เพิ่งจะกู้ร่างผู้เสียชีวิตรายที่
๒ จากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ระบบ
Flare
ได้เพียงแค่สัปดาห์เดียว
ศพที่ ๓ ก็ตามมา
แถมสถานที่เกิดเหตุก็อยู่ติด
ๆ กันซะด้วย
การนำน้ำมันหนักมาแปรสภาพเป็นน้ำมันเบา
(ระดับเบนซินไปจนถึงดีเซล)
เป็นวิธีการหนึ่งในการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์
และยังช่วยตอบสนองความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น
การทำให้น้ำมันหนักที่มีโมเลกุลใหญ่นั้นกลายเป็นน้ำมันเบาต้องหาทางทำให้โมเลกุลของน้ำมันหนักนั้นแตกออกเป็นชิ้นเล็กลง
และปัจจัยหนึ่งที่สำคัญสำหรับกระบวนการดังกล่าวก็คือความร้อน
ความอิ่มตัวของน้ำมันนั้นดูได้จากสัดส่วนระหว่างอะตอม
H
ต่ออะตอม
C
ถ้าสัดส่วนอะตอม
H
ต่ออะตอม
C
มีค่าสูงก็แสดงว่าเป็นน้ำมันที่มีความอิ่มตัวสูง
แต่ถ้าสัดส่วนอะตอม H
ต่ออะตอม
C
มีค่าต่ำก็แสดงว่าเป็นน้ำมันที่มีความไม่อิ่มตัวสูง
เช่นอาจประกอบด้วยโครงสร้างที่เป็นวงแหวนอะโรมาติก
(aromatic)
อยู่เป็นจำนวนมาก
รูปที่
๑ สถานที่เกิดเหตุหลังเหตุการณ์สงบ
ในกรอบสีเหลี่ยมสีเหลืองคือตำแหน่งที่ตั้งของ
Low
pressure separator V306 ที่เกิดการระเบิดที่เหลือแต่ขาคอนกรีตที่ใช้วาง
vessel
คำว่า
"น้ำมันเบา"
และ
"น้ำมันหนัก"
นั้นมาจากกระบวนการกลั่นน้ำมันในหอกลั่น
โดยน้ำมันที่มีจุดเดือดต่ำจะกลายเป็นไอลอยขึ้นบนออกไปทางยอดหอกลั่น
ในขณะที่น้ำมันที่มีจุดเดือดสูงจะเป็นของเหลวไหลออกทางด้านล่างของหอกลั่น
เขาจึงเรียกน้ำมันที่มีจุดเดือดต่ำว่าน้ำมันเบา
(เพราะมันลอยขึ้น)
และที่มีจุดเดือดสูงว่าน้ำมันหนัก
(เพราะมันไหลลงล่าง)
สำหรับน้ำมันหนักที่มีความอิ่มตัวสูง
ที่องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นพวกพาราฟิน
(paraffin CnH2n+2)
หรือแนฟทีน
(naphthene
CnH2n)
การทำให้โมเลกุลเหล่านี้แตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลงทำได้ทั้งการใช้ความร้อนเพียงอย่างเดียวด้วยกระบวนการที่เรียกว่า
thermal
cracking
หรือใช้ความร้อนร่วมกับการใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เรียกว่ากระบวนการ
catalytic
cracking (ที่เป็นที่รู้จักและใช้กันมากที่สุดในปัจจุบันคือรูปแบบ
fluidised-bed
catalytic cracking หรือที่เรียกย่อ
ๆ ว่า FCC)
ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขื้นจากกระบวนการเหล่านี้จะมีส่วนที่เป็นองค์ประกอบที่ไม่อิ่มตัว
(พวกที่มีพันธะ
C=C)
เกิดขึ้นรวมอยู่ด้วยเสมอ
และถ้าโมเลกุลที่เกิดจากการแตกตัวครั้งแรกมีการแตกตัวย่อยลงไปอีก
สัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีความไม่อิ่มตัวนี้ก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย
ๆ
สำหรับน้ำมันหนักที่มีความไม่อิ่มตัวสูงเช่นพวกที่มีองค์ประกอบเป็น
polyaromatic
