แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประแจ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประแจ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Differential pressure transmitter, Pressure transmitter และ Thermocouple MO Memoir : Wednesday 1 February 2560

ในเมื่อยังมีอุปกรณ์ที่ถูกถอดออกมากองทิ้งไว้อีกหลายชนิด ก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปเอามาให้ดูกัน วันนี้ก็ขอเริ่มจากอุปกรณ์วัดความดันที่มีชื่อว่า "Differential pressure transmitter" ที่ทำหน้าที่วัดผลต่างค่าความดันระหว่างตำแหน่งสองตำแหน่งและส่งค่าที่วัดได้ออกในรูปของสัญญาณไฟฟ้า ตัวที่สองคือ "Pressure transmitter" ที่เป็นอุปกรณ์วัดความดันและส่งค่าที่วัดได้ออกในรูปสัญญาณไฟฟ้าเช่นกัน และตัวที่สามคือ "Thermocouple" ที่ใช้วัดอุณหภูมิ อุปกรณ์ ๓ ชิ้นนี้เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปใน โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานอุตสาหกรรมเคมีและปิโตรเคมี แถมท้ายด้วยข้อต่อท่อและชื่อเรียกประแจ
  
รูปที่ ๑ ตัวบนคือ differential pressure transmitter ที่วัดผลต่างความดันระหว่างสองตำแหน่ง จากนั้นจึงแปลงค่าผลต่างความดันนั้นเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งออกไป อุปกรณ์ตัวนี้ใช้ในการวัดอัตราไหลของของไหลโดยคำนวณจากผลต่างความดันระหว่างตำแหน่งสองตำแหน่งบนเส้นทางการไหล (เช่นความดันด้านหน้าและด้านหลังแผ่น orifice โดยผลต่างความดันจะเพิ่มขึ้นตามค่าอัตราการไหลที่สูงขึ้น แต่มีข้อแม้ว่ารูของแผ่น orifice จะต้องไม่อุดตันนะ) และวัดระดับของเหลวในถังความดัน (โดยวัดความดันเหนือผิวของเหลวและที่ก้นถัง ผลต่างความดันระหว่างสองตำแหน่งจะขึ้นอยู่กับระดับความสูงและความหนาแน่นของของเหลวในถัง ปัญหาการวัดระดับของเหลวที่ความหนาแน่นมีการเปลี่ยนแปลงนั้นเคยเล่าไว้ใน Memoir ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๔๓ วันพุธที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "เมื่อระดับตัวทำละลายใน polymerisation reactor เพิ่มสูงขึ้น") ส่วนตัวล่างคือ pressure transmitter (มีจอแสดงผลในตัว) ที่วัดความดัน ณ ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง แล้วแปลงค่าความดันนั้นเป็นสัญญาณไฟฟ้าส่งออกไป ท่อที่เห็นขดเป็นวงกลมก็เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวระบายความร้อน เพื่อลดความร้อนของของไหลที่ทำการวัดความดันไม่ให้ทำความเสียหายต่อตัวอุปกรณ์

รูปที่ ๒ ภาพด้านข้างของอุปกรณ์ในรูปที่ ๑


รูปที่ ๓ name plate ของตัว differential pressure transmitter บอกว่าเป็นยี่ห้อ Yamatake-Honeywell (ญี่ปุ่นร่วมกับสหรัฐ) สัญญาณขาออกเป็นสัญญาณไฟฟ้าในช่วง 4-20 mA ซึ่งเป็นช่วงสัญญาณมาตรฐานที่ครอบคลุมช่วง 0-100% ของค่าที่วัดได้ ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าอุปกรณ์นั้นวัดความดันได้ในช่วงเท่าใด เช่นสมมุติว่าวัดความดันได้ในช่วง 0-5 kg/cm2g ที่ความดัน 0 kg/cm2g ก็จะส่งสัญญาณออกไป 4 mA และที่ความดัน 5 kg/cm2g ก็จะส่งสัญญาณออกไป 20 mA 

