แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิศวจุฬา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิศวจุฬา แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ที่ระลึกนิสิตวิศวกรรมเคมีรหัส ๖๔ จากวันนี้ไป จะหวนกลับมาคิดถึงช่วงเวลานี้บ้างไหม MO Memoir : Thursday 8 May 2568

กิจกรรมเดียวกัน หรือคำพูดเดียวกัน เมื่อเกิดขึ้นซ้ำสอง แม้ว่าจะเป็นสถานที่เดิม บุคคลเข้าร่วมก็คนเดิม ช่วงเวลาที่เกิดก็เป็นช่วงเวลาเดิม แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีทางเหมือนเมื่อเกิดขึ้นครั้งแรกก็คือ "ความรู้สึก" ของผู้ที่เข้าร่วม

"ยินดีที่ได้พบ" ประโยคที่มีความหมายเพียงแค่ครั้งเดียว คือเมื่อได้พบปะเจอหน้ากันครั้งแรก

ในพิธีชงชาของญี่ปุ่น ก็แฝงด้วยปรัชญาที่ลึกซึ้ง ด้วยวลี “อิจิโกะ อิจิเอะ (Ichigo Ichie)” ซึ่งหมายถึง “การได้พบกันครั้งเดียวในชีวิต” อันมาจากแนวความคิดที่ว่าการที่เราได้พบกันในพิธีชงชานั้นอาจจะเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิต แล้วหลังจากนี้จะไม่ได้มีโอกาสพบกันอีกแล้วเลยก็ได้

ดังนั้นช่วงเวลาที่ได้พบกันจึงเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า ที่เราควรปฏิบัติต่อกันให้ดีที่สุด

ในช่วงชีวิตในมหาวิทยาลัยของพวกคุณ เชื่อว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกคุณอยากกระทำ แต่ไม่มีโอกาสได้กระทำ นั่นอาจเป็นเพราะกิจกรรมนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พวกคุณเรียนอยู่ หรือด้วยติดกิจอย่างอื่นจนไม่สามารถเข้าร่วมได้ บางกิจกรรมแม้ว่าจะมีการเกิดขึ้นซ้ำอีกในปีถัดไป แต่ด้วยสถานะที่เปลี่ยนไป ความรู้สึกของการได้เข้าร่วมนั้นก็คงยากที่จะเหมือนครั้งแรกที่ได้เข้าร่วม หรือที่ได้ยินมาจากผู้ที่ได้เข้าร่วมครั้งก่อน

พวกคุณเข้ามาเรียนปีแรก สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย จำเป็นต้องเรียนออนไลน์จากทางบ้าน ได้เข้ามาเรียนในสถานที่ในมหาวิทยาลัยก็ตอนขึ้นปี ๒ แต่การสอนในสถานที่ก็ยังคงเป็นแบบจำกัดอยู่ กิจกรรมอย่างเช่นกีฬาฟุตบอลประเพณี ก็เพิ่งจะกลับมาจัดใหม่อีกครั้งตอนพวกคุณอยู่ปี ๔ และกิจกรรมบางอย่างทั้งในระดับคณะและมหาวิทยาลัยที่เคยมีมาก่อนหน้านั้นก็คงจะสูญหายไปตามกาลเวลา โดยไม่รู้ว่าจะมีการกลับมาอีกหรือไม่

วันเสาร์ปลายเดือนที่แล้ว เพื่อนร่วมรุ่นวิศวเคมีนัดกินข้าวเย็นกัน คุยกันเรื่องเปื่อยไปเรื่อย ๆ กับเรื่องที่ได้ประสบพบเห็นกันมา วันรุ่งขึ้นเพื่อนคนหนึ่งก็ส่งข้อความข้างล่างเช้ามาในไลน์กลุ่ม

ได้มาเรียนสถาบันเดียวกัน ถือเป็น "วาสนา"

จบแล้วต่างคนต่านสร้างฐานะ ถือเป็น "โชคชะตา"

ระหว่างทางยังคงคบหา ถือเป็น "พรหมลิขิต"

มีโอกาสช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ถือเป็น "กัลยาณมิตร"

แก่แล้วยังคบกันใกล้ชิด ถือเป็น "มิตรแท้"

มิตรภาพที่ไม่มีวันจางหาย คือความหมายของคำว่า "เพื่อน"

ใครเป็นคนเขียนข้อความนี้เป็นคนแรกก็ไม่รู้ แต่จากเท่าที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ก็รู้ว่ามันก็เป็นเช่นนั้นจริง

คนที่มีโอกาสเป็นเพื่อนกัน ก็เป็นได้เพียงแค่ครั้งเดียว เพราะถ้ามีอะไรมาทำให้ความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันนั้นสูญเสียไป ก็ไม่มีทางที่จะทำกลับมาให้เหมือนเดิมได้

 

๑๔ ปีที่แล้ว ก่อนน้ำท่วมใหญ่ นิสิตรหัส ๕๑ นำกระดาษชิ้นเล็ก ๆ มาเหน็บไว้หน้าห้องผม เพื่อให้ผมเขียนอะไรบางอย่างเล็กน้อยในโอกาสที่พวกเขาจะสำเร็จการศึกษา และนั่นก็เป็นที่มาของการเขียนบันทึกเรื่องราวของพวกเขาและคำอวยพรที่มีให้ในวันสุดท้ายของการเรียนของพวกเขา ซึ่งได้เขียนมาจนถึงวันนี้ (MO Memoir ฉบับวันเสาร์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๕ "๔ ปีที่ผ่านมา (สำหรับนิสิตป.ตรีรหัส ๕๑)")

ในบันทึกฉบับแรกนั้นผมเริ่มด้วยข้อความว่า

"กระดาษแผ่นเล็ก ๆ แผ่นนั้นอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ที่พวกคุณเอามาเหน็บไว้หน้าห้องผมก่อนน้ำท่วม เพื่อให้ผมเขียนอะไรก็ได้เป็นที่ระลึกก่อนจบการศึกษา แต่จวบจนป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้เขียนสักที

แต่จะว่าไปก็ไม่ได้คิดจะเขียนลงกระดาษแผ่นนั้นอยู่แล้ว เพราะคิดว่าที่มันไม่พอ

 

ในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาหลายคนจะโดนผมทักว่า "เป็นไง ชีวิตนิสิตใช้คุ้มค่าหรือยัง สิทธิพิเศษที่เขามีให้เฉพาะนิสิตก็รีบ ๆ ใช้ซะนะ" หรือถ้าผมเห็นนิสิตหญิงที่แต่งชุดธรรมดามามหาวิทยาลัย ผมก็จะถามว่า "ไม่แต่งชุดนิสิตมาเหรอ เวลาที่จะแต่งได้เหลือน้อยแล้วนะ พอหมดโอกาสแล้วจะรู้สึกคิดถึงขึ้นมา ...."

ในช่วงท้ายของบทความผมก็ได้บันทึกประสบการณ์ที่ตัวเองได้พบเจอมาเพื่อฝากไว้เป็นข้อคิดให้กับพวกเขาดังนี้

"หลายปีมาแล้วก่อนเริ่มสอนแลปเคมีวิเคราะห์ มีนิสิตหญิงคนหนึ่งมานั่งคุยและนั่งร้องไห้อยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องแลป ช่วงนั้นเป็นช่วงจัดกิจกรรมรับน้อง เขาได้เข้ามาปรึกษาผมเรื่องการที่ไม่ค่อย ๆ มีเพื่อน ๆ เข้าช่วยทำงาน

ผมก็ตอบเขาไปว่า งานกิจกรรมนั้นเป็นงานอาสา ไม่มีการบังคับว่าใครต้องมาทำ และคนที่ทำก็ต้องไม่คิดว่าฉันดีกว่าคนที่ไม่มาทำ การที่เขาไม่มาร่วมงานกับเรานั้น เราก็ต้องกลับไปพิจารณาด้วยว่าสิ่งที่เราทำนั้นเขาเห็นชอบหรือไม่ การที่เขาไม่มาร่วมงานนั้นอาจเป็นเพราะว่าเขาคิดว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นมันไม่เหมาะสม เขาอยากเปลี่ยนแปลง แต่ทำไม่ได้ก็เลยไม่เข้ามาร่วม อย่าด่วนคิดว่าคนที่ไม่มาร่วมทำนั้นเป็นคนเห็นแก่ตัว

