แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แบบจำลองคณิตศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แบบจำลองคณิตศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

อย่าให้ค่า R-squared (Coefficient of Determination) หลอกคุณได้ MO Memoir : Monday 11 November 2562

"คุณพอจะอธิบายได้ไหมว่าปฏิกิริยานี้มันเป็นไปตามกลไก Langmuir-Hinshelwood mechanism ได้อย่างไร"

"พฤติกรรมของสมการ Langmuir-Hinshelwood mechanism เป็นอย่างไร คุณพอทราบไหม"

และยังมีอีกหลายคำถามที่ผมถามนิสิตปริญญาเอกผู้หนึ่งในระหว่างวิชาสัมมนาป.เอก เมื่อนิสิตผู้นั้นนำเสนอสมการ (ที่นำมาจาก paper ตีพิมพ์) ที่เขาคิดจะนำมาใช้ในการสร้างแบบจำลองของเขา แต่ด้วยการที่เขาไม่เข้าใจคำถามผม (คือดูเหมือนเขาไม่รู้ว่าคำว่า "Langmuir-Hinshelwood" ที่บทความที่เขาอ้างอิงนั้นกล่าวถึงคืออะไร) ทำให้รู้สึกว่าเขามีปัญหาเรื่องความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับกลไกการเกิดปฏิกิริยาเคมีบนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธุ์ ก็เลยแนะนำให้ศึกษาพื้นฐานเพิ่มเติม

ปฏิกิริยาการออกซิไดซ์ naphthalene และ o-xyleneไปเป็น phthalic anhydride มีการศึกษากลไกการเกิดปฏิกิริยามานานแล้ว (รูปที่ ๑) ในปีค.ศ. ๑๙๕๔ (พ.ศ. ๒๔๙๗) Mars และ van Krevelen ได้นำเสนอแบบจำลองที่ต่อมาเป็นที่รู้จักกันในนาม "REDOX mechanism" ว่าปฏิกิริยาดังกล่าวประกอบด้วยขั้นตอนสองขั้นตอน โดยขั้นตอนแรกเป็นการที่ไฮโดรคาร์บอนนั้นไปดึงเอา lattice oxygen ออกจากพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยา (ที่เป็นสารประกอบโลหะออกไซด์) ทำให้ไฮโดรคาร์บอนเปลี่ยนไปเป็นผลิตภัณฑ์ ส่วนตัวเร่งปฏิกิริยานั้นถูกรีดิวซ์ จากนั้นโมเลกุลออกซิเจนจากเฟสแก๊สจะทำการออกซิไดซ์ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ถูกรีดิวซ์ไปนั้นให้กลับคืนสู่เลขออกซิเดชันเดิม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือแม้ว่าโดยภาพรวมนั้นเป็นปฏิกิริยาระหว่างไฮโดรคาร์บอนกับออกซิเจนที่ป้อนเข้าไปในระบบ แต่ในความเป็นจริงนั้นสารทั้งสองไม่ได้ทำปฏิกิริยากันโดยตรง
  
รูปที่ ๑ บทความของ Mars และ van Krevelen ที่เป็นต้นกำเนิด REDOX mechanism

แบบจำลองของ Mars และ van Krevelen นี้ได้รับการทดลองยืนยันจากหลายกลุ่มวิจัย ไม่ว่าจะเป็นการทดลองในระบบที่ไม่มีการป้อนออกซิเจน หรือการใช้ออกซิเจนไอโซโทปติดตามการเกิดปฏิกิริยา จากรูปแบบสมการทางคณิตศาสตร์ของแบบจำลองนี้ (เนื่องจากปฏิกิริยามันจะเกิดในสภาวะที่มีออกซิเจนมากเกินพออยู่มาก เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิด explosive mixture) เมื่อเพิ่มความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนขึ้นเรื่อย ๆ อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มเร็วในช่วงแรก จากนั้นจะเพิ่มด้วยอัตราที่ช้าลงและเข้าสู่ "ค่าคงที่ค่าหนึ่ง" ซึ่งเป็นพฤติกรรมแบบเดียวกันกับ Langmuir mechanism
  
