แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โพธาราม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โพธาราม แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2565

สถานีรถไฟนครชุมน์ MO Memoir : Saturday 16 April 2565

ถนนเลียบแม่น้ำแม่กลองฝั่งตะวันออกจากโพธารามไปยังบ้านโป่งเป็นถนนเส้นเล็ก ๆ ไม่กว้างมากพอที่รถยนต์สองคันจะวิ่งสวนกันได้สบาย เรียกว่าแต่ละคันต้องเบียดลงข้างทางนิดนึง ฝั่งด้านแม่น้ำมีบ้านเรือนและร้านค้าอยู่เป็นระยะ แต่ดูทำเลแล้วก็ไม่ค่อยเหมาะกับการสร้างบ้านเท่าไรนัก เพราะเป็นขอบตลิ่งที่สูงชัน (ประมาณว่าราว ๆ 10 เมตร) ทำให้คิดว่าเดิมเวลาหน้าน้ำหลากระดับน้ำคงสูงมากน่าดู แต่ตอนนี้ก็เห็นย่านโพธารามไปจนถึงบ้านโป่งก็มีการเปิดรีสอร์ทและร้านกาแฟริมน้ำแม่กลองกันหลายร้าน เรียกว่าถ้าไม่อยากขับรถไกลไปถึงกาญจนบุรี ก็ไปหาที่พักเงียบสงบริมแม่น้ำแถวนี้ได้ (ขาดเพียงแค่ไม่มีภูเขาให้เห็น) บ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมาแวะไปหาอะไรกินแถวนั้น ก่อนกลับบ้านก็เลยถือโอกาสแวะไปถ่ายรูปสถานีรถไฟนครชุมน์ที่อยู่ใกล้เคียง

รูปที่ ๑ ภาพสถานีรถไฟจาก google street view บอกว่าบันทึกภาพไว้เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ ในภาพนี้ยังเห็นตัวอาคารเดิมอยู่ที่ตอนนี้ไม่เหลือร่องรอยให้เห็นแล้ว และระดับทางรถไฟและตัวอาคารก็ไม่ได้สูงจากพื้นถนนมากนัก ซึ่งต่างจากปัจจุบันที่ระดับรางรถไฟนั้นอยู่สูงกว่าถนนมาก

ตอนแรกคิดว่าสถานีนี้คงเป็นเพียงแค่สถานีเล็ก ๆ ระหว่างสถานีบ้านโป่งกับสถานีคลองตาคต (สถานีก่อนโพธาราม) แต่พอค้นดูแผนที่เก่าและอินเทอร์เน็ตก็พบว่า แต่เดิมนั้นสถานีนี้ก็คงจะเป็นชุมทางสำหรับการขนถ่ายของระหว่างแม่น้ำแม่กลองกับรถไฟ เพราะปรากฏว่ามีทางแยกจากสถานีไปยังแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งตรงนี้สามารถอ่านรายละเอียดและดูรูปเก่า ๆ เพิ่มเติมได้จากเว็บ http://portal.rotfaithai.com ในหัวข้อ "นครชุมน์ กับการค้นหาเรื่องราวในวันวาน" ดังนั้นวันนี้ก็คงเป็นการบันทึกภาพสถานีรถไฟเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับทางรถไฟรางคู่ (และอาจรวมถึงชานชาลายกสูงด้วย)

รูปที่ ๒ ภาพจากแผนที่ British-India จัดทำในปีพ.ศ. ๒๔๘๘ จะเห็นทางแยกจากสถานีนครชุมน์ไปยังแม่น้ำแม่กลอง

รูปที่ ๓ แผนที่ทหาร L509 จัดทำโดยกองทัพสหรัฐอเมริกาบอกว่าใช้ข้อมูลปีพ.ศ. ๒๔๙๖ จะเห็นติ่งทางแยกเล็ก ๆ ตรงกับที่ตั้งของสถานีนครชุมน์ในวงเส้นประสีเขียว

รูปที่ ๔ เทียบกับ google map ปัจจุบันก็น่าจะเป็นแนวเส้นถนนสีแดง

รูปที่ ๕ จากจุดจอดรถทางด้านทิศเหนือของตัวสถานี มองไปยังเส้นทางที่มาจากบ้านโป่ง

รูปที่ ๖ จากด้านทิศเหนือ มองไปยังตัวสถานี

รูปที่ ๗ ตัวสถานีที่เป็นอาคารชั่วคราวและอาคารที่กำลังก่อสร้าง ตัวอาคารเก่าไม่เหลือร่องรอยแล้ว