การที่คนส่วนใหญ่ไม่มาร่วมงานก็ต้องกลับมาพิจารณาแล้วว่าเป็นเพราะว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันไม่เหมาะสมหรือไม่ ทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไร แล้วเขาเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นมีจุดประสงค์ที่ดี แต่คนส่วนใหญ่ไม่มาร่วม เราก็ต้องหาทางชักชวนให้เขามาร่วม นั่นหมายถึงการเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน รูปแบบเดิมนั้นอาจใช้ได้ดีในสมัยหนึ่ง ในสภาพสังคมหนึ่ง แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไปเราก็ควรที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบ โดยที่ยังคงสามารถบรรจุจุดประสงค์ที่ตั้งเอาไว้

แต่ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นมีจุดประสงค์ที่เลื่อนลอย ก็ควรพิจารณาว่าจะจัดต่อไปหรือไม่

ผมบอกเขาต่อว่า ถ้าคุณเหนื่อยมากก็ถอนตัวออกไปซิ งานจะล้มก็ช่างหัวมัน ดูจากการที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้ามาร่วมก็แปลได้ว่าคนส่วนใหญ่เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำอยู่แล้วนี่ ดังนั้นถ้างานนี้มันไม่เกิดขึ้นพวกเขาก็ไม่มีสิทธิจะว่าอะไรอยู่แล้ว

ก่อนจบการสนทนาผมถามเขากลับไปว่า "ตอนนี้รู้หรือยังว่าเพื่อนคนไหนพึ่งได้"

เขาตอบกลับมาว่า "รู้แล้ว"

ผมก็ตอบกลับไปว่า "คุณได้ไปเยอะแล้วนี่ แล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ"

แล้วผมก็บอกต่อว่า "สมัยที่ผมเรียนหนังสือน่ะ เพื่อนคนหนึ่งมันกล่าวเลยว่า "ถ้าไม่เคยเจออะไรเหี้ย ๆ มาด้วยกัน มันไม่รู้หรอกว่าใครคนไหนพึ่งได้" โทษทีนะที่ต้องใช้คำอย่างนี้ เพราะมันตรงความหมายตามคำพูดมากที่สุด ผมเห็นมาหลายรายแล้ว แม้ว่าจะเรียนโรงเรียนเดียวกันมาหลายปี เที่ยวเล่นมาด้วยกันก็มาก แต่มารู้น้ำใจกันตอนที่ทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยนี่แหละ เพิ่งจะเจอหน้ากันในมหาวิทยาลัยได้แค่ปีสองปี ก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่พึ่งพากันได้ในยามเดือดร้อนมากกว่าเพื่อนสมัยโรงเรียนที่คบกันมานานเสียอีก"

บทความนั้นปิดท้ายด้วยข้อความที่ว่า

"ยังจำได้ไหมตอนที่พวกคุณเข้ามาเรียนแลปกันในสัปดาห์แรก ๆ ผมเอากล้องมาถ่ายรูปพวกคุณแต่ละกลุ่มเอาไว้ และก็บอกด้วยว่า "พอเรียนจบปี ๔ เมื่อไรค่อยมาดูรูปเหล่านี้นะ จะได้เห็นว่าภาควิชาได้ทำอะไรกับพวกคุณเอาไว้"

ใครที่ยังไม่เคยดูหรือเคยดูแล้วแต่ก็ลืมไปแล้วก็ไปดูได้ใน facebook ของผม ในอัลบัมแลปเคมีอินทรีย์ ๕๒

ดูแล้วก็ลองเปรียบเทียบหน้าตาตัวเองในปัจจุบันนี้กับตอนเข้าภาควิชามาใหม่ ๆ ซิ แล้วจะเห็นว่าตอนที่พวกคุณถามผมเล่น ๆ ว่าทำไมไม่ไปสอนวิชาปี ๔ บ้าง แล้วผมตอบกลับไปว่า "ไม่อยากไปสอนคนแก่หน้าตาทรุดโทรม" น่ะมันจริงไหม :-)"

วันนี้ ผมส่งคืนรูปพวกคุณที่ถ่ายเอาไว้ตอนเรียนแลปเคมีปี ๒ ให้แล้วนะ สิ่งที่ผมเคยกล่าวเอาไว้นั้นมันถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ก็ขอให้พิจารณากันเองเองก็แล้วกัน

ขอให้ชีวิตในภายภาคหน้าของพวกคุณทุกคน จงประสบแต่ความสุขกายสุขใจ

รศ.ดร.ธราธร มงคลศรี

ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันพฤหัสบดีที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๘

ตรงกับวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ราศีตุลย์

วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๖ Euro Disney Land, Paris
 

วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568

ก็รอบพอร์ตมันเข้าง่ายกว่าจริง MO Memoir : Wednesday 30 April 2568

เช้าวันนี้เห็นคนแชร์โพสที่นำมาให้ดูในรูปมันโผล่มาบนหน้า facebook ตอนเช้ายังถมดำแค่ปิดตาผู้โพส แต่มาตอนนี้เขาถมดำหมดทั้งหน้าแล้ว

เนื้อหาของโพสดังกล่าวเกี่ยวกับการเข้าวิศวจุฬาด้วยการยื่นพอร์ต

 

นิสิตที่เข้าปีการศึกษา ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา ผมไม่ได้เป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ผู้สมัครที่ยื่นพอร์ต แต่สามปีแรกที่คณะเปิดรับรอบพอร์ต ก็ได้เป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ตลอด โดยสองปีแรกนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสอบสัมภาษณ์ เลยได้มีโอกาสศึกษางานที่ผู้สมัครที่ยื่นเข้ามาก่อนถึงวันสอบสัมภาษณ์ ส่วนปีที่สามนั้นถูกเรียกตัวให้ไปเป็นกรรมการฉุกเฉิน เพราะตัวจริงไม่สามารถมาได้ เลยได้มีโอกาสเห็นในวันที่ทำการสอบ

ในปีแรกที่ได้เป็นกรรมการนั้น ทางคณะก็แบ่งให้ช่วยกันอ่านผลงานผู้สมัคร กรรมการสอบสัมภาษณ์แต่ละคนก็ได้อ่านกันประมาณ ๒๐ คน เท่าที่อ่านดูก็เห็นว่าให้ผ่านได้ก็เพียงแค่รายเดียว

ก่อนวันสอบก็มีการประชุมกรรมการสอบสัมภาษณ์ พอมีการซักถามกันว่าการสอบนี้รับกี่คน ก็ได้คำตอบจากทางวิชาการของคณะว่า ๒๐๐ คนที่แบ่งกันให้อ่านนี้ คณะรับเข้าหมดแล้ว แค่สัมภาษณ์พูดคุยกันเท่านั้น ไม่ใช่เพียงผมเท่านั้นที่เห็นว่างานพอร์ตที่ยื่นเข้ามาส่วนใหญ่ (หรือเกือบทั้งหมด) ไม่ได้เรื่อง ถ้าเทียบสัดส่วนที่กรรมการแต่ละท่านที่อ่านเห็นว่าผลงานใช้ได้นั้น จาก ๒๐๐ คนก็น่าจะผ่านได้แค่เพียง ๒๐ คนเท่านั้นแต่ ณ เวลานั้นกรรมการสอบสัมภาษณ์ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

ผู้ที่เข้ามาด้วยรอบพอร์ตกลุ่มแรก ก็กำลังจะสำเร็จการศึกษาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว

 

ปีที่สองและปีที่สามที่เจอมายิ่งหนักเข้าไปอีก ทั้งนี้เพราะเกณฑ์การพิจารณานั้นมันหาความเป็นรูปธรรมแทบไม่ได้ ไม่ว่าให้บอกว่าทำไมถึงอยากเรียนที่นี่ หลักฐานว่าเป็นผู้ใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง คลิปวิดิโอแนะนำตนเอง รางวัลที่ได้จากการแข่งขัน

