เรื่องที่นำมาเล่านี้นำมาจากรายงานการสอบสวนของ
Health & Safety
Executive ของประเทศอังกฤษที่พิมพ์เผยแพร่ในปีพ.ศ.
๒๕๔๐ (ค.ศ.
๑๙๙๗)
เป็นเหตุการณ์การรั่วไหลของไฮโดรคาร์บอนตามด้วยการระเบิดและเพลิงไหม้ที่โรงกลั่นน้ำมัน
Texaco Refinery,
Milford Haven ประเทศอังกฤษในวันอาทิตย์ที่
๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๕๓๗ (ค.ศ.
๑๙๙๔)
จากที่ได้อ่านรายงานดู
เห็นว่ามีหลายประเด็นที่น่าสนใจ
แต่จะขอยกมาเพียง ๒
ประเด็นที่เห็นว่าสำคัญที่ส่งผลให้โอเปอร์เรเตอร์ที่อยู่หน้างานนั้นตัดสินใจผิดพลาด
โดยทั้ง ๒ ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับการออกแบบระบบควบคุม
ซึ่งได้แก่
(ก)
การที่อุปกรณ์วัดไม่ได้มีการวัดตำแหน่งของวาล์วโดยตรงว่าอยู่ในตำแหน่งเปิดหรือปิด
สิ่งที่อุปกรณ์แสดงให้โอเปอร์เรเตอร์เห็นในห้องควบคุมคือ
ขนาดสัญญาณที่ส่งไปที่วาล์ว
ว่าจะให้วาล์วเปิดปิดมากน้อยเท่าใด
(ข)
แผนผังที่แสดงหน้าจอคอมพิวเตอร์
ไม่มีแผนผังภาพรวมที่สามารถทำให้โอเปอร์เรเตอร์เห็นดุลมวลสารแสดงการไหลเข้าออกของสาร
สิ่งที่โอเปอร์เรเตอร์เห็นมีเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะในแต่ละหน่วยย่อย
รูปที่
๑ ข้างล่างแสดงความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยผลิตที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
เริ่มจากหน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ทำการกลั่นแยกน้ำมันดิบก่อนส่งน้ำมันหนักที่กลั่นได้ไปยังหน่วย
Fluidised Catalytic
Cracking (FCCU) ที่ทำให้โมเลกุลของน้ำมันหนักแตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลง
ผลิตภัณฑ์จากหน่วย FCCU
จะถูกส่งต่อไปยังหน่วยกลั่นแยกไฮโดรคาร์บอนเบา
ที่ทำการกลั่นแยกส่วนที่เป็นแก๊ส
(ไฮโดรคาร์บอน
C1-C4) ออกก่อน
จากนั้นจึงส่งผ่านส่วนที่เป็นของเหลวไปยังหน่วยกลั่นแยกแนฟทา
(น้ำมันในช่วงเบนซินและน้ำมันก๊าด)
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนำมาจากลำดับของเหตุการณ์ที่รวบรวมไว้ใน
Annex 1
ของรายงานการสอบสวน
รูปที่ ๑
แผนผังอย่างง่ายของหน่วยผลิตที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์
เหตุการณ์เริ่มจากช่วงเวลาก่อน
๙.๐๐
น ของวันที่เกิดเหตุ
เกิดเหตุฟ้าผ่าโรงกลั่นทำให้เกิดไฟลุกไหม้ที่หน่วยกลั่นน้ำมันดิบ
(Crude Distillation
Unit) ส่งผลให้ต้องหยุดเดินเครื่องหน่วยผลิตต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่หน่วย
