ตอนที่
๓ ก็ต้องว่ากันด้วยเกณฑ์ข้อที่สามของ
Lercher
และคณะที่กล่าวไว้
"Probe
molecule ควรที่จะสามารถแยกแยะระหว่างตำแหน่งที่เป็นกรดชนิดเดียวกัน
แต่มีความแรงที่แตกต่างกัน
ออกจากกันได้"
(และเช่นเดิม
คือผมไมได้แปลถอดศัพท์ออกมาตรง
ๆ แต่สรุปใจความขึ้นมาใหม่โดยยังคงความหมายเดิม)
กล่าวคือ
ถ้าหากลงเกาะบนตำแหน่งกรด
Brönsted/Lewis
ที่มีความแรงแตกต่างกัน
ก็ควรแสดงค่าการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดที่ความยาวคลื่นที่แตกต่างกันด้วย
ถ้าได้อย่างนี้ก็ดีเลยครับ
แค่ให้ probe
molecule ลงไปเกาะบนพื้นผิวและวัดการดูดกลืนรังสีอินฟราเรด
ก็สามารถทราบทั้งปริมาณ
(จากการดูดกลืนรังสี)
และความแรง
(จากการเปลี่ยนตำแหน่งความยาวคลื่นที่ถูกดูดกลืน)
แต่ในความเป็นจริงนั้นมันจะทำได้ง่ายอย่างนั้นหรือเปล่า
เพราะถ้ามันทำได้ง่ายอย่างนั้นจริง
แล้วทำไมการวัดความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวในปัจจุบันยังคงอาศัยเทคนิค
temperature
programmed desorption ของ
NH3
เป็นหลักอยู่
เพื่อที่จะให้เห็นภาพตรงนี้ได้ชัดขึ้น
ก็เลยต้องขอนำบทความในรูปที่
๑ มาประกอบการสนทนาในวันนี้
รูปที่
๑ บทความที่นำมาประกอบ
Memoir
ฉบับนี้
เขาบอกว่าใช้ support
เป็น
MgO-Al2O3
และใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาเป็น
NiSn/MgO-Al2O3
รูปที่
๒ เป็นแบบจำลองการดูดซับไพริดีนบนตำแหน่งกรด
Lewis
รูปแบบต่าง
ๆ พร้อมกับให้เลขคลื่นอินฟราเรดสำหรับแต่ละรูปแบบการดูดซับเอาไว้
สิ่งแรกที่อยากให้สังเกตคือมีการนำเสนอการดูดซับลงบนตำแหน่งโครงสร้างที่เหมือนกันคือ
Al3+
ที่มีไอออนแวดล้อมแบบเดียวกัน
(ตรง
A,
B และ
C)
แต่ให้เลขคลื่นการดูดซับที่แตกต่างกัน
สิ่งที่อยากให้สังเกตก็คือความแตกต่างกันของเลขคลื่นที่ไม่มาก
บางตำแหน่งแค่ 2
cm-1 เท่านั้นเอง
ส่วนรูปที่
๓ เป็นตัวอย่างหนึ่งของสเปกตรัมการดูดกลืนอินฟราเรดที่ยกมา
โดยรูปบนเป็นรูปเมื่อเริ่มให้ทำการดูดซับ
ส่วนรูปล่างเป็นรูปที่เมื่อทำสุญญากาศ
(เพื่อกำจัดไพริดีนที่ไม่จับกับตำแหน่งที่เป็นกรดออกไป)
และเมื่อเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้น
(เพื่อดูว่าตำแหน่งที่เป็นกรดนั้นมีความแรงแค่ไหน)
ตรงนี้ไล่สัญญลักษณ์เส้น
a-i
เอาเอานะครับว่ามีครบหรือเปล่า
(คือคำบรรยายรูปบอกว่ามี
แต่ในรูปนั้นกลับให้เดาเอาเองว่าเส้นไหนควรเป็นของอะไร
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าปล่อยผ่านมาได้อย่างไรจนถึงขึ้นตอนการตีพิมพ์)
รูปที่
๒
แบบจำลองโครงสร้างพื้นผิวและเลขคลื่นการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดของไพริดีนที่ลงไปเกาะยังตำแหน่งกรด
Lewis
ต่าง
ๆ รูปนี้นำมาจากรูปที่ 9
ของบทความในรูปที่
๑
ในการทดลองนี้
ให้ความร้อนแก่ตัวอย่างไปจนถึงอุณหภูมิ
600ºC