รูปที่ ๒ บทความของ Calderbank และคณะที่ได้นำเสนอเส้นทางการเกิดปฏิกิริยาและค่าคงที่ต่าง ๆ สำหรับแต่ละเส้นทาง โดยอิงจากแบบจำลอง REDOX mechanism

ขั้นตอนการเปลี่ยนไฮโดรคาร์บอนไปเป็น phthalic anhydride นั้นประกอบด้วยขั้นตอนย่อยหลายขั้นตอน ดังนั้นกว่าที่จะหาค่า kinetic parameter ในแต่ละขั้นตอนได้ ก็ต้องรอกันกว่า ๒๐ ปี (เพราะต้องหาให้ได้ก่อนว่าปฏิกิริยาน่าจะเกิดผ่านเส้นทางไหนบ้าง) แบบจำลองและเส้นทางการเกิดปฏิกิริยาของการออกซิไดซ์ o-xylene ไปเป็น phtahlic anhydride แบบจำลองหนึ่งที่มีการนำมาใช้กันแพร่หลายในหลายงานวิจัยเห็นจะได้แก่ของ Calderbank และคณะ (ที่มีการนำเสนอในปีค.ศ. ๑๙๗๔ (พ.ศ ๒๕๑๗) ก่อนจะมีการตีพิมพ์เป็นบทความในวารสารในปีค.ศ. ๑๙๗๗ (พ.ศ ๒๕๒๐) - รูปที่ ๒)
  
แบบจำลองของ Calderbank และคณะใช้การได้ดีในกรณีที่ความเข้นข้นของไฮโดรคาร์บอนนั้นไม่สูงมาก แต่เมื่อเพิ่มความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนให้สูงมากขึ้นกลับพบว่า อัตราการเกิดปฏิกิริยานั้นมีแนวโน้ม "ลดต่ำลง" ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวขัดกับสิ่งที่ REDOX mechanism ทำนายไว้ ดังนั้นในปีค.ศ. ๑๙๘๕ (พ.ศ. ๒๕๒๘) Skzypek และคณะ (รูปที่ ๓) จึงได้นำเสนอแบบจำลองการเกิดปฏิกิริยาใหม่ (โดยมีเส้นทางการเกิดปฏิกิริยาทำนองเดียวกันกับของ Calderbank และคณะ) โดยอิงจากกลไกการเกิดปฏิกิริยาแบบ Langmuir-Hinshelwood mechanism กล่าวคือปฏิกิริยานั้นเกิดขึ้นโดยตรงระหว่างไฮโดรคาร์บอนที่พื้นผิวดูดซับเอาและโมเลกุลออกซิเจนที่พื้นผิวดูดซับเอาไว้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับ lattice oxygen ของตัวเร่งปฏิกิริยา และได้รายงานว่าแบบจำลองที่อิงจากกลไกการเกิดปฏิกิริยาแบบ Langmuir-Hinshelwood mechanism นี้ไม่เพียงแต่เข้ากับข้อมูลผลการทดลองได้ดีกว่าแบบจำลองของ Calderbank และคณะ แต่ยังสามารถทำนายการลดลงของอัตราการเกิดปฏิกิริยาเมื่อความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนเพิ่มสูงขึ้นได้ด้วย

แต่แบบจำลองของ Skzypek และคณะ กลับไม่ได้รับความนิยม

เมื่อเราสร้างแบบจำลองสมการคณิตศาสตร์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร x และ y แล้วเราอยากรู้ว่าแบบจำลองนั้นใช้งานได้ดีเพียงใด สิ่งที่ทำกันก็คือการหาผลรวมระยะห่างระหว่างข้อมูลที่ได้จากการวัดจริงกับค่าที่แบบจำลองทำนาย ซึ่งมีการนำเสนอกันในรูป Coefficent of Determination หรือค่า R2 (R-squared) โดยค่า R2 นี้จะอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 แบบจำลองใดให้ค่า R2 เท่ากับ 1 ก็หมายความว่าแบบจำนองของเรานั้นทำนายค่าได้อย่างถูกต้องโดยไม่มีความคลาดเคลื่อน และแบบจำลองใดที่ให้ค่า R2 ต่ำกว่าก็แสดงว่าเป็นแบบจำลองที่ให้การทำนายค่าที่มีความคลาดเคลื่อนสูงขึ้น
  
