แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเขียน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเขียน แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560

บันทึกเรื่องที่ต้องสอนซ้ำ บันทึกความทรงจำที่ได้พบเจอ (๑) MO Memoir : Sunday 17 December 2560

"ตอนนี้ทางทีมของพวกผมขาดบุคลากรในด้านนี้มากครับ คือด้านเกี่ยวกับการทำ Know how การถ่ายทอด รุ่นสู่รุ่น และการจดบันทึก เหมือนที่อาจารย์แนะนำ
 
จนเป็นเวลาผ่านมาหลายปี ยังไม่ประสบผลสำเร็จเลยครับ ผมอยากทำเรื่องนี้เลยค่อย ๆ อ่านศึกษาเรื่อย ๆ ตัวเองทำงานมาประมาณ10ปี ก็พอมีพื้นฐานบ้างครับ พยายามถ่ายทอดออกมา และจดบันทึกได้บ้าง
  
จะพยายามทำให้ได้ครับ ถ้าอาจารย์ มีอะไรแนะนำ ก็เชิญได้นะครับ ยินดีรับคำติชมครับ"

อย่างแรกเลยผมคงต้องขอขอบคุณเป็นอย่างมากครับที่ส่งอีเมล์มาให้กำลังใจในการเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ขอบอกตามตรงเลยนะครับว่า ถ้าเป็นเรื่องราววิชาการความรู้ คนใกล้ตัวผม (คือนิสิตที่กำลังเรียนอยู่) มักจะไม่อ่านหรอกครับ เว้นแต่ว่าจะบอกว่ามีข้อสอบอยู่ในนั้น หรือบางเรื่องมันมีเนื้อหาตรงกับรายงานที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำ และบนหน้า blog ผมมันเป็นเนื้อหาภาษาไทย (เพราะพวกเขาจะได้ไม่ต้องแปลแบบถูก ๆ ผิด ๆ) แต่ถ้าเป็นพวกเรื่องราวไร้สาระเนี่ย ยอด กดไลค์มักจะต่ำ แต่ยอดเข้าชมมักจะสูงครับ (คือพอผมโพสเรื่องใหม่ขึ้น blog ผมจะนำไปเผยแพร่ใน facebook ของนิสิตก่อนครับ) ส่วนพวกความรู้พื้นฐานต่าง ๆ (เช่น pipe กับ tube ต่างกันอย่างไร) มักจะมีคนเข้ามาอ่านกันมากตอนช่วงฝึกงานครับ
 
โดยความเห็นส่วนตัวนะครับ หลากหลายเรื่องราวมันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืออาหารการกิน ในอดีตกาลผู้คนที่อาศัยอยู่ในแต่ละท้องถิ่นนั้นรู้ว่าในภูมิประเทศที่เขาอาศัยอยู่นั้นมันมีอะไรที่เขากินเป็นอาหารเพื่อดำรงชีวิตได้ เขาก็กินสิ่งที่เขาหาได้ในท้องถิ่นนั้น ตัวอย่างเช่นพวกเอสกิโมที่อยู่ในภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง ปลูกผักอะไรไม่ได้ เขาก็บริโภคเนื้อเป็นหลัก อยู่ดี ๆ จะไปบอกเขาว่าหันมากินผักแทนเถอะ เพราะมันไม่บาป ผมว่ามันก็ไม่ถูก ผมเห็นว่าการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกันครับ


รูปที่ ๑ หน้าปกหนังสือของ "เหม เวชกร" รุ่นที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า เป็นหนังสือชุดที่ผมชอบอ่านมากชุดหนึ่ง แต่ทำไมถึงมาโผล่อยู่ในบทความนี้ได้ ก็ลองอ่านเนื้อหาบทความไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกันครับ
 
ผู้เล่าเรื่องราวอาจเปรียบได้เหมือนพ่อครัวผู้ทำอาหาร (อันนี้ของรวมถึงแม่ครัวด้วยนะครับ ไม่ได้ลำเอียงใด ๆ) พ่อครัวนั้นมีวัตถุดิบคือ พืช ผัก เนื้อ และเครื่องปรุงต่าง ๆ ส่วนวัตถุดิบของผู้เล่าเรื่องราวก็คือสิ่งที่เขาได้ไปพบ ไปเห็น ได้รับฟังมา การได้วัตถุดิบของพ่อครัวอาจได้มาจากตลาดใกล้บ้าน หรือการท่องเที่ยวเดินทางไปยังท้องถิ่นอื่นเพื่อสรรหาวัตถุดิบใหม่ ผู้เล่าเรื่องราวก็เช่นกันครับ เรื่องที่นำมาเล่านั้นอาจเป็นเรื่องใกล้ตัว เช่นงานที่ทำอยู่หรือประสบการณ์ในการทำงาน หรือจากคนอื่นเล่าให้ฟัง แต่บางครั้งเราก็ต้องเดินทางไปยังที่อื่นบ้างเพื่อเปิดโอกาสได้เจอกับสิ่งใหม่ ๆ บ้าง
 
มันไม่มีอาหารชนิดใดหรอกครับที่คนทุกคนบนโลกจะชื่นชอบ ทำนองเดียวกันครับ มันไม่มีรูปแบบการเขียนที่ถือว่าเป็นสุดยอดที่ทุกคนต้องเอาเยี่ยงอย่าง พ่อครัวแต่ละคนต่างก็มีความถนัดในด้านการทำงานแต่ละด้าน จะมาบอกว่าคนที่เป็นพ่อครัวอาหารฝรั่งเศสนั้นเหนือกว่าอาหารจีนก็ไม่ถูก คนเล่าเรื่องราวก็เช่นเดียวกัน บางคนเล่าเรื่องสยองขวัญเก่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเล่าเรื่องชีวิตรักได้หวานซึ้งหรือเรื่องตลกได้ขำกลิ้ง
 
