รถกำลังเคลื่อนที่เข้าสถานี (รูปที่ ๑) และจอดที่สถานี (รูปที่ ๓) รถไฟสายมหาชัยนั้นเดิมมีต้นทางที่สถานีคลองสานที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นสมัยก่อนการเดินทางจากมหาชัยมากรุงเทพก็สามารถนั่งรถไฟถึงคลองสาน แล้วก็ข้ามเรือมาขึ้นฝั่งที่ท่าสี่พระยาได้เลย แต่ภายหลังสถานีคลองสานถูกปิดไป รถไฟมาถึงเพียงแค่วงเวียนใหญ่ รถไฟจากวงเวียนใหญ่ไปมหาชัยนั้นใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียว ถ้าเลือกขบวนรถได้จังหวะก็จะมีเวลาประมาณครึ่งฃั่วโมงในการเดินและข้ามเรือจากสถานีมหาชัยไปต่อรถไฟที่สถานีบ้านแหลม จากบ้านแหลมไปยังแม่กลองก็ใช้เวลาอีก ๑ ชั่วโมง ดังนั้นถ้าเทียบกับการเดินทางในยุคก่อนนั้น (ยุคของหัวรถจักรไอน้ำ) ก็เรียกว่ารวดเร็วขึ้นมาก

" ... รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตีเท่าไรก็ไม่รู้เพราะผมไม่ได้ผูกนาฬิกา เงียบสงัดทีเดียว เสียงสัตว์กลางคืนร้องระงม ป่ารอบ ๆ วัดเป็นป่าแสม เสียงป่าแสมผิดกับเสียงป่าบนเขาใหญ่และบนเขาภูพานมาก เสียงมันวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ผมลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วก็มานอนนอกมุ้งฟังเสียงป่าคุยกันจนเพลิน พอลืมตามองไปทางหัวบันไดหน้าศาลาก็เจอเงาดำ ๆ ๒ เงานั่งยอง ๆ เอามือทั้ง ๒ พาดหัวเข่าคุยกันเบา ๆ แต่ผมก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ... "

รูปที่ ๓ ป้ายบอกชื่อสถานีบางโทรัดและสถานีที่อยู่ถัดไป

การเดินทางไปครั้งที่สองคือในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ครั้งนี้ตั้งใจจะไปเป็นภาพบรรยกาศเส้นทางสองข้างทางรถไฟจากบางโทรัดไปบ้านกาหลง เพราะตอนที่ดูแผนที่จาก google map ก็เห็นว่ามันมีถนนเลียบทางรถไฟอยู่ จากถนนพระราม ๒ มาจนถึงสะพานข้ามคลองสุนัขหอนไม่มีสภาพเป็นป่าอะไรเหลือให้เห็น พอข้ามคลองสุนัขหอนก็จะเห็นวัดบัณฑูรสิงห์อยู่ทางขวามือตรงเชิงสะพานข้ามคลอง เลยวัดมาหน่อยก็เป็นโรงเรียน และถัดมาอีกนิดก็พบกับทางรถไฟสายแม่กลอง

"ทำไงล่ะ มีคนมานอนบนศาลาของเราเสียแล้ว"
"จะแหกอกไล่เขาไปดีไหม"
ผมได้ยินคำว่า "แหกอก" ก็นึกรู้ทันทีว่าต้องไม่ใช่คนแน่ แต่ยังใจเย็นทนฟังต่อไปได้ โดยนอนตะแคงลืมตามองไปยังเขาทั้งสองนั้น เสียงกระซิบกันต่อไปอีก
"ปล่อยให้เขานอนต่อไปอีก เขามาช่วยงานวัดเรา ไปทำให้เขาตกอกตกใจ งานของหลวงพ่อจะเสีย"
"แล้วเราจะไปนอนที่ไหนดีล่ะ บนกุฏิ พระท่านก็ลงยันต์ไว้ทุกหน้าต่างทุกประตู มีแต่ศาลานี่เท่านั้นพอจะอาศัยได้"
"เขาคงค้างคืนเดียวเท่านั้น ให้เขานอนให้สบายเถิด เราไปพักกันในศาลากลางป่าแสมดีกว่า"
 
พอขับรถไปจนถึงเส้นทางรถไฟก็ชะงักไปเหมือนกัน เพราะไม่แน่ใจว่ารถจะเข้าไปได้ตลอดทางหรือเปล่า เพราะแม้ว่ามันจะเป็นถนนลาดยางก็ตามแต่รถวิ่งสวนกันไม่ได้ บังเอิญในขณะที่จอดรถเพื่อตัดสินใจอยู่นั้น ก็มีรถอีกคันหนึ่งที่วิ่งแซงหน้าและเลี้ยวขวาวิ่งเลียบทางรถไฟไป ก็เลยอาศัยขับตามเขาไป รูปที่ ๔ ถึง ๑๒ นั้นเป็นภาพที่จับมาจากวิดิโอที่ถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือที่ติดไว้หน้ารถ ความละเอียดและความชัดเจนของภาพก็เลยไม่สูงมาก