กรรมการแต่ละคนก็มีความชอบที่ไม่เหมือนกัน การให้คะแนนเรียงความเรื่องทำไมถึงอยากเรียนที่นี่ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้อ่านแต่ละคน (จะว่าไปมันก็พิสูจน์ไม่ได้ด้วยว่าผู้สมัครเป็นคนเขียนเองโดยไม่มีคนอื่นช่วยเขียนหรือช่วยขัดเกลา) หลักฐานว่าเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่องให้ดูจากอะไร สิ่งที่เรียนนั้นจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับวิศวหรือเปล่า กรรมการบางส่วนก็มองว่าควรเกี่ยว เพราะทำให้เห็นว่าต้องการเรียนวิศว ในขณะบางส่วนก็มองว่าไม่จำเป็นต้องเกี่ยว เพราะแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้สนใจความรู้หลากกลาย รายหนึ่งที่เจอคือเขาส่งสำเนาใบเสร็จรับเงินหนังสือต่าง ๆ ที่เขาบอกว่าเขาซื้อไปอ่านเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง ซึ่งตรงนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไร

หรือจะดูที่ใบประกาศที่ได้จากคอร์สเรียนออนไลน์ ซึ่งก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าตอนสอบออนไลน์นั้นสอบเองหรือคนอื่นทำให้ บางรายก็มีใบประกาศจากการไปร่วมกิจกรรมต่าง ๆ แต่พอตรวจสอบดูก็พบว่า ไปแค่งานเดียวแต่ได้ใบประกาศมาตั้งหลายใบ จะเรียกว่ามีการจัดคอร์สเก็บเงินที่ผู้สมัครเข้าคอร์สจะได้ใบประกาศ (หลายใบด้วย) เอาไว้ไปยื่นพอร์ต ส่วนเนื้อหาในคอร์สนั้นเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน คนที่สมัครเข้าไปนั้นจะสนใจเนื้อหาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ซึ่งตอนนี้ถ้าค้นเน็ตดูก็จะเห็นว่ามีคอร์สเก็บตังค์แจกใบประกาศสำหรับยื่นพอร์ตอยู่หลายคอร์สเหมือนกัน และที่สำคัญคือตัวมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดเอง

พอมาถึงเรื่องรางวัลที่ได้รับก็มีปัญหาอีกว่าควรต้องได้รับรางวัลระดับไหน มีทั้งกิจกรรมที่กลุ่มโรงเรียนจัดกิจกรรมแข่งกันกันเองและก็แจกรางวัลกันเอง กิจกรรมที่ร่วมกับโรงเรียนต่างประเทศ กิจกรรมที่ใครต่อใครจัดแล้วก็ไปเข้าร่วม

ครั้งสุดท้ายที่ได้เป็นกรรมการสอบ ตอนนี้มีทั้งมีชื่อในบทความตีพิมพ์ร่วมกับอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่พอถามรายละเอียดเนื้อหางานใบบทความก็ตอบอะไรไม่ได้ เรียกว่าเป็นลูกมือทำงานแค่ส่วนเสี้ยวของงานที่ตีพิมพ์ จะว่าไปสำหรับคนที่มีคนรู้จักหรือเพื่อนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็ทราบมาว่ามีการฝากให้ลูกไปทำแลปกับอาจารย์คนนั้น แล้วก็ขอให้เขาช่วยใส่ชื่อลูกในบทความตีพิมพ์ด้วย หรือไม่ก็ช่วยออกจดหมายรับรองว่ามาร่วมทำงานด้วย

รายหนึ่งที่เจอคือคงเป็นการฝากให้เข้าไปอยู่ที่แลปอาจารย์ แล้วก็ขอให้อาจารย์ผู้นั้นออกจดหมายรับรองว่านักเรียนดังกล่าวได้มาศึกษางานที่ห้องปฏิบัติการของอาจารย์ผู้นั้น แต่อาจารย์ผู้นั้นคงรู้ทันวัตถุประสงค์ ก็เลยเขียนมาตรง ๆ ในจดหมายรับรองนั้นทำนองว่า "มาอยู่แค่ครึ่งวัน"

มีอยู่ปีหนึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยมีการ open house ให้ผู้สนใจเข้าศึกษาต่อมาเยี่ยมชมภาควิชา ก็ได้เจอกับนักเรียนบางกลุ่มที่เข้ามาเยี่ยมชมแล้วขอถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการ แถมมาขอถ่ายรูปร่วมด้วย ก็เลยบอกเขาไปว่าจะเอาไปใส่ในพอร์ตใช่ไหม มันไม่ช่วยอะไรนักหรอก คือเขามาเพื่อมาเอารูปประดับพอร์ต ไม่ได้คิดจะมาเรียนรู้ว่าสาขาวิชาชีพนี้เขาเรียนอะไรกัน ทำงานกันอย่างไร

นอกจากนั้นยังมีผู้ที่ขอนำเสนอตัวเองต่อหน้ากรรมการ แบบว่าพูดคล่องมากว่าตอนเรียนไปทำอะไรมาบ้าง เรียกว่ามีความสามารถในการนำเสนอดี แต่พอถามว่าคำศัพท์ (บางคำ) ที่พูดออกมานั้นมีความหมายอย่างไร ก็ตอบไม่ได้ เรียกว่าพูดออกมาโดยไม่รู้ความหมายว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นคืออะไร

การนำเสนอแบบผู้นำเสนอพูดออกมาโดยไม่รู้ความหมายว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นคืออะไร ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นักเรียนที่เข้าสอบสัมภาษณ์ เดี๋ยวนี้เวลานั่งฟังนิสิตปริญญาโท-เอกนำเสนอผลงานในวิชาสัมนา ก็ไม่อยากถามคำถามอะไร เพราะรู้ว่าถามไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา

น่าจะเป็นก่อนการสอบครั้งที่สามที่มีโอกาสได้ถามฝ่ายที่ทำหน้าที่กำหนดจำนวนรับว่า ลดลงได้ไหม ก็ได้คำตอบกลับมาว่าทางมหาวิทยาลัยขอให้รับ ได้ยินอย่างนี้มันก็รู้สึกเหมือนกับการทำงานตามคำสั่งข้างบนโดยไม่สนว่าจะมีผลเสียอย่างไรก็หน่วยงาน พอถามต่อว่าแล้วผลการเรียนของผู้ที่เข้ามารอบพอร์ตเทียบกับ TCAS3 นั้นเป็นอย่างไร ก็ได้คำตอบมาแบบอ้อม ๆ แอ้ม ๆ ว่า "พอ ๆ กัน" ซึ่งบ่งบอกความหมายที่แท้จริงว่า "แย่กว่า" เพราะเห็นได้จากอาการผู้ตอบคำถามตอนตอบ และคำศัพท์ที่ใช้ เพราะคำว่า "พอ ๆ กัน" นั้นมันไม่ได้มีความหมายในระดับเดียวกับ "ไม่แตกต่างกัน" หรือ "เท่าเทียมกัน"

และที่สำคัญก็คือถ้าหากว่าได้ผู้เรียนที่มีความสามารถไม่แตกต่างกันจริง แล้วคณะต้องมาเสียเวลารับด้วยรอบพอร์ตทำไม ก็รับ TCAS3 อย่างเดียวเหมือนเดิมเลย ไม่ต้องมาทำงานอะไรให้เหนื่อยเองด้วย

