แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทะเลสาบลำปำ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทะเลสาบลำปำ แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ชมเมืองพัทลุง ตอน สัมผัสวิถีชุมชม เยี่ยมชมสำนักตักศิลา MO Memoir : Monday 17 June 2562

บันทึกนี้เป็นการเดินทางในช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ หลังจากออกจากบ่อน้ำร้อนที่เขาชัยสน จุดมุ่งหมายถัดไปที่ต้องการไปก็คือเมืองเก่าไชยบุรี ที่เป็นที่ตั้งเดิมของจังหวัดพัทลุง ซึ่งอยู่เหนือตัวเมืองปัจจุบันไปทางเหนือเล็กน้อย ใกล้กับวนอุทยานเมืองเก่าไชยบุรี สถานที่นี้ผมเคยแวะไปมาครั้งหนึ่งเมื่อราว ๆ ปี ๒๕๓๘ จำได้แต่ว่ามีแต่ซากเก่า ๆ ก็เลยอยากแวะไปดูอีก หลังจากวนหาอยู่พักหนึ่ง (เพราะป้ายบอกทางไม่ชัดเจน) ก็เลยต้องแวะถามเจ้าหน้าที่ที่ดูแลวนอุทยานว่าเมืองเก่าอยู่ที่ไหน ก็เลยได้ทราบว่าที่มีเหลือให้เห็นก็มีแต่ที่ตั้งศาลหลักเมืองเก่า ที่อยู่ในถนนซอยเล็ก ๆ แยกออกจากทางหลัก และเงียบมากแบบไม่มีคนไป และที่วัดเขาเมืองเก่า ที่มีเจดีย์เก่าตั้งอยู่บนเขาลูกเล็ก ๆ และด้านหลังของเขาลูกนั้นก็มีถ้ำพระ วันที่ผมไปถึงนั้นสถานที่กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงเส้นทางเดินขึ้นไปยังเจดีย์ ที่เดิมบันไดเดินขึ้นแหว่งหายเป็นช่วง ๆ ก็เลยไม่ได้ขึ้นไปถ่ายรูปจากบนยอดเขา

รูปที่ ๑ จุดแวะพักของการเดินทาง (1) ปากคลองศรีปากประที่เป็นแหล่งหนึ่งที่มีการยกยอกันและมีการโปรโมทให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงการจับปลาด้วยการยกยอก็มีให้เห็นกันทั่วไป (2) คลองนางเรียมที่เป็นคลองเชื่อมต่อระหว่างทะเลน้อยกับทะเลสาปสงขลาหรือที่คนพัทลุงเรียกว่าทะเลลำปำ (3) บริเวณอุทยานแห่งชาติทะเลน้อย (4) วัดเขาอ้อที่ขึ้นชื่อในเรื่องเป็นสำนักตักศิลาทางไสยเวทย์ในภาคใต้
  
รูปที่ ๒ บนเส้นทางจากแหลมจองถนนไปเขาชัยสน

รูปที่ ๓ ป้ายเล่าประวัติความเป็นมาของเมืองพัทลุงและศาลหลักเมือง ชื่อเก่าคือเมืองโบราณชัยบุรี

รูปที่ ๔ ศาลหลักเมืองโบราณชัยบุรี ตั้งอยู่ในบริเวณที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของอำเภอเมือง

รูปที่ ๕ ป้ายเล่าประวัติวัดเขาเมืองเก่า

รูปที่ ๖ เจดีย์วัดเขาเมืองเก่า ทางขึ้นเดิมชำรุดทรุดโทรม บันไดแหว่งหายเป็นช่วง ไม่สามารถเดินขึ้นไปข้างบนได้ (เว้นแต่ต้องปีนขึ้นไป) วันที่ไปนั้นกำลังอยู่ระหว่างการสร้างทางขึ้นใหม่