รูปที่ ๔ พอเลี้ยวขวาเขาถนนเลียบทางรถไฟมาหน่อยก็เจอสภาพถนนเช่นนี้


รูปที่ ๕ เหมือนกับว่าเดิมถนนมีสองเลน พอปรับปรุงทางรถไฟ ถนนบางช่วงก็เหลือเลนเดียว

รูปที่ ๖ เลยสถานีมาอีกหน่อยจะเป็นสะพานข้ามคลอง สะพานนี้คอสะพานหักมุมค่อนข้างมาก รถท้องต่ำมีปัญหาแน่ สะพานกว้างเพียงแค่รถวิ่งผ่านได้เพียงคันเดียว ตอนขึ้นก็ต้องระวังรถสวนด้วยเพราะสะพานงสูงจนมองไม่เห็นอีกฝั่งหนึ่ง


รูปที่ ๗ พอมาอยู่บนสะพาน (สะพาน ๑ ในรูปที่ ๒) ก็จะเห็นสภาพชุมชมอีกฟากเป็นดังนี้ ตอนลงสะพานก็ต้องลุ้นอีกรอบว่าท้องรถจะกระทบพื้นหรือเปล่า สะพานนี้ข้ามคลองที่เชื่อมระหว่างคลองสุนัขหอนที่อยู่ทางด้านขวาของถนน คือคลองบางกระลาบและคลองบางใหม่ (ดูชื่อคลองจาก google map) ที่อยู่ทางด้านซ้ายของทางรถไฟ

ถนนเลียบทางรถไฟนี้ ถ้าไม่นับส่วนที่เป็นสะพานข้ามคลองแล้ว ดูเหมือนว่าเดิมจะเป็นถนนลาดยางสองช่องจราจร แต่พอมีการปรับปรุงทางรถไฟ (ดูแล้วน่าจะมีการยกสูงขึ้นด้วย) ทำให้ถนนบางช่วงนั้นเหลือเพียงช่องจราจรเดียว

รูปที่ ๘ ลงสะพานมาหน่อยก็จะผ่านชุมชนสองข้างทางรถไฟ จะเห็นว่าทางรถไฟมีการวางรางใหม่ มีการสร้างกำแพงข้างทางเพื่อยกแนวรางให้สูงขึ้น


รูปที่ ๙ ทางด้านซ้ายของทางรถไฟจะเป็นคลองบางใหม่ และมีถนนแยกซอยออกไปเป็นช่วง ๆ แต่มีเฉพาะบางเส้นที่รถยนต์สามารถข้ามไปได้ ส่วนใหญ่ดูแล้วถ้าไม่ใช่ทางคนเดินก็ไปได้แค่รถมอเตอร์ไซค์ ดูจากแผนที่แล้วคลองบางใหม่จะขนานทางรถไฟไปเป็นระยะหนึ่ง ก่อนที่จะหักเลี้ยวลงใต้ไหลออกสู่ทะเล วิดิโอกล้องหน้ารถนั้นตั้งให้มันเริ่มต้นไฟล์ใหม่ทุก ๒๐ ที บังเอิญว่าพอขับรถเลียบทางรถไฟได้พักหนึ่ง ไฟล์ก่อนหน้ามันก็ครบ ๒๐ นาทีแล้วก็ขึ้นไฟล์ใหม่ ภาพถนนช่วงนี้ก็เลยมีแยกอยู่สองไฟล์ (แต่ผมใช้โปรแกรมตัดมันให้เหลือเฉพาะช่วงที่ขับเลียบทางรถไฟ)

รูปที่ ๑๐ ก่อนถึงสถานีบ้านกาหลงก็จะมีสะพานข้ามคลองอีกสะพาน สะพานนี้ทางสีสวยหน่อย (สะพาน ๒ ในรูปที่ ๒) เป็นสะพานข้ามคลองที่เชื่อมระหว่างคลองสุนัขหอน (ที่อยู่ทางด้านซ้ายของถนน) กับคลองมรณะ (ใน google map มันบอกชื่อคลองไว้อย่างนี้) ที่อยู่ทางด้านซ้ายของทางรถไฟ โดยที่คลองนี้จะเลียบทางรถไฟจากทางตะวันตกไปตะวันออกเป็นระยะหนึ่ง ก่อนที่จะหักเลี้ยวออกสู่ทะเล