ทีนี้สมมุติว่าเรามีจุดข้อมูลอยู่ 3 จุด และมีการนำเสนอสมการความสัมพันธ์ในรูปของสมการฟังก์ชันพหุนามกำลังสองในรูป y = a0 + a1x + a2x2 และฟังก์ชันสมการเลขชี้กำลังในรูป y = ae(b/x) และเมื่อนำเอาสมการทั้งสองไปทดสอบก็จะพบว่าฟังก์ชันพหุนามกำลังสองให้ค่า R2 = 1 (ทำนายค่าได้ถูกต้องทุกจุด) ในขณะที่ฟังก์ชันเลขชี้กำลังนั้นให้การทำนายที่คลาดเคลื่อนทุกจุด (R2 < 1) ซึ่งถ้าว่ากันตามค่า ที่ได้ เราก็จะบอกว่าฟังก์ชันที่เหมาะสมกับข้อมูลที่มีคือฟังก์ชันพหุนามกำลังสอง
   
รูปที่ ๓ บทความของ Skrzypek และคณะ ที่หาค่าพารามิเตอร์การเกิดปฏิกิริยาของเส้นทางต่าง ๆ โดยอิงจากแบบจำลอง Langmuir-Hinshelwood

แต่ถ้าหากข้อมูลที่มีนั้นเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิ (ตัวแปร x) กับอัตราการเกิดปฏิกิริยา (ตัวแปร y) ข้อสรุปที่ได้จะกลับกัน คือฟังก์ชันที่เหมาะสมคือฟังก์ชันเลขชี้กำลัง เพราะเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิและอัตราการเกิดปฏิกิริยามีความสัมพันธ์ในรูปแบบดังกล่าว ดังนั้นแม้ว่าฟังก์ชันชี้กำลังนั้นจะให้ค่า R2 ที่ต่ำกว่าในช่วงข้อมูลที่มีอยู่ แต่มันสามารถนำไปใช้งานในช่วงนอกเหนือช่วงข้อมูลที่มีอยู่ได้ ในขณะที่สมการฟังก์ชันพหุนามกำลังสองนั้นแม้ว่าจะให้ค่า R2 ที่สูงถึง 1 ในช่วงข้อมูลที่มีอยู่ แต่ไม่ควรนำไปใช้นอกช่วงข้อมูลที่มี (คือถ้าจะใช้ประมาณค่า y ณ จุด x อื่นในช่วงข้อมูลที่มีอยู่ก็ยังยอมรับได้) เพราะพฤติกรรมของฟังก์ชันนั้นแตกต่างกันแบบคนละเรื่องเลย

จุดแข็งของ REDOX mechanism นั้นอยู่ตรงที่มันมีผลการทดลองการวิเคราะห์ตัวเร่งปฏิกิริยาและการติดตามการเกิดปฏิกิริยาว่ามันเกิดขึ้นตามนั้นจริง ดังนั้นการอธิบายว่าทำไมผลการทดลองจึงให้ค่าการเกิดปฏิกิริยาที่ลดต่ำลงเมื่อเพิ่มความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนให้สูงขึ้น ซึ่งตรงจุดนี้ก็มีการค้นพบว่าที่ความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนสูงขึ้นนั้นมันมีอีกปฏิกิริยาหนึ่งเกิดแทรกขึ้นมา นั่นคือการเกิด coking ที่ทำให้ตัวเร่งปฏิกิริยาเสื่อมสภาพ ก็เลยทำให้เห็นอัตราการเกิดปฏิกิริยาลดลง
  
