แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เขาชัยสน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เขาชัยสน แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ชมเมืองพัทลุง ตอน เลียบทะเลเขาชัยสน MO Memoir : Sunday 2 June 2562


จากอ่าวไทยมาจนถึงทะเลน้อยที่ อ.ควนขนุน จะว่าไปแล้วมันก็มีเส้นทางน้ำเชื่อมต่อถึงกัน เรียกว่าจากทะเลน้อยก็มีคลองนางเรียมที่เชื่อมต่อออกสู่ทะเลสาบลำปำ และก็มีทางน้ำเชื่อมต่อออกไปยังทะเลสาบสงขลาทางด้าน จ.สงขลา และออกไปยังอ่าวไทย ในส่วนของทะเลสาบลำปำนั้นด้านตะวันตกจะเป็น จ.พัทลุง (อ.เมือง อ.เขาชัยสน อ.ปากพะยูน) ส่วนทางด้านตะวันออกที่ติดอ่าวไทยนั้นก็เป็น จ.สงขลา (อ.ระโนด อ.กระแสสินธุ์ อ.สะทิงพระ) ในทะเลลำปำนี้มีเกาะใหญ่ ๆ อยู่สองเกาะคือเกาะหมากและเกาะนางคำ แต่เกาะที่มีความสำคัญและมีเรื่องราวกันเป็นประจำเห็นจะได้แก่ เกาะสี่เกาะห้า (มันไม่มีหนึ่ง สอง สาม นะ) ที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ เว้นแต่คนเฝ้าเกาะ เพราะเป็นเกาะที่นกนางแอ่นมาทำรัง เฉพาะผู้ที่ได้รับสัมปทานจึงจะเข้าไปเก็บรักนกได้
 
ผมเองไม่ได้ลงไปเยี่ยมพัทลุงมาหลายปี ปีนี้พอจะมีโอกาสที่สมาชิกครอบครัวมีวันหยุดตรงกันช่วงหลังกลางเดือนพฤษภาคม ก็เลยถือโอกาสไปเยี่ยมญาติที่นั่นเสียหน่อย (แถมเลยไปแวะดูที่สวนยางที่คุณแม่มอบให้เป็นมรดก แต่ฝากให้คุณน้าช่วยดูแลอยู่) วันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ร้านอาหารที่ครอบครัวคุณน้าอีกท่านหนึ่งทำกิจการอยู่นั้นปิดร้าน ท่านก็เลยใจดีพาเที่ยวชมเมือง ท่านถามว่าอยากจะไปไหน ผมก็บอกว่าอยากไปเที่ยวชมวิถีชีวิตทั่วไปของเมืองพัทลุง ไม่เอาแบบที่ที่คนเขาชอบแห่ไปเช็คอินถ่ายรูปอวดกัน และอยากไปดูสถานที่เก่า ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมาของจังหวัด ก็เลยเป็นการเดินทางบนเส้นทางเลียบทะเลสาบสงขลา (หรือที่คนพัทลุงเขาเรียกทะเลสาบลำปำ) ช่วง อ.เขาชัยสน
 
ตามเส้นทางจากพัทลุงลงไปหาดใหญ่ ตัวอำเภอเขาชัยสนจะแยกออกไปทางด้านซ้าย เป็นอำเภอที่เส้นทางรถไฟสายใต้ทอดผ่าน แต่ด้วยการที่มันไม่ได้อยู่ริมถนนหลัก ก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีคนจากที่ไกล ๆ รู้จักกันเท่าใดนัก ในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญภัยคุกคามจากพรรคคอมมิวนิสต์ อำเภอนี้ก็มีชื่อเสียงในทางไม่ดี โดยเฉพาะเรื่อง "ถีบลงเขา เผาลงถังแดง" 
  
ผมเดินทางออกจากตัวจังหวัดพัทลุงช่วงสาย แวะซื้อขนมติดรถนิดหน่อยในตัวจังหวัด และก็เดินทางไปเรื่อย ๆ เลียบลงใต้ตามเส้นทางที่อยู่ระหว่างถนนเพชรเกษมและทะเลสาบลำปำ จุดแรกที่แวะพักคือหาดพัดทอง(รูปที่ ๓) บริเวณนี้เหมือนกับเป็นป่าชายเลนเก่า มีการบุกเบิกเพื่อข้าวและปาล์มน้ำมัน (แต่ดูจากสภาพดินแล้วคงได้ผลผลิตที่ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก) หาดตรงนี้ไม่เหมือนหาดทรายริมทะเลทั่วไป คือมันมีต้นไม้ขึ้นไปจนถึงริมหาด น้ำที่ริมหาดจะใส มองเห็นปลาและสาหร่ายที่ขึ้นอยู่ เช้าวันที่ไปถึงนั้นน้ำนิ่งมาก (เหมือนในบึงมากกว่าทะเล) สามารถลงมาเล่นน้ำหรือพายเรือเล่นได้ (มีบริการให้เช่า) มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน (และกำลังเปิดมากขึ้น) เรียกว่าเหมาะสำหรับการมานั่งกินอาหารเงียบ ๆ ตอนเที่ยงหรือตอนเย็น หรือถ้าอยากจะถ่ายรูปดวงอาทิตย์ขึ้นก็ต้องมาตอนเช้า 
  
ถ้าดูจากแผนที่ใน google map แล้ว ถนนเลียบหาดพัดทองจะเป็นทางตัน แต่สอบถามคนท้องถิ่นแล้วเขาบอกว่าสุดทางลาดยางจะมีถนนลูกรังเล็ก ๆ ที่รถยนต์วิ่งผ่านได้ ถนนเส้นนี้จะเลียบคลองท่ามะเดื่อออกไปวัดเขียนบางแก้วได้ ก็เลยได้ใช้ถนนเส้นนี้เป็นทางลัดตัดออกไปวัดเขียนบางแล้ว และก็ได้เห็นวิถีชีวิตการทำมาหากินของคนแถบนี้ ที่เป็นเรื่องปรกติของเขา แต่ตอนนี้คนต่างถิ่นต่างตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะมาเห็น (ผลจากการรีวิวบนอินเทอร์เน็ต) นั่นก็คือการจับปลาด้วยการยกยอ (รูปที่ ๔ และ ๕) ยอนี้ผมเองก็เห็นตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วตอนนั่งรถไฟไปใต้
 
การทำงานของยอจับปลาแบบนี้ก็อาศัยหลักของคาน คือต้องมีการถ่วงน้ำหนักไว้ที่ปลายอีกข้างหนึ่ง ทำให้ผู้ใหญ่เพียงคนเดียวก็สามารถยกยอตัวใหญ่ได้ คุณแม่เคยเล่าว่าเวลาจะจับปลาก็หย่อนยอลงไปในน้ำ โยนอาหารปลาที่ใช้เป็นเหยื่อลงไปกลางยอ พอฝูงปลาเข้ามากินอาหาร ก็ทำการยกยอให้พ้นจากน้ำ สภาพคลองหลายคลองที่นี่ที่มียอขนาดใหญ่เรียงรายเป็นแถว แสดงให้เห็นว่าแหล่งน้ำแถวนี้คงมีปลาชุมน่าดูเหมือนกัน

รูปที่ ๑ แผนที่เส้นทางเดินทาง ช่วงหาดพัดทอง - แหลมจองถนน 

รูปที่ ๒ แผนที่เส้นทางเดินทางช่วง แหลมจองถนน - ปากพล - เขาชัยสน 

รูปที่ ๓ บรรยากาศช่วงสายที่ริมทะเลสาบสงขลาที่หาดพัดทอง เหมาะกับการดูดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้า และมานั่งกินข้าวยามเย็น ภาพถ่ายในชุดนี้ทั้งหมดถ่ายเอาไว้เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑

รูปที่ ๔ ถนนเลียบคลองท่ามะเดื่อ/คลองบางแก้ว จากเส้นเลียบหาดพัดทองไปยังวัดเขียนบางแก้ว ยังมีการยกยอจับปลาที่เป็นวิถีชาวบ้านให้เห็นอยู่ ถนนเส้นนี้ไม่ปรากฏใน google map แต่ถามคนท้องถิ่นเขาบอกว่ามีทางลูกรังที่รถขับไปได้

รูปที่ ๕ บริเวณเดียวกันกับรูปที่ ๓ คลองตรงนี้เป็นจุดที่ใกล้ปากคลองที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา 

รูปที่ ๖ พระมหาธาตุเจดีย์บางแก้ว ณ วัดเขียนบางแก้ว เขาชัยสน พัทลุง

วัดเขียนบางแก้ว (รูปที่ ๖ และ ๗) เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งของ จ.พัทลุง เป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุเจดีย์และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีการนำน้ำไปใช้ในพิธีบรมราชาภิเษกที่ผ่านมา และยังมีอาคารเก็บรวบรวมวัตถุโบราณที่มีผู้มาบริจาคให้วัด แต่วันที่ผมไปนั้นอาคารนี้ปิด ก็เลยไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชม เลยได้แต่นมัสการพระมหาธาตุเจดีย์
 
อันที่จริงบริเวณด้านข้างบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ยังมีสิ่งที่ดูเหมือนซากเหล็กมาติดตั้งเอาไว้ แต่ไม่มีป้ายบอกว่าคืออะไร ซึ่งผมก็ได้ค้นคว้าและเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งนั้นไปแล้วใน Memoir ฉบับเมื่อวันอังคารที่ ๒๑ พฤษภาคมที่ผ่านมาในเรื่อง "Marshall, Sons and Co. Portable Steam Engine No. 34746"

รูปที่ ๗ อีกมุมหนึ่งของพระมหาธาตุเจดีย์บางแก้ว ณ วัดเขียนบางแก้ว เขาชัยสน พัทลุง 
  
จุดมุ่งหมายถัดไปต่อจากวัดเขียนบางแก้วคือแวะพักกินข้าวเที่ยง ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวบ้านแหลมจองถนน แต่บังเอิญขับรถเลยไปก็เลยได้ไปแวะแถวบ้านปากพลเพื่อถามทางและถือโอกาสถ่ายรูปเล่นด้วยเลย จากจุดจอดรถ (รูปที่ ๘ และ ๙) บริเวณใกล้ปากคลอง "หมาขบค่าง" จะมีสะพานข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งที่เป็นที่ตั้งของศาลาพ่อท่านชู อดีตเจ้าอาวาสวัดปากพล และ "ต้นมะขาม" ตอนนั่งรถผ่านก็เห็นป้ายบอกข้างทางเหมือนกันว่าจะไปดูต้นมะขามให้ขับรถไปทางไหน และที่แวะพักก็เพื่อจะถ่ายรูปทิวทัศน์ แต่บังเอิญต้นมะขามต้นนั้นมันอยู่แถว ๆ นั้นด้วย ก็เลยแวะเข้าไปดูหน่อยว่ามะขามต้นนี้พิเศษอย่างไรถึงอยากให้ใครต่อใครเข้าไปเยี่ยมชม (รูปที่ ๑๐ - ๑๒) ก่อนที่จะเลยไปหาข้าวเที่ยงกินต่อ
 
ไม่รู้ว่าเพราะเป็นตอนเที่ยงที่ร้านเพิ่งจะเปิดหรือเปล่า ทำให้ไม่ค่อยมีคนมากินข้าวเท่าไรนักแม้ว่าจะเป็นวันหยุดชดเชย จะว่าไปบรรยากาศแถวนี้ก็เหมาะทั้งการกินข้าวเที่ยงและข้าวเย็น จากร้านที่เข้าไปกินนั้นสามารถมองเห็นทั้ง จ.สงขลา ที่อยู่อีกฟากของทะเลสาบ เกาะสี่เกาะห้า และเกาะหมาก ที่อยู่ในพื้นที่ อ.ปากพะยูน พักผ่อนกินข้าวเที่ยงเสร็จก็บ่ายกว่าแล้วก็ถือโอกาสถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย (รูปที่ ๑๓) ก่อนเดินทางย้อนกลับไปตัวจังหวัด โดยคราวนี้จะกลับทางเส้นทางเพชรเกษม แต่ไหน ๆ ต้องผ่านตัว อ.เขาชัยสน แล้วก็เลยแวะที่บ่อน้ำร้อนเพื่อแวะแช่เท้าหน่อย บ่อน้ำร้อนนี้อยู่ที่เชิงเขาใกล้กับตัวอำเภอ ถ้าขับรถเข้ามาทางเพชรเกษมก็จะอยู่ถึงก่อนตัวอำเภอเล็กน้อย อันที่จริงภูเขาลูกนี้มีทั้งบ่อน้ำร้อนและธารน้ำเย็นอยู่ใกล้กัน ตรงธารน้ำเย็นจะมีถ้ำลอดสามารถนั่งเรือเข้าไปเที่ยวชมได้ (มีบริการเรือนำเที่ยว) ส่วนตรงบ่อน้ำร้อนนั้นมีทั้งส่วนสำหรับให้นั่งแช่เท้าฟรีและห้องอาบน้ำ แต่ที่สำคัญก็คือมีลิงด้วย (ใครถือกระเป๋าอะไรก็ระวังให้ดีก็แล้วกัน) ที่แปลกก็คือมีป้ายเตือนเอาลิงเอาไว้ด้วยว่าตรงไหนห้ามไปกินอาหาร (รูปที่ ๑๔ และ ๑๕)
 
