การให้หนังสือเพื่อเป็นของที่ระลึกในงานศพในบ้านเราจะมีมาตั้งแต่เมื่อไรผมก็ไม่รู้
เนื้อหาที่อยู่ในหนังสือหลัก
ๆ ก็จะเป็นคำไว้อาลัย
และประวัติสั้น ๆ ของผู้เสียชีวิต
หลายเล่มก็ยังมีเนื้อหาความรู้ต่าง
ๆ
เพื่อให้ผู้มาร่วมงานที่ได้รับหนังสือไปนั้นเอาหนังสือเล่มนั้นไปใช้ประโยชน์ได้
เนื้อหาที่เห็นกันทั่วไปก็มีเรื่องทางศาสนา
สุขอนามัย ฯลฯ
แต่เรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือประวัติและบันทึกการทำงานของผู้ที่เสียชีวิตที่เขียนโดยท่านเหล่านั้นเอง
เรื่องราวเกี่ยวกับประวัติและบันทึกการทำงานที่บันทึกเรื่องราวของตัวเองก่อนเสียชีวิตเหล่านี้จัดว่าให้ภาพประวัติศาสตร์ของบ้านเราในมุมที่ไม่มีการบันทึกเอาไว้ในเอกสารราชการ
เรื่องที่จะเอามาเล่าให้ฟังใน
Memoir
ฉบับนี้ก็เช่นเดียวกัน
หนังสือที่แจกเป็นที่ระลึกในงานศพเหล่านี้ไม่มีการลงเลข
ISBN
ดังนั้นคิดว่าคงไม่ถูกเก็บเอาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ
คงมีอยู่เฉพาะกับผู้มาร่วมงานและหน่วยงานต่าง
ๆ ที่ทางเจ้าภาพได้รับไปหรือมีผู้บริจาคให้
จึงน่าเป็นห่วงว่าเมื่อเวลาผ่านไปหนังสือเหล่านี้อาจจะค่อย
ๆ สูญหายไป
จะมีก็เว้นแต่ที่เป็นหนังสือที่แจกในงานศพของบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมเท่านั้นที่ผู้นิยมชมขอบหนังสือเก่าเก็บเป็นของสะสมและยังมีการซื้อขายกันอยู่ในท้องตลาด
เล่มที่ผมไปพบมานี้ (รูปที่
๑)
ซุกอยู่ที่ซอกหนึ่งในชั้นหนังสือของห้องสมุดของมหาวิทยาลัย
รูปที่
๑ (ซ้าย)
ปกหน้าหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ
พลตรีพระยาอานุภาพไตรภพ
(จำรัส
เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
(ขวา)
พลตรีพระยาอานุภาพไตรภพ
สมัยที่เป็นนักเรียนทหารเยอรมัน
(ยุคไกเซอร์)
พลตรีพระยาอานุภาพไตรภพ
(จำรัส
เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
เกิดเมื่อวันที่
๑๙ ธันวาคม พ.ศ.
๒๔๒๕
ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่
๖ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๕๐๔
ท่านสำเร็จการศึกษาวิชาการทหารจากประเทศเยอรมันในยุคไกเซอร์
(คือยุคที่เยอรมันปกครองด้วยกษัตริย์ไกเซอร์
วิลเฮล์ม หรือช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่
๑ นั่นเอง)
ก่อนมารับหน้าที่ราชการในหน่วยงานต่าง
ๆ
ประวัติการทำงานของท่านที่ท่านบันทึกไว้นั้นมีเรื่องน่าสนใจอยู่หลายเรื่อง
แต่ในที่นี้ขอเอาเรื่องแรกมาเล่าให้ฟังเพียงเรื่องเดียวก่อน
ซึ่งเป็นเหตุการณ์สมัยที่ท่านรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแม่นปืน
ท่านไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ.
ใด
แต่ดูจากเนื้อหาเรื่องราวที่เขียนแล้วคาดว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงปีพ.ศ.
๒๕๕๗
-
๒๔๖๐
เรื่องดังกล่าวคือการพัฒนากระสุนปืนไรเฟิลสำหรับใช้ในกองทัพไทย
รูปที่
๒ (บน)
กระสุนชนิด
8x50Rmm
Siamese (Type 45) (ล่าง)
กระสุนชนิด
8x52Rmm
Siamese (Type 66) รูปสองรูปนี้ค้นได้จาก
google
บอกว่ามาจากหนังสือ
Cartridges
of the world 13th edition เลข
8
คือขนาด
calibre
ของหัวกระสุนในหน่วยมิลลิเมตร
เลข 50
หรือ
52
คือความยาวปลอกกระสุน
ส่วน R
เป็นตัวบอกว่าเป็นกระสุนชนิดมีขอบจานท้าย
หัวกระสุนปืนไรเฟิลในยุคก่อนค.ศ.
