ข้อมูลในโจทย์ข้อสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยข้อนี้ถ้าอ่านแบบไม่คิด
(หรืออ่านไม่ละเอียด)
ก็คงไม่ติดใจอะไร
แต่ถ้าอ่านให้ดี ๆ
ก็จะเห็นว่ามันมีความ
"ไม่ถูกต้อง"
และ/หรือ
"ไม่สมเหตุสมผล"
อยู่
และเช่นเคย
คำตอบที่คนออกข้อสอบเฉลยไว้นั้นคืออะไรผมก็ไม่รู้
รู้แต่ว่าติวเตอร์ต่าง ๆ
ที่นำข้อสอบข้อนี้มาเฉลยนั้นเลือกตัวเลือกเดียวกัน
แต่บางรายคำอธิบายในบางเรื่องว่าทำไมจึงตัดตัวเลือกนั้นออกไปก็ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่คำอธิบาย
เป็นแบบบอกว่ามันไม่ถูก
(แล้วทำไมมันถึงไม่ถูกก็ไม่ยักอธิบาย)
ก่อนอื่นลองอ่านคำถามและตัวเลือกคำตอบก่อนดีกว่า
การสังเคราะห์พอลิเอทิลีนที่ใช้สารตั้งต้นเป็นอนุมูลอิสระ
A
ทำปฏิกิริยากับเอทิลีน
ทำให้พันธะคู่ของเอทิลีนแตกตัวแล้วเกิดอนุมูลอิสระที่ปลายสาย
ซึ่งจะเกิดปฏิกิริยาต่อกับเอทิลีนโมเลกุลอื่นเรื่อย
ๆ กลายเป็นพอลิเอทิลีนดังสมการเคมี
แต่ในระบบที่มีอนุมูลอิสระบางชนิด
(X)
ที่สามารถดึงอะตอมไฮโดรเจนออกจากกลางสายพอลิเอทิลีน
ทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่ทำปฏิกิริยากับเอทิลีนสายอื่นแล้วเกิดปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร์ต่อได้ผลิตภัณฑ์
ดังสมการเคมี
โดยการเติมตัวเร่งปฏิกิริยา
Ziegler-Natta
จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาการดึงอะตอมไฮโดรเจนจากพอลิเอทิลีนสายอื่นได้
ในระบบที่มีอนุมูลอิสระ
X
เมื่อเติมตัวเร่งปฏิกิริยา
Ziegler-Natta ลงไป
พอลิเอทิลีนที่สังเคราะห์ได้จะมีสมบัติหรือการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
เมื่อเทียบกับพอลิเมอรืที่สังเคราะห์โดยไม่ได้เติมตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าว
1.
มีจุดหลอมเหลวต่ำลง
2.
มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
3.
มีความหนาแน่นมากขึ้น
4.
กลายเป็นพอลิเมอร์เทอร์มอเซต
5.
มีความเป็นกิ่งในโครงสร้างมากขึ้น
การสังเคราะห์พอลิเมอร์นั้น
จำเป็นต้องให้มีตำแหน่งที่ว่องไวในการทำปฏิกิริยานั้นอยู่ที่ปลายสายโซ่โมเลกุล
ในกรณีของการพอลิเมอร์ไรซ์แบบอนุมูลอิสระ
(free radical)
อะตอมที่มีอิเล็กตรอนที่ไม่มึคู่นั้นต้องอยู่ที่ปลายสายโซ่
อะตอมที่ขาดอิเล็กตรอนไปหนึ่งตัวของอนุมูลอิสระมันจะพยายามดึงอิเล็กตรอนจากอะตอมอื่นมาชดเชย
และตัวที่มันดึงได้ง่ายที่สุดก็คือจากอะตอมที่สร้างพันธะต่ออยู่กับตัวมัน