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพอเราถนัดในเรื่องใดแล้วเราก็ควรต้องยึดติดในเรื่องนั้นนะครับ ผมเชื่อว่าแต่ละคนก็มีบ้างเหมือนกันในบางครั้งที่อยากลองทำอะไรที่เราไม่เคยลองทำหรือคิดว่าไม่มีความถนัด แต่ที่เราไม่ทำก็เพราะกลัวว่าจะออกมาไม่ดี ผมเองก็เคยลองทำเหมือนกัน และบังเอิญออกมาประสบความสำเร็จดีซะด้วย (แต่ยังทำซ้ำไม่ได้นะครับ) คือดีซะจนคนในที่ทำงานเดียวกับผม (ซึ่งปรกติเขาก็ไม่ค่อยมาอ่านบทความที่ผมเขียนลง blog อยู่แล้ว) เวลาเจอหน้าผมเขาถึงกับมองหน้าผมด้วยความสงสัยว่า มันเป็นเรื่องจริงหรือนิยาย (ทีเรื่องแบบนี้ละก็ อ่านแล้วอ่านอีก อ่านละเอียดเสียด้วย) ถ้ายังไงก็อยากขออนุญาตแนะนำให้ลองอ่านเรื่อง "อาจารย์ครับ ผมไม่เรียนต่อแล้วนะครับ" เล่น ๆ ก่อนก็ได้ครับ (สำหรับผู้อ่านบนหน้าเว็บ สามารถกดลิงค์ที่ชื่อบทความเพื่อเข้าไปยังเรื่องดังกล่าวได้เลยนะครับ)

ดังนั้นเรื่องที่จะเล่าต่อไปจากนี้ ถือเสียว่าเป็นการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวก็แล้วกันนะครับ อย่ายึดถือว่าเป็นตัวอย่างที่ควรเลียนแบบ เป็นคำติหรือคำชม หรือคำแนะนำใด ๆ นะครับ :) :) :)

MO Memoir เริ่มจากการเขียนบันทึกเป็นไฟล์ pdf แจกจ่ายให้กับนิสิตปริญญาโทที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ครับ เรื่องทั้งเรื่องมันเริ่มจากการที่รู้สึกว่าต้องมาฝึกสอนเรื่องเดิม ๆ (โดยเฉพาะเทคนิคปฏิบัติงาน และการปรับความเข้าใจในความรู้พื้นฐานให้ถูกต้อง) ให้กับนิสิตรุ่นใหม่ทุกปี และบางปีก็ลืมสอนในบางเรื่องด้วย ก็เลยคือทำเป็นบันทึกแจกจ่ายทางอีเมล์ให้กับเฉพาะนิสิตปริญญาโทที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เท่านั้น (ซึ่งตอนนี้ก็ยังทำอยู่ โดยจะส่งให้ทางอีเมล์ตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาเรียน จนกระทั่งถึงวันที่พวกเขาเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร) แต่พอเขียนไปได้หลายเรื่องก็เริ่มมีปัญหาแล้วว่าเคยเขียนเรื่องอะไรไว้บ้างและเขียนไว้เมื่อไร ก็เลยคิดนำเอาเรื่องต่าง ๆ นั้นขึ้น blog เพราะมันทำให้ค้นหาเรื่องย้อนหลังได้ง่ายขึ้น (ตรงที่ผมทำช่อง "ค้นหาบทความ MO Memoir" นั่นแหละครับ) ทีนี้พอโพสเรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยทำให้มีผู้อ่านหลากหลายมากขึ้นครับ
 
รูปแบบการเขียนนั้น ผมมักจะอิงแนวทางเหมือนกับว่าผมกำลังเล่าเรื่องให้ผู้อื่นฟังอยู่ ถ้าเป็นเรื่องงานวิจัยก็จะวางแนวทางการเล่าเสมือนกับเล่าให้นิสิตปริญญาโทในที่ปรึกษาฟัง ถ้าเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วไปก็จะวางแนวทางการเล่าเสมือนกับเล่าให้นิสิตที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือผู้ที่เรียนต่างสาขาฟัง ทีนี้พอวางภาพว่าคนฟังเป็นผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ ดังนั้นคำบางคำที่คนที่กำลังทำงานอยู่นั้นอ่านแล้วเข้าใจเลย แต่สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาอยู่นั้นจะพบว่าเป็นคำศัพท์ใหม่ ทำให้จำเป็นต้องมีการขยายความเป็นระยะ
 
"แค่เห็นรูปก็กลัวแล้ว แค่ได้ยินคำบรรยายก็สามารถรับรู้ได้ถึงรสชาติอาหาร" เป็นคำอธิบายงานเขียนของศิลปินแห่งชาติ "เหม เวชกร" ที่ผมต้องยอมรับว่ามีอิทธิพลต่อรูปแบบการเขียนของผมมาก ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านการใช้ภาษาที่เรียบง่ายและความสมจริงอย่างน่าประทับใจของตัวละครที่เป็นผู้เล่าเรื่อง ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้นำเอารูปหนังสือที่เขียนโดย เหม เวชกร ที่ผมมีเก็บไว้บางเล่มนำมาประกอบเรื่องเล่าวันนี้ครับ
 
ผมเองจะไม่พยายามเขียนเรื่องยาว ๆ ให้จบในตอนเดียว ในกรณีที่คิดว่าเรื่องมันค่อนข้างจะยาว ก็จะพยายามตัดตอนเป็นช่วง ๆ วิธีการนี้มันก็มีข้อดีตรงที่ผู้อ่านไม่ต้องเสียเวลาในการอ่านมาก และยังทำให้ตัว blog นั้นมีเรื่องราวใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับว่ามันยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งในปัจจุบันที่คนหันไปอ่านจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือกันมากขึ้น จึงทำให้ยากที่จะมีคนอ่านบทความยาว ๆ จากหน้าจอรวดเดียวจนจบ นอกจากนี้ก็จะพยายามให้แต่ละย่อหน้ามันไม่ยาวเกินไป เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนได้พักสายตาเมื่ออ่านจบแต่ละย่อหน้า และบางครั้งก็จะใช้การเว้นบรรทัดช่วยแยกย่อหน้าให้ห่างจากกัน ซึ่งการเว้นบรรทัดนี้มันมีประโยขน์ทั้งการจัดหน้ากระดาษและการเน้นข้อความ ยังช่วยบอกให้ผู้อ่านทราบเป็นนัยว่ากำลังจะเริ่มเนิ้อหาใหม่
 