รูปที่ ๔ name plate ของตัว pressure transmitter ตัวนี้เป็นยี่ห้อ CHINO วัดความดันได้ในช่วง 0-10 kg/cm2g และส่งสัญญาณขาออกเป็นสัญญาณไฟฟ้า 4-20 mA เช่นกัน โดยที่ความดัน 0 kg/cm2g ก็จะส่งสัญญาณออกไป 4 mA และที่ความดัน 10 kg/cm2g ก็จะส่งสัญญาณออกไป 20 mA ที่ต้องตั้งสัญญาณขาออกขั้นต่ำไม่ให้เป็น 0 mA ก็เพื่อจะได้รู้ว่าอุปกรณ์นั้นเสียหรือไม่ คือถ้าค่าที่วัดได้คือ 0 kg/cm2g และอุปกรณ์ยังทำหน้าที่ปรกติ ต้องจะสัญญาณออกมา 4 mA) แต่ถ้าพบว่าสัญญาณขาออกมีค่าเป็น 0 mA แสดงว่าอุปกรณ์วัดมีปัญหา


รูปที่ ๕ ตัวนี้เป็นเทอร์โมคัปเปิล ขาที่เห็นด้านล่างเป็นด้านต่อสายสัญญาณ ส่วนขาที่เห็นทางด้านขวาเป็นด้านสำหรับสอดขันเข้าไปในระบบเพื่อวัดอุณหภูมิ

รูปที่ ๖ ภาพฝาปิดด้านบนที่ระบุว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้คือเทอร์โมคับเปิล (thermocouple) ชนิด type K ที่ต้องระบุว่าเป็นเทอร์โมคับเปิลก็เพราะยังมีอุปกรณ์แบบอื่นที่หน้าตาคล้ายกันคือ resistance temperature detector หรือ RTD (ตัวที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายคือ PT100 ที่อาศัยหลักการที่ว่าความต้านทานโลหะพลาทินัมจะเปลี่ยนไปเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน) และที่ต้องระบุว่าเป็นชนิด type K ก็เพราะคู่โลหะที่นำมาทำเป็นเทอร์โมคับเปิลมีหลายคู่ แต่ที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดจะเป็น type K


รูปที่ ๗ เปิดฝาอุปกรณ์ออกมาดูพบว่ามีขั้วต่อสายสัญญาณเรียบร้อย พึงสังเกตว่าตรงขั้วต่อมีเครื่องหมาย + และ - ดังนั้นการต่อสายจึงต้องต่อให้ถูกขั้วด้วย

รูปที่ ๘ ถอดแยกชิ้นส่วน ตัวบนคือ thermowell มีลักษณะเป็นท่อปลายตัน เป็นส่วนที่สัมผัสกับของไหลโดยตรง ที่เห็นเป็นสายไฟตัวล่างคือเทอร์โมคับเปิล ปลายด้านที่เห็นไหม้ดำคือปลายด้านวัดอุณหภูมิ
 
รูปที่ ๙ รูปนี้เป็นข้องอชนิด butt weld fitting (เชื่อมด้วยการต่อชน) ขนาด 1/2 นิ้ว (หรือท่อ 4 หุน) ความหนา schedule no 10 (ที่เขียนย่อว่า SCH 10) ทำจากเหล็กกล้าไร้สนิม 316L ตัว L ที่ต่อท้ายตัวเลขหมายถึงมีปริมาณคาร์บอนต่ำ ปรกติเหล็กกล้าไร้สนิมหรือที่เราเรียกว่าเหล็กสแตนเลสนั้นจะมีคาร์บอนผสมอยู่ในปริมาณหนึ่ง ในขณะการเฃื่อมเหล็กด้วยความร้อนสูงนั้น คาร์บอนในเนื้อโลหะจะไปดึงเอาโครเมียมออกมาให้อยู่ในรูปสารประกอบคาร์ไบด์ เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า carbide precipitation ทำให้โลหะตรงรอยเชื่อมนั้นสูญเสียความเป็นเหล็กกล้าไร้สนิมไป การใช้เหล็กกล้าไร้สนิมที่มีปริมาณคาร์บอนปนอยู่ต่ำก็เป็นวิธีการหนึ่งในการป้องกันปัญหาดังกล่าว