อย่างเช่นในกรณีของสารโซ่ไฮโดรคาร์บอนเมื่อเกิดเป็น
alkyl free radical
ถ้าอะตอม C
ตัวหนึ่งขาดอิเล็กตรอนไปหนึ่งตัว
อะตอม C
ตัวนั้นก็จะดึงอิเล็กตรอนจากอะตอม
C
ที่อยู่เคียงข้างเข้ามาชดเชย
ทำให้อะตอม C
ตัวที่อยู่เคียงข้างนั้นเป็นตัวขาดอิเล็กตรอนแทน
และมันก็จะดึงอิเล็กตรอนจากอะตอม
C ตัวอื่น
(รวมทั้งตัวที่มันเพิ่งจ่ายอิเล็กตรอนให้ไปด้วย)
มาชดเชย
การดึงอิเล็กตรอนออกจากอะตอมจำเป็นต้องใส่พลังงานเข้าไป
ดังนั้นอนุมูลอิสระจึงจัดเป็นสารที่มีพลังงานในตัวสูงกว่าสารตั้งต้นที่ไม่ใช่อนุมูลอิสระ
กล่าวอีกอย่างก็คือถ้าระบบมีพลังงานไม่สูงพอมันจะอยู่ไม่ได้
ส่วนที่ว่าระบบต้องมีพลังงานสูงแค่ไหนมันจึงจะมีเสถียรภาพได้นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ามันมีหมู่ที่สามารถจ่ายอิเล็กตรอนให้กับอะตอมที่ขาดอิเล็กตรอนไปนั้นมากน้อยเท่าใด
ถ้ามีหมู่ดังกล่าวมากหรือหมู่ดังกล่าวมีขนาดใหญ่ก็จะทำให้อนุมูลอิสระนั้นมีเสถียรภาพมากขึ้น
ตัวอย่างเช่นกรณีของ alkyl
free radical ในรูปที่ ๑ ข้างล่าง
ตัว Tertiary
radical มีเสถียรภาพสูงกว่าตัวอื่นก็เพราะมันมีหมู่
-CH3
จ่ายให้กับอะตอม C
ที่ขาดอิเล็กตรอนนั้นถึง
3 หมู่
ในขณะที่ Secondary
radical มีแค่ 2
หมู่และ Primary
radical มีแค่ 1
หมู่ ส่วน Methyl
radical นั้นมีแต่อะตอม H
ที่ไม่มีอิเล็กตรอนจะแบ่งให้มาเกาะอยู่
รูปที่ ๑
เสถียรภาพของ alkyl
free radical (จาก
https://www.masterorganicchemistry.com/2013/08/02/3-factors-that-stabilize-free-radicals/)
ในสภาพแวดล้อมที่มีพลังงานต่ำ
(เช่นอุณหภูมิและความดันไม่สูง)
ในกรณีของสายโซ่ไฮโดรคาร์บอนที่มีความยาว
ถ้าเราไปทำให้อะตอม C
ที่อยู่ที่ปลายสายโซ่
(ขอเรียกว่า
C ตัวที่
1)
นั้นเป็นอะตอมที่ขาดอิเล็กตรอนไปหนึ่งตัว
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือมันจะดึงอิเล็กตรอนจากอะตอม
C
ตัวเดียวที่เกาะติดกับมัน
(ขอเรียกว่า
C ตัวที่
2) เข้ามาชดเชย
ทำให้ C
ตัวที่ 2
นี้ขาดอิเล็กตรอน แต่
C
ตัวที่สองนี้สามารถดึงอิเล็กตรอนออกจาก
C ตัวที่
1 และ
C ตัวที่
3
การไปดึงอิเล็กตรอนจาก
C 3
จะทำให้ได้อนุมูลอิสระที่มีหมู่อัลคิลที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
(เปลื่ยนจาก
methl เป็น
ethyl)
ดังแสดงในรูปที่ ๒
ข้างล่าง ดังนั้นในสภาพแวดล้อมที่มีพลังงานต่ำนั้น
ตำแหน่งที่มีความว่องไวที่เกิดที่ปลายสายโซ่มีแนวโน้มที่จะย้ายเข้ามาตอนกลางสายโซ่