FCCU
ต้องลดกำลังการผลิตจากประมาณ
600 m3/hr
เหลือ 400
m3/hr ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับนานประมาณ
2
นาทีในอีกครึ่งชั่วโมงถัดมา
ความแปรปรวนนี้ส่งผลต่อปริมาณน้ำมันจากหน่วย
FCCU
ที่ไหลเข้าหน่วยกลั่นแยกไฮโดรคาร์บอนเบา
รูปที่
๒ ในหน้าถัดไปเป็นแผนผังกระบวนการ
ในตอนนี้ขอให้ดูกระบวนการทางด้านบนของรูปก่อน
น้ำมันที่มาจาก FCCU
จะถูกนำมากลั่นแยกที่
Main fractionation
column F-201
ส่วนที่เป็นไอระเหยออกทางยอดหอจะถูกลดอุณหภูมิทำให้บางส่วนควบแน่นเป็นของเหลวแยกและออกจากส่วนที่ไม่ควบแน่นที่
First overhead
accumulaor F-211 ส่วนที่เป็นไอที่ออกจาก
F-211
จะถูกลดอุณหภูมิอีกครั้งทำให้บางส่วนควบแน่นเป็นของเหลวและแยกออกจากส่วนที่ไม่ควบแน่นที่
Secondary overhead
accumulator F-203 ส่วนที่เป็นไอที่ออกมาจาก
F-203 จะไหลเข้าสู่
Knock out drum
F-308(ทำหน้าที่ดักของเหลวที่อาจติดมากับแก๊ส)
ก่อนจะถูกเพิ่มความดันด้วย
Wet gas compressor
รูปที่ ๒
แผนผังของหน่วยกลั่นแยกไฮโดรคาร์บอนเบาช่วงเวลาประมาณ
๘.๓๐
- ๘.๕๐
น เมื่อเริ่มเกิดเหตุการณ์ผิดปรกติ
(จากรูปที่
๑๑ ของรายงานการสอบสวน)
เส้นสีแดงคือเส้นทางการไหลมีเกิดเหตุการณ์ผิดปรกติ
การปิดวาล์ว FV-385
(สีเหลือง)
ช่วยป้องกันไม่ให้ของเหลวไหลออกจาก
F-310 (High pressure
separator) จนหมด
แต่ก็จะไปลดปริมาณของเหลวที่ไหลเข้า
F-302 (Deethanizer
ที่ทำหน้าที่กลั่นแยกเอาไฮโดรคาร์บอน
C2 ออกไป)
ด้วย
แก๊สที่ผ่านการเพิ่มความดันจะถูกลดอุณหภูมิทำให้บางส่วนควบแน่นเป็นของเหลวและแยกออกจากส่วนที่ไม่ควบแน่นที่
Wet gas compressor
interstage drum F-309 แก๊สที่ไม่ควบแน่นที่
F-309
จะถูกเพิ่มความดันด้วย
Wet gas compressor
อีกครั้ง และไหลรวมกับของเหลวที่มาจาก
F-309
ก่อนที่จะถูกลดอุณหภูมิและไหลไปสะสมใน
High pressure
separator F-310 ณ F-310
นี้
ส่วนที่เป็นไอจะไหลเข้าไปในหอกลั่นแยกไฮโดรคาร์บอน
C2 (Deethanizer
F-302)
ในขณะที่ส่วนที่เป็นของเหลวจะถูกสูบโดยปั๊มไหลผ่านวาล์วควบคุมการไหล
"Deethanizer
feed valve FV-385" ก่อนเข้าหอกลั่น
ตรงนี้ขอขยายความนิดนึง
เพื่อให้ผู้ที่กำลังศึกษาด้านวิศวกรรมเคมีอยู่เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
การทำให้โมเลกุลใหญ่แตกออกเป็นโมเลกุลเล็กเช่น
catalytic cracking
ในที่นี้
เป็นปฏิกิริยาดูดความร้อนที่ต้องมีการใส่พลังงานเข้าไป