รูปที่ ๑ แถมท้ายด้วยเครื่องมือช่างธรรมดาที่พักหลัง ๆ พบว่าเป็นสิ่งที่ผู้เรียนวิศวกรรมศาสตร์ (รวมทั้งผู้สอนส่วนหนึ่งด้วย) เรียกชื่อภาษาไทยไม่ถูก บอกชื่อภาษาอังกฤษไม่ได้ ตัวบนคือประแจเลื่อน (adjustable wrench) ส่วนตัวล่างคือประแจคอม้า (pipe wrench) หรือที่ช่างบางคนเรียกประแจแป๊ป ตัวล่างเนี่ยถ้าเจออาจารย์วิศวใหม่ ๆ ไม่รู้จักหรือใช้ไม่เป็นก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ

ความหนาแน่นของของไหลเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความถูกต้องของค่าที่วัดได้ของอุปกรณ์วัดอัตราการไหลของของไหล แม้ว่าจะเป็นกรณีของการใช้ rotameter ที่ใช้ลูกลอยก็ตาม เพราะแรงลอยตัวที่ทำให้ลูกลอยลอยสูงเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของของไหลที่ไหลผ่านลูกลอยนั้น ในกรณีของของเหลวนั้นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความหนาแน่นของของเหลวคืออุณหภูมิ แต่ถ้าอุณหภูมิไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นแก๊ส จะมีเรื่องของความดันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ประสบการณ์หนึ่งที่เคยเจอในการใช้ rotameter วัดอัตราการไหลของอากาศคือ เมื่อ back pressure ด้านปลายทางเพิ่มขึ้น ลูกลอยของ rotameter แสดงอัตราการไหลที่ต่ำลง แม้ว่าตัวแหล่งจ่ายนั้นจะจ่ายออกมาคงที่ แต่เมื่อนำเอาค่าความดันแก๊สที่ไหลผ่านตัว rotameter ที่พบว่าเพิ่มขึ้นด้วยนั้นมาทำการปรับแก้ พบว่าเมื่อปรับค่ามาที่ความดันเดียวกันแล้วจะได้ค่าเดียวกัน
 
ในกรณีของการวัดระดับของเหลวในถังความดันบรรยากาศที่ใช้การวัดความดันที่ก้นถังเพียงตำแหน่งเดียวก็เคยพบปัญหาระดับของเหลวในถังมีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะไม่มีการถ่ายเทของเหลวเข้า-ออกถังก็ตาม การตรวจสอบสาเหตุพบว่าเป็นเพราะถังดังกล่าวตั้งตากแดด และมีการใช้ breather valve ลดการรั่วไหลของไอของเหลว (จุดเดือดต่ำกว่าน้ำ) ออกจากถังและลดการรั่วไหลของอากาศภายนอกเข้ามาในถัง สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อของเหลวในถังร้อนขึ้น ความดันในถังจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าความดันบรรยากาศภายนอกจนถึงระดับหนึ่งก่อนที่ breather valve จะเปิด ทำให้เห็นระดับของเหลวเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันเมื่อของเหลวในถังเย็นลง ความดันในถังจะต้องลดต่ำลงจนต่ำกว่าความดันบรรยากาศระดับหนึ่งก่อน breather valve จึงจะเปิดให้อากาศภายนอกไหลเข้ามาในถังได้ และในกรณีของถังเก็บที่เป็น drum หรือ vessel ที่วางตั้ง ก็ควรต้องทำความเข้าใจด้วยว่าระดับของเหลวที่เป็น "ศูนย์" นั้นอยู่ตรงไหน เพราะปรากฏว่าเคยเจอนิยามของตำแหน่ง "ศูยน์" ว่าเป็นก้นถัง และเป็นตรงตำแหน่งส่วนล่างสุดของลำตัวทรงกระบอก (คือฝาก้นถังและหัวถังเป็นฝาโค้ง) ในกรณีหลังนี้เมื่ออุปกรณ์บอกว่าระดับของเหลวในถังเป็นศูนย์ จะยังคงมีของเหลวเหลืออยู่ในถังในส่วนของฝาก้นถังที่อยู่ต่ำกว่าตำแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ เหตุผลหนึ่งที่ทำการติดตั้งรูปแบบหลังนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ปั๊มสูบของเหลวออกจนแห้งหมดถัง เพราะจะทำให้ปั๊มพังได้อันเป็นผลของการ run dry (ดูปัญหาเรื่องปั๊มหอยโข่ง run dry นี้เพิ่มเติมได้ใน Memoir ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๒๒๐ วันจันทร์ที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ เรื่อง "ผิดที่ Installation หรือ Operation")