--CH2CH2CH2CH2CH2•
---> --CH2CH2CH2CH•CH2
- --> --CH2CH2CH•CH2CH3
รูปที่ ๒
จากซ้ายถ้าไปทำให้อะตอม C
ที่ปลายสายโซ่ขาดอิเล็กตรอน
มันจะไปดึงอิเล็กตรอนจาก
C ตัวที่
2
ได้โครงสร้างดังรูปกลาง
(C ตัวที่
1 กลายเป็นหมู่
methyl ไป)
ซึ่งจะไปดึงอิเล็กตรอนจาก
C ตัวที่
3
ต่อทำให้ได้โครงสร้างดังรูปขวา
(C ตัวที่
1 และ
2 รวมกันเป็นหมู่
ethyl)
ทำให้มันมีเสถียรภาพมากขึ้นเพราะหมู่อัลคิลที่ใหญ่ขึ้นจะมีอิเล็กตรอนจ่ายชดเชยให้มากกว่า
(แต่พอขนาดใหญ่ไปถึงระดับหนึ่งก็จะไม่เห็นความแตกต่างกันแล้ว)
ดังนั้นการจะสร้างสายโซ่พอลิเมอร์ต้องหาทางให้อะตอม
C
ตัวที่อยู่ที่ปลายสายโซ่นั้นเป็นตัวที่ขาดอิเล็กตรอน
เพื่อที่มันจะไปดึงอิเล็กตรอนจากพันธะคู่
C=C ของโมโนเมอร์ได้
วิธีการหนึ่งก็คือการแทนที่อะตอม
H ที่เกาะกับอะตอม
C
ที่ปลายสายโซ่ด้วยหมู่ที่สามารถจ่ายอิเล็กตรอนหรือเกิด
resonant
กับอิเล็กตรอนของอะตอม
C ที่ปลายโซ่ได้
เช่นเปลี่ยนเป็นอะตอม Cl
ในกรณีของ vinyl
chloride (H2C=CHCl) ที่อะตอม
Cl
มีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวที่แบ่งปันให้ได้
เป็นหมู่ aryl
(-C6H5) ในกรณีของ
styrene (H2C=CHC6H5)
ที่สามารถเกิดการ
resonant กับ
pi electron
ของวงแหวนเบนซีน เป็นหมู่
cyanide (-CN)
ในกรณีของ acrylonitrile
ที่สามารถเกิดการ
resonant
กับพันธะสามระหว่างอะตอม
C กับ
N ได้
เป็นต้น
แต่ในกรณีของ
primary หรือ
secondary alkyl free
radicalนั้น หมู่ alkyl
ที่มีอยู่เพียหมู่เดียว
(ในกรณีของ
primary) หรือสองหมู่
(ในกรณีของ
secondary)
ไม่ได้มีความสามารถในการจ่ายอิเล็กตรอนที่สูงเหมือนหมู่ที่ได้กล่าวมาในย่อหน้าข้างบน
ดังนั้นถ้าต้องการให้อะตอม
C
ตัวที่อยู่ที่ปลายสายโซ่นั้นเป็นตัวที่ขาดอิเล็กตรอน
(คือต้องการให้เป็น
primary radical)
ก็ต้องใช้การเพิ่มพลังงานให้กับสภาพแวดล้อมแทน
เพราะสภาพแวดล้อมที่มีพลังงานสูงจะทำให้
intermediate
ที่มีพลังงานสูงมีเสถียรภาพสูงกว่า
intermediate
ที่มีพลังงานต่ำ
(ที่มีเสถียรภาพในสภาพแวดล้อมที่มีพลังงานต่ำ
ด้วยเหตุนี้ในกรณีของการสังเคราะห์พอลิเอทิลีนด้วย
free radical
polymerisation จึงต้องใช้อุณหภูมิและความดันที่สูง
คืออุณหภูมิในระดับ 150-400ºC
และความดันในช่วง
1500-3000 atm
(พอเป็นโนโนเมอร์ตัวใหญ่ขึ้นไปอีกเช่น
propylene H3CCH=CH2
ก็จะยิ่งทำได้ยากขึ้นไปอีก
ดังนั้นเราจึงไม่เห็นการผลิตพอลิโพรพิลีนด้วยกลไก