ring (วงแหวนเบนซีนหลายวงต่อเข้าด้วยกัน)
การใช้ความร้อนเพียงอย่างเดียวจะยากที่จะทำให้โมเลกุลเหล่านี้แตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลง
(ก็มันไม่มีทางที่จะแตกออกเป็นโมเลกุลที่เล็กลงที่มีไม่อิ่มตัวสูงขึ้นไปอีก)
การที่จะทำให้โมเลกุลพวก
polyaromatic
ring
นี้แตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลงจำเป็นต้องมีการเติมไฮโดรเจนให้กับโมเลกุลเหล่านี้ก่อน
(เรียกว่าปฏิกิริยาการเติมไฮโดรเจนหรือ
hydrogenation)
เพื่อให้มันกลายเป็นไฮโดรคาร์บอนที่มีความอิ่มตัวสูงขึ้นก่อน
จากนั้นจึงค่อยทำให้โมเลกุลไฮโดรคาร์บอนที่มีความอิ่มตัวสูงขึ้นนี้แตกออกเป็นโมเลกุลที่เล็กลง
โดยใช้ความร้อนร่วมกับการเติมไฮโดรเจน
(ที่ป้อนเข้าไปในรูปของแก๊สไฮโดรเจน)
และใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาช่วย
ปฏิกิริยานี้เรียกว่า
hydrocracking
แต่น้ำมันหนักมักจะมีสารประกอบอินทรีย์ของกำมะถัน
(S)
และไนโตรเจน
(N)
ปะปนมาเสมอ
(โดยกำมะถันมักจะเป็นตัวที่มีมากที่สุดและพบเป็นประจำ)
และบางทีก็อาจมีสารประกอบอินทรีย์ของออกซิเจน
(O)
และของโลหะบางชนิดเช่นวาเนเดียม
(V)
ปะปนมาด้วย
ปริมาณของสารอินทรีย์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของน้ำมัน
ยิ่งเป็นน้ำมันที่หนักมาก
(คือพวกที่มีจุดเดือดสูงมาก)
ก็มักจะมีความเข้มข้นของสารอินทรีย์เหล่านี้มากขึ้นตามไปด้วย
สารเหล่านี้อาจอยู่ในรูปโมเลกุลที่เป็นเส้น
เช่น mercaptan
(R-S-R') หรือ
dimercaptan
(R-S-S-R') หรือในโครงสร้างที่เป็นวงก็ได้
ดังตัวอย่างในรูปที่ ๒
ข้างล่าง
รูปที่
๒ ตัวอย่างของสารประกอบกำมะถัน
ไนโตรเจน และออกซิเจน
ที่พบได้ในน้ำมันหนัก
น้ำมันที่มีสารประกอบอินทรีย์ของกำมะถันและไนโตรเจน
ถ้านำไปเผาไหม้จะก่อให้เกิดแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์
(SO2)
และไนโตรเจนออกไซด์
(NOx)
แต่อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือสารเหล่านี้มีฤทธิ์เป็นเบสที่เป็นพิษต่อตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้ในกระบวนการปรับสภาพและ/หรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโมเลกุลของน้ำมันในกระบวนการผลิตขั้นตอนถัดไป
ทำให้มีความจำเป็นที่ต้องกำจัดสารเหล่านี้ออก
วิธีการกำจัดสารเหล่านี้กระทำได้โดยการให้สารเหล่านี้ทำปฏิกิริยากับแก๊สไฮโดรเจนภายใต้ความดันสูงและอุณหภูมิสูงโดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาช่วย
กระบวนการนี้เรียกว่า
hydrotreating
โดยกำมะถันจะถูกดึงออกไปในรูปของแก๊ส
H2S
(ด้วยปฏิกิริยา
hydrodesulphurisation
หรือย่อว่า
HDS)
และไนโตรเจนจะถูกดึงออกไปในรูปของแก๊ส
NH3
(ด้วยปฏิกิริยา
hydrodenitrogenation
หรือ
HDN)
ความเป็นเบสของสารประกอบอินทรีย์เหล่านี้คือความเป็นเบสแบบลิวอิส
