แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เกียร์ยิ้ม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เกียร์ยิ้ม แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เกียร์ยิ้ม ๒๕๓๒ ฉบับสอนน้อง (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๗๘) MO Memoir : Saturday 5 July 2557

ระหว่างรื้อสมุดรวบรวมรูปถ่ายถ่ายเก่า ๆ ก็บังเอิญไปพบเกียร์ยิ้มฉบับนี้พับสอดเอาไว้ในสมุดเล่มหนึ่ง ฉบับนี้ให้ชื่อว่าฉบับสอนน้อง แม้ว่าจะไม่มีการระบุวันเดือนปีที่ออก (ข้อเสียของเกียร์ยิ้ม) แต่จำได้ว่าฉบับนี้ควรต้องออกเมื่อภาคการศึกษาต้น ปีการศึกษา ๒๕๓๒ เพราะช่วงกลางปี ๒๕๓๑ ถึงกลางปี ๒๕๓๒ นั้นผมไปทำงานต่างจังหวัด เพิ่งจะกลับเข้ามายังมหาวิทยาลัยในช่วงภาคการศึกษาต้นปีการศึกษา ๒๕๓๒ เพราะต้องมาทำเรื่องรับทุนไปเรียนต่อยังต่างประเทศ นิสิตรุ่นนี้กับรุ่นผมนั้นไม่ทันกัน เพราะผมจบไปปีกว่าแล้ว เขาถึงเข้ามาเรียน แต่ก็เคยเจออยู่รายหนึ่งตอนไปตรวจการฝึกงานของนิสิต ตอนนี้ก็เห็นว่าได้ขึ้นไปตำแหน่งฝ่ายจัดการทางด้านเทคโนโลยีของโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศไทย (เดาเอาเองก็แล้วกันว่าเป็นใคร)
  
รูปแรกในหน้าถัดไปนั้นเป็นปกหลัง (ด้านซ้าย) และปกหน้า (ด้านขวา) เมื่อการเกียร์ยิ้มฉบับนั้นออก ส่วนภาพในรูปถัดไปก็เป็นภาพสแกนหน้าต่าง ๆ เนื่องจากแต่ละหน้ามันใหญ่กว่าขนาด A4 ก็เลยต้องสแกน
แต่ละหน้า ๒ ครั้ง คือท่อนบนและท่อนล่าง
  
เรื่องหนึ่งในเกียร์ยิ้มฉบับนี้ที่แนะนำให้อ่านคือเรื่อง "รถเมล์ Analysis" อ่านแล้วก็ลองกลับไปพิจารณาดูนะว่าการใช้บริการรถเมล์เมื่อกว่า ๒๕ ปีที่แล้วกับปัจจุบันนี้แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร :)

เกียร์ยิ้มฉบับนี้ถึงแม้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงที่รุ่นผมนั้นใช้ชีวิตเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย แต่บังเอิญมันมีติดมือมา ก็ถือเสียว่าเป็นบันทึกความทรงจำส่วนหนึ่งให้กับ INTANIA 73 ก็แล้วกัน

























วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เกียร์ยิ้ม ๒๕๓๐ ฉบับก่อนงานนิทรรศครั้งที่ ๘ (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๗๕) MO Memoir : Thursday 26 June 2557

"ถ้าพร้อมก็จัด ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ต้องจัด มันไม่ได้มีข้อกำหนดว่าต้องจัดทุก ๓ ปี" นั่นคือประโยคหนึ่งที่รุ่นพี่กล่าวเอาไว้ก่อนที่รุ่นผมจะขึ้นปี ๔ เกี่ยวกับการจัดงานนิทรรศการวิชาการทางวิศวกรรมครั้งที่ ๘ ที่จะจัดขึ้นในปลายปีพ.ศ. ๒๕๓๐
  
ตอนนั้นเหตุผลเดียวที่บอกว่าควรต้องจัดทุก ๓ ปีก็เพราะอย่างน้อยจะได้มีนิสิต ๑ รุ่นใน ๔ ชั้นปีนั้นได้เคยเห็นการจัดงานครั้งก่อนหน้านั้น ทำนองว่าถ้าเข้ามาจังหวะที่มีการจัดงานตอนปี ๑ ก็ควรที่จะจัดอีกครั้งตอนปี ๔ เพื่อที่ให้รุ่นน้องปี ๑-๓ จะได้มีประสบการณ์การทำงาน

เกียร์ยิ้มฉบับนี้ไม่มีคำว่า "เกียร์ยิ้ม" ปรากฏให้เห็น เสียดายที่มันไม่มีการระบุว่าจัดพิมพ์เมื่อใด แต่ดูจากเนื้อหาแล้วคิดว่าน่าจะออกมาก่อนฉบับเดือนกันยายน ๒๕๓๐ ที่เคยเอามาให้ดูก่อนหน้า (ฉบับเดือนกันยายน ๒๕๓๐ มีทั้งคำว่า "เกียร์ยิ้ม" และ "Sense of Engineer") เพราะฉบับนี้มีการพูดถึงเหตุการณ์ควันหลงหลังการประกาศผลเอนทรานซ์ และเป็นการเปิดตัวโลโก้งานนิทรรศการวิชาการทางวิศวกรรมครั้งที่ ๘ ดังนั้นมันไม่ควรจะออกก่อนฉบับเดือนกันยายนแน่ เพราะนั่นมันใกล้จะเปิดงานอยู่แล้ว
  