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เพียงแค่วางนอตให้ตรงตำแหน่งก็เท่านั้น (การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๕๙) MO Memoir : Thursday 19 December 2556

ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อวันพุธเมื่อวาน เห็นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกไปเหมือนกัน ไม่รู้ว่าปล่อยให้เป็นอย่างนั้นมาตั้งนานได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่การแก้ปัญหามันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร

เหตุเกิดตอนที่ผมไปนั่งดูรุ่นพี่สอนรุ่นน้องใช้เครื่อง ChemiSorb 2750 ในการวัดพื้นที่ผิวแบบ Single point BET โดยเริ่มจากขั้นตอนการเปิดเครื่อง พอถึงขั้นตอนการเปิด carrier gas และปรับให้ได้อัตราการไหลที่ต้องการนั้น ก็มีการบอกรุ่นน้องว่าให้ระวังหน่อยเวลาหมุน เพราะปุ่มหมุนมัน "หลวม"

มีอุปกรณ์หลากหลายชนิดที่มีปุ่มสำหรับหมุน ปุ่มดังกล่าวจะยึดติดเข้ากับแกนหมุนของตัวปรับหลัก และเนื่องจากตัวแกนหมุนมักจะมีขนาดเล็กและไม่มีพื้นที่สำหรับการทำเครื่องหมายใด ๆ จึงต้องมีการติดตั้งปุ่มหมุน (ที่อาจมีการทำเครื่องหมายบนตัวปุ่ม) และนำไปสวมบนแกนหมุนนั้น ที่สำคัญคือต้องให้ตัวปุ่มหมุนจับกับแกนหมุน เพื่อที่เวลาที่หมุนปุ่ม ตัวแกนจะได้หมุนตามไปด้วย
 
วิธีการทำให้ตัวปุ่มหมุนจับยึดกับแกนหมุนก็มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าแกนหมุนนั้นมีรูปร่างพื้นที่หน้าตัดอย่างไร เช่นถ้าแกนมีพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยม ก็ทำปุ่มหมุนให้มีรูเป็นรูปสี่เหลี่ยม ถ้าแกนมีพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปเฟือง ก็ทำรูของปุ่มหมุนให้มีร่องที่สอดรับกับร่องบนตัวแกน
 
แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ใช้แกนที่มีพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปวงกลม ที่มีการปาดผิวด้านหนึ่งหรือบางบริเวณให้มีลักษณะเป็นพื้นผิวแบนราบ (ดูรูปที่ ๑) ส่วนตัวปุ่มหมุนเองนั้นก็อาจมีรู (ที่ไม่กลม) ที่สอดรับกับรูปร่างของตัวแกน (รูปที่ ๑ ซ้าย) แต่ก็มีให้เห็นอยู่เป็นประจำเหมือนกันที่ขึ้นรูปให้รูของปุ่มหมุนนั้นเป็นรูกลม แต่จะมีการเจาะรูสำหรับใส่นอตในแนวที่ตั้งฉากกับแกนหมุน เวลายึดปุ่มหมุนเข้ากับตัวแกนก็ต้องวางปุ่มหมุนให้ตำแหน่งของนอตนั้นตรงกับบริเวณที่เป็นผิวแบนราบ จากนั้นก็ขันนอตกดลงไปบนตำแหน่งนั้น (รูปที่ ๑ ขวา) ในรูปแบบหลังนี้ถ้าหากตำแหน่งที่ขันนอตนั้นเป็นส่วนผิวโค้ง จะทำให้ขันนอตได้ไม่แน่น พอหมุนตัวปุ่มหมุน นอตก็จะลื่นไถลไปบนพื้นผิวแกนหมุน ทำให้แกนหมุนไม่หมุนไปพร้อมกับตัวปุ่มหมุนหรือไม่ก็ไม่หมุนตามไปด้วยเลย การแก้ปัญหามันก็ไม่ยากเย็นอะไร ก็แค่ดูว่าแกนหมุนนั้นมีการปาดพื้นผิวตรงด้านไหนให้แบนราบ จากนั้นก็วางปุ่มหมุนโดยให้ตำแหน่งนอตนั้นอยู่ตรงกับพื้นผิวแบนราบนั้น แล้วก็ขันนอตให้แน่นก็สิ้นเรื่อง