นอกจากนี้จำนวนโมลของผลิตภัณฑ์จะมากกว่าจำนวนโมลของสารตั้งต้น
ดังนั้นปฏิกิริยาจะดำเนินไปข้างหน้าได้ดีในสภาวะที่ความดันต่ำ
แต่การกลั่นแยกไฮโดรคาร์บอน
C2 (พวก
ethane และ
ethylene)
ที่เป็นแก๊สที่อุณหภูมิห้องนั้น
จะกระทำที่อุณหภูมิต่ำและความดันที่สูงขึ้น
(เพิ่มความดันเพื่อให้แก๊สกลายเป็นของเหลวได้ที่อุณหภูมิไม่ต่ำมาก)
ดังนั้นจะเห็นว่าเส้นทางของไอที่ออกจากยอดหอกลั่นหลัก
F-201
ไปจนถึงหอกลั่นแยก
C2 F-302 นั้น
เป็นเส้นทางที่มีความดันเพิ่มขึ้นในขณะที่อุณหภูมิลดลง
ด้วยเหตุนี้จึงมีการลดอุณหภูมิลงหลายครั้งตามระดับความสามารถของระบบระบายความร้อน
เช่น อากาศ น้ำหล่อเย็น
หรือสารทำความเย็น
เช่นสมมุติว่าคุณต้องการลดความเย็นให้กับแก๊สตัวหนึ่งจากอุณหภูมิ
120ºC
ลงเหลือ
-10ºC
แทนที่จะใช้ระบบทำความเย็นที่ทำอุณหภูมิได้
-20ºC
ดึงความร้อนออกจากแก๊สในคราวเดียว
ก็อาจทำการลดอุณหภูมิแก๊สนั้นด้วยการระบายความร้อนด้วยอากาศก่อน
จากนั้นจึงค่อยใช้น้ำหล่อเย็นลดอุณหภูมิแก๊สนั้นให้เหลือประมาณอุณหภูมิห้อง
แล้วจึงตามด้วยการใช้ระบบทำความเย็นปิดท้าย
นอกจากนี้การที่แก๊สบางส่วนควบแน่นเป็นของเหลวยังช่วงลดภาระให้กับคอมเพรสเซอร์
(เพราะที่ระดับการเพิ่มความดันที่เท่ากัน
สำหรับแก๊สและของเหลวที่มีมวลเท่ากัน
การเพิ่มความดันให้กับแก๊สจะกินพลังงานมากกว่าการเพิ่มความดันให้กับของเหลว)
รูปที่
๒ เป็นภาพการบรรยายเหตุการณ์ในช่วงเวลาประมาณ
๘.๓๐
- ๘.๕๐
น จากการที่ FCCU
ต้องลดกำลังการผลิตและเหตุการณ์ไฟฟ้าดับชั่วขณะ
ทำให้ระดับของเหลวใน High
pressure separator F-310
ลดต่ำลงจนมีทั้งสัญญาณเตือนที่เป็นเสียงและแสงไฟ
ทำให้โอเปอร์เรเตอร์ตัดสินในที่จะหรี่วาล์ว
FV-385
(สีเหลืองในรูป)
ลงเล็กน้อยเหลือเปิดเพียง
36%
(การทำเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้ของเหลวใน
F-310
ลดต่ำเร็วเกินไป
เผื่อว่าระบบจะกลับคืนสภาพเดิมได้
และยังคงรักษาให้มีของเหลวไหลต่อไปยังหอกลั่นแยก
C2 F-302
ซึ่งจะไม่เป็นการไปรบกวนการทำงานของหอกลั่นแยก
C2 มากเกินไป)
การควบคุมการเปิดวาล์วตัวนี้กระทำผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์
ตัวเลข 36%
ที่แสดงก็คือขนาดสัญญาณที่คอมพิวเตอร์ส่งออกไปควบคุมวาล์ว
ไม่ใช่ระดับการเปิดที่แท้จริงของวาล์ว
แต่เนื่องจากวาล์ว
FV-385
มีพฤติกรรมแบบเอาแน่เอานอนไม่ได้
(รายงานการสอบสวนก็กล่าวเอาไว้ว่าพฤติกรรมของวาล์วตัวนี้ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้นั้น
เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว)
ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือแทนที่วาล์วจะเปิด
36%
วาล์วกลับปิดเต็มที่
(คือเปิด
0%)
ข้อมูลที่คอมพิวเตอร์บันทึกไว้ในระบบควบคุมแสดงให้เห็นว่า
เมื่อโอเปอร์เรเตอร์สั่งหรี่วาล์วเพียงเล็กน้อย
อัตราการไหลของของเหลวจาก
High pressure
separator F-301 ไปยังหอกลั่นแยก
C2 กลายเป็น
"ศูนย์"
(เส้นสีแดงในรูป)
ตรงนี้รายงานไม่ได้กล่าวว่าโอเปอร์เรเตอร์สังเกตเห็นความขัดแย้งนี้หรือไม่
คือยังมีของเหลวอยู่ใน F301
วาล์ว FV-385
เปิดอยู่ แต่ไม่มีของเหลวไหลผ่าน
FV-385
และถ้าสังเกตเห็น
ก็น่าคิดนะว่าโอเปอร์เรเตอร์จะตัดสินใจอย่างไรเมื่อมีข้อมูลสองข้อมูลที่ขัดแย้งกัน
แล้วจะให้เชื่อตัวไหนดี
(พึงระลึกด้วยว่า
ในฐานะของโอเปอร์เรเตอร์นั้น
การตัดสินใจต่าง ๆ
ต้องทำภายในเวลาที่กำหนดและอาจมีแรงกดดันด้วย)
เพิ่มเติมนิดนึง
พึงสังเกตว่าวาล์วควบคุมการไหลจะติดตั้งอยู่ทางด้านขาออกของปั๊ม
ในกรณีเช่นนี้การออกแบบระบบท่อของปั๊มจะต้องคำนึงว่าถ้าวาล์วด้านขาออกเกิดปิดสนิทนั้น
ปั๊มจะเสียหายได้
ดังนั้นจำเป็นต้องออกแบบให้มี
Kick back line หรือ
Minimum flow line
เพื่อไหลเวียนของเหลวด้านขาออกกลับไปยังฝั่งขาเข้าด้วย
เพื่อให้มีของเหลวไหลผ่านปั๊มได้ตลอดเวลาแม้ว่าวาล์วด้านขาออกจะปิดสนิท
อัตราการไหลปรกติจากก้นหอกลั่นแยก
C2 F-302 อยู่ที่
450 m3/hr
แต่เมื่อไม่มีของเหลวไหลมาจาก
High pressure
separator F-301 จึงทำให้ระดับของเหลวที่ก้นหอกลั่นแยก
C2 F-302
ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
และภายในเวลา 5
นาที อุปกรณ์วัดระดับของเหลวที่ก้นหอกลั่นแยก
C2 F-302
ก็สั่งปิดวาล์ว FV-404
เพื่อรักษาระดับของเหลวที่ก้นหอกลั่นแยก
C2 F-302
แต่การทำเช่นนี้ส่งผลให้ไม่มีของเหลวไหลเข้าไปยังหอกลั่นแยก
C4 Debutanizer F-304
เวลาประมาณ
๘.๓๙
น อุปกรณ์วัดระดับของเหลวที่ก้นหอกลั่นแยก
C4 F-304
ตรวจวัดระดับของเหลวที่ลดต่ำลง
(เนื่องจากไม่มีของเหลวไหลมาจากหอกลั่นแยก
C2 F-302 เพราะวาล์ว
FV-404 ถูกปิด)
อุปกรณ์จึงสั่งปิดวาล์ว
"FV-436"
(ที่อยู่บนเส้นท่อจากก้นหอกลั่นแยก
C4-F304
ไปยังหน่วยกลั่นแยกแนฟทา
Naphtha splitter
F-305) ลงเรื่อย ๆ (คือยังไม่ปิดสนิท
แค่เปิดน้อยลง)
เพื่อรักษาระดับของเหลวที่ก้นหอกลั่นแยก
C4 F-304
แต่เนื่องจากของเหลวที่มาจากหอกลั่นแยก
C2 F-302