เกียร์ยิ้มฉบับนี้มีรูปบรรยากาศการดูผลสอบที่บอร์ดประกาศด้วย แม้ว่าจะเป็นรูปเล็ก ๆ แต่ก็แสดงให้เห็นบรรยากาศการดูผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยในช่วงเวลานั้น ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จะมีการนำเอาเทคโนโลยีการสื่อสารมาใช้ประกาศผลการสอบ นอกจากนี้บุคคลหนึ่งที่มีรูปปรากฏในเกียร์ยิ้มฉบับนี้ (ไม่บอกว่าเป็นใคร เดาเอาเองก็แล้วกัน) เคยไปทำงานบริษัทเอกชนมาก่อน ก่อนที่จะกลายมาเป็นผู้ช่วยอธิการบดีของมหาวิทยาลัยของเราในสมัยหนึ่ง
  
เรื่องหนึ่งที่แนะนำให้อ่านให้เกียร์ยิ้มฉบับนี้คือ "หลีอย่างไร? ถึงไม่หลี" ลองดูซิครับว่าวิธีการจีบสาวเมื่อเกือบ ๓๐ ปีที่แล้ว ยังนำมาประยุกต์ใช้ได้ในปัจจุบันหรือไม่


















วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เกียร์ยิ้ม ๒๕๒๗ ฉบับที่ ๔ (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๗๓) MO Memoir : Monday 16 June 2557

อย่าเพิ่งเบื่อนะ ที่ช่วงนี้ผมเอาเรื่องเก่า ๆ สมัยผมเรียนหนังสือมาลงก็เพราะปีนี้จะเป็นปีที่ครบรอบ ๓๐ ของรุ่นผม ก็เลยขุดกรุของเก่าเก็บสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ยังหลงเหลืออยู่เอามาบันทึกไว้ก่อนมันผุพังไปหมด

เกียร์ยิ้มฉบับนี้เป็นฉบับที่ได้รับตอนเรียนปี ๑ ในหน้าแรกมีพิมพ์ว่า 4th ก็เลยเดาว่าน่าจะเป็นฉบับที่ ๔ ส่วนวันเดือนปีที่พิมพ์นั้นไม่มีปรากฏ แต่เป็นฉบับก่อนงานนิทรรศฯครั้งที่ ๗ เพียงอาทิตย์เศษ ดังนั้นน่าจะอยู่ราว ๆ ปลายเดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธันวาคม ๒๕๒๗
   
นิสิตปี ๑ ก็เองก็ไม่ได้เป็นตัวหลักอะไรในงาน เป็นแต่ลูกมือซะมากกว่า แต่บันทึกในเกียร์ยิ้มฉบับนี้ก็บอกให้ทราบว่าสภาพความพร้อมก่อนเริ่มงานนั้นเป็นอย่างไร
   
มหาวิทยาลัยในตอนนั้นพอ ๓ ทุ่มก็ปิดประตูมหาวิทยาลัยแล้ว หอสมุดกลาง (ตอนนั้นยังมีแต่ชั้น ๓) ปิดช้าสุดก็หนึ่งทุ่ม ส่วนรถเมล์ก็หมดตอนราว ๆ สี่หรือห้าทุ่ม
  
วิธีการหนึ่งของการประชาสัมพันธ์งานในตอนนั้นคือการออกไปติดโปสเตอร์ตามที่ต่าง ๆ ข้างทาง (ผมไม่เคยไปกับเขาหรอก) ก็คือการใช้กาวทาโปสเตอร์แปะไว้ตามที่ต่าง ๆ (ทั้งสถานที่ที่เขาให้ติดและไม่อยากให้ติด) บรรยากาศงานตรงนี้เป็นอย่างไรบ้างนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ส่วนตัวผมเองนั้นมาอยู่ฝ่ายสวัสดิการ ทำงานร่วมกับรุ่นพี่ปี ๓ ท่านหนึ่งอยู่ภาคโยธา ดูเหมือนว่าชื่อพี่อัฐ และด้วยเหตุนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ทำให้ในปีถัดมาถูกดึงมาทำหน้าที่เป็นฝ่ายสวัสดิการให้กับกรรมการนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ (ที่เรียกย่อ ๆ ว่า กวศ.)

ชีวิตการเรียนตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้างน่ะหรือ โดยส่วนตัวเห็นว่าสิ่งที่ได้จากการเรียนแต่ละปีในมหาวิทยาลัยนั้นแตกต่างกันไป (เอาเป็นว่าประสบการณ์ของผมสมัยผมก็แล้วกันนะ)

ปี ๑ นั้นเหมือนเป็นปีแห่งความสนุก เปิดโลกทรรศน์ใหม่ให้กับตัวเอง
ปี ๒ เป็นปีแห่งประสบการณ์การทำงาน การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย
ปี ๓ เป็นปีแห่งการเรียนรู้วิชาชีพเฉพาะทาง การนำสิ่งที่ได้เรียนรู้หลายต่อหลายอย่างไปใช้ตอนฝึกงาน
ท้ายสุดคือปี ๔ ซึ่งเป็นปีแห่งความทรงจำ ทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย สุข ทุกข์ สมหวัง ผิดหวัง อยู่ในปีนี้หมด


วันนี้เป็นวันที่บัณฑิตจบใหม่ของคณะมาซ้อมรับปริญญาเป็นครั้งแรก เขามีมุมมองชีวิตของเขาในช่วงเวลา ๔ ปีที่ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างไรบ้างนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน