เวลาสอนเคมีอินทรีย์
ผมมักจะบอกกับนิสิตเสมอว่า
สารใดจะทำปฏิกิริยาใดได้บ้างนั้น
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าสารนั้นมีชื่อว่าอะไร
แต่ขึ้นอยู่กับว่ามันมี
"หมู่ฟังก์ชัน"
อะไรอยู่บ้าง
และในการทำปฏิกิริยาก็อย่าเพียงแค่มองเฉพาะปฏิกิริยาที่ต้องการ
แต่ให้คำนึงถึงปฏิกิริยาอื่นที่มีโอกาสเกิดขึ้นด้วย
การเรียกชื่อสารอินทรีย์นั้น
ระบบดั้งเดิมก็อาศัยแหล่งที่มาหรือไม่ก็คุณสมบัติทางเคมีของมันเป็นหลัก
ต่อมาก็มีความพยายามจัดระเบียบวิธีการเรียกชื่อใหม่โดยอาศัยลำดับความสำคัญของหมู่ฟังก์ชันเป็นหลัก
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สารบางตัวมีชื่อเรียกที่อาจทำให้ผู้เรียนในปัจจุบันสับสนได้ว่าตกลงว่ามันเป็นสารในกลุ่มใด
เช่นพอมีการกล่าวถึงสารอินทรีย์ที่มีฤทธิ์เป็นกรด
ก็มักจะนึกถึงแต่หมู่คาร์บอกซิล
(-COOH)
แต่ก็มีอยู่หลายสารเหมือนกันที่มีหมู่ฟังก์ชันอื่นที่ไม่ใช่หมู่คาร์บอกซิล
แต่ก็สามารถแสดงฤทธิ์เป็นกรดได้เทียบเคียงกัน
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือฟีนอล
(Phenol
C6H5-OH) ที่มีหมู่ฟังก์ชันคือหมู่ไฮดรอกซิล
(-OH)
แต่ฟีนอลนี้ก็มีชื่อเก่าอีกชื่อคือกรดคาร์บอลิก
(Carbolic
acid) ด้วยเหตุที่ว่ามันมีฤทธิ์เป็นกรดที่ชัดเจน
คือสามารถสะเทินไอออนไฮดรอกไซด์
(OH-)
ได้
มาวันนี้ก็จะขอยกตัวอย่างสารอินทรีย์อีกตัวหนึ่งที่มีชื่อว่าเป็น
"กรด"
ทั้ง
ๆ ที่โครงสร้างโมเลกุลของมันเองไม่มีหมู่คาร์บอกซิลเลย
คือกรดบาร์บิทูริก (Barbituric
acid)
อัลดีไฮด์หรือคีโตนที่มีอัลฟาไฮโดรเจนอะตอม
สามารถที่จะเกิดปฏิกิริยา
aldol
condensation กับโมเลกุอัลดีไฮด์หรือคีโตนอีกโมเลกุลหนึ่ง
(โดยที่โมเลกุลที่สองนี้ไม่จำเป็นต้องมีอัลฟาไฮโดรเจนอะตอม)
โดยมีเบสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
กลายเป็นสารประกอบเบต้าไฮดรอกซีอัลดีไฮด์หรือเบต้าไฮดรอกซีคีโตนได้
ตัวอย่างเช่นปฏิกิริยาระหว่างอะเซทัลดีไฮด์
(acetaldehyde
ตัวที่มีอัลฟาไฮโดรเจนอะตอม)
และฟอร์มัลดีไฮด์
(formaldehyde
ตัวที่ไม่มีอัลฟาไฮโดรเจนอะตอม)
ที่ได้ผลิตภัณฑ์คือ
3-Hydroxy
propionaldehyde (รูปที่
๑)
ในความเป็นจริงนั้นอะเซทัลดีไฮด์สามารถเกิดปฏิกิริยา
aldol
condensation ระหว่างโมเลกุลของมันเองได้ด้วย
ดังนั้นถ้าเราไม่ต้องการใช้อะเซทัลดีไฮด์เกิดปฏิกิริยาระหว่างพวกมันเอง
ก็ต้องหาทางลดโอกาสที่โมเลกุลอะเซทัลดีไฮด์จะเจอกันเอง