รูปที่ ๑ ตัวอย่างการยึดปุ่มจับเข้ากับแกนหมุน โดยตัวแกนหมุนมีการปาดผิวด้านหนึ่งให้แบนราบ รูปซ้ายเป็นรูปแบบที่รูของตัวปุ่มจับนั้นขึ้นรูปมารับพอดีกับรูปร่างของแกนหมุน ส่วนรูปขวาเป็นรูปแบบที่รูปุ่มจับนั้นเป็นรูกลม และใช้นอตขันยึดตัวปุ่มจับเข้ากับแกนหมุน
 
การแก้ไขเมื่อวานก็กระทำเพียงแค่นั้น ผมก็บอกให้เขาไปหาประแจหกเหลี่ยมตัวเล็ก ๆ มาให้ (เพราะนอตของปุ่มที่เป็นปัญหามันเป็นหัวแบบหลุมหกเหลี่ยม (รูปที่ ๒ บน) แต่เขากลับไปได้ไขควงตัวเล็ก ๆ มาแทน ซึ่งก็พอจะแก้ขัดไปได้แต่มันไม่สามารถขันให้ยึดติดแน่นได้ จากนั้นก็วางปุ่มโดยให้ตัวนอตนั้นอยู่ตรงกับพื้นผิวแบนราบของแกนหมุน แล้วก็ขันนอตลงไป มันก็กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม

รูปที่ ๒ (บน) แกนหมุนของปุ่มนี้จะมีการทำผิวแบนไว้ด้านหนึ่ง ตรงลูกศรสีแดง (ล่าง) เวลาวางปุ่มก็ให้ตัวนอต (ในวงกลมเหลือ) อยู่ตรงกับผิวแบนของตัวแกน จากนั้นก็ทำการขันแน่นเข้าไป

ผมไม่รู้ว่าปุ่มดังกล่าวมันหลวมคลอนมาตั้งแต่เมื่อใด แต่คิดว่าคงจะนานแล้วเหมือนกัน เพราะมีการสอนต่อ ๆ กันมาว่าเวลาหมุนปุ่มนี้ให้ระวังด้วย แต่ก็ไม่มีใครคิดจะแก้ไขอะไร ผมเองก็เพิ่งจะทราบเรื่องเอาเมื่อวาน ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในห้องทดลองระดับชั้น ป.ถม (ประถมศึกษา) ก็ต้องถือว่าเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนที่ไม่ดูแลเครื่องมือให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย แต่นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องทดลองระดับ ป.โท ป.เอก (ปริญญาโท ปริญญาเอก) ที่นิสิตที่ต้องการวิเคราะห์นั้นเป็นผู้ลงมือใช้เครื่องเอง ก็คงต้องบอกว่าแต่ละคนที่ใช้เครื่องนั้นก็คิดแต่เพียงจะ "ใช้" มันเท่านั้น คงไม่ได้คิดที่จะ "ดูแลรักษา" ด้วย

รูปที่ ๓ ข้างล่างผมถ่ายมาจากเครื่อง ChemiSorb 2750 อีกเครื่องหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ดูเหมือนว่าเครื่องนี้เขาก็มีปัญหาเรื่องปุ่มหมุนหลุดจากแกนหมุนเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาใช้วิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างออกไป ดูเอาเองก็แล้วกัน


รูปที่ ๓ รูปนี้คงไม่ต้องการคำอธิบายใด ๆ เป็นปุ่มของเครื่องรุ่นเดียวกันแต่เป็นอีกเครื่องหนึ่ง

หมายเหตุ : หลังจากนำเรื่องนี้ขึ้น blog ได้สักชั่วโมง  พอเดินกลับไปดูใหม่ปรากฎว่าปุ่มหมุนกลับมาติดเรียบร้อยเหมือนเดิม  และสติกเกอร์ในรูปถูกลอกหายไปแล้ว :)