จะว่าไปแล้วเขาหลายลูกที่เห็นมันโผล่ขึ้นโดด ๆ มากลางที่ราบ มันจะมีธารน้ำไหลผ่านใต้ภูเขา จุดที่มีชื่อเสียงที่สุดของที่นี่เห็นจะได้แก่ถ้ำสุมโน ถ้านี้ผมเคยไปครั้งแรกตอนที่เขาพบกัน ตอนนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์เล็ก ๆ ต่อมามีการขยายใหญ่ขึ้นด้วยการขุดเอาดินที่อยู่ในถ้ำออกไปจนเหลือแต่ผนังหิน ก็เลยกลายเป็นถ้ำใหญ่ขึ้น ตามด้วยการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ภายในถ้ำ (เช่นทางเดินภายใน) รวมทั้งอาคารต่าง ๆ ภายนอกด้วย (แสดงว่าวัดนี้น่าจะมีรายได้เยอะอยู่เหมือนกัน)
 
รูปที่ ๘ แวะถ่ายรูปที่บริเวณปากคลอง "หมาขบค่าง" (ชื่อตาม google map) แต่วันที่ไปนั้นไม่เห็นทั้งหมาและทั้งค่าง

รูปที่ ๙ ประวัติหมู่บ้าน "บ้านปากพล"

รูปที่ ๑๐ ต้นมะขามที่วัดปากพล

รูปที่ ๑๑ ศาลาพ่อท่านชู อดีตเจ้าอาวาสวัดปากพล

รูปที่ ๑๒ ประวัติของต้นมะขาม ณ วัดปากพล

รูปที่ ๑๓ หลังจากพักรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่แหลมจองถนนแล้ว ก็ขอถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึกหน่อย จากบริเวณนี้จะมองเห็น จ.สงขลา ที่อยู่อีกฟากของทะเลสาบ เกาะสี่เกาะห้า เกาะหมาก กะว่าคราวหน้ามีเวลาลงไปเมื่อใดคงจะหาโอกาสเดินทางไปเยือนถิ่นแถวนั้นบ้าง

รูปที่ ๑๔ ป้ายเล่าประวัติบ่อน้ำร้อนที่เขาชัยสน

รูปที่ ๑๕ สงสัยว่าลิงที่บ่อน้ำร้อนนี่คงฉลาด เพราะเขียนป้ายเตือนกันได้ด้วย :) :) :)

ที่พัทลุงนี้มึความพยายามที่จะโปรโมตให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ผมได้คุยกับคุณน้าอีกท่านที่เป็นที่รู้จักของคนในท้องถิ่นเกี่ยวกับความพยายามดังกล่าว ความคิดเห็นส่วนตัวของผม (ซึ่งก็ตรงกับของคุณน้า) ก็คือหลายสถานที่นั้นที่อาศัยการสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อให้คนไปเช็คอิน ถ่ายรูปลง facebook นั้นไม่น่าจะอยู่ได้นาน จุดขายของพัทลุงน่าจะเป็นการใช้ชีวิตตามปรกติที่เรียบง่ายและไม่รีบร้อนของชาวบ้าน ที่เป็นสิ่งที่คนที่อยู่ในเมืองนั้นแทบจะไม่ได้สัมผัสและโหยหา การสร้างที่พักแบบโฮมสเตย์ที่เปิดโอกาสให้คนในเมืองได้มีโอกาสไปพักผ่อนแบบสงบ การได้ไปเดินตลาดนัดของชุมชมที่มีอยู่แล้ว (แทนการสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ) น่าจะเป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่า เพราะจะว่าไปแล้วผมเองเวลาเดินทางไปต่างจังหวัดก็ชอบที่จะแวะตามตลาดนัดชุมชน เพราะมันมีโอกาสที่จะได้กินอาหารท้องถิ่นหลายอย่างที่คนในพื้นที่บริโภคกัน แบบไม่ใช่ทำขึ้นเพื่อขายนักท่องเที่ยว
 