วันนี้ได้มีโอกาสคุยกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยทำงานสอบสัมภาษณ์ผู้สมัครรอบพอร์ตมาด้วยกัน ก็เอาโพสที่นำมาเล่าในวันนี้ให้เขาอ่านดู โดยส่วนตัวก็บอกไปว่าน่าจะมีการตั้งเกณฑ์ที่ใช้ข้อสอบกลางมากำหนดคุณสมบัติผู้สมัคร เช่นให้กำหนดไปเลยว่าคะแนนภาษาอังกฤษ (เช่น TOEFL, TOEIC หรือ CU-TEP) ต้องไม่ต่ำกว่าเท่านี้จึงจะมีสิทธิยื่นสมัคร (ก็ไหน ๆ มหาวิทยาลัยก็อยากให้มีการเรียนการสอนในภาษาอังกฤษอยู่แล้วนี่) ก็ได้คำตอบกลับมาว่าขืนทำอย่างนั้นก็จะโดนว่าว่าเป็นการเพิ่มภาระให้ผู้ปกครองอีก แล้วก็จะมีปัญหาเรื่องหาคนเข้าเรียนได้ไม่เต็มจำนวน (แต่ก็เห็นเปิดหลักสูตรอินเตอร์รับนิสิตใหม่เพิ่มเติมจากจำนวนเดิมที่เคยรับอยู่ตั้งหลายหลักสูตร และก็ไม่เห็นว่าจะหาคนเรียนไม่ได้ แต่จะว่าไปเข้าด้วยหลักสูตรอินเตอร์ก็ยังเข้าง่ายกว่า TCAS3 เช่นกัน)

โดยส่วนตัวเห็นว่าในสาขาวิชาชีพที่ต้องผลิตบัณฑิตออกไปทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตคนนั้น ควรจะให้ความสำคัญต่อผู้ที่จะรับบัณฑิตที่จบไปทำงาน มากกว่าผู้ที่อยากให้ลูกของตัวเองได้เข้าเรียน

วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2566

ขึ้นบรรทัดใหม่ให้ถูกต้องหน่อยก็ดี MO Memoir : Friday 15 December 2566

 

หายไปหลายวันเพราะเป็นช่วงสอบและตรวจข้อสอบ (แต่อันที่จริงคือไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรดี)

สัปดาห์นี้พอจะขึ้นลิฟต์ไปทำงานก็เห็นมีป้ายประกาศข้างบนติดไว้หน้าลิฟต์ ตอนแรกที่เห็นก็คิดในใจว่าจะให้เดินขึ้นบันไดไป ๑๐ ชั้นเพื่อไปทำงานหรือ "ชั้น 4" อยู่ระหว่างการก่อนสร้าง แล้วทำไมต้องห้ามใช้ลิฟต์ไปยังทุกชั้นด้วย

อันที่จริงคือชั้น ๔ เขามีการปรับปรุงอาคารขนานใหญ่ เลยมีการปิดกั้นบริเวณและย้ายห้องทำงาน ในช่วงสัปดาห์ที่แล้วที่ยังมีการสอบนั้นก็ยังมีการใช้พื้นที่บางส่วนอยู่ แต่สัปดาห์นี้มันสิ้นสุดการสอบแล้ว เขาก็คงจะขอปิดบริเวณ

แค่ย้ายคำว่า "ชั้น 4" ไปอยู่ร่วมกับข้อความในบรรทัดบน ความหมายมันก็จะแตกต่างไป

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ที่ระลึกนิสิตวิศวกรรมเคมีรหัส ๖๒ เพราะสิ่งสำคัญยิ่งกว่าผลลัพธ์ในแจกัน คือ กระบวนการสร้างสรรค์ระหว่างทาง MO Memoir : Thursday 18 May 2566

"... อิเคบานะจึงเป็นศาสตร์ของความอ่อนหวานที่เพิ่มความแข็งแกร่งทางจิตใจ ไม่ใช่เพียงเลือกดอกไม้ที่สวยงามปักลงในแจกัน ไม่ใช่แค่ให้ชีวิตกับดอกไม้ แต่เป็นการมองดอกไม้ เพื่อย้อนกลับมามองตัวเราเอง

เพราะสิ่งสำคัญยิ่งกว่าผลลัพธ์ในแจกัน คือ กระบวนการสร้างสรรค์ระหว่างทาง ..."

ระหว่างที่นั่งหาคำที่จะมาตั้งบทความที่ระลึกให้พวกคุณ ก็บังเอิญไปพบประโยคที่ตรงใจและสอดคล้องกับเรื่องที่จะเขียนให้พวกคุณพอดีจากบทความในเว็บแห่งหนึ่งในชื่อเรื่อง "อิเคบานะ : ศิลปะแห่งการมองความงามของดอกไม้และชีวิต" (อ่านฉบับเต็มได้ที่ https://rakdok.com/อิเคบานะ-ศิลปะแห่งการม/) ข้างบนคือส่วนหนึ่งของข้อความที่คัดลอกมา

ถ้าเปรียบดอกไม้เสมือนความรู้ที่พวกคุณได้เรียนรู้กันมา ไม่ว่าจากแหล่งข้อมูลใด ๆ ก็ตาม ดอกไม้แต่ละดอกที่พวกคุณเลือกก็คงเปรียบได้กับความรู้ที่พวกคุณเลือกที่จะนำไปใช้ปัญหา เราไม่จำเป็นต้องเอาดอกไม้ทั้งหมดที่มีมาใส่ในแจกันใบเดียว เช่นเดียวกันการแก้ปัญหานั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ทั้งหมดที่มีในคราวเดียวเสมอไป เราทำเพียงแค่หยิบสิ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ มาใช้ ในขณะที่แต่ละงานต้องการการจัดดอกไม้ที่แตกต่างกันในการตกแต่ง การแก้ปัญหาก็เช่นกัน

และเมื่อปัญหานั้นได้รับการแก้ไขให้ลุล่วงไปแล้ว ก็เป็นเวลาที่ควรต้องกลับมาพิจารณาทบทวนการกระทำที่ผ่านไป ว่าวิธีการที่เลือกใช้นั้น ส่งผลกระทบในแง่บวกหรือลบ ระยะยาวหรือระยะสั้น ต่อด้านอื่นบ้างหรือไม่ อย่างไร

********************

ข้อความข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เขียนให้กับนิสิตวิศวกรรมเคมีรหัส ๖๒ ที่จะสิ้นสุดการเรียนการสอบในวันพรุ่งนี้ (ศุกร์ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖)

สำหรับเพลงที่นำมาประกอบคลิปวิดิทัศน์เป็นเพลงที่เกี่ยวข้องกับการสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปลายของประเทศญี่ปุ่น ชื่อเพลงคือ "Tabidachi No Hi Ni" ขับร้องโดย Ai Kawashima (หาดูได้ทาง YouTube) เนื้อเพลงและคำแปลนำมาจาก https://fruitkatsu.blogspot.com/2017/01/ai-kawashima-tabidachi-no-hi-ni-lyrics.html ผมเองไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นนะครับ แค่ copy และ paste ข้อความเท่านั้น ดังนั้นการแปลจากญี่ปุ่นเป็นอังกฤษจะผิดพลาดตรงไหน ผมไม่สามารถบอกได้ครับ :) :) :)

ถ้าเปรียบพวกคุณเสมือนดอกไว้ วันที่พวกคุณสำเร็จการศึกษา ก็เปรียบเสมือนวันที่ดอกไม้เบ่งบานจากดอกตูม

ขออวยพร ให้พวกคุณทุกคน ประสบแต่ความสุขความเจริญ ในชีวิตตลอดไป

 

ดาวน์โหลดไฟล์ pdf ได้ที่

https://drive.google.com/file/d/11ju7_jFFd8bUKLVdAAIrgjm17ms3id36/view?usp=sharing


ดาวน์โหลดคลิปวิดิทัศน์ได้ที่

https://drive.google.com/file/d/1M6Q8KsRV8VH5p7jXsZGcEubNC2bRZj0q/view?usp=sharing

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

เพราะโลกมันกลม แล้วเราทุกคน คงได้กลับมาพบกันอีก MO Memoir : Tuesday 25 May 2564

 

เมื่อพฤษภาคมปีที่แล้ว (พ.ศ. ๒๕๖๓) ก่อนงานปัจฉิมนิเทศน์ไม่กี่วัน ก็ได้รับอีเมล์ขอบคุณจากครูบนดอยท่านหนึ่ง ที่ท่านยังคงประทับใจกับค่ายที่ทางนิสิตปริญญาตรีของคณะ ที่ออกไปสร้างสะพานและสอนหนังสือให้กับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่จ.อุตรดิตถ์ ในฤดูร้อนปีพ.ศ. ๒๕๒๙ (ที่ตอนนั้นครูท่านนั้นเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง) ประสบการณ์นี้เป็นเครื่องย้ำเตือนให้เห็นว่า ช่วงเวลาที่เรามีโอกาสได้อยู่ร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าช่วงเวลานั้นจะสั้นหรือยาวนานเพียงใด จึงควรที่ต้องปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อเขาเหล่านั้น เพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายจากกัน จะได้ไม่มีเรื่องบาดหมางค้างคาใจ และเมื่อใดที่มีโอกาสมาพบกันใหม่ ก็จะเกิดโอกาสที่รื่นรมย์ต่อทั้งสองฝ่ายที่ได้มาพบกัน