รูปที่ ๑๑ สุดเส้นทางแล้ว ถนนจะพาข้ามทางรถไฟ ทางรถไฟนี้ไม่มีเครื่องกั้นและไม่มีสัญญาณใด ๆ ก่อนข้ามก็ต้องหยุดรถดูรถไฟให้ดี ถ้าเลี้ยวขวาตรงรถแท๊กซี่จอดก่อนข้ามทาง ก็จะเป็นสถานนีรถไฟบ้านกาหลง ถ้าข้ามทางรถไฟไปแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะไปสู่ทะเลบ้านกาหลง ถ้าข้ามทางแล้วเลี้ยวขวาก็จะวิ่งผ่านฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ

รูปที่ ๑๒ ข้ามทางรถไฟมาแล้วเลี้ยวขวา จะเห็นป้ายสถานีรถไฟบ้านกาหลงอยู่ทางด้านซ้าย ถ้าขับต่อไปถนนจะพาข้ามทางรถไฟกลับไปทางด้านขวาอีก ซึ่งเป็นถนนพาออกไปถนนพระราม ๒ จากจุดนี้ถ้าตรงไปถนนพระราม ๒ จะใกล้กว่าการย้อนกลับทางบางโทรัด


รูปที่ ๑๓ ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟบ้านกาหลงยังมีการทำนาเกลือกันอยู่ รูปนี้ถ่ายจากรถไฟตอนนั่งรถไฟผ่านเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเริ่มมีคนไปเที่ยวสะพานปลาที่หมู่บ้านนี้ที่มีการทาสีจนมีคนเรียกสะพานสายรุ้ง เพื่อหาสถานที่ถ่ายรูปแห่งใหม่ เอาไว้ฉบับหน้าจะเล่าให้ฟังว่าที่ทะเลที่หมู่บ้านกาหลงเป็นอย่างไร ฉบับนี้ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปก็แล้วกัน

รูปที่ ๑๔ แผนที่แนบท้ายกฎกระทรวงฉบับที่ ๑,๒๐๒ พ.ศ. ๒๕๓๐ เรื่องกำหนดแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ

" ... พูดจบ ร่างหนึ่งก็ลุกขึ้น ฉุดมืออีกร่างหนึ่งก้าวพรวดเดียวลงไปยืนที่พื้นดินเลย แล้วร่างที่เท่าคนธรรมดาก็ยืดสูงขึ้นจนเหนือต้นไม้ในวัด เขาก้าวขา ๒ ครั้งก็เห็นโย่ง ๆ ไปในป่าแสมแล้วก็หายลับตาไป ผมลุกขึ้นดูพรรคพวกว่าจะมีใครเห็นเหตุการณ์บ้าง ก็เห็นเขากรนลั่นกันเป็นอย่างดีก็เลยนอนต่อจนรุ่งเช้า ...

วิดิโอตอนที่ ๑
 
วิดิโอตอนที่ ๒

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

วิศวกรรมเคมี ใช่ว่าภาคนี้ไม่มีตำนาน (๒) MO Memoir : Friday 25 September 2558

ผมเรียนจบกลับมาทำงานเมื่อปี ๒๕๓๗ ก็ได้ห้องทำงานอยู่ที่ชั้นบนสุดคือชั้น ๔ ของตึกนี้ ช่วงนั้นกรุงเทพรถติดมาก เพราะมีการก่อสร้างรถไฟลอยฟ้าสายแรก แถมบางวันมีสอนหนังสือภาคนอกเวลาราชการ กว่าจะเลิกเรียนกันก็ร่วมสามทุ่มครึ่ง แถมวันรุ่งขึ้นยังมีสอนตอนแปดโมงเช้าอีก ยังดีที่ห้องน้ำของอาคารมีห้องอาบน้ำให้ใช้ ช่วงนั้นก็เรียกว่าใช้ห้องทำงานเป็นห้องนอน และถือโอกาสฝึกใช้เครื่องมือวิเคราะห์ต่าง ๆ ไปด้วยในตัว
  
แม้ว่าห้องที่ใช้นอนจะอยู่ออกมาอีกทางด้านหนึ่งของอาคาร แยกออกมาจากด้านที่นิสิตที่ทำงานค้างคืนกันใช้เป็นที่พักนอน แม้ว่าตึกนี้จะมีเรื่องเล่า แม้ว่าตึกนี้จะมีตำนาน แต่ก็ไม่เคยเจออะไรกับตัวเอง


ภาควิชาย้ายออกจากตึกนี้เมื่อปี ๒๕๔๐ โดยยังคงห้องแลปไว้ที่ชั้น ๓ ส่วนชั้น ๔ ก็ยกพื้นที่ให้ภาควิชาอื่นไปใช้งาน ผมเองก็เลยต้องย้ายห้องทำงานไปยังตึกใหม่ด้วย