การเดินทางในวันนี้ยังไม่จบ เพราะช่วงบ่ายยังมีการไปแวะที่อื่นอีก เอาไว้จะมาเล่าให้ฟัง (แต่อันที่จริงคือเป็นการบันทึกสิ่งที่ได้ไปเห็นมาเพื่อกันลืม) สำหรับวันนี้คงถือว่าเป็นดูรูปที่ผมถ่ายมาเล่น ๆ ก็แล้วกัน สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Marshall, Sons and Co. Portable Steam Engine No. 34746 MO Memoir : Tuesday 21 May 2562

"วัดเขียนบางแก้ว" ที่ชาวบ้านเรียกกันหรือ "วัดพระบรมธาตุเจดีย์เขียนบางแก้ว" ที่เป็นชื่อทางการ ตั้งอยู่ที่ตำบลจองถนน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง (รูปที่ ๑) เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยศรีวิชัย จัดว่าเป็นวัดรุ่นเดียวกับวัดพระธาตุ (หรือวัดพระมหาธาตุวรวิหาร) จังหวัดนครศรีธรรมราช วัดเขียนบางแก้วนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในพระมหาเจดีย์ของวัด นอกจากนี้ในตัววัดเองยังมีบ่อน้ำศักดิ์ที่ได้มีการนำน้ำไปใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ผ่านมาด้วย
 
ตัววัดเองยังมีอาคารที่เป็นที่เก็บรวบรวมสิ่งของเก่าที่มีผู้นำมามอบให้วัดสำหรับให้จัดแสดง วันที่ผมแวะไปเที่ยวมา (วันจันทร์ที่ ๒๐ ที่ผ่านมา) อาคารหลังนั้นไม่เปิดให้เข้าชม แต่ก็ได้เป็นเห็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางแจ้งใกล้ ๆ กับอาคารหลังนั้น (ตำแหน่งที่ตั้งแสดงไว้ในรูปที่ ๒) และเรื่องเล่าในวันนี้ก็เป็นเรื่องของวัตถุชิ้นนั้น

รูปที่ ๑ แผนที่ตำแหน่งวัดเขียนบางแก้วจาก google map

ลักษณะของวัตถุชิ้นนั้นถ้าพอมีความรู้ทางด้านเครื่องจักรกลอยู่บ้างก็คงจะพอเดาได้ว่ามันน่าจะเป็นหม้อน้ำ (steam boiler) แต่ตอนแรกที่ผมไปถ่ายรูปมานั้นก็บอกไม่ถูกว่ามันเป็นหม้อน้ำสำหรับอะไร (แต่คิดอยู่ในใจแล้วว่าคงไม่ใช่สำหรับรถจักรไอน้ำ) จาก name plate (รูปที่ ๓) ที่ยังคงเหลืออยู่ทางด้านหลังทำให้สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ตได้ว่ามันคือ Portable Steam Engine หมายเลข 34746 สร้างโดยบริษัท Marshall, Sons and Co. แห่งเมือง Gainborough ประเทศอังกฤษ ในปีค.ศ. ๑๙๐๑ (พ.ศ. ๒๔๔๔) หรือในช่วงรัชกาลที่ ๕ ส่วนตัวเลข "6·2" ที่อยู่ตรงกลางนั้นเดาว่าเลข 6 น่าจะเป็นเลขแรงม้า (horse power) ของเครื่องจักร และเนื่องจากตำแหน่งจุดที่เห็นคั่นระหว่างเลข 6 กับเลข 2 ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ควรเป็นเลขทศนิยม ตอนแรกก็สงสัยว่าอาจจะบ่งบอกถึงจำนวนชิ้นส่วนอื่น เช่นจำนวนกระบอกสูบ (cylinder) ว่ามี 2 กระบอกสูบ แต่พอดูจากโครงสร้างอื่นประกอบแล้วก็คิดว่าอาจจะไม่ใช่ (รูปที่ ๔ - ๗)
  
รูปที่ ๒ แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมจาก google map ตรงกรอบสีเหลืองคือตำแหน่งที่ตั้งของ Marshall, Sons and Co. Portable Steam Engine No. 34746