สำหรับรุ่นคุณเนี่ย ก็เป็นรุ่นพิเศษสำหรับผมรุ่นหนึ่ง ก็คงด้วยเหตุผลที่แสดงอยู่ในรูปข้างบนนั่นแหละครับ ส่วนเขาเป็นใครนั่นเหรอ ก็เป็นหนึ่งในคนที่ผมนำมาขึ้นรูปปกหน้ารวมบทความที่เป็นที่ทำเป็นระลึกให้กับพวกคุณนั่นแหละครับ

บางคราวยังเหมือนว่าเธออยู่ตรงนี้ เรื่องราวที่ดีก็ยังฝังใจ

บางความทรงจำเก่าเก่า ก็ยังงดงามไม่คลาย
กระจ่างอยู่ข้างใน เมื่อไรที่คิดขึ้นมา

ข้อความข้างบนจะว่าไปก็มาจากเพลงเศร้านะครับ แต่จะว่าไปความหมายของเนื้อเพลงท่อนนี้มันก็ใช้ได้กับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เราต่างประสบในชีวิตประจำวัน แม้แต่ในเรื่องการที่ได้มีโอกาสสอนพวกคุณ ที่เมื่อกลับไปค้นรูปเก่า ๆ สมัยพวกคุณอยู่ปี ๒ เพื่อนำมารวมเล่มให้เป็นที่ระลึก ก็ทำให้นึกถึงภาพบรรยากาศความวุ่นวายในแลปตลอดเวลา ๒๗ ปีที่ทำงานมา

... หลายปีมาแล้วก่อนเริ่มสอนแลปเคมีวิเคราะห์ มีนิสิตหญิงคนหนึ่งมานั่งคุยและนั่งร้องไห้อยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องแลป ช่วงนั้นเป็นช่วงจัดกิจกรรมรับน้อง เขาได้เข้ามาปรึกษาผมเรื่องการที่ไม่ค่อย ๆ มีเพื่อน ๆ เข้าช่วยทำงาน

ผมก็ตอบเขาไปว่า "งานกิจกรรมนั้นเป็นงานอาสา ไม่มีการบังคับว่าใครต้องมาทำ และคนที่ทำก็ต้องไม่คิดว่าฉันดีกว่าคนที่ไม่มาทำ การที่เขาไม่มาร่วมงานกับเรานั้น เราก็ต้องกลับไปพิจารณาด้วยว่าสิ่งที่เราทำนั้นเขาเห็นชอบหรือไม่ การที่เขาไม่มาร่วมงานนั้นอาจเป็นเพราะว่าเขาคิดว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นมันไม่เหมาะสม เขาอยากเปลี่ยนแปลง แต่ทำไม่ได้ก็เลยไม่เข้ามาร่วม อย่าด่วนคิดว่าคนที่ไม่มาร่วมทำนั้นเป็นคนเห็นแก่ตัว"

"การที่คนส่วนใหญ่ไม่มาร่วมงานก็ต้องกลับมาพิจารณาแล้วว่าเป็นเพราะว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันไม่เหมาะสมหรือไม่ ทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไร แล้วเขาเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นมีจุดประสงค์ที่ดี แต่คนส่วนใหญ่ไม่มาร่วม เราก็ต้องหาทางชักชวนให้เขามาร่วม นั่นหมายถึงการเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน รูปแบบเดิมนั้นอาจใช้ได้ดีในสมัยหนึ่ง ในสภาพสังคมหนึ่ง แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไปเราก็ควรที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบ โดยที่ยังคงสามารถบรรจุจุดประสงค์ที่ตั้งเอาไว้

แต่ถ้าสิ่งที่เราทำนั้นมีจุดประสงค์ที่เลื่อนลอย ก็ควรพิจารณาว่าจะจัดต่อไปหรือไม่"

ผมบอกเขาต่อว่า "ถ้าคุณเหนื่อยมากก็ถอนตัวออกไปซิ งานจะล้มก็ช่างหัวมัน ดูจากการที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้ามาร่วมก็แปลได้ว่าคนส่วนใหญ่เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำอยู่แล้วนี่ ดังนั้นถ้างานนี้มันไม่เกิดขึ้นพวกเขาก็ไม่มีสิทธิจะว่าอะไรอยู่แล้ว"

ก่อนจบการสนทนาผมถามเขากลับไปว่า "ตอนนี้รู้หรือยังว่าเพื่อนคนไหนพึ่งได้"

เขาตอบกลับมาว่า "รู้แล้ว"

ผมก็ตอบกลับไปว่า "คุณได้ไปเยอะแล้วนี่ แล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ" ...

ข้อความข้างบนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ผมเขียนให้กับนิสิตรหัส ๕๑ ในวันปัจฉิมนิเทศน์ของเขาเมื่อ ๙ ปีที่แล้ว ยังจำได้ไหมครับ วันแรกที่พวกคุณเข้าแลป บางคนก็มาแบบไม่รู้เลยว่าคนอื่นเป็นใคร บางพวกก็มาเป็นกลุ่มแล้วมานั่งจับกลุ่มกันเพราะไม่รู้ว่ากลุ่มอื่นเป็นใคร บางคนคุณอาจจะเคยเห็นตอนเรียนปี ๑ หรือบางคนก็อาจไม่เคยเห็นเลย เพิ่งจะมาเห็นหน้ากันตอนเข้าภาควิชา แล้วตอนนี้ความสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ที่คุณได้รู้จักตอนเข้าภาควิชานั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ โดยเฉพาะกับเพื่อนที่ต้องมาจับกลุ่มทำแลปด้วยกันแบบไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หวังว่าตอนนี้คุณแต่ละคนคงจะมี "เพื่อนที่สามารถพึ่งได้" แล้วนะครับ

เวลาสอนสัมมนานิสิตโท-เอก ผมจะบอกกับเขาเป็นประจำทุกรุ่นว่า "นำเสนออย่างไรให้ดูดีให้ได้รางวัล" ผมสอนไม่เป็นหรอก แต่ถ้าอยากรู้ว่า "ฟังอย่างไรไม่ให้ถูกหลอก" อย่างนี้ผมพอจะช่วยสอนให้ได้ แต่การที่จะสามารถฟังอย่างไรไม่ให้ถูกหลอกได้นี้จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องและโดยละเอียด ไม่ใช่การจับเพียงแค่ข้อความบางข้อความที่ผู้นำเสนอนี้ต้องการเบี่ยงเบน หรือบิดเบือนประเด็น หรือขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฎ ด้วยการเลือกนำเสนอเฉพาะเพียงแค่เศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมด ผมเคยคุยกับศิษย์เก่าของภาควิชาและให้คำแนะนำเขาไปว่า "ถ้าคุณต้องการใครสักคนเพื่อทำให้คนอื่นยอมจ่ายเงินให้คุณโดยไม่ต้องคิด คุณก็ต้องมองหาคนนำเสนอเก่ง ๆ เอามาเป็นฝ่ายขายหรือโฆษณา แต่ถ้าคุณต้องการที่ปรึกษาว่าควรจะจ่ายเงินเพื่อสิ่งที่มีคนนำเสนอหรือไม่ คุณควรใช้คนที่รู้ดีทางเทคนิคและให้ความเห็นได้โดยไม่มีอคติ สามารถแสดงได้ทั้งข้อดีข้อเสียของทางเลือกแต่ละแบบเพื่อประกอบการตัดสินใจของคุณ"