แต่ ใช่ว่าตึกนี้ไม่มีเรื่องเล่า ใช่ว่าภาคนี้ไม่มีตำนาน

เมื่อวานซืนระหว่างสอนแลป คุณหนุ่มเพื่อนร่วมงานแอบมากระซิบพร้อมกับเอารูปที่ถ่ายเอาไว้เมื่อช่วงเช้ามาให้ดู (รูปข้างล่าง) พร้อมกับบอกว่า สงสัยว่าคนอยู่ข้างบนคงโดนอะไรเข้าไปบ้างแล้ว ผมก็เลยแอบแวะไปดูบ้าง ก็พบแต่ขวดน้ำและกระถางธูปวางเอาไว้ ส่วนจานข้าวที่ปรากฏในรูปที่ถ่ายไว้ช่วงเช้าหายไปแล้ว สถานที่ที่ถ่ายรูปคือบันไดด้านข้างอาคารด้านทิศตะวันตก ระหว่างชั้น ๓ และชั้น ๔ เห็นเหตุการณ์นี้ทำให้นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับนิสิตที่ตัวเองเป็นที่ปรึกษา เมื่อครั้งยังทำงานอยู่ที่ตึกนี้ได้ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดคืออะไรนั้นได้เล่าไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๓๐ วันอังคารที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง "เหตุเกิดตอนทำแลปกลางคืน"


ส่วนสาเหตุที่แท้จริงคืออะไรนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คงได้แต่รอฟังเรื่องราวกันต่อไป :) :) :)

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

น้ำมันพราย MO Memoir : Monday 3 August 2558

"พระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมารเป็นคนอังกฤษ เกิดที่เมืองปลิมัทในประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ค.. ๑๘๖๙ นามเดิมว่า ฟรานซิส เฮนรี่ไจลส์ ในสกุลนายทหารเรือ จะได้เล่าเรียนในชั้นเดิมอย่างไรบ้างไม่ทราบ แต่พระยาอินทรมนตรีเคยพูดกับข้าพเจ้าเล่น ๆ เสมอว่า ไม่เคยได้เข้าโรงเรียนหรูหราอันใดก็ยังทำงานได้ถึงเพียงนี้ ขณะที่พูดเขาเป็นอธิบดีกรมสรรพกรและเป็นอธิบดีที่อยู่ในขั้นสูงและสามารถอย่างเยี่ยมผู้หนึ่ง"

ข้อความข้างต้นเป็นประวัติของพระยาอินทรมนตรี ที่เขียนโดย พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ตีพิมพ์ในหนังสือ "รวบรวมบทความ พระยาอินทรศรีจันทรกุมาร (แอฟ. เอช. ไยลส์ จิลลานนท์)"
  
รูปที่ ๑ เล่มซ้ายเป็นหนังสือ "รวบรวมบทความ พระยาอินทรศรีจันทรกุมาร (แอฟ. เอช. ไยลส์ จิลลานนท์)" กรมสรรพากรพิมพ์แจกในโอกาสกรมสรรพากรครบรอบ ๖๐ ปี วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๘ พิมพ์ที่โรงพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด สำนักพิมพ์สมพงษ์ ๑๔/๘ ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี กรุงเทพ ฯ ๘ นายสมพงษ์ ชัยเจริญ ผู้พิมพ์โฆษณา ๒๕๑๘ โทร. ๘๕๑๘๓๖ ส่วนเล่มขวาเป็นหนังสือในชุดภูตผีปิศาจไทย ตอน "วิญญาณที่เร่ร่อน" โดย เหม เวชกร ฉบับนี้เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๕ โดยสำนักพิมพ์วิริยะ หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๐๙ โดยสำนักพิมพ์บรรณาคาร
  
พระยาอินทรมนตรีเป็นอธิบดีกรมสรรพากรคนแรก โดยดำรงตำแหน่งในช่วงปีพ.ศ. ๒๔๔๐ - พ.ศ. ๒๔๗๒ และยังได้เป็นนายกของสยามสมาคม ได้เขียนบทความลงพิมพ์ในวารสารสยามสมาคมไว้หลายเรื่อง และเรื่อง "About a love philtre" ที่ อาจารย์สัญฉวี สายบัว แปลเป็นไทยว่า "น้ำมันพราย" ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารสยามสมาคม เล่มที่ ๓๐ ตอนที่ ๑ เดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๓๗ (พ.ศ. ๒๔๘๐) ถ้านับถึงปัจจุบันก็ผ่านมาแล้ว ๗๘ ปี
  