รูปที่ ๗ บริเวณด้านหลังของเจดีย์ จะมีถ้ำพระซ่อนอยู่

ถัดจากเยี่ยมชมเมืองเก่า จุดมุ่งหมายถัดไปก็เป็นการชมธรรมชาติ ไหน ๆ เส้นทางจากเมืองเก่าไปยังทะเลน้อยก็ต้องเลียบผ่านทะเลลำปำแล้ว คุณน้าก็เลยพาไปแวะที่ปากคลองปากประ ที่ปัจจุบันมีคนพยายามทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วยการไปชม "ยอ" ขนาดใหญ่ที่เขาใช้จับปลา
 
อันที่จริงการจับปลาด้วยการยกยอมันก็มีมานานแล้ว ผมเองก็เห็นตั้งแต่เด็กตอนเริ่มจำความได้ เวลานั่งรถไฟจากสถานีรถไฟธนบุรีลงใต้ ด้วยรถเร็วธนบุรี-สุไหลโกลก ที่ออกตอนทุ่มเศษ ที่จะไปสว่างตอนเช้าก่อนถึงทุ่งสง บริเวณจุดสะพานข้ามคลองบางแห่งก็จะเห็นมีการยกยอจับปลากันอยู่ทั่วไป
 
จะว่าไปบริเวณทะเลน้อยและทะเลลำปำก็เป็นแหล่งน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์แหล่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถิ่นแถวนี้มีคนอยู่อาศัยไม่หนาแน่นหรือเปล่า ก็เลยไม่มีน้ำทิ้งจากที่พักอาศัยไหลลงสู่แหล่งน้ำนี้เป็นจำนวนมาก แถมยังไม่เป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมอีก ฝูงนกกินปลาจึงอาศัยอยู่ได้อย่างสบาย และสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่คนต่างถิ่นมักจะมาชมก็คือ "ควาย"
 
ควายที่เห็นแถวนี้เป็นควายเลี้ยง เวลาที่ทะเลน้อยน้ำแห้งมันก็จะออกมาเดินหากินหญ้าไปเรื่อย ๆ พอตกเย็นมันก็กลับเข้าคอกของมันเอง คนเลี้ยงก็มีอยู่หลายราย บางทีเขาก็มาปลูกเพิงชั่วคราวไว้นอนเฝ้าควาย ที่มันมีชื่อให้คนมาดูก็เพราะเวลาที่ทะเลน้อยน้ำเยอะ พื้นที่กินหญ้าของมันโดยน้ำท่วมหมด ฝูงควายมันก็เลยต้องว่ายน้ำออกมาหาหญ้าที่จมน้ำกิน กลายเป็นเรื่องแปลกที่ชวนให้ใครต่อใครต้องมาดู 
 
การจอดดูควายก็จอดได้บนสะพานที่สร้างข้ามทะเลน้อย เขามีจุดจอดรถพักสำหรับชมทิวทัศน์เป็นระยะ จอดรถแล้วก็ควรอยู่ในบริเวณจุดพักรถ อย่าล้ำออกมาบนถนน เพราะรถวิ่งกันเร็ว แต่ก่อนแถวนี้ไม่ค่อยมีรถเท่าใด แต่พอมีสะพานและถนนเส้นนี้ มันกลายเป็นทางลัดสำหรับการเดินทางไปยัง อ.ระโนด และ อ.สะทิงพระ จ.สงขลา การจราจรก็เลยหนาแน่นขึ้น บนสะพานนี้จะไม่มีการติดตั้งไฟส่องสว่าง ซึ่งผมว่าก็ดีแล้ว จะได้ไม่เป็นการรวบกวนธรรมชาติในเวลากลางคืน ถ้ารักธรรมชาติจริง ก็ต้องรักที่จะให้ตอนกลางคืนมันมืดมิดด้วย
 