มีไฮโดรคาร์บอนขนาดเล็กในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง
ประกอบกับอุณหภูมิการทำงานของหอกลั่นแยก
C4 F-304
ที่ค่อนข้างสูง
จึงทำให้ความดันในหอกลั่นแยก
C4 F304
เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ลองกลับไปดูที่การเชื่อมต่อระหว่าง
High pressrue
separator F-310 และหอกลั่นแยก
C2 F-302 กันนิดนึง
แก๊สที่ถูกเพิ่มความดันด้วย
wet gas compressor
ถูกควบแน่นกลายเป็นของเหลวส่วนหนึ่ง
ส่วนที่เป็นของเหลวนี้จะเป็นองค์ประกอบที่มีจุดเดือดสูง
ในขณะที่องค์ประกอบเบาที่มีจุดเดือดต่ำนั้นยังคงเป็นแก๊สอยู่
ส่วนที่เป็นของเหลวนั้นถูกป้อนเข้าหอกลั่นแยก
C2 F-302 โดยใช้ปั๊ม
(ที่มีวาล์ว
FV-436 คุมการไหล)
ในขณะที่ส่วนที่เป็นแก๊สนั้นไหลเข้าหอกลั่นอีกเส้นทางหนึ่ง
ดังนั้นการที่วาล์ว FV-436
ปิด
จึงเป็นการตัดการป้อนองค์ประกอบที่มีจุดเดือดสูงเข้าหอกลั่นแยก
C2 F-302
ในขณะที่องค์ประกอบที่มีจุดเดือดต่ำยังไหลเข้าได้อยู่
และองค์ประกอบที่มีจุดเดือดต่ำนี้จะถูกชะลงมายังก้นหอพร้อมกับของเหลวที่
reflux
(ป้อนเวียนกลับ)
มาจากเครื่องควบแน่นยอดหอ
(overhead condenser
- ในรูปไม่ได้แสดงไว้)
ทำให้ของเหลวที่ก้นหอกลั่นแยก
C2 F-302
มีไฮโดรคาร์บอนที่มีจุดเดือดต่ำเพิ่มมากขึ้น
ของเหลวที่ก้นหอกลั่นนั้นเป็นของเหลวที่จุดเดือด
และปั๊ม
(โดยเฉพาะปั๊มหอยโข่งที่ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ในโรงงาน)
ไม่ชอบของเหลวที่มีอุณหภูมิที่จุดเดือดหรือใกล้จุดเดือด
เพราะมันเกิด cavitation
ได้ง่าย
วิธีการป้องกันหนึ่งที่ทำใด้คือต้องให้ระดับความสูงของของเหลว
ณ ทางเข้าปั๊มนั้นสูงกว่าตัวปั๊มในระดับหนึ่ง
เพื่อที่จะให้ผลรวม
ความดันเหนือผิวของเหลว
+
ความดันเนื่องจากระดับความสูงของของเหลว
ณ ทางเข้าปั๊มนั้น
สูงพอที่จะทำให้ของเหลวไม่เกิดการเดือดภายในปั๊ม
และในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงระดับของเหลวในหม้อต้มซ้ำหรือ
reboiler
ที่ก้นหอด้วย
เพราะของเหลวที่ก้นหอนั้นเป็นตัวรับความร้อนจากแหล่งจ่ายความร้อน
ดังนั้นจึงควรต้องมีของเหลวค้างอยู่ใน
reboiler นั้นด้วย
ต่อไปเป็นเหตุการณ์ในช่วงเวลา
๘.๕๐
- ๙.๐๐
น เหตุการณ์ในช่วงนี้ขอให้ดูรูปที่
๓ ประกอบ
เนื่องจากหอกลั่นหลัก
F-201
เริ่มกลับมาทำงานปรกติ
จึงทำให้ปริมาณแก๊สที่ไหลไปยัง
High pressure
separator F-310 เพิ่มกลับสู่ระดับเดิม
แต่เนื่องจากวาล์ว FV-385