กล่าวคือในสภาวะที่มีความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนต่ำนั้น ออกซิเจนที่มีอยู่มากในเฟสแก๊สสามารถกำจัด coke ที่เกิดขึ้นออกไปได้ทันเวลา แต่เมื่อความเข้มข้นไฮโดรคาร์บอนสูงขึ้น ตัวเร่งปฏิกิริยาไม่สามารถกำจัด coke ออกไปได้ทัน ทำให้เกิดการสะสมของ coke (ตัวเร่งปฏิกิริยากลุ่มนี้เป็นแบบ selective oxidation คือไม่ต้องการให้เกิดการออกซิไดซ์สารอินทรีย์ไปเป็น CO2 เพราะจะทำให้สูญเสียสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมีความสามารถนี้อยู่บางส่วน แต่ไม่มาก) ที่ไม่เห็นความว่องไวในการทำปฏิกิริยาลดต่ำลงตลอดเวลาก็เพราะมันมีสมดุลระหว่างอัตราการเกิดกับอัตราการทำลายอยู่
   
ปฏิกิริยาที่นิสิตปริญญาเอกผู้นั้นนำเสนอเป็นปฏิกิริยา dehydrogenation ในเฟสแก๊สที่ผันกลับได้ที่มีสารตั้งต้นเพียงแค่โมเลกุลเดียว (A <--> B + C) โดยเขาจะเลือกใช้สมการรูปแบบการเกิดปฏิกิริยาของบทความหนึ่งที่กล่าวว่ากลไกการเกิดเป็นแบบ Langmuir-Hinshenwood mechanism นี่ก็เลยเป็นที่มาของคำถามที่ผมถามเขา ที่เขาเลือกบทความนี้เพราะเขาเห็นว่าบทความกล่าวว่าแบบจำลองที่บทความนำเสนอนั้นให้ค่า R2 เข้าใกล้ 1 แต่ผมก็ได้เตือนเขาไปว่า "ก่อนที่จะดูว่าแบบจำลองนั้นเข้ากับผลการทดลองได้ดีแค่ไหน ควรที่จะพิจารณาก่อนว่ามันอิงอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงที่เกิดขึ้นหรือเปล่า" เพราะรูปแบบสมการที่อิงจากพื้นฐานความเป็นจริงที่ไม่ถูกต้องนั้น แม้ว่ามันจะเข้าได้ดีกับข้อมูลในช่วงหนึ่ง แต่มันไม่ควรที่จะนำไปใช้ในการทำนายสิ่งที่อยู่นอกช่วงข้อมูลที่นำมาสร้างสมการ
<-->   
ดังเช่นตัวอย่างที่แสดงในรูปที่ ๔ ข้างล่าง ที่ในบริเวณกรอบสี่เหลี่ยมสีเขียวนั้นสมการกำลังสอง (เส้นสีแดง) อาจประมาณค่าความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้ดี แต่พฤติกรรมของฟังก์ชันสมการกำลังสองนอกช่วงดังกล่าวไม่เข้ากับความเป็นจริง เพราะมันจะทำนายว่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เมื่ออุณหภูมิการทำปฏิกิริยาสูงขึ้น หรืออัตราการเกิดปฏิกิริยาจะเพิ่มขึ้นได้อีกเมื่อลดอุณหภูมิการทำปฏิกิริยา ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ตรงกับสิ่งที่พบเห็นกันทั่วไป (เส้นสีน้ำเงิน)
   
รูปที่ ๔ ความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับอัตราการเกิดปฏิกิริยา การใช้ฟังก์ชันที่ไม่ถูกต้องเช่นสมการกำลังสอง (เส้นสีแดง) แม้ว่าจะทำนายค่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้ดีในช่วงกรอบสีเขียว แต่จะทำนายพฤติกรรมผิดไปเมื่อนำไปใช้ในการทำนายค่าช่วงอุณหภูมิที่อยู่นอกช่วงข้อมูลที่นำมาใช้สร้างสมการได้ ที่พฤติกรรมจะเป็นไปตามฟังก์ชัน exp(-Ea/RT) (เส้นสีน้ำเงิน)