free radical
polymerisation ในระดับอุตสาหกรรม)
แต่พอเป็น isobutylene
((H3C)2C=CH2)
กลับทำปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์ได้ง่ายขึ้นเพราะอนุมูลอิสระ
(หรือ
cation
ในกรณีของการเกิดผ่าน
cationic)
ที่เกิดมันเป็นแบบ
tertiary
ตรงนี้อ่านเพิ่มเติมได้ในเรื่อง
"เสถียรภาพของอนุมูลอิสระ
(๑)
MO Memoir วันศุกร์ที่
๓ เมษายน ๒๕๕๘"
การสังเคราะห์พอลิเอทิลีนใช้
"เอทิลีน"
เป็นสารตั้งต้น และใช้
"ตัวกระตุ้น
(Initiator)"
ที่สลายตัวด้วยความร้อนไปทำให้โมเลกุลเอทิลีนสักโมเลกุลกลายเป็นอนุมูลอิสระด้วยการไปดึงอิเล็กตรอนจากพันธะคู่
C=C ของเอทิลีน
จากนั้นอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นก็จะไปดึงพันธะคู่
C=C
ของเอทิลีนอีกโมเลกุลหนึ่ง
เกิดการต่อสายโซ่ยาวขึ้นเรื่อย
ๆ
ตรงนี้เป็นจุดแรกที่ขอติงโจทย์ข้อนี้
เพราะสารตั้งต้นคือเอทิลีน
ไม่ใช่อนุมูลอิสระ
(มันเป็นสารมัธยันต์)
พอลิเอทิลีนที่ผลิตด้วยกระบวนการอุณหภูมิและความดันสูงนี้จะมีการแตกกิ่งก้านออกมา
ทำให้แต่ละสายโซ่อยู่ห่างจากกัน
ความหนาแน่นต่ำ
การค้นพบระบบตัวเร่งปฏิกิริยาที่ปัจจุบันเรียกว่า
Ziegler-Natta
ทำให้สามารถสังเคราะห์พอลิโอเลฟินส์จากโอเลฟินส์ตัวที่ใหญ่กว่าเอทิลีนได้
โดยทำได้ที่อุณหภูมิและความดันที่ต่ำกว่ามาก
(ระดับประมาณ
80-90ºC
ที่ความดันไม่เกิน 10
atm ในกรณีของการผลิตแบบ
slurry phase และ
gas phase
แถมสายโซ่พอลิเมอร์ที่ได้ยังไม่มีการแตกกิ่งก้าน
ทำให้ได้พอลิเอทิลีนที่ความหนาแน่นสูงกว่า
ในช่วงแรกนั้นมีการแยกพอลิเมอร์ทั้งสองโดยใช้สภาวะการทำปฏิกิริยาคือเรียกตัวเดิมว่าเป็น
High Pressure
Polyethylene และเรียกตัวใหม่ว่าเป็น
Low Pressure
Polyethylene หรือแยกด้วยการใช้ความหนาแน่นโดยเรียกตัวเดิมว่าเป็น
Low Density
Polyethylene (LDPE) และเรียกตัวใหม่ว่าเป็น
High Density
Polyethyele (HDPE) ซึ่งปัจจุบันก็จะเหลือการเรียกแบบหลังนี้
ส่วนแบบแรกจะพบได้ในตำราเก่า
ๆ
ที่เรียกว่าระบบตัวเร่งปฏิกิริยา
Ziegler-Natta
เพราะมันประกอบด้วยองค์ประกอบ
2 ส่วน
ส่วนแรกคือไอออนบวกของโลหะทรานซิชัน
(ตัวหลักคือ
Ti4+)
ที่ทำหน้าที่เป็น
catalyst หลัก
(ในยุคแรกจะเป็น
Ti4+ บน
MgCl2)
ส่วนที่สองคือ co-catalyst
ที่เป็นสารประกอบ organo
metallic เช่น Alkyl
aluminium, Alkyl aluminium halide, Alkyl magnesium โดยทั้ง
catalyst และ
co-catalyst
จะทำปฏิกิริยากันเกิดพันธะระหว่างไอออนบวกของโลหะกับหมู่อัลคิล