วิธีการหนึ่งก็คือการค่อย
ๆ เติมอะเซทัลดีไฮด์ลงไปในฟอร์มัลดีไฮด์ในขณะที่ทำการปั่นกวน
รูปที่
๑ ตัวอย่างเส้นทางการสังเคราะห์กรดบาร์บิทูริก
(Barbituric)
และจะว่าไปแล้ว
โมเลกุล 3-Hydroxy
propionaldehyde
ที่เกิดขึ้นก็ยังคงมีอัลฟาไฮโดรเจนอะตอมที่สามารถเกิดปฏิกิริยา
aldol
condensation ได้กับทั้งฟอร์มัลดีไฮด์และอะเซทัลดีไฮด์
กลายเป็นโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้นไปอีก
ตรงนี้คงต้องขึ้นอยู่กับการปรับแต่งสภาวะที่ใช้ในการทำปฏิกิริยาว่าต้องการหยุดเพียงแค่
3-Hydroxy
propionaldehyde หรือต้องการโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้นไปอีก
3-Hydroxy propionaldehyde มีหมู่ฟังก์ชันที่มีความว่องไวสูง
(แต่ไม่เท่ากัน)
อยู่สองหมู่คือหมู่ไฮดรอกซิล
(-OH)
และหมู่อัลดีไฮด์
(-C(O)H)
อยู่ที่ปลายโซ่คนละด้านกัน
ถ้าทำการรีดิวซ์หมู่อัลดีไฮด์ก็จะได้สารประกอบ
1,3-Propanediol
ถ้าทำการออกซิไดซ์หมู่อัลดีไฮด์ด้วยตัวออกซิไดซ์ที่เลือกออกซิไดซ์เฉพาะหมู่อัลดีไฮด์ก็จะได้สารประกอบ
3-Hydroxy
propionic acid แต่ถ้าทำการออกซิไดซ์ด้วยตัวออกซิไดซ์ที่แรงพอ
ทั้งหมู่ไฮดรอกซิลและอัลดีไฮด์ก็จะกลายเป็นหมู่คาร์บอกซิล
จะได้สารประกอบที่มีชื่อว่ากรดมาโลนิก
(malonic
acid)
(ตัวอย่างตัวออกซิไดซ์ที่เลือกออกซิไดซ์เฉพาะหมู่อัลดีไฮด์โดยไม่ไปออกซิไดซ์หมู่ไฮดรอกซิลได้แก่สารละลาย
Fehling
และสารละลาย
Benedict
ที่ใช้ในการทดสอบการมีอยู่ของ
reducing
sugar โดยใช้
Cu2+
เป็นตัวออกซิไดซ์
แต่ดูแล้วไม่น่าจะเหมาะที่จะนำมาใช้กับการผลิตในระดับอุตสาหกรรมเท่าใดนัก)
กรดมาโลนิกนี้มีหมู่เมทิลีน
(-CH2-)
หนึ่งหมู่อยู่ที่ตรงกลางสายโซ่
แม้ว่าหมู่นี้จะมีความว่องไวต่ำกว่าหมู่คาร์บอกซิล
แต่ก็เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนอะตอม
H
ของหมู่นี้ให้กลายเป็นอะตอมเฮไลด์
จากนั้นจึงค่อยแทนที่อะตอมเฮไลด์ด้วยหมู่อื่นอีกที
(ซึ่งอาจเป็นหมู่อัลคิลก็ได้)
รูปที่
๒
ตัวอย่างสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์กรดมาโลนิก
(malonic
acid) ด้วยการออกซิไดซ์
3-hydroxy
propionaldehye หรือ
3-hydroxy
propionic acid
อะตอม
C
ของหมู่คาร์บอนิล
(-C(O)-)
มีความเป็นขั้วบวก
สามารถที่จะทำปฏิกิริยากับ
nucleophile
เช่นอะตอม
N
ที่ยังมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวเหลืออยู่ได้