รูปที่ ๓ แผ่น nameplate ที่ติดตั้งอยู่ทางด้านเตาไฟ ระบุว่าสร้างโดยบริษัท Marshall, Sons & Co. แห่งเมือง Gainborough ในปีค.ศ. ๑๙๐๑ (พ.ศ. ๒๔๔๔) หมายเลข ๓๔๗๔๖ ส่วนตัวเลข 6 กับ 2 ในวงกลมนั้น ตัวเลข 6 เดาว่าคงเป็นแรงม้าของเครื่อง ที่เดาเช่นนี้ก็เพราะจากการค้นทางอินเทอร์เน็ตพบว่าหม้อน้ำที่สร้างโดยบริษัทนี้ในช่วงเวลานั้นมีขนาด 5 และ 6 แรงม้า ส่วนเลข 2 นั้นไม่รู้เหมือนกันว่าหมายถึงอะไร 

รูปที่ ๔ รูปนี้เป็นรูปที่ถ่ายจากทางด้านซ้ายของ ปล่องข้างบนด้านทางด้านซ้าย (ที่เป็นด้านหน้า) คือปล่องควัน ส่วนปีกที่ตั้งขึ้นไปทางด้านข้างน่าจะเป็นที่สำหรับติดตั้งวงล้อกำลังที่เป็นตัวเปลี่ยนการเคลื่อนที่แนวเส้นของกระบอกสูบให้เป็นการเคลื่อนที่แบบหมุน จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเอาการเคลื่อนที่แบบหมุนนี้ไปใช้หมุนอะไร

รูปที่ ๕ ภาพถ่ายจากทางด้านหน้า

ผมลองค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตก็ไม่สามารถตามหารุ่นที่ผลิตในปี ๑๙๐๑ ได้ รูปของรุ่นที่ผลิตในปีก่อนหน้านั้นก็ไม่มีเค้าโครงว่าจะคล้ายกัน ส่วนรุ่นที่ผลิตในปีหลังจากนั้นดูตอนแรกก็คล้ายกัน แต่พอดูให้ละเอียดก็พบว่าแตกต่างกันอยู่ โดยเฉพาะตรงตำแหน่งที่ติดตั้งแขนที่เชื่อมต่อระหว่างด้านข้างด้านขวาของหม้อไอน้ำกับเพลาวงล้อ (รูปที่ ๖) ที่พบว่าหลายรูปในอินเทอร์เน็ตนั้นมันติดตั้งอยู่ทางด้านซ้าย แต่ตัวที่ผมไปพบมานั้นมันติดตั้งอยู่ทางด้านขวา โดยรูปที่พบว่าใกล้เคียงที่สุดคือรุ่นที่ผลิตในปีค.ศ. ๑๙๐๖ ที่บอกว่าเป็นรุ่นขนาด ๕ แรงม้า แต่เมื่อพิจารณาขนาดในรูปกับที่วัดเขียนบางแก้วแล้วก็เห็นว่าตัวที่วัดเขียนบางแก้วนั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่า

รูปที่ ๖ ภาพถ่ายจากทางด้านขวา พึงสังเกตว่าส่วนหม้อน้ำทางด้านขวานี้มีแท่นสำหรับติดตั้งอุปกรณ์บางชนิดอยู่ (ในกรอบสี่เหลี่ยมสีเหลือง) ซึ่งทางด้านซ้ายไม่มี ตอนที่ผมเทียบรูปกับภาพที่หาได้ในอินเทอร์เน็ตก็ใช้จุดนี้เป็นจุดสังเกตว่ารุ่นไหนที่ไม่น่าจะใช่รุ่นเดียวกับตัวที่ตั้งอยู่ที่นี้ (รูปที่ ๘ และ ๙) ที่มีแท่นสำหรับติดตั้งนั้นอยู่ทางด้านซ้าย (ด้านขวาไม่มี) และฝาปิดหม้อน้ำด้านหน้านั้นเป็นแบบฝาเรียบเหมือนกัน

รูปที่ ๗ รูปนี้ถ่ายจากทางด้านหลัง เป็นด้านของเตาไฟและเป็นด้านที่มี name plate ติดตั้งอยู่ หลายรูปที่ค้นเจอทางอินเทอร์เน็ตนั้นแม้ว่าลักษณะทางด้านข้างจะคล้ายกัน แต่รูปแบบทางด้านหลัง (เช่นช่องสำหรับใส่เชื้อเพลิงและการติดตั้ง name plate) นั้นแตกต่างกัน