หลายปีก่อนหน้านี้ผมมีโอกาสได้ไปพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งใกล้ทะเลน้อย รีสอร์ทนี้เป็นรีสอร์ทแรก ๆ ที่เพิ่งเปิดในบริเวณนั้น ยังได้สนทนากับเข้าของรีสอร์ทถึงความเป็นมาของท้องถิ่นแถวนี้ เรื่องหนึ่งที่เขาเล่าให้ฟังก็คือ "ช้างน้ำ" ซึ่งอันที่จริงมันก็คือช้างธรรมดานี่เอง แต่ในอดีตเคยมีความพยายามเอาช้างมาใช้เป็นแรงงานในบริเวณนี้ แต่ด้วยคงเป็นเพราะพืชท้องถิ่นนั้นไม่เหมาะที่จะเป็นอาหารช้าง การใช้ช้างเป็นแรงงานก็เลยเลิกไป แต่ก็ยังมีอยู่บ้างในบางโอกาส ที่เคยได้ยินคุณน้าเล่าให้ฟังก็คือปีหนึ่งที่มีพายุฝนแรง ทำให้ต้นยางพาราในส่วนต่าง ๆ เอนเอียง (ไม่ถึงกับล้ม) ก็มีการจ้างช้างให้มาดึงต้นยางพาราขึ้นตั้งตรง (ในสวนยางรถใหญ่เข้าไม่ได้)
 
ทะเลน้อยยังเป็นแหล่งผลิตผลิตภัณฑ์จักสานจากต้นกระจูด เรียกว่ามีขายในราคาถูกกว่าซื้อข้างนอกเยอะ ร้านค้าก็อยู่ฝั่งตรงข้ามที่ทำการอุทยานแห่งชาติ และติดกันก็คือร้านขายของกิน ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ "ไข่ปลาทอด" บางร้านเสียบไม้ขาย ขายกันไม้ละ ๒๐ บาท ถ้าสามไม้ก็ ๕๐ บาท มีหลายเจ้าที่ขาย บางร้านก็มีคนต่อคิวซื้อ ในขณะที่บางร้านก็ดูว่าง ๆ ไข่ปลาทอดนี้กินเปล่า ๆ ได้ไม่ต้องอาศัยน้ำจิ้มอะไร ถ้าไม่กลัวโคเลสเตอรอลขึ้นก็กินได้ตามสบาย
 
วันนั้นฝนไล่หลังมาจากทะเลน้อย จุดแวะสุดท้ายก่อนวนกลับทุ่งขึงหนังก็คือวัดเขาอ้อ วัดนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นสำนักตักศิลาทางไสยเวทย์ในภาคใต้ เล่ากันว่าขุนพันธรักษ์ราชเดชที่เป็นต้นตำรับของจตุคามรามเทพ ท่านก็มาอาบแช่น้ำว่านที่วัดนี้ ผมไปถึงตอนเย็นแล้ว ฝนทำท่ากำลังจะตก วัดก็เลยเงียบสงบ ก็เลยได้มีโอกาสเข้าไปไหว้พระและเยี่ยมชมถ้ำที่เป็นที่ตั้งของอ่างแช่น้ำแร่เดิม ก่อนกลับที่พักรอเวลาคุณน้าอีกคนเลี้ยงข้าวเย็นที่ร้านสเต็กหลานตาชู
 
ร้านสเต็กหลานตาชูผมเห็นเปิดมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยไปกิน วันนั้นเป็นวันแรกที่เพิ่งจะได้แวะไป ถนนสาย ๔๑ จากพัทลุงมาควนขนุนแต่เดิมก็เงียบ ๆ เป็นเพียงแค่เส้นทางผ่านจากทุ่งสงไปหาดใหญ่ แต่พักหลังนี้ดูเหมือนตัวเมืองพัทลุงจะขยายออกมาทางเส้นนี้ สาเหตุหนึ่งก็คงเป็นเพราะเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุงด้วย ร้านนี้ก็เรียกว่าขึ้นชื่อขนาดมีคนเดินทางทั้งจากหาดใหญ่และนครศรีธรรมราชเพื่อมากินอาหารที่ร้านนี้

คงไม่ขอออกความเห็นว่าอาหารที่ร้านนี้เป็นอย่างไร แต่เอาเป็นว่าหลังจากเที่ยวมาทั้งวัน คืนนั้นก็หลับยาว

รูปที่ ๘ บรรยากาศบริเวณปากคลองปากประ

รูปที่ ๙ ศาลาบริเวณคลองนางเรียม ทะเลน้อย

รูปที่ ๑๐ ฝูงควายที่ออกมาหากิน ช่วงที่ไปนั้นฝนไม่ตกมา ๔ เดือน (พึ่งจะตกวันที่ผมเดินทางไปถึงพัทลุง) น้ำในทะเลน้อยเลยแห้งไปมาก ฝูงควายเลยไม่ต้องว่ายน้ำออกมาหากิน

รูปที่ ๑๑ บริเวณศาลาที่พักและพระตำหนักบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติทะเลน้อย ที่นี่นอกจากการดูนกและนั่งเรือชมดอกบัวบานในตอนเช้าแล้ว ก็ยังเป็นแหล่งขายของอร่อยคือ "ไข่ปลาทอด" และผลิตภัณฑ์จากต้นกระจูด (เช่นกระเป๋ารูปแบบต่าง ๆ) ในราคาถูกอีกด้วย เหมาะแก่การขนกลับไปเป็นของฝาก 

รูปที่ ๑๒ วัดเขาอ้อ สำนักตักศิลาทางไสยเวทย์ที่เป็นที่ขึ้นชื่อของภาคใต้

รูปที่ ๑๓ ปากถ้ำที่เป็นที่ตั้งของบ่อแช่น้ำว่านเดิม เล่ากันว่าขุนพันธรักษ์ราชเดช ก็มาแช่น้ำว่านที่วัดนี้

รูปที่ ๑๔ รางแช่น้ำว่านเดิม คือต้องลงไปนอนแช่

รูปที่ ๑๕ "ไข่ปลาทอด" มาถึงทะเลน้อยแล้วจะไม่กินก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นของอร่อยประจำท้องถิ่น นอกจากจะซื้อกินในวันนั้นแล้ว ยังซื้อแช่แข็งกลับมากินที่กรุงเทพอีก

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ชมเมืองพัทลุง ตอน เลียบทะเลเขาชัยสน MO Memoir : Sunday 2 June 2562


จากอ่าวไทยมาจนถึงทะเลน้อยที่ อ.ควนขนุน จะว่าไปแล้วมันก็มีเส้นทางน้ำเชื่อมต่อถึงกัน เรียกว่าจากทะเลน้อยก็มีคลองนางเรียมที่เชื่อมต่อออกสู่ทะเลสาบลำปำ และก็มีทางน้ำเชื่อมต่อออกไปยังทะเลสาบสงขลาทางด้าน จ.สงขลา และออกไปยังอ่าวไทย ในส่วนของทะเลสาบลำปำนั้นด้านตะวันตกจะเป็น จ.พัทลุง (อ.เมือง อ.เขาชัยสน อ.ปากพะยูน) ส่วนทางด้านตะวันออกที่ติดอ่าวไทยนั้นก็เป็น จ.สงขลา (อ.ระโนด อ.กระแสสินธุ์ อ.สะทิงพระ) ในทะเลลำปำนี้มีเกาะใหญ่ ๆ อยู่สองเกาะคือเกาะหมากและเกาะนางคำ แต่เกาะที่มีความสำคัญและมีเรื่องราวกันเป็นประจำเห็นจะได้แก่ เกาะสี่เกาะห้า (มันไม่มีหนึ่ง สอง สาม นะ) ที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ เว้นแต่คนเฝ้าเกาะ เพราะเป็นเกาะที่นกนางแอ่นมาทำรัง เฉพาะผู้ที่ได้รับสัมปทานจึงจะเข้าไปเก็บรักนกได้
 
ผมเองไม่ได้ลงไปเยี่ยมพัทลุงมาหลายปี ปีนี้พอจะมีโอกาสที่สมาชิกครอบครัวมีวันหยุดตรงกันช่วงหลังกลางเดือนพฤษภาคม ก็เลยถือโอกาสไปเยี่ยมญาติที่นั่นเสียหน่อย (แถมเลยไปแวะดูที่สวนยางที่คุณแม่มอบให้เป็นมรดก แต่ฝากให้คุณน้าช่วยดูแลอยู่) วันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ร้านอาหารที่ครอบครัวคุณน้าอีกท่านหนึ่งทำกิจการอยู่นั้นปิดร้าน ท่านก็เลยใจดีพาเที่ยวชมเมือง ท่านถามว่าอยากจะไปไหน ผมก็บอกว่าอยากไปเที่ยวชมวิถีชีวิตทั่วไปของเมืองพัทลุง ไม่เอาแบบที่ที่คนเขาชอบแห่ไปเช็คอินถ่ายรูปอวดกัน และอยากไปดูสถานที่เก่า ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมาของจังหวัด ก็เลยเป็นการเดินทางบนเส้นทางเลียบทะเลสาบสงขลา (หรือที่คนพัทลุงเขาเรียกทะเลสาบลำปำ) ช่วง อ.เขาชัยสน
 
ตามเส้นทางจากพัทลุงลงไปหาดใหญ่ ตัวอำเภอเขาชัยสนจะแยกออกไปทางด้านซ้าย เป็นอำเภอที่เส้นทางรถไฟสายใต้ทอดผ่าน แต่ด้วยการที่มันไม่ได้อยู่ริมถนนหลัก ก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีคนจากที่ไกล ๆ รู้จักกันเท่าใดนัก ในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญภัยคุกคามจากพรรคคอมมิวนิสต์ อำเภอนี้ก็มีชื่อเสียงในทางไม่ดี โดยเฉพาะเรื่อง "ถีบลงเขา เผาลงถังแดง" 
  
ผมเดินทางออกจากตัวจังหวัดพัทลุงช่วงสาย แวะซื้อขนมติดรถนิดหน่อยในตัวจังหวัด และก็เดินทางไปเรื่อย ๆ เลียบลงใต้ตามเส้นทางที่อยู่ระหว่างถนนเพชรเกษมและทะเลสาบลำปำ จุดแรกที่แวะพักคือหาดพัดทอง(รูปที่ ๓) บริเวณนี้เหมือนกับเป็นป่าชายเลนเก่า มีการบุกเบิกเพื่อข้าวและปาล์มน้ำมัน (แต่ดูจากสภาพดินแล้วคงได้ผลผลิตที่ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก) หาดตรงนี้ไม่เหมือนหาดทรายริมทะเลทั่วไป คือมันมีต้นไม้ขึ้นไปจนถึงริมหาด น้ำที่ริมหาดจะใส มองเห็นปลาและสาหร่ายที่ขึ้นอยู่ เช้าวันที่ไปถึงนั้นน้ำนิ่งมาก (เหมือนในบึงมากกว่าทะเล) สามารถลงมาเล่นน้ำหรือพายเรือเล่นได้ (มีบริการให้เช่า) มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน (และกำลังเปิดมากขึ้น) เรียกว่าเหมาะสำหรับการมานั่งกินอาหารเงียบ ๆ ตอนเที่ยงหรือตอนเย็น หรือถ้าอยากจะถ่ายรูปดวงอาทิตย์ขึ้นก็ต้องมาตอนเช้า 
  
ถ้าดูจากแผนที่ใน google map แล้ว ถนนเลียบหาดพัดทองจะเป็นทางตัน แต่สอบถามคนท้องถิ่นแล้วเขาบอกว่าสุดทางลาดยางจะมีถนนลูกรังเล็ก ๆ ที่รถยนต์วิ่งผ่านได้ ถนนเส้นนี้จะเลียบคลองท่ามะเดื่อออกไปวัดเขียนบางแก้วได้ ก็เลยได้ใช้ถนนเส้นนี้เป็นทางลัดตัดออกไปวัดเขียนบางแล้ว และก็ได้เห็นวิถีชีวิตการทำมาหากินของคนแถบนี้ ที่เป็นเรื่องปรกติของเขา แต่ตอนนี้คนต่างถิ่นต่างตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะมาเห็น (ผลจากการรีวิวบนอินเทอร์เน็ต) นั่นก็คือการจับปลาด้วยการยกยอ (รูปที่ ๔ และ ๕) ยอนี้ผมเองก็เห็นตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วตอนนั่งรถไฟไปใต้
 
การทำงานของยอจับปลาแบบนี้ก็อาศัยหลักของคาน คือต้องมีการถ่วงน้ำหนักไว้ที่ปลายอีกข้างหนึ่ง ทำให้ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวก็สามารถยกยอตัวใหญ่ได้ คุณแม่เคยเล่าว่าเวลาจะจับปลาก็หย่อนยอลงไปในน้ำ โยนอาหารปลาที่ใช้เป็นเหยื่อลงไปกลางยอ พอฝูงปลาเข้ามากินอาหาร ก็ทำการยกยอให้พ้นจากน้ำ สภาพคลองหลายคลองที่นี่ที่มียอขนาดใหญ่เรียงรายเป็นแถว แสดงให้เห็นว่าแหล่งน้ำแถวนี้คงมีปลาชุมน่าดูเหมือนกัน

รูปที่ ๑ แผนที่เส้นทางเดินทาง ช่วงหาดพัดทอง - แหลมจองถนน 

รูปที่ ๒ แผนที่เส้นทางเดินทางช่วง แหลมจองถนน - ปากพล - เขาชัยสน 

รูปที่ ๓ บรรยากาศช่วงสายที่ริมทะเลสาบสงขลาที่หาดพัดทอง เหมาะกับการดูดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้า และมานั่งกินข้าวยามเย็น ภาพถ่ายในชุดนี้ทั้งหมดถ่ายเอาไว้เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑

รูปที่ ๔ ถนนเลียบคลองท่ามะเดื่อ/คลองบางแก้ว จากเส้นเลียบหาดพัดทองไปยังวัดเขียนบางแก้ว ยังมีการยกยอจับปลาที่เป็นวิถีชาวบ้านให้เห็นอยู่ ถนนเส้นนี้ไม่ปรากฏใน google map แต่ถามคนท้องถิ่นเขาบอกว่ามีทางลูกรังที่รถขับไปได้

รูปที่ ๕ บริเวณเดียวกันกับรูปที่ ๓ คลองตรงนี้เป็นจุดที่ใกล้ปากคลองที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา 

รูปที่ ๖ พระมหาธาตุเจดีย์บางแก้ว ณ วัดเขียนบางแก้ว เขาชัยสน พัทลุง

วัดเขียนบางแก้ว (รูปที่ ๖ และ ๗) เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของ จ.พัทลุง เป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุเจดีย์และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีการนำน้ำไปใช้ในพิธีบรมราชาภิเษกที่ผ่านมา และยังมีอาคารเก็บรวบรวมวัตถุโบราณที่มีผู้มาบริจาคให้วัด แต่วันที่ผมไปนั้นอาคารนี้ปิด ก็เลยไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชม เลยได้แต่นมัสการพระมหาธาตุเจดีย์
 
อันที่จริงบริเวณด้านข้างบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ยังมีสิ่งที่ดูเหมือนซากเหล็กมาติดตั้งเอาไว้ แต่ไม่มีป้ายบอกว่าคืออะไร ซึ่งผมก็ได้ค้นคว้าและเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งนั้นไปแล้วใน Memoir ฉบับเมื่อวันอังคารที่ ๒๑ พฤษภาคมที่ผ่านมาในเรื่อง "Marshall, Sons and Co. Portable Steam Engine No. 34746"