รายละเอียดเกี่ยวกับการทำน้ำมันพรายนั้นพระยาอินทรมนตรีได้เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ และแปลเป็นไทยอาจารย์ สัญฉวี สายบัว ท่านได้ให้รายละเอียดที่แตกต่างไปจากที่เห็นมีปรากฏในอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้บอกว่าท่านได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวมาจากแหล่งใดและได้ยินมาเมื่อใด แต่ถ้าดูจากช่วงเวลาตั้งแต่ที่ท่านเข้ามาทำงานในประเทศไทย (ช่วงรัชกาลที่ ๕) ก็แสดงว่าสิ่งที่ท่านได้รับทราบมานั้นและนำมาเขียนบันทึกเอาไว้ก็เป็นเรื่องเก่าที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง ในยุคสมัยที่ความเชื่อดังกล่าวเป็นเรื่องปรกติในสังคมไทย วิธีการทำมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง เชิญอ่านเอาเองในรูปภาพที่สแกนมาให้ดู (ทั้งต้นฉบับที่เป็นภาษาอังกฤษ และฉบับแปลเป็นไทย ที่ผมตัดสินใจนำมาสแกนทั้งบทเพราะเห็นว่าเรื่องดังกล่าวนั้นไม่ได้มีแพร่หลายทั่วไป และมีการจัดพิมพ์ในหนังสือที่คงจะไม่มีใครตีพิมพ์ซ้ำอีก)
  
พระยาอินทรมนตรีถึงแก่อนิจกรรมในวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ รวมอายุได้ ๘๒ ปี







"ครูเหมเขียนเรื่องผีเรื่องแรก ชื่อเรื่อง "ผี!" ตีพิมพ์ในหนังสือ เพลินจิตต์ รายเดือน เล่ม ๑ ออกวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.. ๒๔๗๖ และคงจะได้รับความนิยม จึงเขียนต่อเนื่องเรื่อยมาตามวิสัยผู้ทำงานด้านนี้ ที่ไม่มีใครปฏิเสธความต้องการของผู้อ่านได้ลงคอ
  
ต่อมา เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พ.. ๒๔๗๘ เรื่อง "ผี!" ที่ว่านั้นจึงเป็นหนึ่งในสิบ "รวมเรื่องผีขนาดสั้นของ เหม ทั้งเก่า-ใหม่" ในรูปเล่มขนาดพ็อกเกตบุ๊ก (๑๖ หน้ายกเล็ก) ชื่อหนังสือ ผี !! คณะเพลินจิตต์จัดพิมพ์ หนา ๒๓๒ หน้า ราคา ๒๐ สตางค์"
  
ข้อความในเครื่องหมายคำพูดข้างบนคือข้อความขึ้นต้นคำนิยมเขียนโดย จุลศักดิ์ อมรเวช (จุก เบี้ยวสกุล)ในหน้าคำนิยมของหนังสือชุด "ภูตผีปิศาจไทย" 
   
วันนี้ก็เป็นวันที่ ๓ สิงหาคมเช่นกัน แต่เป็นปีพ.ศ. ๒๕๕๘ ก็เรียกว่าหนังสือเรื่องรายเกี่ยวกับผีของ เหม เวชกร นับจากที่มีการพิมพ์รวบเล่มเป็นครั้งแรกมาจนถึงวันนี้ก็ครบรอบ ๘๐ ปีพอดี
  
เสน่ห์อย่างหนึ่งของนิยามเรื่องผีของ เหม เวชกุล คือการบรรยายสภาพบ้านเมือง ความเป็นอยู่ของคนไทย การใช้ชีวิต และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง ที่เขียนจากประสบการณ์ที่ท่านได้ไปกินอยู่หลับนอน สัมผัสสภาพชีวิตและกลิ่นอายของท้องถิ่นยุคนั้น เรียกว่าแม้เนื้อเรื่องจะมีแค่ตัวหนังสือ แต่ก็มองเห็นภาพได้ชัดเจน (ผมว่าเสน่ห์ของการอ่านตัวอักษรมันอยู่ตรงนี้ครับ คือมันไม่ได้บังคับให้เราต้องจินตนาการถึงภาพฉากเดิม ๆ ในแต่ละครั้งที่เราอ่านเรื่องนั้น) และวิธีการทำน้ำมันพรายนั้น เหม เวชกรก็ได้สอดใส่ไว้ในนิยายเรื่อง "น้ำมันผีพราย"
  
อันที่จริงผมเคยเกริ่นว่าจะเขียนเรื่องการทำน้ำมันพรายเอาไว้ใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๒๔ วันเสาร์ที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๗ เรื่อง "ปลุกผี" แต่เอาเข้าจริง ๆ กว่าจะได้ลงมือเขียนก็เลยเวลามากว่าปีครึ่ง
  