รูปที่ ๘ ป้ายชื่อสถานีที่อยู่หน้าที่ทำการชั่วคราวของนายสถานี

รูปที่ ๙ เสาสำหรับรับ-ส่งห่วงทางสะดวก แต่ตอนนี้คงไม่ต้องใช้แล้ว เพราะเป็นระบบรางคู่แล้ว

รูปที่ ๑๐ จากหน้าอาคารที่ทำการชั่วคราว มองไปทางทิศใต้ (มุ่งไปยังสถานีคลองคต)

รูปที่ ๑๑ ปลายชานชาลาด้านทิศใต้ เส้นกลางคือเส้นทางหลักเดิม เส้นซ้ายคือรางหลีก และขวาสุดคงเป็นเส้นที่วางใหม่

รูปที่ ๑๒ จากสุดชานชาลาด้านทิศใต้ มองกลับไปยังด้านทิศเหนือ

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

รถไฟเที่ยวบ่ายจากราชบุรีมาโพธาราม เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๑๐๗) MO Memoir : Wednesday 20 July 2559

ไม่ใช่เรื่องราวของขบวนรถไฟในวันนี้หรอกครับ แต่เป็นของวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๔๔๗) ว่าในวันนั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เรื่องราวเป็นอย่างไรนั้น ลองอ่านดูกันเองก่อนนะครับ

"วันที่ ๒๐ กรกฎาคม เสด็จอาศัยรถไฟบ่ายที่จะไปกรุงเทพฯ ที่ใช้คำว่าเสด็จอาศัยในที่นี้ เพราะเสด็จรถไฟชั้นที่ ๓ ประทับปะปนไปกับราษฎร ไม่ให้ใครรู้ว่าใครเป็นใคร เพื่อจะทรงใคร่ทรงทราบว่าราษฎรอาศัยไปมากันอย่างไร เจ้าพนักงานรถไฟก็เหลือดี มีอัธยาศัยรู้พระราชประสงค์ ที่จริงแกรู้แต่แกล้งทำเฉย มาเรียกติเก็ตตรวจพวกเราเหมือนกับราษฎรทั้งปวง ทำไม่ให้ผิดกันอย่างไร ต่อผู้ใดสังเกตจริง ๆ จึงจะพอเห็นได้ ว่าหน้าแกออกจากซีด ๆ และเมื่อไปเรียกติเก็ตพระเจ้าอยู่หัวมือไม้แกสั่งผิดปรกติ"


รูปที่ ๑ ปกหน้าและปกหลังของหนังสือ "เสด็จประพาสต้น" โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ข้อความข้างต้นนำมาจากหนังสือ "เสด็จประพาสต้น" พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ฉบับที่ผมมีจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ศิลปาบรรณาคาร พิมพ์เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๑๙ (หรือเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้ว) เป็นเรื่องราวการตามเสด็จรัชกาลที่ ๕ ที่ออกตรวจเยี่ยมราษฎรตามท้องถิ่นต่าง ๆ โดยปิดบังพระองค์ไม่ต้องการให้ใครรู้ ที่มาที่ไปของการเดินทางดังกล่าว และเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้บันทึกไว้ดังนี้
 
"เรื่องทดลองเดินทางด้วยไม่มีอะไรนอกจากเงินตามที่ได้ปรึกษากันเมื่อคืนนี้นั้น เป็นตกลงว่าจะเสด็จรถไฟไปลงที่โพธาราม หาเสวยเย็นที่นั่นแล้วจะหาเรือล่องกลับลงมาเมืองราชบุรี ได้แบ่งหน้าที่ผู้ไปเป็นพนักงานพาหนะพวก ๑ พนักงานครัวพวก ๑ ต่างมีหน้าที่ ๆ จะต้องจัดทำการที่เกี่ยวด้วยแผนกนั้น ๆ ให้ตลอดไป
 