และคงไว้ที่อุณหภูมิดังกล่าวนาน
1
ชั่วโมง
ตามด้วยการปล่อยให้เย็นตัวในสุญญากาศ
ก่อนจะให้ตัวอย่างเริ่มทำการดูดซับไพริดีน
ด้วยการเตรียมตัวอย่างแบบนี้จึงไม่แปลกที่จะทำให้ตัวอย่างสูญเสียหมู่
-OH
หรือตำแหน่งกรด
Brönsted
ไปมากเนื่องจากการ
"สลายตัว"
กลายเป็นตำแหน่งกรด
Lewis
แทน
(ตำแหน่งพีคไพริดีนที่เลขคลื่น
1540
cm-1 ที่แสดงการดูดซับของไพริดีนบนตำแหน่งกรด
Brönsted
ไม่ปรากฏให้เห็น)
ประเด็นนี้เป็นปัญหาหนึ่งของการวัดชนิดกรดบนพื้นผิวของแข็ง
เพราะปริมาณตำแหน่งกรด
Brönsted
หรือ
Lewis
นั้นเปลี่ยนแปลงได้ตามอุณหภูมิและเวลาที่ใช้เตรียมตัวอย่างอย่าง
ยิ่งใช้อุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน
ก็ยิ่งทำให้กรด Brönsted
เปลี่ยนไปเป็นกรด
Lewis
มากขึ้น
ณ
จุดนี้มีบางประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจกันหน่อย
เรื่องแรกคือกรดที่ "สลายตัว"
ได้ที่อุณหภูมิต่ำกว่าไม่ได้แปลว่ามันเป็นกรดที่มี
"ความแรง"
ที่ต่ำกว่ากรดที่ทนอุณหภูมิสูงกว่าได้
เรื่องที่สองคือมีบางงานวิจัยพยายามหาว่าปฏิกิริยากำลังศึกษานั้นชอบที่จะเกิดบนตำแหน่งกรด
Brönsted
หรือ
Lewis
ซึ่งตรงนี้มันมีวิธีการทดสอบได้
2
วิธี
วิธีการแรกนั้นทำได้ด้วยการทำปฏิกิริยาที่ต้องการ
แต่เลือกเติมเบสที่เข้าไปเลือกสะเทินกรดรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
เช่นการเลือกเติม
2,6-di-tert-butylpyridine
ที่เลือกจะสะเทินเฉพาะตำแหน่งกรด
Brönsted
เป็นหลัก
แล้วดูว่าเมื่อพื้นผิวมีแต่กรด
Lewis
เหลืออยู่
การเกิดปฏิกิริยาจะเป็นอย่างไร
ดังตัวอย่างที่ยกมาให้ดูในตอนที่แล้วเมื่อวันอังคารที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา
วิธีที่สองใช้เทคนิคทางด้านอินฟราเรดคือให้ตัวเร่งปฏิกิริยาดูดซับ
probe
molecule (เช่น
NH3
หรือไพริดีน)
แล้วดูว่าพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาประกอบด้วยกรดแบบไหนโดยดูจากรูปแบบการสั่นของ
probe
molecule แต่วิธีนี้มันมีข้อพึงระวังคือ
ปริมาณกรด Brönsted
ที่มีอยู่บนพื้นผิวก่อนเริ่มทำการวัดนั้นมันขึ้นอยู่กับวิธีการเตรียมตัวอย่างก่อนให้พื้นผิวดูดซับ
probe
molecule ซึ่งจะเรียกว่าผลแลปตรงนี้มันแต่งกันได้ก็ไม่น่าจะผิด
และสภาวะที่ใช้ในการวัดนั้น
(ซึ่งมักกระทำในสุญญากาศและไม่มีความชื้นนั้น)
มักจะแตกต่างไปจากสภาพการทำปฏิกิริยาจริง
(ที่อาจมีไอน้ำร่วม
และไอน้ำนี้ส่งผลต่อสมดุลการเกิด-การสลายตัวของกรด
Brönsted)
การนำผลการวิเคราะห์ในสภาวะที่แตกต่างไปจากการทำปฏิกิริยาจริง
ไปใช้เพื่ออธิบายการเกิดปฏิกิริยาในสภาพการทำงานจริง
จึงควรต้องใช้ความระมัดระวัง
การที่จะบอกว่าสิ่งที่เห็นนั้นมีความแตกต่างกันหรือไม่นั้น
ต้องไปดูที่ค่า resolution
ของการวัด
ค่า resolution
บ่งบอกถึงความสามารถของเครื่องมือที่จะแยกแยะความแตกต่างได้ถ้าหากความแตกต่างนั้นมีค่ามากเกินกว่าระดับหนึ่ง