ยังปิดอยู่จึงทำให้ระดับของเหลวใน
F-310
นี้เพิ่มสูงขึ้น
ระดับของเหลวที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลทำให้เกิดความดันย้อนกลับย้อนไปถึง
Secondary overhead
accumulator F-203 จนทำให้ความดันใน
Secondary overhead
accumulator F-203 นี้เพิ่มสูงจนวาล์วควบคุมความดัน
PV-077
เปิดออกเพื่อระบายแก๊สส่วนเกินออกไปยัง
Flare knock-out drum
F-319
รูปที่ ๓
เหตุการณ์ในช่วงเวลาประมาณ
๘.๓๐
- ๘.๕๐
น ที่ความดันในระบบมีการเพิ่มสูงขึ้นจนวาล์วระบายความดันทำงาน
ทำให้มีแก๊สไหลไปยัง Flare
knock-out drum F-319 (นำมาจากรูปที่
๑๒ ในรายงานการสอบสวน)
PV-077
นี้เป็นวาล์วควบคุมความดันที่ในรายงานใช้คำว่า
"Pressure
control valve" คือสามารถควบคุมระดับการเปิด-ปิดได้
ต่างจากวาล์วระบายความดันหรือ
"Safety valve"
ที่จะเปิดเองเมื่อความดันสูงถึงระดับที่กำหนด
และจะปิดตัวเองเมื่อความดันลดต่ำลงจนถึงระดับที่กำหนด
ในช่วงเวลาเดียวกัน
ระดับของเหลวที่ก้นหอกลั่นแยก
C4 F-304
ก็ลดต่ำลงเรื่อย ๆ
จนกระทั่งอุปกรณ์ควบคุมระดับนั้นสั่งปิดวาล์ว
FV-436
ที่ควบคุมการไหลของของเหลวจากก้นหอกลั่นแยก
C4 F-304
ไปยังหน่วยกลั่นแยกแนฟทา
F-305 และ
ณ ช่วงเวลาเดียวกันนี้วาล์วควบคุมความดัน
PV-077
เปิดอยู่ที่ประมาณ 28%
เพื่อระบายแก๊สส่งต่อไปยัง
Flare knock-out drum
F-319
ที่เวลาประมาณ
๘.๕๑
น Reflux pump
ที่ป้อนของเหลวจาก
Debutanizer overhead
condenser F-314 กลับมายังหอกลั่นแยก
C4 F-304 หยุดทำงาน
โดยระดับของเหลวใน Debutanizer
overhead condenser F-314 บันทึกไว้คือ
30%
(ในรายงานคิดว่าน่าจะเป็นความผิดพลาด
เพราะระดับมีการค้างอยู่ที่ค่านี้มาก่อนหน้านี้)
ตรงจุดนี้จะขอลองมาพิจารณาหน่อยว่าทำไม
Reflux pump
จึงหยุดทำงาน
(ในรายงานไม่ได้กล่าวไว้แต่จะขอลองตั้งสมมุติฐานดู)
แก๊สที่ออกจากยอดหอกลั่นจะเข้าสู่เครื่องควบแน่น
ส่วนที่เป็นของเหลวบางส่วนจะถูกป้อนเวียนกลับมายังยอดหอกลั่นใหม่
ในสภาวะปรกติความดันเหนือผิวของเหลวใน
overhead accumulator
จะต่ำกว่าความดันในยอดหอกลั่น
(เพราะแก๊สบางส่วนมีการควบแน่นเป็นของเหลว)
แต่เมื่อความดันยอดหอกลั่นเพิ่มสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว
ก็อาจทำให้แรงต้านด้านขาออกของปั๊มนั้นสูงจนกระทั่งของเหลวไหลออกไม่ได้
ปั๊มจึงทำงานในสภาพที่ของเหลวไม่ไหลผ่านปั๊ม
จึงทำให้ปั๊มร้อนจัดจนระบบควบคุมต้องหยุดการทำงานของปั๊ม
ที่เวลาประมาณ
๘.๕๓