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

รถไฟสับรางได้อย่างไร MO Memoir : Monday 17 September 2555

เมื่อกว่า ๓๐ ปีที่แล้ว ก่อนที่จะมีการตัดถนนบรมราชชนนีและถนนสิรินธร (ตอนสร้างใหม่ ๆ ยังไม่มีชื่อ ก็เรียกกันว่าถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี หรือซังฮี้-นครชัยศรี) และส่วนของถนนกาญจนาภิเษกส่วนของวงแหวนตะวันตกที่แยกจากถนนบรมราชชนนีไปบางบัวทองต่อไปยังสุพรรณบุรีนั้น (สาย 340) ใครจะเดินทางไปสุพรรณบุรีถ้าไปทางรถทัวร์ก็ต้องไปขึ้นรถที่ขนส่งสายใต้ (เดิมอยู่แถวสามแยกแยกไฟฉาย) เพื่อนั่งรถไปตามถนนเพชรเกษม ผ่านสามพราน เข้านครปฐม เข้าแยกมาลัยแมน (สาย 321) วิ่งมุ่งหน้าต่อไปทางกำแพงแสน อู่ทอง และไปยังสุพรรณบุรี หรือไม่ก็ไปขึ้นรถที่ขนส่งหมอชิต (หมอชิตเก่า) นั่งรถไปทางอยุธยา มุ่งหน้าไปป่าโมก เลี้ยวซ้ายมุ่งตะวันตกไปทางผักไห่ (สาย 329) และต่อไปยังสุพรรณบุรี

แต่ถ้าเป็นยุคสมัยที่เก่ากว่านั้นอีก ก็ต้องไปขึ้นเรือที่ท่าเตียน (หรือปากคลองตลาด) นั่งเรือไปทางคลองบางกอกน้อย เข้าคลองมหาสวัสดิ์ ไปออกแม่น้ำท่าจีน แล้วค่อยล่องต่อไปยังสุพรรณบุรี จำได้ว่าแต่ก่อนเวลานั่งเรือด่วนเจ้าพระยาผ่านตรงปากคลองตลาด จะมีป้ายบอกว่าท่าเรือไปสุพรรณบุรี แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าจะยังเหลืออยู่หรือเปล่า

รูปที่ ๑ แผนที่เส้นทางการเดินทางจากกรุงเทพไปยังสุพรรณบุรีในปีพ.ศ. ๒๕๐๘ เส้นทางรถยนต์ต้องมาจากนครปฐม เส้นจากบางปะหันอยุธยายังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ส่วนเส้นทางรถไฟปรากฏแล้ว

อีกเส้นทางหนึ่งคือทางรถไฟซึ่งแยกออกจากทางรถไฟสายใต้ที่สถานนีชุมทางหนองปลาดุก รถไฟที่มาจากนครปฐมเมื่อวิ่งมาถึงสถานนีนี้จะมีทางแยก ๓ ทาง คือแยกขวาขึ้นเหนือเพื่อไปสุพรรณบุรี แยกเฉียงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อไปกาญจนบุรี และแยกซ้ายลงไปทางใต้เพื่อไปภาคใต้

ในเว็บhttp://th.wikipedia.org/wiki/ทางรถไฟสายสุพรรณบุรี ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่าทางรถไฟสายดังกล่าวเปิดในปีพ.ศ. ๒๕๐๖ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางชุมทางหนองปลาดุก-ชุมทางบ้านภาชี (เชื่อมสายใต้กับสายเหนือเข้าด้วยกันโดยไม่ผ่านกรุงเทพ) แต่สร้างได้เพียงสถานีมาลัยแมนก็หยุดการก่อสร้าง ถ้านับถึงปัจจุบันปีหน้าเส้นทางสายนี้ก็จะมีอายุครบ ๕๐ ปีแล้ว แผนที่จังหวัดสุพรรณบุรีที่ตีพิมพ์ในปีพ.ศ. ๒๕๐๘ (รูปที่ ๑) ก็ปรากฏเส้นทางรถไฟสายนี้แล้ว