กล่าวโดยสรุปคือ เหม เวชกร เล่าถึงวิธีทำน้ำมันพรายเอาไว้ว่า สัปเหร่อจะไปแอบขุดผีตามหลุม ตัดหัวผีมาเอาไต้ลนคางผี น้ำมันในสมองจะไหลลงมาใส่ในที่รอง ถ้าเป็นน้ำมันผีพรายเพื่อเอามาทำเสน่ห์จะต้องใช้ผีตายโหง จากนั้นก็เอาน้ำมันไปเข้าพิธีผสมเครื่องหอม เช่นน้ำมันจันทน์ คือถ้าน้ำมันจันทน์หนึ่งถ้วยชา ก็เอาน้ำมันพรายนี้ผสมลงไปสักสองสามหยดเท่านั้น ถ้ามากนักกลิ่นเหม็นจะเกิดขึ้น และน้ำมันมันพรายยังแบ่งออกเป็นสองอย่าง คือชนิดหนึ่งใช้ทำเสน่ห์ ใช้น้ำมันจันทน์มากและเข้าพิธีคาถาอาคมไสยศาสตร์ครบครัน อีกอย่างหนึ่งใช้ทำให้บ้า ใช้น้ำเหลืองผีมาก ใช้น้ำมันหอมน้อย และไม่ได้ลงเลขยันต์อะไรเลย ส่วนรายละเอียดและเนื้อเรื่องทั้งหมดมีอะไรบ้างนั้น ก็ขอเชิญไปหาอ่านกันเอาเองก็แล้วกัน (หนังสือก็ยังพอหาซื้อได้อยู่ในงานสัปดาห์หนังสือ)

ว่าแต่ว่าเคยสังเกตไหมครับ ว่าในเรื่องผีเก่า ๆ ของไทย (เช่นแม่นาคพระโขนง) พอใครตายแล้วหลังสวดเสร็จก็จะเอาศพไปฝัง เก็บไว้ในโกดังเก็บศพ หรือไม่ก็เก็บคาบ้านเอาไว้ก่อน เมื่อได้เวลา (ซึ่งมักจะหลังตายไปนานแล้ว) จึงค่อยนำมาเผา แต่ในปัจจุบันแทบจะไม่มีการทำเช่นนั้นแล้ว หลังเสียชีวิตพอสวดศพกันได้ ๓ วันหรือ ๗ วันก็มักจะเผากันเลย
  
ผมเองก็เคยคิดเรื่องนี้ คิดว่าสาเหตุหนึ่งน่าจะเป็นเพราะสมัยก่อนนั้นวัด (หรือถ้าย้อนหลังไปอีกก็คงเรียกว่าทุกวัด) ยังไม่มีความพร้อมเรื่องเมรุเผาศพเหมือนในปัจจุบัน จะเผาศพแต่ละทีก็ต้องสร้างเมรุขึ้นที ที่นี้ศพที่ตายไม่นานนัก ร่างกายยังไม่ย่อยสลาย จะเผาได้ยาก โดยเฉพาะศพสด ดังนั้นจะเป็นการง่ายกว่าถ้าปล่อยทิ้งให้ร่างกายย่อยสลายไปมากแล้วจนเหลือแต่กระดูกเป็นส่วนใหญ่ แล้วจึงค่อยนำเอากระดูกมาเผา แต่ในปัจจุบันการเผาศพกระทำกันในเตาเผาแบบปิด ใช้น้ำมันหรือแก๊สเป็นเชื้อเพลิง การเผาศพทำได้รวดเร็ว และอาจรวมทั้งสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป จึงทำให้ความนิยมที่จะเก็บศพเอาไว้แล้วค่อยมาทำพิธีเผาภายหลังนั้นลดน้อยไป เว้นแต่จะมีเหตุจำเป็นบางประการ

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิศวกรรมเคมี ใช่ว่าภาคนี้ไม่มีตำนาน MO Memoir : Saturday 25 July 2558

หลายรายบอกให้ผมเอาเรื่องที่เขียนลง blog พิมพ์เป็นเล่มได้แล้ว ผมก็ตอบกลับไปว่าเนื้อหาบางเรื่องมันก็ค่อนข้างเฉพาะทาง และหลายต่อหลายเรื่องมันก็สะเปะสะปะไปหมด ถ้าจะเอามารวมเล่มก็ไม่รู้ว่าจะให้ชื่อหนังสือว่าอะไร และใครจะมาซื้ออ่าน แต่ผมก็บอกเขาว่าถ้าจะพิมพ์ก็คงจะพิมพ์แจก แต่คงเป็นเรื่อง "ผี" ที่กะว่าจะเขียนให้ได้มากพอที่จะพิมพ์เป็นเล่มแจกวันเกษียณอายุ
  
แต่จะเขียนออกมาทำนองไหน ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บังเอิญไปโหลด app แต่งภาพผีมาลงโทรศัพท์ ก็เลยเดินถ่ายรูปเล่นในภาควิชา ไม่ว่าจะเป็นบริเวณรอบห้องทำงานของตัวเองหรือห้องทดลองวิทยาศาสตร์ แล้วทดลองแต่งภาพเล่นดู พร้อมทั้งเขียนคำบรรยายภาพไว้สั้น โดยเขียนขึ้นเองจากจินตนาการ และบางส่วนก็มาจากประสบการณ์ในระหว่างการทำงานและที่ได้ฟังนิสิตเล่าให้ฟัง เอาไว้เตือนความจำ เผื่อว่ามีเวลาว่างเมื่อใดจะได้มาเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที
  