(Lewis
base) คืออะตอม
S
N และ
O
มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
(lone
pair electron) ที่สามารถสะเทินความเป็นกรดของตัวเร่งปฏิกิริยา
(ที่อาจอยู่ในรูปของ
H+
หรือไอออนบวกของโลหะเช่น
Al3+)
ตัวอย่างของหน่วยที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นกรดได้แก่
catalytic
cracking
รูปที่
๓ เป็นแผนผังของหน่วย
hydrocracker
ของโรงกลั่นน้ำมัน
BP
Oil Refinery ที่เมือง
Grangemouth
ที่เกิดการระเบิด
หน่วยนี้ประกอบด้วยเครื่องปฏิกรณ์ชนิดเบดนิ่ง
(fixed-bed
reactor) จำนวน
๔ ตัว ที่แต่ละตัววางตั้งในแนวดิ่ง
ทำงานภายใต้บรรยากาศของแก๊สไฮโดรเจนที่ความดัน
155
bar อุณหภูมิ
350ºC
น้ำมันจะถูกป้อนมาเก็บไว้ยัง
feed
surge drum V308 ด้วยอัตราการไหลประมาณ
3500
l/min ก่อนจะป้อนเข้าสู่เครื่องปฏิกรณ์
"surge
drum"
เป็นถังพักที่ช่วยดูดซับความแปรปรวนของหน่วยหนึ่งไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหน่วยที่อยู่ในขั้นตอนติดกัน
เช่นหน่วย A
อาจมีการทำงานที่ไม่คงที่
แต่หน่วย B
ที่อยู่ถัดไปต้องการการทำงานคงที่
หรือในทางกลับกันคือหน่วย
A
มีการทำงานที่คงที่
แต่หน่วย ฺB
ที่อยู่ถัดไปมีการทำงานที่ไม่คงที่
ตัวอย่างเช่นสมมุติว่ากระบวนการ
B
นั้นต้องการให้เดินเครื่องที่สภาวะคงตัวที่อัตรา
3500
l/min แต่กระบวนการ
A
ที่อยู่ต้นทางนั้นที่ป้อนวัตถุดิบให้นั้นมีการเดินเครื่องที่เปลี่ยนแปลงในช่วง
2000-5000
l/min ในกรณีเช่นนี้การติดตั้ง
surge
drum ที่มีความจุที่เหมาะสมที่ทำหน้าที่รองรับวัตถุดิบที่มาจากกระบวนการ
A
จะช่วยป้องกันไม่ให้อัตราการไหลที่ไม่คงที่ของหน่วย
A
ส่งผล
กระทบต่อการทำงานของหน่วย
B
ได้
(อย่างน้อยก็เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง)
กล่าวคือถ้าหน่วย
A
ป้อนสารมาด้วยอัตราที่ต่ำกว่าที่หน่วย
B
ต้องการ
หน่วย B
ก็จะดึงสารที่อยู่ใน
surge
drum มาใช้
และในทางกลับกันถ้าสารที่มาจากหน่วย
A
สูงเกินกว่าความสามารถของหน่วย
B
ดึงไปใช้ได้
สารนั้นก็จะถูกสะสมไว้ใน
surge
drum
"fixed-bed
reactor"
ในที่นี้หมายถึงเครื่องปฏิกรณ์ที่บรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาของแข็งเอาไว้ข้างใน
โดยตัวเร่งปฏิกิริยานั้นอยู่กับที่
ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
แบบเดียวกับเครื่องกรองน้ำที่มีการบรรจุเรซินหรือสารดูดซับเอาไว้ข้างใน
แต่การทำงานของระบบ hydrocracker
นี้เป็นการทำงานในระบบ
๓ เฟสด้วยกัน คือตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นของแข็ง
น้ำมันที่เป็นของเหลว
และไฮโดรเจนที่เป็นแก๊ส
รูปแบบการทำงานแบบ ๓
เฟสนี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า
"trickle
bed reactor"
ที่จะมีการป้อนของเหลวจากบนลงล่างให้ไหลผ่านชั้นตัวเร่งปฏิกิริยา