เส้นทางนี้ปัจจุบันก็ยังคงมีรถไฟวิ่งอยู่วันละขบวน คือตอนเช้ามืดออกจากสุพรรณเข้ากรุงเทพ และตอนประมาณเที่ยงก็ออกจากกรุงเทพกลับสุพรรณ

รูปที่ ๒ แผนผังบริเวณประแจที่ใช้ในการเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ (ภาษาอังกฤษจากภาพที่คัดลอกมาเขาเรียกว่า switch and turnout - รูปจาก http://www.ntsb.gov/investigations/fulltext/RAB0305.html)

ที่ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะเมื่อเดือนที่แล้วได้มีโอกาสแวะไปที่สุพรรณบุรี (จะว่าไปสมาชิกปี ๑ ของเราก็มีสาวเมืองสุพรรณอยู่ด้วย) และได้มีโอกาสไปเดินถ่ายรูปเล่นเก็บบรรยากาศที่สถานีรถไฟสุพรรณบุรีและที่มาลัยแมน ก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปบริเวณประแจที่ใช้สับเปลี่ยนรางรถไฟมาให้ดูกันว่ามันทำงานได้อย่างไร

บริเวณที่ใช้สับเปลี่ยนให้รถไฟวิ่งไปทางรางไหนนั้นภาษาไทยเรียก "ประแจ" ส่วนภาษาอังกฤษเรียก "switch" (บางทีก็เรียกว่า "point" แต่ผมเข้าใจว่ามันเป็นสองส่วนที่อยู่ด้วยกันดังแสดงในรูปที่ ๒ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า)

รูปที่ ๓ ประแจสับรางที่อยู่ทางด้านเหนือของสถานีรถไฟสุพรรณบุรีมองไปยังสถานีมาลัยแมน

โครงสร้างของบริเวณประแจสับรางนั้นมีอะไรบ้างก็ลองดูเอาในรูปที่ ๒ ที่เป็นรูปเขียนและรูปที่ ๓ ที่เป็นรูปถ่ายที่ผมไปถ่ายมาที่สถานีสุพรรณบุรี

ในรูปที่ ๓ ซ้ายจะเห็นตัวประแจ (ที่เลื่อนไปมาซ้าย-ขวาได้ตามลูกศรสีแดง) เลื่อนมาติดกับรางทางด้านซ้าย ดังนั้นรถไฟที่วิ่งขึ้นไปก็จะเลี้ยวไปทางด้านขวา (ตามเส้นลูกศรสีเหลือง) ส่วนรูปที่ ๓ ขวาเป็นคานที่ใช้ในการโยกเพื่อสับรางรถไฟของรางในรูปซ้าย ตามรูปขวานี้คานดังกล่าวถูกโยกมาทางซ้าย ทำให้ประแจเลื่อนมาติดรางทางด้านซ้ายเพื่อให้รถไฟวิ่งไปทางขวา (มันมีแท่งเหล็กเชื่อมต่อระหว่างตัวคานโยกกับตัวประแจตรงแนวเส้นสีม่วง - ตำแหน่งในรูปซ้ายและขวามันเหลื่อมกันอยู่) เสาที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมคือตัวบอกว่าขณะนี้รางถูกสับเพื่อให้รถไฟวิ่งไปทางขวา (ตามลูกศรที่ปรากฏ) แต่ถ้าโยกคานดังกล่าวมาทางด้านขวา ตัวประแจก็จะเลื่อนมาชิดทางด้านขวา รถไฟก็จะวิ่งตรงไป สัญญาณที่ปรากฏบนเสาก็จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า

ระบบที่แสดงในรูปที่ ๓ นั้นเวลาจะสับรางที เจ้าพนักงานประจำสถานีต้องเดินไปที่ประแจนั้น และทำการสับรางที่นั่น แต่สำหรับสถานีใหญ่ ๆ ที่มีประแจให้สับจำนวนมากจะใช้วิธีการสับรางที่ตัวสถานี โดยมีคันโยกอยู่ที่ตัวอาคารที่ทำการ ระบบเดิมที่เคยเห็นคือระบบลวดสลิง โดยการดึงคันโยกจะไปดึงให้ตัวประแจเกิดการเคลื่อนที่ผ่านทางลวดสลิงที่เชื่อมต่ออยู่ (ตอนเด็ก ๆ สมัยที่ยังใช้สถานีรถไฟเป็นสนามวิ่งเล่นก็เคยไปเดินเล่นบนเส้นลวดเหล่านี้) โดยที่เจ้าพนักงานไม่ต้องเดินไปสับรางที่ประแจ จะมียกเว้นก็แต่ประแจที่ไม่ค่อยได้มีการใช้งาน ก็จะใช้วิธีการเดินไปสับรางที่ตัวประแจ