น อาจถือได้ว่าทางเข้าออกหอกลั่นแยก
C4 F-304
ถูกปิดกั้นเอาไว้ทั้งหมด
กล่าวคือวาล์ว FV-404
ที่ป้อนสารมาจากหอกลั่นแยก
C2 F-302 นั้นปิดอยู่
วาล์วระบายของเหลวก้นหอ
FV-436
ไปยังหน่วยกลั่นแยกแนฟทา
F-305 แทบจะปิด
และ reflux
pump ไม่ทำงาน
ในขณะที่ยังมีการป้อนความร้อนให้กับ
reboiler ก้นหอ
จึงทำให้ของเหลวที่มีสัดส่วนองค์ประกอบต่ำสูงที่สะสมในหอกลั่นแยก
C4 F-304
เดือดต่อเนื่องและทำให้ความดันในหอนี้เพิ่มสูงขึ้นจนวาล์วระบายความดัน
(จำนวน
1 ตัวจากทั้งหมด
4 ตัว)
เปิดออกเพื่อระบายแก๊สส่วนเกินไปยัง
Flare knock-out drum
F-319
ด้วยการที่แก๊สที่ระบายออกมานี้มีสัดส่วนที่ควบแน่นเป็นของเหลวได้สูงและมีการระบายออกมาจากสองแหล่งพร้อมกัน
(คือ
และ Secondary
overhead accumulator F-203 และหอกลั่นแยก
C4 F-304)
ทำให้ระดับของเหลวใน
Flare knock-out drum
F-319 เพิ่มสูงขึ้นจากระดับ
60% ไปเป็น
70% ในเวลาเพียงแค่
2 นาที
ในช่วงท้ายสุดของช่วงเวลานี้
คอมพิวเตอร์บันทึกระดับของเหลวในหอกลั่นแยกแนฟทา
F-305 ว่าตกลงเป็น
"ศูนย์"
และค้างอยู่ที่ระดับนี้เป็นเวลาอย่างน้อย
4
ชั่วโมงไม่มีการตอบสนองใด
ๆ จากโอเปอร์เรเตอร์
ประเด็นตรงที่เมื่อระดับของเหลวในหอกลั่นแยกแนฟทา
F-305 ลดลงเหลือ
"ศูนย์"
นั้น
ทำไมโอเปอร์เรเตอร์จึงไม่มีการลงมือกระทำการใด
ๆ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
ประเด็นตรงนี้ต้องไปพิจารณาดูว่า
ในความเป็นจริงนั้นคอมพิวเตอร์บันทึกข้อมูลที่อุปกรณ์วัดต่าง
ๆ ในโรงงานส่งมาให้อยู่ตลอดเวลา
แต่โอเปอร์เรเตอร์ไม่ได้มองเห็นข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่เขาเห็นก็คือข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์เฉพาะส่วนของหน่วยผลิตที่เขาเลือกดู
และในขณะนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขากำลังดูอยู่นั้นคือเฉพาะส่วนของหน่วยกลั่นแยกไฮโดรคาร์บอนเบา
ตรงจุดนี้ดูเหมือนว่าผู้ออกแบบระบบควบคุมไมได้ออกแบบภาพปรากฏหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ทำให้ให้โอเปอร์เรเตอร์สามารถมองเห็นดุลมวลสารที่ไหลเข้ามาและไหลออกไปจากหน่วยผลิตที่กำลังดูอยู่
และไม่มีแผนผังแสดงการทำงานในภาพกว้างที่แสดงให้เห็นการทำงานของหน่วยก่อนหน้าและถัดไป
นอกจากนี้ในกรณีของเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดสัญญาณเตือนดังต่อเนื่องกัน
กล่าวคือเหตุการณ์ (ก)
ทำให้เกิดเหตุการณ์
(ข)
ซึ่งไปทำให้เกิดเหตุการณ์