แต่ในกรณีของหมู่คาร์บอกซิล
(HO-C(O)-)
นั้น
อะตอม H
ก็สามารถทำปฏิกิริยากับ
nucleophile
ที่เป็นเบสลิวอิส
(Lewis
base) เช่นอะตอม
N
ที่ยังมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวเหลืออยู่ได้เช่นกัน
ดังนั้นถ้าเราเอาหมู่เอมีน
(amine
- NR1R2R3)
มาทำปฏิกิริยากับหมู่คาร์บอกซิล
อะตอม N
ของตัวเอมีนเองแทนที่จะเข้าทำปฏิกิริยากับอะตอม
C
ของหมู่คาร์บอนิลโดยตรง
ก็จะหันไปรับเอาโปรตอนของหมู่
-OH
แทน
ดังนั้นถ้าต้องการให้อะตอม
N
นั้นไปทำปฏิกิริยากับอะตอม
C
ของหมู่คาร์บอนิลโดยตรง
ก็ต้องหาทางเปลี่ยนอะตอม
H
หรือหมู่
-OH
ให้กลายเป็นหมู่อื่นก่อน
เข่นเปลี่ยนเป็นหมู่ acyl
halide หรือเอสเทอร์
เช่นถ้าเราเอากรดมาโลนิกมาปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชันกับเอทานอล
ก็จะได้สารประกอบเอสเทอร์ไดเอทิลมาโนเนต
(diethyl
malonate) และถ้านำไดเอทิลมาโลเนตนี้มาทำปฏิกิริยากับยูเรีย
(urea)
ก็จะได้สารประกอบที่มีชื่อว่ากรดบาร์บิทูริก
(barbituric)
ที่มีโครงสร้างโมเลกุลเป็นรูปหกเหลี่ยม
(รูปที่
๑)
ความเป็นกรดของกรดบาร์บิทูริกเกิดจากอัลฟาไฮโดรเจนอะตอมที่อยู่ระหว่างหมู่คาร์บอนิลสองหมู่
(อะตอม
H
สีแดงในรูปที่
๑)
ที่เป็นตัวทำให้อัลฟาไฮโดรเจนอะตอมมีความเป็นกรดเพิ่มมากขึ้นอันเป็นผลจากการเกิดเรโซแนนซ์ของอิเล็กตรอนที่ตำแหน่งนั้นเมื่อจ่าย
H+
ออกไป
กรดบาร์บิทูริกนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ปรากฏอยู่ในยากลุ่มบาร์บิทูเรต
(Barbiturate)
ที่ใช้รักษาอาการชัก
(Anticonvulsant)
ใช้เป็นยาคลายกังวล
(anxiolytics)
และเป็นยากดประสาท
(hypnotics)
ที่นำไปสู่อาการห่วงเหงาหาวนอนและเฉื่อยชาได้
ในประเทศไทยมีการเรียกยาตระกูลนี้ว่า
"เหล้าแห้ง"
(เพราะทำให้ผู้ที่รับประทานเข้าไปมีอาการคล้ายคนเมาเหล้า)
และถูกจัดให้เป็นยาควบคุมพิเศษเว้นแต่พวที่ถูกประกาศโดยกระทรวงสาธารณสุขว่าเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
ความแตกต่างของยาในกลุ่มนี้อยู่ตรงที่อะตอม
H
สองอะตอมของหมู่
-CH2-
ถูกแทนที่ด้วยหมู่อื่น
(ที่อาจเหมือนกันหรือแตกต่างกัน)
แค่นั้นเอง
รูปที่
๓
ตัวอย่างสิทธิบัตรประเทศสหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์กรดบาร์บิทูริก
(Barbituric
acid) หรืออนุพันธ์ของกรดบาร์บิทูริก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น