ถ้าทันสมัยขึ้นมาอีกดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นระบบไฟฟ้าสั่งการแล้ว

รูปที่ ๔ ปลายทางที่สถานีรถไฟมาลัยแมน

ปิดท้าย Memoir ฉบับนี้ด้วยภาพที่ระลึกจากสถานีปลายทางรถไฟสายสุพรรณที่มาลัยแมน (สถานีถัดจากสถานีสุพรรณบุรี) ดูเหมือนว่าตัวชานชาลาและอาคารเพิงพักจะสร้างใหม่ได้ไม่นาน แต่รู้สึกว่าตัวสถานีเองจะไม่มีการใช้งาน มีแต่หญ้าขึ้นรกและขยะทิ้งเกลื่อนไปหมด ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะอยู่ไปได้อีกนานเท่าไรก่อนที่จะสูญหายไป

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๒๓ การเปิดวาล์วหัวถังแก๊สที่ปิดแน่น MO Memoir : Wednesday 22 June 2554


เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมามีคนมาบอกว่าวาล์วที่หัวถังแก๊สไนโตรเจนที่พึ่งได้มาใหม่มันปิดแน่นมาก พยายามหมุนกันตั้งหลายคนแล้วก็ไม่สำเร็จ และก็มีคนมาบอกว่าถ้ามีเจ้าหน้าที่ของบริษัทมาส่งแก๊สก็ให้เขาเปิดให้ ถ้าเปิดไม่ได้ก็ขอเขาเปลี่ยนถังใหม่

พอเขามาบอกผมผมก็เลยบอกให้ไปหาประแจสำหรับเปิดวาล์วที่ปิดแน่นมาไขหมุนวาล์วดังกล่าว (จะว่าไปแล้ว อันที่จริงผมก็ไม่เคยเห็นว่าแลปเราเคยมีประแจดังกล่าว แต่ก็ดันบอกให้เขาไปหา ซึ่งคนที่ไปหาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหน้าตาที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร) พอตกตอนสายกลับมาที่แลปอีกทีพบว่ามีคนเอาประแจดังกล่าวมาวางไว้บนโต๊ะ และวาล์วหัวถังแก๊สที่มีปัญหาก็ถูกไขเปิดเรียบร้อยแล้ว


รูปที่ ๑ (ซ้าย) ประแจที่ใช้เปิดวาล์วหัวถังแก๊ส วางให้เห็นเทียบกับประแจขนาด 3/4 นิ้ว (ขวา) การใช้งานก็เพียงแค่สวมลงไปบนตัววาล์ว


รูปที่ ๑ ข้างบนตัวสีฟ้าคือประแจสำหรับเปิดวาล์วที่ปิดแน่น ทำขึ้นเองจากเหล็กแผ่นและเหล็กแท่งที่เอามาเชื่อมติดกัน เวลาใช้งานก็เอามันครอบลงไปที่มือจับหมุนวาล์วแล้วก็บิด ตัวที่แสดงในรูปเป็นตัวสำหรับมือจับหมุนที่มีร่องให้จับ 5 ร่อง (วาล์วถังแก๊สบางถังมันมีมากกว่านั้น ไม่สามารถใช้ประแจตัวนี้ได้)

ผมทราบมาว่าบังเอิญเช้าวันนั้นมีเจ้าหน้าที่ทางบริษัทมาส่งแก๊สพอดี ก็เลยมีคนไปขอยืมประแจดังกล่าวมาเปิดวาล์วหัวถังแก๊ส ผมก็เลยถือโอกาสถ่ายรูปมาให้ดู จะได้รู้จักกันว่าอุปกรณ์ใช้งานทางช่างนั้นมันมีอะไรกันบ้าง บางชนิดก็ไม่มีวางขายทั่วไป ต้องทำขึ้นเอง