ในขณะเดียวกันก็จะพยายามหารูปแทรกประกอบเนื้อหาที่เขียน เพราะมันไม่แต่จะช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น มันยังช่วยให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเนื้อหาที่อ่านนั้นมันไม่หนาแน่นมากเกินไป (บางทีบทความขนาด ๑๐ หน้ากระดาษ A4 มีส่วนที่เป็นข้อความอยู่ไม่ถึงครึ่งก็มี) แต่ก็มีบ่อยครั้งเหมือนกันครับที่พอเขียนจบเรื่องแล้วพบว่าหน้ากระดาษมันว่างอยู่ ก็เลยต้องไปหารูปอะไรต่อมิอะไรมาลงเพื่อให้หน้ากระดาษมันเต็มเท่านั้นเอง (ทั้งหมดจะเป็นรูปที่ผมถ่ายเอง) รูปเหล่านี้จะว่าไปบ่อยครั้งที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อหาในบทความเลยครับ เป็นเพียงแค่การฝากสิ่งที่ผมได้พบเห็นไว้ในบทความนั้นเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่แน่นะครับ ในอนาคตมันอาจมีคุณค่าขึ้นมาก็ได้ ตัวอย่างเช่นตอนนี้ถ้าใครสักคนไปถ่ายรูปรถติดบนถนนที่สี่แยกแห่งหนึ่งแล้วนำมาโพส คนเห็นก็คงไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่ถ้าผ่านไปสัก ๓๐ ปีแล้วนำมาโพสใหม่ เชื่อว่าคนที่เห็นภาพเดิมนี้ในตอนนั้นจะมีความรู้สึกที่แตกต่างไป แบบที่เราเห็นภาพสถานที่ต่าง ๆ เมื่อหลายสิบปีที่แล้วนั่นแหละครับ "น้ำปลาที่ดีต้องใช้เวลาบ่มนานฉันใด ความทรงจำก็เช่นกัน" (อันที่จริงผมเคยใช้คำว่า "สุรา" มาก่อนครับ แต่ดูปฏิทินแล้วเห็นว่าวันนี้เป็นวันพระ ก็เลยขอเปลี่ยนเป็น "น้ำปลา" แทน) รูปแบบการจัดหน้าของผมตรงนี้ลองดูได้จาก MO Memoir ฉบับรวมบทความที่สามารถดาวน์โหลดไฟล์ pdf จากหน้า blog ได้ครับ
 
ตอนแรกนี้คงทำได้แค่การเล่าให้ฟังว่าผมเริ่มเขียนได้อย่างไร ได้แนวทางการเขียนมาจากไหน วางรูปแบบการเขียนอย่างไร ส่วนเรื่องที่ว่าเรื่องที่เขียนเอามาจากไหนนั้น ขอยกเป็นตอนต่อไปก็แล้วกันนะครับ เพราะยังจัดลำดับการวางเรื่องไม่ลงตัว วันนี้ขอสวัสดีแค่นี้ก่อนครับ :) :) :)


รูปที่ ๒ ตัวอย่าง MO Memoir ฉบับรวมบทความที่สามารถดาวน์โหลดไฟล์ pdf ได้ฟรีครับ

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทำให้เรียบร้อย (ตอนที่ ๒) MO Memoir : Sunday 28 March 2553

เมื่อวานพึ่งจะอ่านวิทยานิพนธ์ปริญญาโทที่จะสอบในวันจันทร์ที่ ๒๙ มีนาคมนี้จบไปทั้ง ๔ เล่ม พบว่าใน ๔ เล่มนั้นคุณภาพงานเขียนวิทยานิพนธ์ ๓ เล่มนั้นเป็นได้อย่างมากเพียงแค่ฉบับ "ร่างครั้งแรก" ไม่คู่ควรกับการเป็นฉบับส่งให้กรรมการสอบอ่านเลย ดูเหมือนผู้เขียนทำแบบขอไปที ขอให้มีส่ง หวังว่ากรรมการคงจะไม่อ่านกัน คงเป็นเพียงแค่มาฟังการนำเสนอในห้องสอบแล้วก็ให้คะแนนไปตามที่ได้ยินได้ฟัง นี่ก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าตัวอาจารย์ที่ปรึกษาเองมีโอกาสได้อ่านมาก่อนหรือเปล่า หรือรอฟังแต่ผลที่นิสิตนำมาเสนอ พอได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้วก็ปล่อยให้ไปเขียนกันเองโดยไม่สนเลยว่านิสิตจะเขียนอะไรลงไป บ่อยครั้งที่พบว่าอาจารย์ที่ปรึกษาทำเพียงแค่ "ได้เห็น" คือตาเห็น แต่ไม่ได้อ่านสิ่งที่นิสิตในที่ปรึกษาเขียน งานนี้กะว่าจะขอส่งวิทยานิพนธ์ทั้ง ๓ เล่มคืนนิสิตให้กลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยนัดสอบใหม่จะดีกว่า

บางคนคงเคยได้ยินแล้วว่ากรรมการสอบวัดคุณสมบัตินิสิตปริญญาเอกชุดที่ผมเป็นกรรมการร่วมอยู่นั้น เคยให้นิสิตปริญญาเอกผู้หนึ่งสอบวัดคุณสมบัติไม่ผ่านถึง ๒ ครั้ง ซึ่งเป็นผลให้นิสิตผู้นั้นต้องพ้นสภาพนิสิตไปตามระเบียบของมหาวิทยาลัย งานนี้กรรมการชุดนั้นทุกคนโดยหัวหน้าหน่วยงานเรียกตัวไปถามเป็นรายคนว่าทำไมถึงให้ตก ปรากฏว่ากรรมการทุกคนตอบตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายว่างานที่นิสิตคนดังกล่าวทำส่งมานั้น "ชุ่ย" กล่าวคือสิ่งที่เขาส่งมาในรายงานกับสิ่งที่เขานำเสนอในการสอบครั้งแรกนั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน พอโดนซักก็บอกว่าเขาเปลี่ยนแนวทาง (เหตุผลฟังไม่ขึ้น) เพราะถ้าจะเปลี่ยนเรื่องไปเลยก็ต้องแจ้งกรรมการสอบว่าขอยกเลิกเอกสารเก่า และส่งเอกสารใหม่มาให้ และนัดวันสอบใหม่ ไม่ใช่มาบอกกันในห้องสอบ ทำให้รู้ได้เลยว่ากะว่ากรรมการคงไม่อ่านเอกสาร เลยเอาอะไรต่อมิอะไรมายัดไส้ต่อเข้าด้วยกัน ดูเผิน ๆ เป็นเหมือนเอกสารสมบูรณ์ แต่พออ่านดูจะรู้ว่าเรื่องราวมันไม่เกี่ยวข้องกันเลย พอสอบใหม่ครั้งที่สองก็ยังทำแบบเดิมอีก (คงกะว่ากรรมการสอบคงนึกไม่ถึงว่าจะทำซ้ำเดิมอีก) งานนี้ก็เลยเจอดีเข้าไป

อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้เมื่อกว่า ๑๐ ปีที่แล้วผมเคยให้นิสิตปริญญาโทที่เรียนมา ๔ ปีแล้วสอบวิทยานิพนธ์ตก กล่าวคือนิสิตคนดังกล่าวพอสอบโครงร่างเสร็จก็หายหน้าไปเลย พอเทอมสุดท้ายปี ๔ ก็โผล่หน้ามาให้อาจารย์ที่ปรึกษาเห็น ตอนสอบก็บอกว่าได้ทำไอ้นั่น ได้ทำไอ้นี้ ผลที่ได้ออกมาเป็นอย่างนี้ พอขอดูงานที่ทำจริงก็ปรากฏว่าไม่มี วิทยานิพนธ์ของเขาเป็นเพียงแค่นำเอาข้อความในคู่มือการใช้ซอร์ฟแวร์มาตัดต่อเข้าด้วยกันแค่นั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย งานนั้นดูเหมือนว่าจะมีผมกับกรรมการสอบอีกท่านที่ได้อ่านวิทยานิพนธ์ฉบับนั้นมาทั้งเล่มก่อนสอบ ที่น่าแปลกก็คือตัวประธานสอบกับอาจารย์ที่ปรึกษาขอให้นิสิตสอบผ่าน ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่าเขาเรียนมา ๔ ปีแล้ว (โดยที่ไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์เป็นชิ้นเป็นอันเลยหรือ) งานนี้กรรมการสอบก็เลยตอบกลับไปว่าถ้าเช่นนั้นก็ไปหากรรมการสอบชุดใหม่เองก็แล้วกัน

สำหรับผู้ที่พึ่งจะมาเห็นบันทึกฉบับนี้ (อาจจะโดยเปิดเข้าดูเอง หรือมาตามที่ผมแจ้งไว้ในวิทยานิพนธ์ที่ส่งกลับคืนไปว่าให้มาอ่าน) ก็ขอแจ้งให้ทราบว่าก่อนหน้านี้ได้เคยกล่าวถึงเรื่องทั่วไปในการเขียนเอาไว้บ้างแล้วใน


MO Memoir 2551 Saturday 20 September 2551 การเขียนเอกสารอ้างอิง

MO Memoir 2552 Friday 6 February 2552 การเขียนวิทยานิพนธ์

MO Memoir 2552 Friday 3 April 2552 ทำให้เรียบร้อย


ซึ่งผู้ที่ต้องการให้ผมเป็นกรรมการสอบ (สำคัญมากเพราะจะไม่ทำให้กรรมการสอบอารมณ์เสียก่อนเข้าห้องสอบ) หรือผู้ที่ต้องมาแก้ไขเพื่อให้ผมตรวจใหม่นั้น กรุณาอ่านและทำตามด้วย จะเป็นประโยชน์แก่กันทั้งสองฝ่าย


ที่จะเล่าต่อไปนี้ไม่ใช่รูปแบบที่ "ต้องทำ" แต่เป็นรูปแบบที่ "ควรทำ" หรือเป็นสิ่งที่ "ต้อง" ตรวจทาน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกว่าผู้เขียนวิทยานิพนธ์นั้นมีความพิถีพิถันและความตั้งใจในการทำงาน ไม่ได้ทำแบบขอไปทีโดยนึกว่ากรรมการสอบนั้นเป็นเพียงแค่ตรายาง คือคิดว่ายังไงก็ต้องผ่านเพราะว่าได้เป็น (แค่) ลูกมือทำผลแลปให้อาจารย์เอาไปเขียน paper แล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาก็ต้องให้จบอยู่ดี (ทำนองว่ายื่นหมูยื่นแมวนั่นแหละ) โดยที่ตัวเองไม่ต้องไปสนหรือรู้ว่าได้ทำอะไรลงไป เรื่องแบบนี้ผมเจอบ่อยจนถึงกับปฏิเสธไม่ขอเป็นกรรมการสอบของนิสิตของอาจารย์หลายราย


. การเว้นบรรทัดระหว่างหัวข้อกับย่อหน้าแรกใต้หัวข้อ และการเว้นวรรคระหว่างเลขหัวข้อกับชื่อหัวข้อ


ในวิทยานิพนธ์นั้นมักจะมีหัวข้อต่าง ๆ อยู่หลายหัวข้อ ภายใต้หัวข้อเหล่านั้นก็จะเป็นคำบรรยาย สิ่งที่ต้องทำคือตรวจสอบว่ารูปแบบที่คุณใช้นั้น พอขึ้นหัวข้อใหม่แล้ว ก่อนที่จะขึ้นย่อหน้าแรกคุณมีการเว้นบรรทัดหรือไม่ ถ้าคิดจะเว้น ๑ บรรทัดก็ทำให้ตลอดทั้งเล่ม ถ้าจะไม่เว้นก็ทำให้เหมือนกันทั้งเล่ม และทุกบทก็เหมือนกันด้วย ตัวอย่างเช่น


.๒ ชื่อหัวข้อเรื่อง ........


เนื้อหาในเรื่องนี้มีอยู่ว่า ...........


ซึ่งตรงนี้มีการเว้นบรรทัด แต่พออ่านไปกลับไปเจอ


.๑ ชื่อหัวข้อเรื่อง ...........

เนื้อหาในเรื่องนี้มีอยู่ว่า ............


กลับกลายเป็นว่าไม่เว้นบรรทัดระหว่างหัวข้อกับย่อหน้าแรก

นอกจากนี้ยังเคาะวรรคไม่เท่ากันอีก กล่าวคือระหว่างเลข . กับชื่อหัวข้อมีการเคาะวรรค ๒ วรรค แต่ระหว่างเลข . กับชื่อหัวข้อมีการเคาะวรรคแค่วรรคเดียว จะทำแบบใดก็เลือกเอาแบบหนึ่งให้เหมือนกันทั้งเล่ม


. ไม่ยอมตรวจหาคำที่พิมพ์ผิด


ที่แปลกใจก็คือวิทยานิพนธ์ที่ผมกำลังจะสอบในวันจันทร์พรุ่งนี้มีที่พิมพ์ผิดเยอะมาก ทั้ง ๆ ที่คำที่พิมพ์ผิดเหล่านี้ตัวโปรแกรมที่ใช้พิมพ์ (ซึ่งเชื่อว่าเกือบทุกคนคงใช้ Microsoft Office และมีส่วนน้อยที่ใช้ Latex) นั้นสามารถตรวจพบได้ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมใช้มันตรวจ หรือว่าไม่ได้สนใจว่ามันบอกว่าพิมพ์ผิด ที่ผมยังสงสัยคือทำไมโปรแกรม Open Office ที่ผมใช้พิมพ์ Memoir นี้มันไม่แสดงคำที่พิมพ์ผิด ทั้ง ๆ ที่ผมตั้งค่าเอาไว้ให้มันตรวจหาคำพิมพ์ผิดระหว่างพิมพ์เอาไว้ด้วย