หมายเหตุ : เรื่องเกี่ยวกับค่า R2 ที่หลอกตาได้นี้เคยเล่าไว้บ้างแล้วใน Memoir
ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๖๓ วันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง "ตัวเลขมันสวย แต่เชื่อไม่ได้"
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๑๐๗๖ วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่อง "ปฏิกิริยาอันดับ ๑ หรือปฏิกิริยาอันดับ ๒"

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

เตือนแล้วไม่เชื่อ MO Memoir : Monday 18 March 2556

ไม่ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ในวันนี้ แต่หลังจากสอบตั้งแต่เช้าจนบ่ายสามคนรวดกว่า ๕ ชั่วโมง ก็เลยคิดว่าไม่เขียนไม่ได้

ในการสอบโครงร่างนั้นผมจะพิจารณาว่าหัวข้อที่จะทำวิจัยนั้นมีความหมาะสมหรือไม่ และผู้ทำวิจัยนั้นมีความชัดเจนในเรื่องที่ตัวเองจะกระทำมากเพียงใด คำถามต่าง ๆ ที่ถามไปนั้นเป็นเรื่องปรกติที่จะเป็นการตรวจสอบว่าผู้ทำวิจัยได้พิจารณาครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ อย่างกว้างขวางและมีความรู้พื้นฐานในเรื่องที่ตัวเองจะทำดีเท่าใด ผมว่าคนที่โดนกรรมการถามหนัก ๆ ตอนสอบโครงร่างนั้นเป็นผู้โชคดีมาก เพราะถ้าเขาตอบไม่ได้เขาก็มีเวลาไปเตรียมตัวเพื่อตอบคำถามดังกล่าวตอนสอบวิทยานิพนธ์ 
  
แต่บ่อยครั้งที่ผมพบว่าสิ่งที่กรรมการได้เตือนไปตอนสอบโครงร่างนั้นมักจะถูกละเลย จะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ สุดท้ายก็ต้องมาเชือดกันตอนสอบวิทยานิพนธ์

. ๒๐ ปีที่แล้วทำได้ดีกว่านี้

ปฏิกิริยาที่เขานำเสนอคือการออกซิไดซ์ o-xylene ไปเป็น phthalic anhydride ซึ่งในโรงงานนั้นปฏิกิริยานี้จะเกิดใน multi-tubular fixed-bed reactor ที่มีการใช้เกลือหลอมเหลว (molten salt) เป็นตัวระบายความร้อน รูปร่างเครื่องปฏิกรณ์นั้นจะเป็นเสมือน shell and tube heat exchanger ที่วางตั้ง โดยมีตัวเร่งปฏิกิริยาบรรจุอยู่ในส่วน tube และเกลือหลอมเหลวอยู่ในส่วน shell


รูปที่ ๑ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิใน fixed-bed reactor ที่ใช้ผลิต phthalic anhydride จากการออกซิไดซ์ o-xylene เปรียบเทียบระหว่างข้อมูลจากการวัดจริงของ reactor ในโรงงานกับผลการทำนายด้วยแบบจำลอง
  
ตอนที่ผมเห็นแบบจำลองเครื่องปฏิกรณ์ที่เขานำเสนอตอนสอบโครงร่าง (แบบจำลอง 1 มิติ และกลไกการเกิดปฏิกิริยาแบบง่าย ซึ่งไม่ตรงกับความจริง) ผมก็เตือนเขาเอาไว้แล้วว่าแบบจำลองของปฏิกิริยานี้มีคนเขาทำมากันเยอะแล้ว และพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แบบจำลองที่เขานำมาเสนอนั้นมันย้อนหลังไปร่วม ๕๐ ปีที่แล้ว สมัยที่ยังใช้ analogue computer ในการคำนวณ ซึ่งในยุคสมัยนั้นมันเป็นสิ่งที่ยอมรับกันได้ แต่มันไม่ใช้ในยุคสมัยนี้ และเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้วเขาก็แก้ปัญหาแบบจำลองของเครื่องปฏิกรณ์ดังกล่าวกันได้ด้วยไมโครคอมพิวเตอร์ที่ด้อยกว่าในปัจจุบันมาก แถมยังต้องเขียนโปรแกรมไม่ FORTRAN ก็ C แก้ปัญหากันเอง ไม่มีโปรแกรมสำเร็จรูปช่วยเหมือนในปัจจุบัน
  
รูปที่ ๑ ที่นำมาแสดงเป็นงานของนิสิตปริญญาโทรหัส ๓๙ ที่มาสอบวิทยานิพนธ์ในวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ เขาเขียนโปรแกรมภาษา C โดยใช้ระเบียบวิธี Finite difference แก้ปัญหาระบบสมการ 2 มิติ (คิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในแนวแกนและแนวรัศมี) โดยใช้แบบจำลองทางจลนศาสตร์ที่มีสารต่าง ๆ เกี่ยวข้องถึง 5 ตัว (สารตั้งต้น สารมัธยันต์ และผลิตภัณฑ์) แถมมีการปรับค่าความว่องไวของตัวเร่งปฏิกิริยาอีก ซึ่งเขาก็พบว่าสามารถสร้างแบบจำลองที่สามารถประมาณการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในเครื่องปฏิกรณ์ของจริงได้ดี

อีกเรื่องที่เป็นปัญหาและเจอเป็นประจำคือพื้นฐานเรื่อง "จลนศาสตร์การเกิดปฏิกิริยา" กับ "สมดุลเคมี" นั้นไม่ดีพอ ทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้ โดยชอบเอาเรื่องสมดุลเคมีมาใช้อธิบายผลของอุณหภูมิต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี เรื่องนี้ผมได้เคยเล่าไว้แล้วใน memoir ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒๔๐ วันศุกร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๔ เรื่อง "อุณหภูมิ อัตราการเกิดปฏิกิริยา สมดุลเคมี"

เรื่องนี้ได้เตือนเอาไว้ตั้งแต่ตอนสอบโครงร่างวิทยานิพนธ์แล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาเขาก็ได้เตือนเอาไว้แล้วถึงพฤติกรรมที่มันไม่น่าจะถูกต้องของผลการคำนวณ แต่เขาก็ไม่เชื่อ จนกระทั่งมาถูกต้อนเข้ามุมในห้องสอบ

. เอา Level controller คุมอัตราการไหลของแก๊ส

รูปจาก ASPEN ในวิทยานิพนธ์ของเขานั้นบอกว่าผลิตภัณฑ์ไอยอดหอกลั่นประกอบด้วย HI H2O และ H2 ไอดังกล่าวถูกควบแน่นในเครื่องควบแน่นตัวที่หนึ่งด้วยน้ำหล่อเย็น ได้ผลิตภัณฑ์เป็นของเหลวทั้งหมด (เพราะมันออกทางด้านล่าง) ของเหลวที่ได้แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งส่งกลับเข้าหอกลั่นในฐานะ reflux และส่วนที่เหลือใช้ level controller คุมการป้อนเข้าเครื่องควบแน่นตัวที่สองเพื่อแยกออกเป็นผลิตภัณฑ์ H2 ที่เป็นแก๊สและ H2O ที่เป็นของเหลว

อ่านย่อหน้าบนแล้วรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลก ๆ ไหม

level controller ใช้คุมระดับ "ของเหลว" ในการควบแน่นผลิตภัณฑ์ที่เป็นไอยอดหอกลั่นนั้นแก๊สไฮโดรเจนจะไม่ควบแน่นออกมา จะยังคงเป็นแก๊สอยู่ ดังนั้นสิ่งที่เขาเขียนในแบบจำลองว่าเอาของเหลวจากเครื่องควบแน่นตัวที่หนึ่งไปลดอุณหภูมิอีกด้วยเครื่องควบแน่นตัวที่สองนั้น จะเกิดการแยกออกเป็นแก๊สไฮโดรเจนและน้ำที่เป็นของเหลวจึงเป็นสิ่งที่ผิด (แต่ ASPEN มันดันคำนวณให้ได้)
  