๑๙๐๐
(ช่วงรัชกาลที่
๕)
มักจะมีลักษณะเป็นหัวทู่
ๆ มน ๆ ดังเช่นกระสุนชนิด
8x50Rmm
Siamese (Type 45) ที่แสดงในรูปที่
๒ (บน)
ที่กองทัพไทยรับเข้าประจำการในปีพ.ศ.
๒๔๔๕
(จึงเป็นที่มาของชนิด
๔๕)
ต่อมามีการค้นพบว่าถ้าทำให้หัวกระสุนเรียวขึ้น
วิธีกระสุนจะราบเรียบขึ้น
เป็นการเพิ่มความแม่นยำและทำให้ยิงได้ไกลขึ้น
จึงได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบหัวกระสุนเป็นหัวเรียวแหลมแบบที่ใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน
ส่วนประเทศไทยเอง
(ขณะนั้นเรียกตัวเองว่าสยาม)
ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกระสุนจะได้ชนิดใหม่เข้าประจำการในปีพ.ศ.
๒๔๖๖
ที่เรียกว่ากระสุน 8x52Rmm
Siamese (Type 66) ที่แสดงในรูปที่
๒ (ล่าง)
ที่มาของการปรับปรุงนี้จะมีบันทึกเอาไว้ที่ใดบ้างผมก็ไม่ทราบ
แต่ในประวัติของพลตรีพระยาอานุภาพไตรภพที่ท่านบันทึกไว้ในปีพ.ศ.
๒๔๘๐
นั้นได้เล่าถึงการพัฒนากระสุนสำหรับกองทัพไทยในช่วงที่ท่านรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแม่นปืนนั้นก็ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ
ลองอ่านดูจากที่ผมนำมาจากหนังสืออนุสรณ์ฯ
ในหน้า ๕๑ และ ๕๒ ก่อนก็แล้วกัน
ท่านไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเหตุการณ์เรื่องการทดสอบกระสุนดังกล่าวเกิดขึ้นในปีพ.ศ.ใด
แต่ในประวัติของท่านนั้นกล่าวว่าท่านดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแม่นปืนอยู่ในช่วงระหว่างปีพ.ศ.
๒๔๕๗
-
๒๔๖๐
(หนังสือหน้า
๑๓๗)
ทำให้น่าสันนิฐานว่าการทดลองที่กล่าวถึงเป็นการทดลองเพื่อหากระสุนชนิดใหม่ที่จะมาแทนที่กระสุน
8x50Rmm
Siamese (Type 45)
และกระสุนที่ทำการพัฒนาที่ท่านกล่าวถึงนั้นต่อมาได้กลายเป็นกระสุน
8x52Rmm
Siamese (Type 66) ที่กองทัพรับเข้าประจำการในปีพ.ศ.
๒๔๖๖
อีกเรื่องคือท่านได้ให้หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า
การดูถูกความสามารถของชาติเดียวกันเองนั้นเป็นสิ่งที่มีมานานแล้วในสังคมไทย
(อย่างน้อยก็ร่วมร้อยปีแล้ว
ข้อความตรงที่ขีดเส้นใต้สีแดงในกรอบสีเขียว)
และพฤติกรรมดังกล่าวก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือหน่วยงานบางแห่งเวลาใครขอทุนทำวิจัยนั้นถ้าไม่มีหลักฐานแสดงว่า
"มีความร่วมมือ"
กับต่างชาติแล้ว
มักจะไม่ได้รับความสำคัญในการพิจารณา
เรื่องเหล่านี้เคยมีเอกสารมาถามความเห็นผมเหมือนกัน
ผมก็ตอบกลับไปว่า
มองอีกมุมหนึ่งก็คือคนเหล่านี้ทำอะไรเองไม่เป็นสักที
ถ้าเก่งจริงเขาก็ต้องสามารถผลิตผลงานที่เป็นชื่อคนไทยล้วน
ๆ ได้
ไม่ใช่ไปยืมชื่ออาจารย์ต่างชาติเพื่อให้เขาตรวจเนื้อหาบทความให้หรือเพื่อให้ตีพิมพ์บทความได้ง่ายขึ้น
คิดจะทำวิจัยอะไรสักอย่างก็ต้องอ้างต่างชาติเอาไว้ก่อนว่าเขาทำกันอย่างโน้นเขาทำกันอย่างนี้
โดยไม่ได้พิจารณาว่างานวิจัยของต่างชาติเหล่านั้นเขามีพื้นฐานความคิดอยู่บนเรื่องอะไร
สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับความต้องการในประเทศได้หรือไม่
ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับรถไฟอีก
๒ เรื่องในบันทึกของพลตรีพระยาอานุภาพไตรภพที่ผมคัดเลือกเอาไว้
แล้วมีเวลาเมื่อไรจะเอามาเล่าให้ฟัง