สักสิบกว่าปีที่แล้วผมก็เคยเจอแบบนี้ พอถามนิสิตกลับไปว่าทำไมถึงไม่ใช้โปรแกรมแก้ไขคำที่พิมพ์ผิด เขาก็ตอบกลับมาว่ามันมีเยอะมากและเสียเวลาแก้ไขมาก ผมก็เลยถามกลับไปว่าแล้วคุณคิดว่าเวลาของกรรมการสอบนั้นมันไม่มีค่าหรือไง ในการที่ต้องมานั่งอ่านและตรวจแก้ไขคำที่พิมพ์ผิดให้คุณ ทั้ง ๆ ที่คุณใช้โปรแกรมตรวจหาในไฟล์ของคุณจะง่ายกว่าและเสียเวลาน้อยกว่ามาก

อีกรายหนึ่ง (แลปเดียวกับพวกเรา แต่อยู่คนละกลุ่มกัน) ที่อยู่ในรุ่นเดียวกับคนในย่อหน้าข้างบนก็มาอีกแบบหนึ่ง คือเขาไม่ยอมไปตรวจหาเอง ใช้วิธีการแก้ไขเฉพาะที่กรรมการตรวจเจอเท่านั้น (แต่กรรมการบอกไว้ชัดเจนว่าให้ไปตรวจดูทั้งเล่มใหม่หมดด้วย ไม่ใช่ตรวจแก้เฉพาะตรงที่กรรมการวงแดงเอาไว้) โดยคิดว่ากรรมการคงไม่ตรวจเพิ่มอีก งานนี้ผมก็เลยยังไม่ยอมลงชื่อในฉบับสมบูรณ์ ส่งกลับไปให้แก้ไขจนกระทั่งวันสุดท้ายของการส่ง ก็ยังพบว่ามีที่ผิดที่เขายังไม่ไปแก้ไขอีก ตอนที่เขามาหาผมที่ห้องทำงานพร้อมกับเพื่อนของเขอเพื่อขอให้ผมลงชื่อนั้น เขาก็สัญญาว่าขอให้อาจารย์ลงชื่อให้เขาส่งงานให้ได้ก่อน เพราะวันนี้วันสุดท้ายแล้ว แล้วเขาจะแก้ไขให้ พอผมลงชื่อในเอกสารและยื่นส่งคืนให้เขา พอเขารับเอกสารไปเรียบร้อยเขาก็พูดต่อหน้าผมและเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่า "แล้วอาจารย์คิดหรือว่าหนูจะกลับมาให้เห็นอีก" ผมฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปและไม่ได้เล่าให้อาจารย์ท่านใดฟัง

ปรากฏว่าเขาไปได้งานเป็นอาจารย์ที่สถาบันแห่งหนึ่ง บังเอิญว่าทางสถาบันนั้นมีทุนให้อาจารย์ที่ยังไม่จบระดับปริญญาเอกให้เรียนต่อปริญญาเอกในประเทศ เขาก็สมัครมาเรียนที่เดิมโดยขอกลับมาเรียนกับอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดิมของเขา บังเอิญว่าอดีตอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาเอาเรื่องนี้เข้าที่ประชุมเพื่อวางตัวอาจารย์ผู้สอนและผู้ดูแล งานนี้ผมเลยขอปฏิเสธพร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ฟัง ส่วนท่านอื่นจะตัดสินใจอย่างไรนั้นผมไม่มีความเห็นและไม่ขอออกความเห็นใด ๆ ทั้งสิ้น

สุดท้ายได้ยินมาว่าเขาได้ทุนไปเรียนต่อเอกต่างประเทศ และในขณะนี้จบการศึกษาและกลับมาทำงานเป็นอาจารย์ได้หลายปีแล้ว


. เคาะวรรคไม่สม่ำเสมอ


อันนี้เจอเป็นประจำกับพวกที่เขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ คือแต่ละคำในแต่ละประโยคนั้นเคาะวรรคไม่สม่ำเสมอ บางทีก็เคาะวรรค ๑ วรรค บางทีก็ ๒ วรรค ตอนที่ผมเรียนพิมพ์ดีดนั้น ครูผู้สอนก็ย้ำเสมอว่าเพื่อให้งานออกมาดูสวยงาม ระยะระหว่างคำในแต่ละประโยคให้เว้น 1 วรรค ส่วนระยะระหว่างประโยค (หลังจุด full stop จนถึงอักษรตัวแรกของประโยคถัดไป) ให้เว้น ๒ วรรค

แต่พอมาใช้คอมพิวเตอร์นั้น ผมก็ยังใช้เกณฑ์นี้อยู่ อาจมียกเว้นบ้างในกรณีที่ใช้การกั้นหน้าสม่ำเสมอซ้าย-ขวา ถ้าพบว่าการเว้นวรรค ๒ วรรคระหว่างประโยคนั้นทำให้การตัดประโยคขึ้นบรรทัดใหม่นั้นดูไม่สวยงาม ก็อาจมีการเปลี่ยนเป็น ๑ วรรคหรือเป็น ๓ วรรคระหว่างประโยค แต่ก็เป็นการกระทำเพียงบางจุดเท่านั้น ไม่ใช่เอาแน่เอานอนไม่ได้


คำที่อยู่หน้าเครื่องหมาย "," บางทีก็ไม่เคาะวรรค เช่น


....... for example, .....


แต่บางทีก็เคาะวรรค เช่น


....... for example , .....