รูปที่ ๘ รูปที่นำมาจาก https://prestonservices.co.uk/item/marshall-portable-45393/ ที่เป็นเว็บประกาศขายเครื่องจักรเก่า รถคันนี้เขาตั้งราคาขายไว้ ๑๐,๕๐๐ ปอนด์ (ตามสภาพที่เห็น) บอกว่าเป็นเครื่องจักรที่สร้างในปีค.ศ. ๑๙๐๖ (พ.ศ. ๒๔๔๙) เป็นเครื่องขนาด ๕ แรงม้า ลูกสูบเดียว ด้านนี้เป็นด้านที่มีการติดตั้งลูกสูบ จะมองเห็นแขนที่เชื่อมต่อกับเพลาล้อกำลังและโครงสร้างแบบเดียวกับในกรอบสีเหลี่ยมสีเหลืองในรูปที่ ๖

จากรูปที่ค้นหาดูทางอินเทอร์เน็ตพบว่าหม้อไอน้ำแบบนี้จะเรียกว่าเป็นหม้อไอน้ำสารพัดประโยชน์ก็ได้ คืออาจนำไปติดตั้งระบบล้อเพื่อทำหน้าที่เป็นรถลาก tractor) อุปกรณ์ทางการเกษตรต่าง ๆ (เช่นคราดสำหรับพรวนดินหรือรถบรรทุกสิ่งของ) ดังเช่นที่แสดงในรูปที่ ๘ และ ๙ หรือนำไปใช้เพื่อหมุนเครื่องจักรต่าง ๆ เช่นใบเลื่อยสำหรับตัดไม้โดยใช้สายพานเป็นตัวส่งกำลังจากวงล้อที่อยู่ทางด้านบนของหม้อไอน้ำไปยังระบบเพลาของเครื่องจักร ส่วนที่ว่าเวลาเครื่องจักรมันทำงานนั้นมันเป็นอย่างไรก็สามารถดูได้จากคลิปนี้ https://www.youtube.com/watch?v=V099QYsvzhU ที่เป็นเครื่องจักรหมายเลข 28810 ที่บ่งบอกว่าเป็นตัวที่สร้างขึ้นก่อนหน้าไม่นานนัก จุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดก็คือฝาด้านหลังสำหรับใส่เชื้อเพลิงที่ไม่เหมือนกันอยู่
 
รูปที่ ๑๐ เป็นภาพจาก google street view ที่จับภาพเอาไว้เมื่อเช้าวันนี้ google ระบุว่าเป็นข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคมปีค.ศ. ๒๐๑๖ หรือเมื่อ ๓ ปีที่แล้ว จะเห็นว่าตอนนั้นบริเวณที่ตั้งหม้อน้ำในปัจจุบันเป็นเพียงแค่กรอบปูนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเปล่า ๆ ที่ยังไม่มีการติดตั้งอะไร แสดงว่าช่วงเวลานั้นอาจจะมีการได้รับหม้อไอน้ำตัวนี้มาแล้ว ถึงได้มีการก่อกรอบปูนนี้ขึ้น แต่ยังไม่ได้มีการนำมาติดตั้ง ที่น่าเสียดายก็คือมันไม่มีป้ายบอกให้รู้เลยว่าสิ่งที่นำมาตั้งแสดงนั้นคืออะไร มันเลยกลายเป็นเหมือนการนำเอาเศษเหล็กขึ้นสนิมมาตั้งทิ้งเอาไว้
 
สำหรับวันนี้ก็คงเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปเพียงแค่นี้ ที่เหลือก็คงต้องปล่อยให้ท้องถิ่นดำเนินการต่อไปว่าจะจัดการอย่างไรก็หม้อไอน้ำตัวนี้

รูปที่ ๙ นำมาจาก https://prestonservices.co.uk/item/marshall-portable-45393/ เช่นกัน แต่เป็นรูปทางด้านซ้าย

รูปที่ ๑๐ ภาพจาก google street view บอกว่าเป็นรูปเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ (May 2016) ยังเห็นเป็นกรอบปูนสี่เหลี่ยมเปล่า ๆ อยู่ ยังไม่มีการติดตั้งอะไร