ประเด็นตรงนี้มีกรรมการซักถามว่าแผนผังกระบวนการที่เขานำมาแสดงกับแผนผังที่ใช้ในการคำนวณจริงนั้นมันเหมือนกันหรือไม่ ก็ปรากฏว่าเขาไม่สามารถแสดงได้ เลยมีการขอให้วาดรูปให้ดู ก็ได้แผนยังออกมาดังรูปที่ ๒ ลองพิจารณาตรงสาย reflux ดูเอาเองก็แล้วกัน


รูปที่ ๒ รูปที่เขาเขียนตอบคำถามกรรมการว่า reflux อะไรกลับเข้าหอกลั่น ดูตรงสายไอที่เป็นผลิตภัณฑ์ยอดหอนะว่ามันแยกออกไปทางไหนบ้าง

. คล้ายไม่ได้แปลว่าเหมือนหรือใช้แทนกันได้

เรื่องนี้เจอประจำกับพวกทำ modelling แล้วไม่ยอมเขียนสมการขึ้นมาเองจากดุลมวลสารดุลพลังงาน แต่ใช้การไปค้นบทความดูว่ามีใครทำอะไรที่มัน "คล้าย" กับที่คิดจะทำไหม แล้วก็ลอกเอามาเลย
กว่าจะมาเป็นรูปสมการอนุพันธ์ได้นั้นมันต้องผ่านการตั้ง control volume แล้วทำดุลมวลสาร ดุลพลังงาน เติมข้อสมมุติเท่าที่จำเป็น และควรมีเหตุผลรองรับด้วยว่าการเติมข้อสมมุติแต่ละข้อนั้นทำไปด้วยเหตุผลใด
  
ดังนั้นการที่จะตอบว่าทำไมถึงเลือกสมการหน้าตาอย่างนี้มาใช้ มันต้องแสดงให้เห็นว่าที่มาที่ไปและเหตุผลรองรับมันเป็นอย่างไร ไม่ใช่ใช้การอ้างเอาว่ามีคนอื่นเขาเคยใช้สมการหน้าตาอย่างนี้ แล้วมันคล้าย ๆ กับงานที่ศึกษา ก็เลยหยิบมาใช้เลย โดยไม่ศึกษาว่าสมการที่หยิบมานั้นมันมีที่มาที่ไปอย่างไร

ถ้าเป็นนิสิตป.ตรี ตอบก็ยังพอให้อภัยได้ แต่นี่เป็นนิสิตป.เอก

อีกอย่างที่เจอประจำเวลาที่สอบนิสิตกลุ่มนี้ก็คือ เขาจะพูดแต่ระบบควบคุมที่เขาออกแบบ โดยไม่ศึกษาว่าระบบที่เขาจะควบคุมนั้น "แท้จริงแล้ว" มันมีที่มาที่ไปอย่างไร มันมีปัญหาอะไรบ้าง เป็นจริงอย่างที่เขาอ้างไหม และเคยมีการทำการแก้ไขอะไรไปบ้าง เพราะหลายครั้งการแก้ปัญหามันทำได้โดยไม่ต้องใช้การควบคุมที่ซับซ้อน และการที่ไม่สามารถอธิบายให้กรรมการสอบเห็นได้ว่าได้ศึกษาระบบดังกล่าวมาเป็นอย่างดี ทำให้กรรมการสอบเห็นว่ายังไม่เข้าใจเรื่องที่จะทำการศึกษาเลย แล้วดันจะมาออกแบบระบบควบคุมมันอีก

วันนี้หลังการสอบ กรรมการท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า หลายครั้งที่บอกนิสิตในที่ปรึกษาให้ไปศึกษาอะไรบ้าง บางครั้งถึงขนาดจัดเตรียมการไปเยี่ยมชมโรงงานเพื่อให้เห็นภาพงานที่ทำ พอถึงเวลานิสิตบอกว่าเขาไม่ต้องการสิ่งที่อาจารย์เตรียมให้

พวกนี้พอเห็นโลงศพแล้วจึงค่อยนึกได้ว่าไม่ควรปฏิเสธความปราถนาดีตอนนั้นของอาจารย์เลย