โดยส่วนตัวแล้วผมชอบแบบแรก (ที่ไม่เคาะวรรค) มากกว่า


เล็กบ้าง-ใหญ่บ้าง เต็มบ้าง-ย่อบ้าง


ที่พบเป็นประจำคือคำว่า table และ figure ที่อยู่ในประโยคและไม่ได้เป็นคำแรกของประโยค

กล่าวคือจะเขียนแบบ ..... as shown in figure ...... (ตัวเล็ก) หรือ ..... as shown in Figure ..... (ตัวใหญ่) ก็เลือกเอาแบบใดแบบหนึ่ง

อีกแบบคือ ..... as shown in figure ..... (แบบไม่ย่อ) หรือ ..... as shown in fig. ..... (แบบย่อ แต่อย่างลืมใส่จุด (.) ด้วยนะ) ก็เลือกเอาแบบใดแบบหนึ่ง

อีกอันหนึ่งที่เจอก็คือไม่เติม "s" เมื่อมีมากกว่า 1 กล่าวคือ

ถ้าเป็นรูปเดียวเช่น ..... as shown in figure 4.4 .... ก็ไม่ต้องเติม s

แต่ถ้ามีสองรูปเช่น ..... as shown in figures 4.4 and 4.5 ต้องเติม s ท้ายคำ figure

และถ้ามีมากกว่าสองรูปเช่น ..... as shown in figures 4.4 - 4.7 ก็ต้องมี s และใช้เครื่องหมาย hyphen (-) คั่นระหว่างรูปแรกและรูปสุดท้ายได้เลย ไม่ใช่เขียนเป็น ..... as shown in figure 4.4, 4.5, 4.6, and 4.7 ...

คำว่า Figure x.x ที่กำกับรูปหรือคำว่า Table x.x ที่กำกับตาราง ควรใช้ตัวพิมพ์เข้ม เพื่อเน้นให้เด่นจากข้อความปรกติและตัวคำบรรยายรูปภาพหรือตาราง เช่น


Figure 4.4 Flow diagram of ....


Table 4.1 Parameters ....


และควรมีการเว้น ๑ บรรทัดระหว่างข้อความกับรูปภาพหรือตารางด้วย โดยชื่อรูปควรอยู่ใต้รูป และชื่อตารางควรอยู่เหนือตาราง


. ย่อหน้าไม่สม่ำเสมอ


บางคนนั้นเวลาที่มีหัวข้อย่อย ก็จะทำการย่อหน้าลึกเข้าไปทางขวาเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น


xxxxx5.1 Effects of .....


xxxxxเนื้อหาหัวข้อ 5.1


xxxxxxxxxx5.1.1 Effects of .....


xxxxxxxxxxเนื้อหาหัวข้อ 5.1.1 .....


แต่บางคนก็จะคงระยะย่อหน้าไว้คงที่เสมอ เช่น


xxxxx5.1 Effects of .....


xxxxxเนื้อหาหัวข้อ 5.1


xxxxx5.1.1 Effects of .....


xxxxxเนื้อหาหัวข้อ 5.1.1 .....


เรื่องการย่อหน้าเข้ามานี้ บางที่ก็มีระเบียบบังคับไว้เลยว่าถ้าเป็นหัวข้อย่อยก็ให้ถอยลึกเข้ามาเรื่อย ๆ ทำให้บางรายที่มีหัวข้อย่อหลายหัวข้อต้องย่อหน้าเข้ามากว่าครึ่งหน้า (เห็นแล้วดูไม่ได้เลย ไม่รู้คนคิดระเบียบนั้นคิดได้อย่างไร) ถ้าไม่มีระเบียบการเขียนกำหนดไว้ ก็ให้เลือกเอาแบบใดแบบหนึ่งให้เหมือนกันทั้งเล่ม


. มีจุด full stop ปิดท้ายด้วย


เป็นเรื่องประจำที่พบว่าผู้ที่เขียนวิทยานิพนธ์นั้นลืมใส่จุด full stop (.) ไว้ที่ท้ายประโยค จุดหนึ่งที่เห็นลืมกันมากที่สุดคือในส่วนเอกสารอ้างอิงที่เป็นฉบับภาษาอังกฤษ ที่ต้องมีจุด full stop ปิดท้ายด้วย และที่ชื่อรูปภาพและชื่อตารางด้วย


. ไม่ยอมเคาะวรรค


ระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ ระหว่างคำกับตัวเลข ระหว่าง คำ/ตัวเลขกับเครื่องหมายเปิดวงเล็บ หรือระหว่างเครื่องหมายปิดวงเล็บกับคำ/ตัวเลข ควรมีการเว้นวรรค 1 วรรคเพื่อให้ข้อความดูสวยงามและอ่านง่าย เช่น

รูปที่๓.๒แสดงให้เห็นว่า ..... ให้เขียนเป็น รูปที่ ๓.๒ แสดงให้เห็นว่า ..... (มีวรรค 1 วรรคอยู่หน้าเลข ๓ และหลังเลข ๒)

Figure4.1 shows that ...... ให้เขียนเป็น Figure 4.1 shows that ..... (มีวรรค 1 วรรคอยู่หน้าเลข 4)

ข้อมูล(ซึ่งได้มา ...... นั้น)แสดงให้เห็นว่า..... ให้เขียนเป็น ข้อมูล (ซึ่งได้มา ...... นั้น) แสดงให้เห็นว่า..... (มีวรรค 1 วรรคอยู่หน้าเครื่องหมายเปิดวงเล็บและหลังเครื่องหมายปิดวงเล็บ)


. คำอธิบายสัญลักษณ์


สำหรับงานที่มีสมการคณิตศาสตร์มากนั้น ควรมีการรวบรวมสัญลักษณะต่าง ๆ มาอธิบายไว้ข้างหน้า โดยต้องเรียงลำดับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ตามตัวอักษรจาก A-Z ต่อจากนั้นจึงเป็นคำอธิบาย superscript และ subscript และตามด้วยคำอธิบายอักษร Greek ไม่ใช่ใส่เอาแบบตามใจชอบแล้วให้คนอ่านไปหาเอาเองว่าซ่อนไว้ตรงไหน

และควรระบุด้วยว่าตัวแปรแต่ละตัวมีหน่วยเป็นอะไรหรือเป็นตัวแปรที่ไม่มีหน่วย หน่วยบางหน่วยนั้นสามารถเขียนแบบกลาง ๆ ได้ เช่นพื้นที่ผิวภายนอกต่อหน่วยปริมาตร อาจเขียนเป็น m2/m3 หรือ l2/l3 (ความยาวกำลัง 2 ต่อความยาวกำลัง 3 เมื่อ l คือความยาว) ก็ได้


. ตกลงว่าจะพิมพ์สีหรือขาวดำ


ปัญหานี้พบประจำเวลาที่ทำรูปกราฟต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์ชอบที่จะทำเป็นรูปสี แต่ตอนพิมพ์วิทยานิพนธ์กลับใช้เครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ได้แต่สีดำ ผลที่ตามมาคือไม่สามารถอ่านภาพได้ เส้นที่เป็นสีอ่อนจะหายไป เส้นที่เป็นสีเข้มจะดูเหมือนกันหมด หรือรูปที่เป็นการแรเงาไล่สีจะดูออกมาดำไปหมด