รูปที่แต่งนั้นก็เอาลง facebook ไปเมื่อวาน ก็ได้เสียงตอบรับกลับมา วันนี้ก็เลยถือโอกาสเอาสิ่งที่โพสลง facebook มารวบรวมไว้ใน memoir ฉบับนี้ เผื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปจะได้ค้นย้อนหลังได้ง่ายหน่อยว่าเคยคิดอะไรไว้
  
ลองอ่านดูเล่น ๆ อย่าคิดอะไรมากก็แล้วกันนะครับ


"ผู้อยู่อีกฟากด้านของบานประตู"

เสียงลูกบิดประตูขยับเหมือนมีใครสักคนพยายามจะเปิดประตู
 
อาจารย์เจ้าของห้องก็เลยเงยหน้าจากโต๊ะทำงานขึ้นมองดู
 
แล้วพอบานประตูห้องเขาเปิดออก สิ่งที่เขาเห็นก็คือ .......

จะว่าไปอาคารที่ผมห้องทำงานของผมตั้งอยู่แต่ละชั้นมันก็ไม่ได้กว้างอะไรเท่าใดนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่ามันแตกต่างไปจากอาคารสำนักงานทั่วไปคือที่นี่มีการกั้นห้องเป็นห้องส่วนตัว แม้แต่ประตูก็ไม่ไม่กระจกให้มองเห็นคนเดินผ่านไปมาหน้าห้อง จะมีก็แต่ได้ยินเสียง มีเฉพาะบานกระจกที่อยู่เหนือประตูเท่านั้น
  
มีบ้างเหมือนกันบางครั้งที่มีงานที่ทำให้ต้องมานั่งทำงานอยู่เพียงคนเดียวทั้งชั้น บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าเสียงที่ดังอยู่ภายนอกห้องนั้นมันเป็นเสียงอะไร

 
"ประธานในห้องประชุม"
 

แลปนี้มีห้องที่เป็นทั้งห้องสมุดและห้องประชุม แถมตอนกลางคืนก็ยังมีนิสิตเข้ามาใช้เป็นห้องนอนอีก เพราะมันมืดและแอร์เย็นดี
 
ว่าแต่เคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมพี่ ๆ ป.โท ป.เอก บางคน ยินดีที่จะนอนค้างในห้องอื่นที่มีแต่พัดลม แทนที่จะมานอนตากแอร์เย็น ๆ ในห้องนี้

ชีวิตนิสิตป.โท ป.เอก นี่บางทีมันต้องทำการทดลองกันข้ามวันข้ามคืน ถึงแม้ว่าบางครั้งจะไม่ต้องมีการเก็บตัวอย่าง แต่ก็ต้องมานอนเฝ้าเผื่อว่าการทดลองที่รอคอยเวลาอยู่นั้นจะเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้าดับ น้ำไม่ไหล หรือด้วยสาเหตุใดก็ตาม สถานที่จะปูที่นอนหรือกางเก้าอี้นอนต่างก็เลือกกันตามมุมสบายของตน บางรายนั้นจะนอนที่ไหนก็ได้ ขอให้แอร์เย็น มืด และไม่มียุงหรือหนูมารบกวนก็พอ
  
แต่ก็มีบางที่ที่แม้จะเข้าเกณฑ์ดังกล่าว แต่ก็มีบางคนไม่อยากไปนอนพักในห้องนั้นตอนกลางคืน


"เพื่อนร่วมรุ่น"



นิสิตรายหนึ่งหันไปถามเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน
 
"ยายนั่นทำแลปที่ตึกนี้ด้วยเหรอ ทำซีเนียร์โปรเจคกับใครล่ะ"
 
"เฮ้ย เธอตายไปแล้วตอนปิดเทอมปี ๒ ไม่ใช่เหรอ"

ด้วยจำนวนนิสิตในภาควิชาที่เพิ่มขึ้น จนทำให้การเรียนแม้แต่วิชาบรรยายนั้นนิสิตถูกแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม ประกอบกับสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยที่นิสิตเองจะไปจับกลุ่มรู้จักกันเฉพาะกับผู้ที่อยู่ใน group เดียวกันเป็นหลัก ทำให้แม้ว่าจะเรียนชั้นปีเดียวกัน ภาควิชาเดียวกัน ก็ไม่รู้จักกัน เพราะไม่มีโอกาสเรียนหนังสือในตอนเรียนเดียวกัน ทำให้แม้แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมรุ่นนั้น ก็ไม่เป็นที่ทราบกัน