ส่วนแก๊สนั้นอาจจะไหลจากบนลงล่างหรือล่างขึ้นบนก็ขึ้นอยู่กับการออกแบบ
ระบบนี้แตกต่างจาก fixed-bed
reactor ทั่วไปที่ใน
fixed-bed
reactor
นั้นเฟสที่ไหลผ่านชั้นของแข็งนั้นจะเป็นเฟสแก๊สหรือของเหลวเพียงเฟสเดียว
อุณหภูมิของเครื่องปฏิกรณ์จะถูกควบคุมเอาไว้ไม่ให้สูงเกินกว่า
425ºC
(ในรายงานเรียกว่าอุณหภูมิ
tempetature
cut out หรือ
TOC)
และเมื่ออุณหภูมิสูงถึงระดับนี้ระบบจะหยุดการทำงานด้วยการหยุดการป้อนสารตั้งต้นและระบายความดันออกสูงระบบ
flare
แต่ยังคงทำการหมุนเวียนแก๊สไฮโดรเจนเพื่อช่วยระบายความร้อนออกจากาเบดตัวเร่งปฏิกิริยา
รูปที่
๓ ผังการทำงานของหน่วยHydrocracker
ที่เกิดการระเบิด
ในรายงานไม่ได้กล่าวเอาไว้ว่า
hydrotreating
ทั้งสองหน่วย
(V301
และ
V302)
ทำหน้าที่อะไร
แต่เดาว่าตัวหนึ่งน่าจะเป็นหน่วยกำจัดสารประกอบกำมะถัน
และอีกตัวหนึ่งเป็นหน่วยกำจัดสารประกอบไนโตรเจน
น้ำมันที่ออกจากกระบวนการ
hydrocracking
จะไหลผ่านระบบเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนเพื่อนำกลับพลังงานความร้อนไปใช้ประโยชน์
ก่อนที่จะไหลเข้าสู่ถังแยกน้ำมัน-ไฮโดรเจนความดันสูงที่เป็นถังวางตั้งในแนวดิ่ง
(V305)
ที่อุณหภูมิประมาณ
50ºC
ณ
ถังแยกนี้แก๊สไฮโดรเจนจะลอยตัวขึ้นบนก่อนถูกคอมเพรสเซอร์
(C301)
ดูดเพื่อนำกลับไปใช้ทำปฏิกิริยาใหม่พร้อมกับไฮโดรเจนที่ป้อนเข้ามาเพิ่มเติม
ตัวคอมเพรสเซอร์ C301
นี้จะเกิดการสั่นอย่างรุนแรงถ้าหากผลต่างความดันระหว่างด้านขาเข้าและด้านขาออกนั้นมากเกินไป
ดังนั้นถ้าพบว่าคอมเพรสเซอร์มีการสั่นมากเกินไปก็จะต้องหยุดการทำงานของคอมเพรสเซอร์เพื่อป้องกันความเสียทาย
centrifugal
compressor ใช้การเพิ่มพลังงานจลน์ให้กับแก๊สที่ถูกเหวี่ยงออกไปจากใบพัด
แล้วให้พลังงานจลน์ที่แก๊สได้รับไปนั้นเปลี่ยนเป็นความดันอีกทีหนึ่ง
(แบบเดียวกันกับปั๊มหอยโข่ง)
เนื่องจากความเร็วรอบการหมุนของใบพัดที่หมุนเหวี่ยงแก๊สออกไปนั้นคงที่
(ถ้าใช้
induction
motor เป็นตัวขับเคลื่อนคอมเพรสเซอร์
ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้กัน)
ดังนั้นพลังงานจลน์ของแก๊สที่ถูกเหวี่ยงออกไปนั้นจึงขึ้นกับความหนาแน่นของแก๊ส
ที่อุณหภูมิและความดันค่าหนึ่งความหนาแน่นของแก๊สจะเพิ่มตามน้ำหนักโมเลกุล
แก๊สที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูงจะมีพลังงานจลน์ที่สูงกว่าแก๊สที่มีน้ำหนักโมเลกุลที่ต่ำกว่า
ดังนั้นถ้าหากออกแบบ
centrifugal
compressor ให้ทำงานกับแก๊สที่มีน้ำหนักโมเลกุลค่าหนึ่ง
ถ้าหากแก๊สที่ไหลเข้ามานั้นมีน้ำหนักโมเลกุลที่ลดต่ำกว่าค่าที่ออกแบบไว้มากเกินไป
ก็จะเกิดปัญหาในการทำงานของคอมเพรสเซอร์ตัวนั้นได้เพราะความดันของแก๊สที่ถูกเหวี่ยงออกไปที่ขอบใบพัดนั้นต่ำกว่าความดันด้านขาออก
ปรากฏการณ์นี้จะทำให้แก๊สด้านขาออกมีการไหลย้อนเข้ามาในตัวใบพัด