ตอนผมมาทำงานใหม่ ๆ อาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งให้คำแนะนำเรื่องการซื้อรถว่า "ถ้าคุณอยากรู้ว่ารถรุ่นที่คุณสนใจนั้นมีปัญหาอะไรบ้าง ให้เดินเข้าไปถามเซลล์บริษัทคู่แข่ง เอารุ่นรถที่คุณสนใจไปเทียบกับรถระดับเดียวกันของของบริษัทคู่แข่งแล้วให้ผู้ขายเขาวิจารณ์ให้ฟัง" คนขายของเขาย่อมอยากให้ของของเขาครองตลาดแต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว ดังนั้นอะไรมันจะดีหรือไม่ดี จะฟังจากผู้ผลิต (ที่อาจเป็นเพียงแค่บริษัท หรือประเทศ หรือกลุ่มประเทศก็ได้) แต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้

แต่การที่จะใช้ความรู้หรือปัญญาที่มีในการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องมี "สติ" คอยกำกับด้วย

ข้อคิดสุดท้ายที่อยากจะฝากไว้ให้พวกคุณนำไปพิจารณาคือ ส่วนหนึ่งของพระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่พระราชทานต่อบัณฑิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีการศึกษา ๒๕๓๙ เมื่อวันพุธที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่น่าจะเข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันมากที่สุด (จาก http://www.kingrama9.chula.ac.th/kings-guidance/167/)

"... ความเป็นบัณฑิต นอกจากจะหมายรู้ได้ที่ความรู้ความฉลาดสามารถในหลักวิชาแล้ว ยังสังเกตทราบได้ที่ความคิด คำพูด และการกระทำ อีกทางหนึ่ง ความคิดนั้นสำคัญมาก ถือได้ว่าเป็นแม่บทใหญ่ของคำพูดและการกระทำทั้งปวง กล่าวคือ ถ้าคนเราคิดดี คิดถูกต้อง ทั้งตามหลักวิชาและคุณธรรม คำพูดและการกระทำก็เป็นไปในทางที่ดีที่เจริญ แต่ถ้าคิดไม่ดี ไม่ถูกต้อง คำพูดและการกระทำก็อาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหาย ทั้งแก่ตัวเองและส่วนรวมได้ ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่บุคคลจะพูดจะทำสิ่งใด จำเป็นต้องหยุดคิดเสียก่อนว่า กิจที่จะทำ คำที่จะพูดนั้น ผิดหรือถูก เป็นคุณประโยชน์หรือเป็นโทษเสียหาย เป็นสิ่งที่ควรพูด ควรกระทำ หรือควรงดเว้น เมื่อคิดพิจารณาได้ดังนี้ ก็จะสามารถยับยั้งคำพูดที่ไม่สมควร หยุดยั้งการกระทำที่ไม่ถูกต้อง พูดและทำแต่สิ่งที่จะสัมฤทธิ์ผลเป็นคุณ เป็นประโยชน์ และเป็นความเจริญ บัณฑิตจึงควรฝึกหัดปฏิบัติตนให้เป็นคนคิดก่อนพูด คิดก่อนทำ จนเป็นปรกตินิสัย จึงจะได้ชื่อว่าประพฤติปฏิบัติตนสมกับความเป็นบัณฑิต ที่คนเขายกย่องเชื่อถือ ..."

แล้ววันหนึ่ง เชื่อว่าพวกเราทุกคน จะได้กลับมาพบเจอ แบบเจอตัวตนจริงกัน

ท้ายสุดนี้ก็ขออวยพร ให้พวกคุณทุกคน ประสบแต่ความสุขความเจริญ ในชีวิตตลอดไป

ดาวน์โหลดไฟล์ฉบับที่ระลึกได้ที่นี่

ดาวน์โหลดคลิปวิดิทัศน์ที่ระลึกได้ที่นี่

 

วันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๑ อ่างเก็บน้ำห้วยปรือ จังหวัดนครนายก


 

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2564

MO Memoir รวมบทความชุดที่ ๒๖ ชีวิตป.ตรี นิสิตจุฬา (มิถุนายน ๒๕๒๗ - เมษายน ๒๕๓๑) MO Memoir : Sunday 10 January 2564

สุราที่ดีต้องใช้เวลาบ่มนานฉันใด ความทรงจำก็เช่นกัน

สิ่งที่ผมเขียนลง blog และนำมารวบรวมไว้ในที่นี้ เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของความทรงจำ และจดหมายข่าวต่าง ๆ ที่มีนิสิตทำขึ้นเองและแจกจ่ายกันเอง (ซึ่งคิดว่าคงจะหาไม่ได้ในห้องสมุดใด ๆ ด้วย) จากมุมมองของคนเพียงคนเดียวที่ผ่านช่วงเวลานั้นมา อีกไม่กี่ปีข้างหน้าคนรุ่นผมก็คงจะเข้าสู่วัยเกษียณอายุการทำงานกันแล้ว ยังคิดเล่น ๆ ว่าน่าจะมีการรวมรุ่นกัน ที่ไม่ใช่เป็นการมาเพื่อการกิน แต่เพื่อเป็นการเก็บรวบรวมความทรงจำในสมัยเรียนที่แต่ละคนมี บันทึกเอาไว้เพื่อให้ลูกหลานหรือคนรุ่นหลังได้รับรู้ (จะบอกว่าเผื่อใครต้องจากไปก่อนก็จะได้ให้ลูกหลานเอาสิ่งที่รวบรวมเอาไว้นี้ทำเป็นหนังสือแจกในงาน ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นการกล่าวที่แรงเกินไปหรือเปล่า เพราะบางคนก็อาจถือว่าพูดเป็นลาง) บางเรื่องก็ไม่ได้เขียนเอาไว้ละเอียด เพราะไม่ทราบรายละเอียด เป็นเพียงแค่บันทึกเอาไว้ก่อนกันลืมว่าเคยผ่านเคยเห็นอะไรมา เผื่อว่าจะมีคนทราบรายละเอียดเรื่องดังกล่าวดี จะมาเติมเต็มเรื่องราวให้สมบูรณ์ บางบทความก็เป็นเรื่องปัจจุบัน ที่นำมาลงก็เพื่อให้รู้ว่าบางสิ่งที่เคยมีในอดีตนั้น ปัจจุบันได้กลายสภาพเป็นอะไร

ช่วงชีวิตวัยรุ่นของคนจำนวนมาก น่าจะมีการจากลา ๒ ครั้งที่ต่างเป็นที่จดจำอยู่ในใจของแต่ละคน ครั้งแรกคือตอนแยกย้ายกันไปเรียนในมหาวิทยาลัย ครั้งที่สองคือการแยกย้ายกันไปทำงาน

ยุคสมัยของอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารไร้สายที่ใครต่อใครก็สามารถเข้าถึงได้ง่าย ทำให้บรรยากาศของการรวมรุ่นหรืองานคืนสู่เหย้านั้นเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่ในรอบปีหรือหลายปีนั้นอาจไม่ได้มีการติดต่อกันเลย เว้นแต่จะเป็นกลุ่มเพื่อนที่สนิทใกล้ชิดหรือมีหน้าที่การงานที่เกี่ยวข้องกัน เมื่อมีโอกาสมาพบหน้ากันแต่ละครั้ง การสนทนาเมื่อพบเจอหน้ากันก็เลยเต็มไปด้วยเรื่องราวถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ใครทำงานอะไรอยู่ ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า ครอบครัวเป็นอย่างไร ทราบข่าวคนโน้นคนนี้บ้างหรือเปล่า ฯลฯ

แต่ในยุคปัจจุบันที่การติดต่อสื่อสารและการเดินทางระหว่างกันกระทำได้ง่ายขึ้น แต่ละคนสามารถบอกเล่าความเป็นไปของตัวเองไว้บนสื่อสังคมออนไลน์ได้เพื่อให้คนอื่นได้รับรู้ การนัดพบเจอหน้ากันทำได้ง่ายขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น พอมาพบหน้ากันในงานรวมรุ่นก็เลยไม่รู้ว่าจะถามไถ่เรื่องอะไร ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นว่าเป็นการคุยกันเรื่องงานไป เว้นแต่กับคนที่ไม่ค่อยปรากฏตัวในสื่อสังคมออนไลน์ ที่อาจมีเรื่องราวต่าง ๆ ให้เพื่อนฝูงคนอื่นถามไถ่สารทุกข์สุขดิบมากหน่อย