รูปที่ ๗ อีกมุมหนึ่งของพระมหาธาตุเจดีย์บางแก้ว ณ วัดเขียนบางแก้ว เขาชัยสน พัทลุง 
  
จุดมุ่งหมายถัดไปต่อจากวัดเขียนบางแก้วคือแวะพักกินข้าวเที่ยง ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวบ้านแหลมจองถนน แต่บังเอิญขับรถเลยไปก็เลยได้ไปแวะแถวบ้านปากพลเพื่อถามทางและถือโอกาสถ่ายรูปเล่นด้วยเลย จากจุดจอดรถ (รูปที่ ๘ และ ๙) บริเวณใกล้ปากคลอง "หมาขบค่าง" จะมีสะพานข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งที่เป็นที่ตั้งของศาลาพ่อท่านชู อดีตเจ้าอาวาสวัดปากพล และ "ต้นมะขาม" ตอนนั่งรถผ่านก็เห็นป้ายบอกข้างทางเหมือนกันว่าจะไปดูต้นมะขามให้ขับรถไปทางไหน และที่แวะพักก็เพื่อจะถ่ายรูปทิวทัศน์ แต่บังเอิญต้นมะขามต้นนั้นมันอยู่แถว ๆ นั้นด้วย ก็เลยแวะเข้าไปดูหน่อยว่ามะขามต้นนี้พิเศษอย่างไรถึงอยากให้ใครต่อใครเข้าไปเยี่ยมชม (รูปที่ ๑๐ - ๑๒) ก่อนที่จะเลยไปหาข้าวเที่ยงกินต่อ
 
ไม่รู้ว่าเพราะเป็นตอนเที่ยงที่ร้านเพิ่งจะเปิดหรือเปล่า ทำให้ไม่ค่อยมีคนมากินข้าวเท่าไรนักแม้ว่าจะเป็นวันหยุดชดเชย จะว่าไปบรรยากาศแถวนี้ก็เหมาะทั้งการกินข้าวเที่ยงและข้าวเย็น จากร้านที่เข้าไปกินนั้นสามารถมองเห็นทั้ง จ.สงขลา ที่อยู่อีกฟากของทะเลสาบ เกาะสี่เกาะห้า และเกาะหมาก ที่อยู่ในพื้นที่ อ.ปากพะยูน พักผ่อนกินข้าวเที่ยงเสร็จก็บ่ายกว่าแล้วก็ถือโอกาสถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย (รูปที่ ๑๓) ก่อนเดินทางย้อนกลับไปตัวจังหวัด โดยคราวนี้จะกลับทางเส้นทางเพชรเกษม แต่ไหน ๆ ต้องผ่านตัว อ.เขาชัยสน แล้วก็เลยแวะที่บ่อน้ำร้อนเพื่อแวะแช่เท้าหน่อย บ่อน้ำร้อนนี้อยู่ที่เชิงเขาใกล้กับตัวอำเภอ ถ้าขับรถเข้ามาทางเพชรเกษมก็จะอยู่ถึงก่อนตัวอำเภอเล็กน้อย อันที่จริงภูเขาลูกนี้มีทั้งบ่อน้ำร้อนและธารน้ำเย็นอยู่ใกล้กัน ตรงธารน้ำเย็นจะมีถ้ำลอดสามารถนั่งเรือเข้าไปเที่ยวชมได้ (มีบริการเรือนำเที่ยว) ส่วนตรงบ่อน้ำร้อนนั้นมีทั้งส่วนสำหรับให้นั่งแช่เท้าฟรีและห้องอาบน้ำ แต่ที่สำคัญก็คือมีลิงด้วย (ใครถือกระเป๋าอะไรก็ระวังให้ดีก็แล้วกัน) ที่แปลกก็คือมีป้ายเตือนเอาลิงเอาไว้ด้วยว่าตรงไหนห้ามไปกินอาหาร (รูปที่ ๑๔ และ ๑๕)
 