ตรงนี้ถ้ามองภาพไม่ออกขอให้นึกภาพเครื่องชั่งน้ำหนัก
เครื่องชั่งกิโลขายของตามท้องตลาด
ถ้าเราเอากระดาษ A4
วางเพียงแค่แผ่นเดียวเข็มตาชั่งก็ไม่กระดิกให้เห็น
เอามาวางเพิ่มอีกแผ่นก็ยังไม่เห็นน้ำหนักเปลี่ยน
ต้องเอามาวางเป็นจำนวนมากจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลง
แต่ถ้าเป็นเครื่องชั่งสารเคมีในห้องปฏิบัติการที่มีความละเอียดสูง
ความแตกต่างเพียงแค่น้ำหนักเศษกระดาษเพียงชิ้นเล็ก
ๆ ก็สามารถมองเห็นได้แล้ว
ที่เคยเจอนั้น
อุปกรณ์บางชนิด ค่า resolution
ที่ดีที่สุด
(คือสามารถมองเห็นความแตกต่างเพียงเล็กน้อยได้)
ขึ้นอยู่กับความไวของตัวตรวจวัด
ในขณะที่อุปกรณ์บางชนิด
ค่า resolution
ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับพารามิเตอร์ที่ใช้ในระหว่างการวัด
อย่างเช่นเครื่อง FT-IR
ของ
Nicolet
ที่เคยใช้นั้น
(ตอนนี้มันกลายเป็น
Thermo
Nicolet ไปแล้ว)
สามารถตั้งได้ว่าจะให้ผลที่วัดได้นั้นมีค่า
resolution
เท่าใด
ซึ่งตรงนี้จำเป็นสำหรับการวิเคราะห์ผล
เพราะบ่อยครั้งที่พบว่านิสิตที่ทำวิจัยนั้นบอกว่าค่าที่วัดได้นั้นมีความแตกต่างกัน
แต่พอถามว่าทำการวัดที่
resolution
เท่าใดก็ตอบไม่ได้
เพราะไม่ได้วัดเอง
ส่งตัวอย่างให้คนอื่นวัด
และไม่รู้ด้วยว่ามันต้องมีการปรับตั้งค่านี้
การวัดเพื่อให้ได้ค่า
resolution
สูงจะใช้เวลาวัดนานขึ้น
(ทำให้คนวิเคราะห์ไม่ค่อยชอบ
เพราะทำให้งานเขาเสร็จช้า)
ไม่ว่าจำนวนรอบการวัดที่ต้องทำซ้ำมากขึ้น
หรือต้องลดความเร็วในการเคลื่อนที่ของ
moving
mirror ของ
interferometer
ให้ช้าลง
ทำให้รอบการวัดแต่ละรอบกินเวลานานมากขึ้นด้วย
รูปที่
๓
สเปกตรัมการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดของตัวอย่างหนึ่งของบทความในรูปที่
๑ บทความนี้เน้นแสดงแต่ผล
IR
โดยไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากนักของการเตรียมตัวอย่างและองค์ประกอบของตัวอย่างที่เตรียมได้จริง
แต่ได้ให้รายละเอียดของการวัดเอาไว้ว่าตั้งเครื่องวัดไว้โดยให้มีค่า
resolution
ที่ระดับ
2
cm-1
ผลที่เขานำมาแสดงในบทความนี้มีบางจุดที่ผมติดใจและบางจุดที่เห็นว่าน่าสนใจที่จะเอามาเป็นหัวข้อสนทนากัน
อย่างเช่นตำแหน่งการดูดกลืนของไพริดีนที่ดูดซับบนตำแหน่งกรด
Lewis
ที่ปรกติมักจะใช้ที่เลขคลื่นประมาณ
1445
cm-1
ซึ่งในผลการวัดที่เขารายงานมาก็แสดงพีคที่ตำแหน่งนี้อย่างเด่นชัด
แต่ในบทความนี้กลับเลือกที่จะไปพิจารณาตรงช่วงเลขคลื่นช่วง
1600-1650
cm-1 ที่เป็นบริเวณที่มีการซ้อนทับกันเยอะ
วิธีการที่ดีที่สุดในการระบุตำแหน่ง
"จุดสูงสุดของพีคแต่ละพีค"
ที่มีการซ้อนทับกันนั้น
วิธีการที่ดีที่สุดคือการทำ
peak
deconvolution ด้วยฟังก์ชันการกระจายตัวที่เหมาะสม
เพราะจะช่วยให้ระบุตำแหน่งพีคเล็กที่โดนพีคใหญ่บดบังจนเห็นเป็นเพียงแค่ไหล่หรือ