ดังนั้นถ้าคิดจะใช้เครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ได้แต่สีดำ การสร้างกราฟหรือรูปภาพต่าง ๆ บนคอมพิวเตอร์ก็ควรจะทำให้เป็นสีดำ (หรือภาพขาว-ดำ) ซึ่งจะทำให้เห็นก่อนว่าถ้าพิมพ์ออกมาแล้วจะอ่านได้หรือเปล่า


อนึ่งพึงระลึกว่าข้อความเรื่องการจัดรูปแบบใน memoir นี้เขียนโดยใช้โปรแกรม OpenOffice แต่เมื่อนำไปลงใน blog แล้วอาจมีรูปแบบที่เพี้ยนไปได้ (เนื่องจากตัว blog เองไม่ได้มีฟังก์ชันให้จัดรูปแบบได้เหมือนโปรแกรมพิมพ์งานทั่วไป)

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การเขียนเอกสารอ้างอิง MO Memoir : วันเสาร์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๑

ปัญหาหนึ่งที่พบประจำไม่ว่าจะเป็นการเขียนโครงร่างหรือตัววิทยานิพนธ์เองคือการเขียนเอกสารอ้างอิง วิธีการเขียนหลัก ๆ ที่ใช้กันมีอยู่

2 แบบคือการอ้างอิงโดยใช้ตัวเลขกำกับ และการอ้างอิงโดยใช้ชื่อผู้แต่ง ซึ่งการเลือกว่าจะใช้แบบไหนนั้นจะส่งผลต่อรูปแบบการเขียน


ในการอ้างอิงโดยใช้ตัวเลขกำกับนั้น ต้องเรียงลำดับตัวเลขจากเอกสารอ้างอิงฉบับแรก โดยให้เป็นเลข (1) ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสิ้นสุด ตัวเลขต้องไม่กระโดดไปมา ไม่ใช่ว่าเอกสารอ้างอิงฉบับแรกโผล่มาก็เป็นเลข (7) หรืออ้างอิงจาก (1) ไปเรื่อย ๆ จนถึง (6) แล้วก็กระโดดไปเป็น (12) ก็ไม่ถูก การอ้างอิงแบบใช้ตัวเลขเหมาะสำหรับกรณีที่มีเอกสารอ้างอิงเป็นจำนวนมาก เพราะจะทำให้ไม่ยืดยาว เช่นเราต้องการบอกว่า


Several previous works ([12]-[20]) have reported that ...


ซึ่งถ้าใช้เป็นแบบตัวเลขก็จะอ้างอิงถึง 9 ฉบับ ได้โดยเขียนสั้นนิดเดียว แต่ถ้าเป็นแบบรายชื่อจะต้องเขียนชื่อผู้แต่งจะเขียนเป็น


Several previous works (Huler et al. (1996), Kumar et al. (1996), Ma et al. (1996), ..., Vincent et al. 2004)) have reported that ...


ซึ่งต้องมีการเอ่ยชื่อผู้แต่งทั้ง 9 ฉบับซึ่งจะทำให้ข้อความเยิ่นเย้อออกไปอีก


การอ้างอิงโดยใช้ตัวเลขยังมีข้อเสียข้อหนึ่งตรงที่ถ้าหากมีการเพิ่มเติมเอกสารอ้างอิงเข้าไป จะต้องทำการเรียงลำดับเอกสารและเปลี่ยนตัวเลขในเนื้อหาใหม่หมด ซึ่งถ้าเป็นแต่ก่อนก็คงต้องตรวจข้อความกันใหม่ทั้งฉบับ ในปัจจุบันแม้ว่าตัวซอร์ฟแวร์จะช่วยได้โดยการสร้างลิงค์ระหว่างแฟ้มที่เป็นเนื้อหากับแฟ้มที่เป็นเอกสารอ้างอิง วิธีการดังกล่าวทำงานได้ดีเมื่อแฟ้มข้อมูลทั้งหมดอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเท่านั้น แต่จะเกิดปัญหาเมื่อต้องการทำแฟ้มข้อมูลสำรองเอาไว้หรือเอาไปใช้กับเครื่องอื่นทำการย้ายข้อมูลไปบนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น เพราะเกิดปัญหาตำแหน่งที่อยู่ของแฟ้มอยู่ไม่ตรงกัน ทำให้โปรแกรมหาไม่เจอ


ดังนั้นเพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายแฟ้มข้อมูลไปเก็บสำรองหรือนำไปอ่านเครื่องอื่นได้ จึงควรให้แต่ละแฟ้มข้อมูลมีความสมบูรณ์ในตัวเอง และหลีกเลี่ยงการลิงค์แฟ้มข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกัน (เช่นลิงค์กราฟจาก Excel เข้ากับแฟ้มข้อมูล Word เพราะตอนทำเห็นว่าสะดวกดี เพียงแต่แก้แฟ้ม Excel รูปภาพใน Word ก็เปลี่ยนตาม แต่พอเก็บข้อมูลสำรองลงแผ่นซีดีแล้วเปิดแฟ้ม Word ดูกลับพบว่ารูปภาพหายไป เพราะตำแหน่งแฟ้มข้อมูล Excel บนเครื่องที่สร้างแฟ้มข้อมูลกับเครื่องที่นำมาเปิดดูไม่เหมือนกัน และไม่สามารถตามต่อได้ว่าอยากดูรูปต้องไปดูที่ไหน ทางที่ดีคือคัดลอกรูปกราฟมาเป็นรูปภาพวางในแฟ้ม Word เลย)


ลองดูตัวอย่างข้างล่าง ถ้าเขียนอ้างอิงโดยใช้เลขหมายกำกับแล้ว จะหลีกเลี่ยงการเขียนที่มีการเอ่ยถึงชื่อผู้แต่งควรเขียนในทำนอง เช่น


TS-1 samples of different particle size have been synthesized and investigated [3]. It was found that smaller particles were more active than larger particles. (เมื่อ [3] คือเอกสารอ้างอิงของผลการทดลองดังกล่าว)


ในขณะที่ถ้าเขียนแบบอ้างอิงโดยใช้ชื่อผู้แต่งจะเขียนในทำนอง


Van der Pol et al. (1992) synthesized and investigated TS-1 samples of different particle size. Smaller particles were more active than larger particles.