รถไฟไปวันนี้ ไม่สะดวกด้วยน้ำพัดสะพานที่บ้านกล้วยเซไป รถไฟข้ามไม่ได้ ต้องไปหยุดรถให้คนโดยสารเดินไต่ทางไปขึ้นรถพ่วงใหม่ฟากสะพานข้างโน้น ฝนก็ตก ออกจะลำบากบ้างเล็กน้อยแต่ก็มีประโยชน์อยู่บ้าง ที่เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานกองเสบียงได้เห็นปลาทูสด เจ็กเอามาแต่เมืองเพชรบุรีกระจาดหนึ่ง จะเอาไปขายที่ไหนไม่ทราบ ว่าซื้อตกลงได้ปลาทูสดนั้นมาเป็นเสบียงสำหรับเวลาเย็นเป็นที่อุ่นใจว่าอาหารเย็นวันนี้จะไม่ฝืดเคือง ครั้นไปถึงโพธารามต่างกองต่างแยกกันเที่ยวทำการตามหน้าที่ ๆ กะไว้ พวกกองพาหนะก็เที่ยวหาเช่าเรือและหาที่อาศัยชุมนุมเลี้ยงกันเวลาเย็น พวกกองครัวก็เที่ยวหาซื้ออาหารเครื่องภาชนะใช้สอยต่าง ๆ คือ หม้อข้าวและถ้วยชามรามไหเป็นต้น ได้พร้อมแล้วก็หุงข้าวแกงตามกำลังฝีมือ พวกที่ไปตามเสด็จสำเร็จได้เลี้ยงกัน พอเวลาพลบค่ำ ที่คาดหมายไปว่าจะได้กินสนุกยิ่งกว่าอร่อยเป็นการคาดผิดทั้งสิ้น อาหารวันนี้อร่อยเหลือเกิน ดูเหมือนจะกินอิ่มจนเกือบเดินไม่ไหวแทบทุกคน"


รูปที่ ๒ เส้นทางรถไฟระหว่างสถานีราชบุรีและสถานีโพธาราม และตำแหน่งที่ตั้งสถานีรถไฟบ้านกล้วยในปัจจุบัน เสียดายที่ในบันทึกไม่ได้กล่าวว่าสะพานที่เสียหายนั้นอยู่ในช่วงไหน
 
ตอนเสด็จกลับนั้นไม่ได้เสด็จกลับทางรถไฟ แต่โดยสารเรือแจวกลับ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เล่าต่อไว้ดังนี้

"เวลาสัก ๒ ทุ่มออกเรือที่เช่าเขา ๓ ลำ ล่องลงมาจากโพธาราม เรือเหล่านี้เป็นเรือประทุน ๒ แจวที่เขาบรรทุกของสวนขึ้นไปขายเสร็จแล้วจ้างเขาแจวลงมาส่ง
 
ได้บอกมาข้างต้นว่า การเสด็จวันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะให้ใครรู้ว่าใครเป็นใคร แต่มาเกิดกลแตกขึ้นเมื่อขาล่องเรือลงมาในประทุนเรือลำพระที่นั่ง เข้าของเขามีพระบรมรูปเข้ากรอบติดไว้ที่เครื่องบูชา ไปรับสั่งถามยายเมียเข้าของเรือว่ารูปใคร ยายนั่นกราบทูลว่า พระรูปเจ้าชีวิต รับสั่งถามต่อไปว่า แกได้เคยเห็นเจ้าชีวิตหรือไม่ แกกราบทูลว่าได้เคยเห็น ๓ หน รับสั่งถามว่าได้เห็นที่ไหนบ้าง แกกราบทูลว่า "ได้เห็นในบางกอก ๒ หน กับมาเห็นวันนี้อีกหน ๑" ลงมาถึงเมืองราชบุรีเวลา ๔ ทุ่ม เขียนมาถึงนี่ออกหาวนอนเต็มที ขอยุติเรื่องราวตอนนี้แต่เพียงเท่านี้"

การเสด็จในช่วงแรก ๆ นั้นเรียกว่าการ "ประพาสไปรเวต" เพิ่งจะมีการเรียกว่าการ "ประพาสต้น" ในเหตุการณ์ที่ราชบุรีในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๓ นี้เอง ส่วนที่มาที่ไปของเรื่องราวดังกล่าวเป็นอย่างไร เชิญอ่านจากรูปที่ ๓ ที่ถ่ายจากหนังสือมาให้ดูเอาเองก็แล้วกันนะครับ


รูปที่ ๓ ที่มาของคำว่า "ประพาสต้น"