จะว่าไปแล้วเขาหลายลูกที่เห็นมันโผล่ขึ้นโดด ๆ มากลางที่ราบ มันจะมีธารน้ำไหลผ่านใต้ภูเขา จุดที่มีชื่อเสียงที่สุดของที่นี่เห็นจะได้แก่ถ้ำสุมโน ถ้านี้ผมเคยไปครั้งแรกตอนที่เขาพบกัน ตอนนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์เล็ก ๆ ต่อมามีการขยายใหญ่ขึ้นด้วยการขุดเอาดินที่อยู่ในถ้ำออกไปจนเหลือแต่ผนังหิน ก็เลยกลายเป็นถ้ำใหญ่ขึ้น ตามด้วยการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ภายในถ้ำ (เช่นทางเดินภายใน) รวมทั้งอาคารต่าง ๆ ภายนอกด้วย (แสดงว่าวัดนี้น่าจะมีรายได้เยอะอยู่เหมือนกัน)
 
รูปที่ ๘ แวะถ่ายรูปที่บริเวณปากคลอง "หมาขบค่าง" (ชื่อตาม google map) แต่วันที่ไปนั้นไม่เห็นทั้งหมาและทั้งค่าง

รูปที่ ๙ ประวัติหมู่บ้าน "บ้านปากพล"

รูปที่ ๑๐ ต้นมะขามที่วัดปากพล

รูปที่ ๑๑ ศาลาพ่อท่านชู อดีตเจ้าอาวาสวัดปากพล

รูปที่ ๑๒ ประวัติของต้นมะขาม ณ วัดปากพล

รูปที่ ๑๓ หลังจากพักรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่แหลมจองถนนแล้ว ก็ขอถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึกหน่อย จากบริเวณนี้จะมองเห็น จ.สงขลา ที่อยู่อีกฟากของทะเลสาบ เกาะสี่เกาะห้า เกาะหมาก กะว่าคราวหน้ามีเวลาลงไปเมื่อใดคงจะหาโอกาสเดินทางไปเยือนถิ่นแถวนั้นบ้าง

รูปที่ ๑๔ ป้ายเล่าประวัติบ่อน้ำร้อนที่เขาชัยสน

รูปที่ ๑๕ สงสัยว่าลิงที่บ่อน้ำร้อนนี่คงฉลาด เพราะเขียนป้ายเตือนกันได้ด้วย :) :) :)

ที่พัทลุงนี้มึความพยายามที่จะโปรโมตให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ผมได้คุยกับคุณน้าอีกท่านที่เป็นที่รู้จักของคนในท้องถิ่นเกี่ยวกับความพยายามดังกล่าว ความคิดเห็นส่วนตัวของผม (ซึ่งก็ตรงกับของคุณน้า) ก็คือหลายสถานที่นั้นที่อาศัยการสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อให้คนไปเช็คอิน ถ่ายรูปลง facebook นั้นไม่น่าจะอยู่ได้นาน จุดขายของพัทลุงน่าจะเป็นการใช้ชีวิตตามปรกติที่เรียบง่ายและไม่รีบร้อนของชาวบ้าน ที่เป็นสิ่งที่คนที่อยู่ในเมืองนั้นแทบจะไม่ได้สัมผัสและโหยหา การสร้างที่พักแบบโฮมสเตย์ที่เปิดโอกาสให้คนในเมืองได้มีโอกาสไปพักผ่อนแบบสงบ การได้ไปเดินตลาดนัดของชุมชมที่มีอยู่แล้ว (แทนการสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ) น่าจะเป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่า เพราะจะว่าไปแล้วผมเองเวลาเดินทางไปต่างจังหวัดก็ชอบที่จะแวะตามตลาดนัดชุมชน เพราะมันมีโอกาสที่จะได้กินอาหารท้องถิ่นหลายอย่างที่คนในพื้นที่บริโภคกัน แบบไม่ใช่ทำขึ้นเพื่อขายนักท่องเที่ยว
 
การเดินทางในวันนี้ยังไม่จบ เพราะช่วงบ่ายยังมีการไปแวะที่อื่นอีก เอาไว้จะมาเล่าให้ฟัง (แต่อันที่จริงคือเป็นการบันทึกสิ่งที่ได้ไปเห็นมาเพื่อกันลืม) สำหรับวันนี้คงถือว่าเป็นดูรูปที่ผมถ่ายมาเล่น ๆ ก็แล้วกัน สวัสดีครับ