ในขณะที่ใบพัดพยายามที่จะเหวี่ยงแก๊สที่ดูดเข้ามานั้นออกไป
ผลก็คือจะเกิดการสั่นอย่างรุนแรงขึ้นได้ที่เรียกว่าเกิด
surging
(ดูรูปที่
๔ ข้างล่างประกอบ)
รูปที่
๔ แก๊สไหลเข้า impeller
ที่ตำแหน่ง
1
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่แก๊สมีพลังงานจลน์ต่ำสุด
และในขณะที่แก๊สไหลมาตามตัว
impeller
(ตำแหน่ง
2)
แก๊สจะมีพลังงานจลน์เพิ่มมากขึ้นอันเป็นผลเนื่องจากการหมุนของ
impeller
และเมื่อไหลมาถึงตำแหน่ง
3
ที่เป็นทางออก
แก๊สจะมีพลังงานจลน์มากที่สุด
ถ้าหากพลังงานจลน์ของแก๊สที่ตำแหน่ง
3
นี้เมื่อเปลี่ยนเป็นความดันแล้วมีค่าสูงกว่าความดันต้านทานด้านขาออก
แก๊สก็จะไหลออกจาก impeller
ไปได้
แต่ถ้าพลังงานจลน์ของแก๊สที่ตำแหน่ง
3
นี้เมื่อเปลี่ยนเป็นความดันแล้วมีค่าต่ำกว่าความดันต้านทานด้านขาออก
แก๊สด้านขาออกก็จะไหลย้อนเข้ามาในตัว
impeller
ได้
และเมื่อแก๊สด้านขาออกขยายตัวด้วยการไหลย้อนเข้ามาในตัว
impeller
ความดันต้านทานด้านขาออกก็จะลดต่ำลง
แก๊สใน impeller
ก็จะไหลออกไปยังด้านขาออกได้ใหม่
แก๊สด้านขาออกก็จะถูกอัดตัวอีกครั้งทำให้มีความดันสูงขึ้น
และถ้าพลังงานจลน์ของแก๊สที่ตำแหน่ง
3
ไม่สามารถเอาชนะความดันด้านขาออกได้
ก็จะเกิดการไหลย้อนเข้ามาในตัว
impeller
ใหม่อีกครั้ง
ถ้าปรากฏการณ์ไหลออก-ไหลย้อนนี้เกิดสลับไปมาเรื่อย
ๆ ก็จะทำให้ตัว impeller
เกิดการสั่นขึ้น (วาดขึ้นใหม่โดยอิงจาก
https://www.enggcyclopedia.com/2012/01/centrifugal-compressor-surge/)
ในระหว่างขั้นตอน
hydrotreating
และ
hydrocracking
จะมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นแก๊สเกิดขึ้นด้วย
(ได้แก่
H2S
และไฮโดรคาร์บอนเบา)
โดยแก๊สส่วนหนึ่งจะยังคงละลายอยู่ในส่วนที่เป็นของเหลว
น้ำมันที่ผ่านการแยกเอาแก๊สออกที่
V305
จะไหลลงสู่ถังแยกน้ำมัน-ไฮโดรเจนความดันต่ำที่เป็นถังวางในแนวนอน
(V306)
ทำงานที่ความดันประมาณ
9
bar
ที่ถังนี้จะมีแก๊สไฮโดรเจนและไฮโดรคาร์บอนเบาระเหยออกมาจากน้ำมันเพิ่มอีกอันเป็นผลจากความดันที่ลดต่ำลง
ของเหลวที่ออกจากถังแยก
V306
นี้จะถูกส่งเข้าระบบเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนก่อนป้อนเข้าสู่หน่วยกลั่นแยกเพื่อแยกเอาผลิตภัณฑ์ที่ได้ออก
และนำกลับน้ำมันส่วนที่ยังไม่ทำปฏิกิริยามาทำปฏิกิริยาใหม่
ส่วนแก๊สที่ออกจากถังแยก
V306
จะถูกส่งต่อไปยังหน่วยกำจัดกำมะถันต่อไป
(กำมะถันควรอยู่ในรูปแก๊ส
H2S
และใช้สารละลาย
amine
ที่เป็นเบสดักจับ)
รูปที่
๕ รายละเอียดของถังแยกแก๊ส-ของเหลว
V305
(ถังความดันสูง)
และ
V306
(ถังความดันต่ำ)
มาถึงจุดนี้ก็หวังว่าคงจะพอมองเห็นภาพการทำงานของหน่วย
hydrocracker
ของโรงงานนี้กันบ้างแล้ว
ตอนต่อไปจะมาดูกันว่าก่อนเกิดการระเบิดนั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น