shoulder
ทางด้านข้างพีคใหญ่
และแม้แต่ตัวพีคที่มีขนาดใกล้เคียงกันที่เหลื่อมซ้อนทับกัน
ตำแหน่งจุดสูงสุดของพีคที่ปรากฏในเส้นพีครวมนั้นอาจแตกต่างไปจากตำแหน่งของพีคย่อยแต่ละพีคที่ประกอบรวมเข้าเป็นพีคใหญ่ได้
(ดูตัวอย่างเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ใน
Memoir
ปีที่
๕ ฉบับที่ ๕๐๘ วันเสาร์ที่
๒๒ กันยายน ๒๕๕๕ เรื่อง
"ความสัมพันธ์ระหว่างค่าการดูดกลืนแสง (Absorbance) กับความเข้มข้น")
และข้อมูลที่จะนำมาทำ
peak
deconvolution นั้นควรเป็นข้อมูลที่ได้จากการวัดที่ทำจนกระทั่งได้ค่า
signal
to noise ration สูงสุดเท่าที่จะทำได้
เพราะมีหลายครั้งเหมือนกันที่ผมเห็นนิสิตเอาผลการวัดที่เต็มไปด้วย
noise
มาทำ
peak
deconvolution ส่งผลให้ได้
peak
จำนวนมาก
(ซึ่งอันที่จริงมันคือ
noise)
ซึ่งก็ทำให้นิสิตบางรายมีปัญหาเพราะไม่สามารถอธิบายได้ว่าแต่ละพีคคืออะไร
แต่ก็มีหลายรายเหมือนกันที่ชอบเพราะทำให้เขาอ้างได้ว่ามีโน่นมีนี่เกิดขึ้น
และเป็นการค้นพบสิ่งใหม่ด้วย
ตัวอย่างปัญหาเหล่านี้เคยแสดงไว้ใน
Memoir
ปีที่
๑๐ ฉบับที่ ๑๕๒๕ วันอังคารที่
๖ มีนาคม ๒๕๖๑ เรื่อง
"รู้ทันนักวิจัย (๙) อยากให้มีพีคก็จัดให้ได้"
ปีที่
๑๐ ฉบับที่ ๑๕๓๙ วันจันทร์ที่
๒ เมษายน ๒๕๖๑ เรื่อง
"รู้ทันนักวิจัย (๑๐) อยากให้มีพีคก็จัดให้ได้ (๒)"
ปีที่
๑๐ ฉบับที่ ๑๕๗๓ วันเสาร์ที่
๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เรื่อง
"รู้ทันนักวิจัย (๑๔) แต่งผล XRD ด้วยการทำ Peak fitting ตอนที่ ๒ อยากจะให้อยู่ทางซ้ายหรือทางขวา"
จุดที่ผมเห็นว่าน่าสนใจในผลการทดลองของเขาก็คือรูปแบบการลดลงของพีคการดูดกลืน
เมื่อทำสุญญากาศและเพิ่มอุณหภูมิ
(เพื่อดึงไพริดีนออกจากพื้นผิว)
เช่นพีคตรงตำแหน่งเลขคลื่นประมาณ
1580
และที่ประมาณ
1450
cm-1 ซึ่งเมื่อทำสุญญากาศและเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นนั้น
พีคตรงตำแหน่งเลขคลื่นประมาณ
1580
cm-1
มีการลดต่ำลงโดยที่จุดยอดของพีคนั้นยังคงอยู่ที่ตำแหน่งเดิม
แต่ของพีคที่เลขคลื่น ประมาณ
1450
cm-1 (ที่ตำแหน่งการดูดกลืนของไพริดีนที่ดูดซับบนตำแหน่งกรด
Lewis)
กลับมีการเคลื่อนตัวมาทางด้านซ้ายมายังตำแหน่งเลขคลื่นที่สูงขึ้น
ซึ่งอาจจะบ่งบอกว่าไพริดีนที่เกาะบนตำแหน่งกรด
Lewis
ที่มีความแรงต่ำกว่านั้น
จะมีการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดที่เลขคลื่นที่ต่ำกว่าไพริดีนที่เกาะบนตำแหน่งกรด
Lewis
ที่มีความแรงสูงกว่า
สำหรับฉบับนี้ก็คงต้องพอแค่นี้ก่อน
รูปที่
๔ ตำแหน่งการดูดกลืนคลื่นแสงของไพริดีนรูปแบบต่าง
ๆ บนพื้นผิวที่บทความให้เอาไว้
PPy
: Physically adsorbed, HPy : H-bond to -OH LPy : Lewis acid และ
BPy
: Pyridinium ion
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น