บทสนทนาอาจจางหายไป แต่มิตรภาพจะไม่เจือจาง

ดาวน์โหลดไฟล์ pdf ได้ที่ลิงก์นี้ครับ


 

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

สิ่งที่ได้มาโดยมิชอบ ย่อมร้องขอความเป็นธรรมไม่ได้ (เมื่อนิสิตคณะวิศวะ ฟ้องอาจารย์คณะอื่นที่พยายามช่วยไม่ให้นิสิตรีไทร์) MO Memoir : Tuesday 16 July 2562

เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้วครับ ในปีการศึกษา ๒๕๔๒ ซึ่งตามมาด้วยการฟ้องศาลปกครอง จนศาลปกครองมีคำพิพากษาในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ เหตุการณ์นี้จะเรียกว่าเป็น ชาวนากับงูเห่าเวอร์ชันนิสิตคณะวิศวะกับอาจารย์นอกคณะก็น่าจะได้นะครับ เมื่อนิสิตได้เกรด F แล้วรีไทร์ แล้วพยายามขอให้อาจารย์ช่วย อาจารย์ก็พยายามช่วยทุกวิถีทางแล้ว แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนก็คือ ....

เรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้มาจากเอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง "กฎหมายปกครองสำหรับบุคลากรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ที่ทางมหาวิทยาลัยได้จัดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมและต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖ และได้นำมาเล่าไว้เรื่องหนึ่งในเรื่อง "สิทธิในการรู้คะแนนสอบของผู้อื่น" (Memoir ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๔๐๐ วันอังคารที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐) กรณีนี้น่าจะเป็นบทเรียนให้กับอาจารย์ที่คิดจะช่วยเหลือนิสิตในทางที่ผิด
 
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ยื่นฟ้องจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการที่ทางมหาวิทยาลัยจัดสอบโดยมิชอบเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๓ ทำให้นิสิตผู้นั้นทราบเวลาสอบล่วงหน้ากระชั้นชิด ทำให้มีเวลาทำข้อสอบวิชาการเงินส่วนบุคคลเพียงชั่วโมงครื่งแทนที่จะเป็น ๓ ชั่วโมง ทำให้ผลสอบออกมาได้เกรด D และนิสิตที่อยู่ในสภาพวิทยาทัณฑ์อยู่แล้วต้องพ้นสภาพนิสิต นิสิตจึงร้องต่อศาลขอให้ทางมหาวิทยาลัยจัดสอบให้ใหม่
 
เนื่องจากประกาศของมหาวิทยาลัยเป็นคำสั่งปกครอง และมหาวิทยาลัยได้ประกาศให้นิสิตพ้นสภาพนิสิตไปแล้ว ทางนายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่งกำหนดมาตรการบรรทุกข์ชั่วคราว โดยให้ทางมหาวิทยาลัยอนุญาตให้นิสิตลงทะเบียนเรียนได้ก่อน (เผื่อว่านิสิตเป็นผู้ชนะคดี)

เรื่องมันเริ่มจากการที่มีนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ (โชคดีที่ไม่ใช่ภาควิชาที่ผมสอน) ลงเรียนวิชาเลือกนอกคณะคือวิชาการเงินส่วนบุคคล วิชานี้ไม่ได้กำหนดวันสอบไล่ไว้ในตารางสอบ กำหนดแต่เพียง TDF ที่ย่อมาจาก To be delcared by the faculty ซึ่งก็คือผู้สอนกับผู้เรียนค่อยตกลงวันสอบกัน
 
คำว่า "Faculty" นี้ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษแบบ British จะหมายถึงคณะวิชา ไม่ใช่อาจารย์ผู้สอน แต่ถ้าเป็นแบบอเมริกันจะหมายถึงอาจารย์ผู้สอน (teaching staff)
 
เดิมนั้นวิชานี้จะมีทั้งการสอบกลางภาคและการสอบปลายภาค แต่ในภาคการศึกษานั้นเปลี่ยนการสอบกลางภาคเป็นการทำข้อสอบเชิงกรณีศึกษานอกห้องสอบ โดยให้นิสิตทุกคนกลับไปทำและนำกลับมาส่งใน ๒ สัปดาห์ (ช่วงนั้นการสอบกลางภาคจะอยู่ตอนปลายเดือนธันวาคม เรียกว่าสอบเสร็จก็ฉลองปีใหม่ได้เลย)
 
วันที่ ๒๖ มกราคมเป็นวันครบกำหนดการส่งกระดาษคำตอบกลางภาค นิสิตทุกคนนำมาส่ง ยกเว้นผู้ฟ้องคดี และอาจารย์ยังได้แจ้งด้วยว่าการสอบไล่นั้นจะแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม โดยกลุ่มแรกสอบวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ กลุ่มที่สองสอบวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ โดยกลุ่มของนิสิตวิศวะนั้นให้เข้าสอบในกลุ่มแรกคือวันที่ ๙ กุมภาพันธ์
 
ถึงวันสอบของกลุ่มแรกคือวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ นิสิตผู้ฟ้องคดีก็มาสอบ พร้อมกับเอาข้อสอบของกลางภาคมาส่ง (อันที่จริงมันต้องส่งตั้งแต่ ๒๖ มกราคมแล้ว) อาจารย์ผู้สอนก็อุตส่าห์ยอมรับไว้โดยระบุว่าส่งผิดเวลา (เรียกว่าช้าไป ๒ สัปดาห์) แถมตรวจให้คะแนนด้วย
 
ปรกติในการสอบนั้น ผู้เข้าสอบจะต้องอยู่ในห้องสอบไม่น้อยกว่า ๔๕ นาที (แม้ว่าจะทำข้อสอบเสร็จแล้วก็ตาม) จึงจะมีสิทธิ์ออกนอกห้องสอบได้ แต่ในวันนั้นนิสิตคนดังกล่าวเข้าสอบเพียงไม่ถึง ๔๕ นาที ก็ขอไปสอบในวันที่สองแทน
 
ลองคิดดูเล่น ๆ นะครับ ถ้าคุณเป็นคนที่เรียนกับเขาในวิชานั้น เขาเข้ามาสอบ เห็นข้อสอบแล้ว แล้วบอกว่าไม่อยากจะสอบวันนี้ ขอไปสอบอีกวัน แถมอาจารย์อนุญาตให้อีก คุณว่ามันเป็นธรรมกับคุณไหม

การสอบในวันที่สองนั้นก็มีเหตุการณ์ทำนองเดิมอีก ตรงนี้ถ้าผมจำที่เขาเล่าเอาไว้ไม่ผิดก็คือ พอนิสิตเข้าสอบไปได้สักพักก็ขอส่งกระดาษคำตอบ โดยอ้างว่าติดสอบวิชาอื่น อาจารย์ผู้ควบคุมสอบก็ยอมให้ออกไปจากห้องสอบ (ตรงนี้แสดงว่าการสอบในวันแรกนั้นเขาไม่มีการสอบซ้ำซ้อนกับวิชาอื่น) แต่ก่อนที่จะหมดเวลาสอบ เขาก็กลับมาใหม่ และขอทำข้อสอบต่อ ซึ่งอาจารย์ก็อนุญาตให้ทำข้อสอบต่อได้
 
ลองคิดดูเล่น ๆ อีกครั้งนะครับ คนที่สอบวิชาเดียวกับคุณ เข้ามาสอบได้สักพักก็ขอส่งข้อสอบแล้วออกไปข้างนอก หายไปพักใหญ่ ๆ ก็กลับมาใหม่ และขอทำข้อสอบเดิมต่อ คุณว่ามันเป็นธรรมกับคุณไหม

พอผลสอบประกาศออกมา นิสิตคนนั้นได้เกรด F (Fail หรือตก) ครับ แต่มีการร้องขอกับอาจารย์ผู้สอนให้เกรด I (Incomplete หรือยังไม่สมบูรณ์) ซึ่งอาจารย์ก็ยอมให้เกรด I กับนิสิตคนนั้น
 
การให้เกรด I นั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนิสิตไม่ได้มาสอบ และได้ทำเรื่องแจ้งเหตุผล หรือว่าการส่งงานนั้นยังไม่สมบูรณ์ แต่ไม่ใช่สำหรับการสอบข้อเขียนที่มีการส่งกระดาษคำตอบกันหมดแล้ว ดังนั้นการที่อาจารย์ให้เกรด I กับนิสิตในเหตุการณฅ์นี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

เอกสารที่สแกนมาให้ดูนั้นเป็นฉบับย่อ เท่าที่จำได้ในการฟังการสัมมนาก็คือมีการจัดสอบแก้ I ให้สองครั้ง (ถ้าจำไม่ผิด) โดยครั้งแรกนั้นจำไม่ได้แน่ว่านิสิตไม่มาหรือสอบไม่ผ่าน แต่อาจารย์ผู้สอนก็ยังให้โอกาสที่จะสอบแก้ I ใหม่อีกครั้งในวันที่ ๓๐ มีนาคม โดยกำหนดเวลาสอบไว้ ๓ ชั่วโมง แต่ในการสอบครั้งหลังนี้เป็นการฝากให้ผู้อื่นคุมสอบแทน ถึงวันสอบปรากฏว่านิสิตมาสาย และเมื่อครบกำหนดเวลาสอบที่กำหนดไว้ผู้คุมสอบก็ไม่มีการต่อเวลาให้ ทำให้นิสิตคนดังกล่าวได้เกรด D ในวิชานั้น ส่งผลให้ต้องพ้นสภาพนิสิต
 
การสอบแก้ I ต้องกระทำภายใน ๒ สัปดาห์แรกของภาคการศึกษาถัดไป ในกรณีของภาคปลายมันจะมีเวลาการเปิดเรียนภาคฤดูร้อนเป็นภาคเรียนถัดไป ดังนั้นสำหรับผู้ที่ติด I แล้วควรต้องรู้ว่าเส้นตายของการแก้ I คือวันไหน ในเหตุการณ์นี้ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่าการสอบแก้ I ครั้งแรกนั้นห่างจากเส้นตายพอควร แต่เมื่อผลออกมาไม่ดีและมีการขอสอบใหม่ จึงทำให้ช่วงเวลาที่ทราบว่าสอบครั้งแรกไม่ผ่านและเส้นตายของการสอบนั้นแคบเข้ามามาก

คำสั่งของมหาวิทยาลัยที่ให้นิสิตพ้นสภาพการเป็นนิสิตถือเป็น "คำสั่งปกครอง" ดังนั้นในกรณีนี้นิสิตจึงสามารถร้องต่อศาลปกครองได้ และได้ร้องขอให้ศาลปกครองสั่งให้ทางมหาวิทยาลัยจัดการสอบแก้ I ให้ใหม่ (เพื่อเปิดโอกาสให้เขามีเวลาสอบเต็มที่ ๓ ชั่วโมงเต็ม) ซึ่งศาลปกครองก็ได้รับเรื่องเอาไว้พิจารณา
 
แต่เมื่อศาลได้พิจารณาหลักฐานทั้งหมดแล้วพบว่า การที่อาจารย์ให้เกรด I กับนิสิตนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง (ที่ถูกต้องคือการให้เกรด F) ดังนั้นการที่มีการจัดให้นิสิตมีโอกาสสอบแก้ I นั้นจึงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องด้วย จึงส่งผลให้การที่นิสิตร้องขอให้จัดสอบแก้ I ใหม่นั้นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามไปด้วย ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง

ในวันนั้นผู้บรรยายสรุปกรณีของเหตุการณ์นี้เอาไว้ว่า "สิ่งที่ได้มาโดยมิชอบ ย่อมร้องขอความเป็นธรรมไม่ได้"
 
ที่เหลือก็ลองอ่านข้อความที่สแกนมาให้ดูเอาเองก็แล้วกันนะครับ






วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ฝากเก็บเอาไว้ ณ ที่ที่คุณเห็นสมควร MO Memoir : Friday 17 May 2562

"ความสุขของคนเป็นอาจารย์ (อย่างผม) อยู่ตรงไหนหรือครับ ก็ตามเนื้อเพลงที่ผมนำมาประกอบวิดิทัศน์ที่ขอให้เขาเปิดให้พวกคุณดูในระหว่างการปัจฉิมนิเทศน์เมื่อช่วงตอนเย็นที่ผ่านมา (ถ้าเขาไม่ลืมที่จะเปิดให้นะครับ) เป็นความตั้งใจของผมเองครับที่จะไม่อยู่ในช่วงเวลานั้น เพราะการมาพบกันเพื่อกล่าวคำลาจากกันมันไม่ใช่เรื่องสนุก ก็ได้แต่หวังว่าเมื่อมองย้อนกลับไป พวกคุณคงจะมีความประทับใจที่ได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตในภาควิชานี้ในช่วงเวลา ๓ ปีที่ผ่านมา"

ข้อความข้างต้นคือบทปิดท้ายบันทึกฉบับ "ที่ระลึกนิสิตวิศวกรรมเคมี ๕๘ ฝากเก็บเอาไว้ ณ ที่ที่คุณเห็นสมควร" ซึ่งเป็นฉบับรวมรวมภาพถ่าย ที่บันทึกภาพการเรียนของนิสิตปริญญาตรี รหัส ๕๘ ของภาควิชาวิศวกรรมเคมีในขณะที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ ๒ ร่วม ๑๓๐๐ ภาพ

"การอ่านหนังสือที่ไม่มีรูปภาพประกอบนั้นมันก็มีข้อดีตรงที่ มันเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ใช้จินตนาการของตนเองในการสร้างภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ประพันธ์ได้บรรยายเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นภูมิประเทศหรือตัวละครต่าง ๆ โดยผู้อ่านแต่ละคนก็ไม่จำเป็นต้องมีภาพเดียวกัน หรือแม้แต่จะเป็นผู้อ่านคนเดิม เมื่อมาอ่านซ้ำใหม่อีกครั้ง ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นภาพเดิม ๆ
 
ในทำนองเดียวกัน รูปเขียนที่ไม่ได้เก็บรายละเอียดเอาไว้อย่างชัดเจนทุกอย่าง ก็เปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้ชมได้สร้างจินตนาการส่วนที่ขาดหายไป ซึ่งผู้ชมแต่ละคน ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นรูปนั้นในแบบที่ซ้ำกัน หรือแม้แต่คนเดิมเมื่อมาชมใหม่ ก็ไม่จำเป็นต้องมองเห็นรูปนั้นในแบบที่ซ้ำเดิม
 
รูปถ่ายก็เช่นกัน เมื่อเทียบกับภาพเคลื่อนไหวแล้ว รูปถ่ายเป็นเพียงแค่การบันทึกภาพเหตุการณ์ ณ เสี้ยววินาทีหนึ่ง ส่วนที่ว่าก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้นเรื่องราวมันเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับผู้ได้เห็นแต่ละคน แต่ผู้ที่น่าจะรู้ดีที่สุด (ถ้าเขายังจำได้) ก็คือผู้ที่ปรากฏอยู่ในรูปนั้นเอง"

วันนี้ เป็นวันที่พวกเขาต่างเสร็จสิ้นการสอบทั้งหมด ผมไม่ได้คาดหวังให้พวกเขาต้องรีบเปิดดูทุกภาพที่ส่งมอบให้จนหมด หวังแต่เพียงว่าเขาคงจะเอามันไปเก็บไว้ที่ไหนสักแห่งที่เขาคิดว่าสมควร เพราะบางสิ่งนั้น คุณค่าของมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ มันถูกลืมไปก่อน ก่อนที่จะมาพบเจอใหม่ภายหลัง

สิ่งสุดท้ายที่อยากจะกล่าวกับพวกคุณในวันนี้ก็คือคำอวยพร ที่ขอให้ทุกคนมีความสุขกายสบายใจในชีวิตทุกคน

ดาวน์โหลดไฟล์ pdf (ความละเอียดต่ำ) ได้ที่นี่

ดาวน์โหลดไฟล์ pdf (ความละเอียดสูง) ได้ที่นี่

ดาวน์โหลดไฟล์วิดิโอได้ที่นี้