แต่อย่าเขียนผสมคือ


Van der Pol et al. [3] synthesized and investigated TS-1 samples of different particle size. Smaller particles were more active than larger particles


ซึ่งเป็นรูปแบบการเขียนที่ไม่ถูกต้อง


การอ้างอิงโดยใช้ชื่อผู้แต่งและปีที่ตีพิมพ์นั้น ถ้ามีผู้แต่งคนเดียวก็จะเขียนชื่อผู้แต่งและปีที่พิมพ์กำกับ และถ้ามีผู้แต่งสองคนก็จะเขียนทั้งสองคน เช่น


Gao, X., and Xu, J. (2006). A new application of clay-supported vanadium oxide catalyst to selective hydroxylation of benzene to phenol. Applied Clay Science, 33(1), 1-6


จะย่อเป็น Gao and Xu (2006) และที่สำคัญคือจะเอามาแต่นามสกุลเท่านั้น ไม่มีการนำชื่อย่อ (ในที่นี้คือ X. และ J. มาด้วย ดังนั้นจะไม่เขียนเป็น Gao, X. and Xu, J. (2006) ซึ่งเป็นการเขียนที่ผิด

แต่ถ้ามีผู้แต่ตั้งแต่สามคนขึ้นไป จะเขียนเฉพาะคนแรกเท่านั้น และตามด้วย et al. (ปีค..) เช่น


Imre, B., Halasz, J., Frey, K., Varga, K. and Kiricsi, I. (2001). Oxidative hydroxylation of benzene and toluene by nitrous oxide over Fe-containing ZSM-5 zeolites. Reaction Kinetics and Catalysis Letters, 74(2), 377-383.


จะย่อเป็น Imre et al. (2001)

อีกจุดหนึ่งที่เป็นปัญหาคือในกรณีที่มีการอ้างอิงไปยังผู้แต่งเดียวกันที่มีผลงานตีพิมพ์ในปีเดียวกัน (หรือเป็นผู้แต่งสองคนที่ชื่อซ้ำกันและมีผลงานตีพิมพ์ในปีเดียวกัน) ถ้าหากเขียนอ้างอิงแล้วออกมาเหมือนกัน ก็จะต้องมีอักษร a b กำกับตรงปีค.. เอาไว้ ตัวอย่างเช่น


Mongkhonsi, T., Pimanmas, P., and Praserthdam, P., ........, (2000):968-969.

Mongkhonsi, T., Youngwanishsate, W., Kittikerdkulchai, S. and Praserthdam, P., ....... (2000):183-186.


ซึ่งทั้งสองฉบับเมื่อเขียนย่อจะเป็น Mongkhonsi et al. (2000) เหมือนกัน ต้องแก้ไขใหม่โดยเขียนในรูปแบบ


Mongkhonsi, T., Pimanmas, P., and Praserthdam, P., ........, (2000a):968-969.

Mongkhonsi, T., Youngwanishsate, W., Kittikerdkulchai, S. and Praserthdam, P., ....... (2000b):183-186.


และผลงานฉบับแรกจะย่อเป็น Mongkhonsi et al. (2000a) ส่วนฉบับที่สองจะเป็น Mongkhonsi (2000b)

แต่ถ้าเป็นลักษณะที่ย่อออกมาแล้วไม่เหมือนกัน ก็จะไม่มีการใส่ตัวอักษร a b เช่น


Kumar, R., and Bhaumik, A. ....... , (1999) 497-504.

Kumar, R., Mukherjee, P., and Bhaumik, A. ....... , (1999) 185-191.


โดยผลงานฉบับแรกจะเขียนย่อเป็น Kumar and Bhaumik (1999) ส่วนฉบับที่สองเมื่อเขียนย่อจะมีรูปแบบเป็น Kumar et al. (1999) ซึ่งแตกต่างกัน ทำให้ไม่ต้องมีการใส่ตัวอักษรกำกับปีค..


และเมื่อใช้การอ้างอิงในรูปแบบการใช้ชื่อผู้แต่งแล้ว ลำดับการเรียบเอกสารอ้างอิงต้องทำตามลำดับตัวอักษรจาก A-Z โดยพิจารณาเฉพาะผู้แต่งคนแรกเท่านั้น (จะว่าไปแล้วคือนามสกุลนั่นเอง ที่มีปัญหาคือบางฉบับใช้ชื่อย่อกับนามสกุล แต่บางฉบับเขียนทั้งชื่อเต็มและนามสกุล ประเภทหลังนี้เวลาจะจัดเรียงต้องเอานามสกุลมาจัดเรียง ไม่ใช่เอาชื่อมาจัดเรียง) และถ้าชื่อผู้แต่งมีการซ้ำซ้อนกันให้เอาฉบับที่เก่ากว่าขึ้นนำก่อน ตามด้วยฉบับที่ใหม่กว่าเรียงไปเรื่อย ๆ


อีกประเภทหนึ่งคือการอ้างอิงบทความที่ 1 ที่ถูกอ้างอิงในบทความที่ 2 (กล่าวคือเราอ่านบทความที่ 2 โดยเขาอ้างอิงไปยังบทความที่ (1) โดยที่เราไม่ได้ตามไปอ่านบทความที่ (1)) ในกรณีนี้ก็ต้องมีการบอกเอาไว้ด้วย เช่น


Mongkhonsi et al. (1998) (in Yang et al. (2002)) has found that .....


หมายความว่าคุณอ่านบทความของ Yang et al. (2002) โดยพบการอ้างอิงบทความของ Mongkhonsi et al. (1998) ไว้ในบทความของ Yang et al. (2002) โดยที่คุณไม่ได้ตามไปอ่านบทความของ Mongkhonsi et al. (1998) แต่อยากยกมาอ้างอิงเอาไว้ด้วย


สำหรับผู้ที่เริ่มหัดเขียนนั้นมักจะพบว่าการใช้รูปแบบชื่อผู้แต่งจะทำให้เขียนได้ง่ายกว่า เพราะการใช้ตัวเลขนั้นมักต้องอ่านบทความนั้นอย่างละเอียดและเข้าใจ จึงจะย่อบทความได้ถูกต้อง ไม่เหมือนกับการใช้ชื่อผู้แต่ง เพราะบ่อยครั้งที่พบว่ายกเอาบทคัดย่อของบทความนั้นมาดัดแปลงแก้ไขเล็กน้อยเท่านั้นเอง