"ห้องสุดทางเดิน"

 
"พวกพี่ ๆ ป.โท เขาทำงานกันไม่หลับไม่นอนนะ ดึก ๆ อย่างนี้ยังแต่งชุดแลปออกมาเดินเล่นอีก"
 
แล้วพี่คนนั้นก็เดินหายเข้าไปในห้องสุดทางเดิน
 
โดยที่ประตูยังคงปิดอยู่

เรื่องแบบนี้จัดว่าเป็นเรื่องคลาสสิกเรื่องหนึ่งของภาควิชาเราก็ได้ เรื่องห้องสุดทางเดินนี่นิสิตป.โทของผมเคยโดนมา ตอนราว ๆ ปี ๓๘ หรือ ๓๙ ที่ตึกแลปเคมีชั้น ๓ ตอนนี้มุมนั้นเขากั้นห้องกันใหม่ กลายเป็นแลปของป.โทกลุ่มอื่นไปแล้ว ก็เลยไม่สามารถถ่ายรูปสถานที่จริงมาให้ได้ ได้แต่ถ่ายรูปห้องที่อยู่ใกล้กับห้องที่เกิดเหตุมาประกอบ เหตุการณ์นี้เคยเล่าเอาไว้ใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๓๐ วันพฤหัสบดีที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง "เหตุเกิดตอนทำแลปกลางคืน"
  

"ห้องส้วมที่ว่างอยู่"

เวลาเข้าห้องน้ำ เคยชำเลืองดูประตูห้องที่มันเปิดอยู่บ้างหรือเปล่าครับ

เรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะเขียนอธิบายอย่างไรดี แต่คิดว่าคงจะพอจินตนาการกันเองได้นะครับ

 
"น้ำเย็น ๆ ที่สุดปลายระเบียง"
 

ยังดีที่ภาควิชาติดตั้งเครื่องทำน้ำเย็นสำหรับดื่มไว้ที่ห้องสุดปลายระเบียง
 
ว่าแต่คุณเคยเข้าไปกดน้ำเย็นในห้องดังกล่าวกินตอนกลางคืนบ้างไหม

ตึกทำงานตึกนี้ได้งบประมาณมาก่อสร้างแบบกระชั้นชิด ทำให้การออกแบบกระทำไปโดยไม่สามารถระบุได้ว่าจะให้อาคารแต่ละชั้นเป็นห้องสำหรับกิจกรรมใด ๆ สิ่งที่ตามมาก็คือการออกแบบระบบสาธารณูปโภค โดยเฉพาะก๊อกน้ำและท่อรองรับน้ำทิ้ง
 
พอจะทำการติดตั้งเครื่องทำน้ำเย็นสำหรับดื่มก็เลยมีปัญหา เพราะต้องหาสถานที่ที่มีทั้งท่อน้ำดีและสามารถระบายน้ำทิ้งได้ และสถานที่ดังกล่าวก็อยู่ในห้องเก็บของที่อยู่ปากทางเข้าห้องเครื่องปรับอากาศ เป็นห้องที่อยู่ในซอกสุดทางของระเบึยง

 
"ตัวอย่างที่ต้องทิ้งไว้ข้ามคืน"
 

"นี่คุณ ตัวอย่างตะกอนของคุณเพื่อนคุณเขาเอาไปชั่งน้ำหนักตั้งแต่ตอนเช้าแล้วนะ"

การสอนแลปนิสิตปี ๒ นี่ทำให้ได้รับรู้เรื่องราวอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง รวมทั้งเหตุการณ์ที่นิสิตที่เข้าภาควิชามานั้นมาเรียนปี ๒ ได้เพียงปีเดียวก็เสียชีวิต มีทั้งการเสียชีวิตในขณะที่อยู่ระหว่างภาคการศึกษา (ประเภทที่เรียกว่าสัปดาห์นี้ยังสอนแลปกันอยู่ พอสัปดาห์หน้าต้องไปงานศพแทน) และที่เสียชีวิตก่อนที่จะขึ้นปี ๓ (อาจารย์ที่ไม่ได้สอนนิสิตปี ๓ ก็เลยมักจะไม่รู้จักนิสิตที่ไม่ได้ขึ้นเรียนปี ๓)
 
การทดลองของนิสิตปี ๒ บางการทดลองนั้นก็ต้องทิ้งตัวอย่างไว้ข้ามคืน เช่นการอบตัวอย่างให้แห้งก่อนนำไปชั่งน้ำหนักและบันทึกผลการทดลอง เช่นการหาน้ำหนักตะกอน แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยมาเก็บผล ตอนทำแลปก็ทำกันเป็นกลุ่ม แต่ตอนชั่งน้ำหนักตัวอย่างนั้นส่งเฉพาะแค่ตัวแทนมาเพียงคนเดียวก็พอ