(ค)
เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปเรื่อย
ๆ ถ้าหากสัญญาณเตือนของแต่ละเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้พร้อม
ๆ กันหรือในเวลาใกล้เคียงกัน
จะทำให้โอเปอร์เรเตอร์นั้นไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเหตุการณ์ไหนเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ต้องทำการแก้ไขก่อน
เพราะถ้าแก้ไขเหตุการณ์นั้นได้แล้ว
ปัญหาของเหตุการณ์อื่นก็จะหายไป
และในงานนี้ก็ดูเหมือนว่ามันเกิดทั้ง
ภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ออกแบบมาให้โอเปอร์เรเตอร์สามารถมองเห็นภาพรวมของระบบ
การที่สัญญาณเตือนมีมากเกินไปจนทำให้โอเปอร์เรเตอร์ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ใดเป็นต้นตอของเหตุการณ์ทั้งหมด
และการที่คอมพิวเตอร์แสดงค่าสัญญาณที่ส่งออกไปควบคุมวาล์ว
โดยไม่ได้มีการวัดระดับการเปิด-ปิดที่แท้จริงของวาล์ว
ณ
เวลาประมาณ ๙.๐๐
น มีการระบุว่ามีการระบายสารจากหอกลั่นแยก
C4 F-304
อย่างต่อเนื่องไปยังระบบ
flare
และเมื่อโอเปอร์เรเตอร์ไปตรวจก็พบว่าวาล์วระบายความดันตัวหนึ่งนั้นไม่ปิดตัวลงหลังจากที่ความดันลดต่ำลงแล้ว
จึงได้ทำการสลับการทำงานไปยังวาล์วระบายความดันสำรองแทน
บางหน่วยงานทำตามกฎเกณฑ์ที่ว่า
"ระหว่าง
pressure
vessel และวาล์วระบายความดันนั้นต้องไม่มีการติดตั้งวาล์วเปิด-ปิด"
เพราะการติดตั้งวาล์วเปิดโอกาสให้มีการเผลอปิดวาล์วตัวนั้น
ทำให้ pressure
vessel ไม่ได้รับการปกป้องจากความดันสูงเกิน
เพราะไม่สามารถระบายความดันที่สูงออกทางวาล์วระบายความดันได้
แต่บางหน่วยงานจะทำตามกฎเกณฑ์ที่ว่า
"pressure
vessel จะต้องได้รับการปกป้องจากความดันสูงเกิน"
โดยสามารถติดตั้งวาล์ว
3 ทางระหว่าง
pressure vessel
และวาล์วระบายความดัน
2 ตัว
โดยวาล์ว 3
ทางดังกล่าวจะไม่สามารถตัดการเชื่อมต่อไปยังวาล์วระบายความดันพร้อมกัน
2 ตัวได้
กล่าวคือถ้าปิดเส้นทางการไหลไปยังวาล์วระบายความดันตัวหนึ่ง
เส้นทางการไหลไปยังวาล์วระบายความดันอีกตัวหนึ่งก็จะต้องเปิด
วิธีนี้ทำให้สามารถเปลี่ยนการทำงานของวาล์วระบายความดันได้ในกรณีที่วาล์วระบายความดันนั้นทำงานผิดปรกติ
ดังเช่นเปิดเมื่อความดันสูงเกิน
แต่ไม่ยอมปิดตัวเมื่อความดันลดต่ำลงแล้วดังเช่นในเหตุการณ์นี้
ทำให้สามารถเดินเครื่องต่อไปได้โดยไม่ต้องหยุดเดินเครื่องเพื่อถอดวาล์วที่เสียนั้นออกมาซ่อม
สำหรับตอนที่
๑ คงจบเพียงแค่นี้ก่อน