จากนั้นโมเลกุลเอทิลีนตัวใหม่เข้ามาแทรกระหว่างไอออนบวกของโลหะกับหมู่อัลคิลเดิมทำให้เกิดเป็นสายโซ่หมู่อัลคิลที่ยาวออกไป
(คือตัวที่เข้ามาเกาะก่อนจะถูกผลักห่างออกไปจากไอออนบวกของโลหะมากขึ้นเรื่อย
ๆ
ตรงนี้เป็นจุดที่สองที่ขอติงโจทย์ข้อนี้
เพราะหน้าที่ของ "ตัวเร่งปฏิกิริยา"
คือไปทำให้ปฏิกิริยามันเกิดได้ง่ายขึ้น
ไม่ใช่การไปยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาที่ไม่ต้องการ
(นั่นเรียกว่าตัวยับยั้งหรือ
Inhibitor)
ระบบ
"ตัวเร่งปฏิกิริยา"
Ziegler-Natta
มันสามารถสร้างสายโซ่พอลิเอทิลีนเองได้ที่สภาวะที่ยังไม่สามารถเกิด
free radical
polymerisation ดังนั้นในสภาวะที่สามารถเกิด
free radical
polymerisation ได้
ถ้ามีการเติมระบบตัวเร่งปฏิกิริยา
Ziegler-Natta ลงไป
(และถ้ามันไม่สลายตัวเนื่องจากอุณหภูมิและความดันที่สูง)
มันก็ควรที่จะสร้างสายโซ่พอลิเอทิลีนที่ไม่มีกิ่งก้านของมันเอง
โดยไม่ได้เข้าไปยับยั้งการเกิดโซ่กิ่ง
(branching)
ของสายโซ่พอลิเมอร์ที่เกิดจาก
free radical
polymerisation
(แต่ก็เป็นไปได้นะว่าสายโซ่พอลิเมอร์ที่เกิดจากระบบตัวเร่งปฏิกิริยา
Ziegler-Natta
จะเกิดโซ่กิ่งอันเป็นผลจากสภาวะการทำปฏิกิริยาที่รุนแรงในการผลิต
LDPE)
และถ้าทำแบบที่โจทย์บอก
พอลิเมอร์ที่ได้ก็จะประกอบด้วยพวกที่เป็นสายโซ่กิ่ง
(LDPE)
และพวกที่เป็นเส้นตรง
(HDPE) ผสมกัน
ทำให้ความหนาแน่นรวมของผลิตภัณฑ์สูงขึ้น
ตรงนี้เป็นจุดที่สามที่ขอติงโจทย์ข้อนี้
คือบทบาทของตัวเร่งปฏิกิริยา
Ziegler-Natta
คือไปทำให้โมเลกุลเอทิลีนต่อเข้าด้วยกันเป็นสายโซ่
ไม่ได้ไปยับยั้งการเกิดโซ่กิ่ง
และจุดที่สี่ที่ขอติงคือในทางปฏิบัติก็ไม่มีใครเขาทำการเติมตัวเร่งปฏิกิริยา
Ziegler-Natta
เข้าไปในกระบวนการผลิต
LDPE
ปลายเดือนที่แล้วมีวิศวกรจากบริษัทที่มีโรงงานผลิตทั้ง
LDPE และ
HDPE
มาบรรยายที่ภาควิชา
ผมก็เอาโจทย์ข้อนี้ไปถามเขาว่าในโรงงานมีการทำแบบนี้กันหรือเปล่า
เขาก็ตอบว่าไมมี
ปัญหาหนึ่งที่พบจากการสอนในยุคหลังคือ
ในระดับมัธยมนั้นจะเรียนการเรียกชื่อสารด้วยชื่อ
IUPAC
แต่ในการทำงานนั้นยังใช้ชื่อสามัญเป็นหลัก
อย่างเช่นเอทิลีนในโจทย์ข้อนี้
เพราะเคยพบว่านิสิตไม่รู้จักเอทิลีน
(Ethylene)
และโพรพิลีน
(Propylene)
แต่รู้จักอีทีน
(Ethene) และโพรพีน
(Propene)
ตอนนี้เวลาสอนเคมีนิสิตก็ต้องมีการย้ำเรื่องการเรียกชื่อกันใหม่ว่า
สิ่งที่เขาเรียนมาตอนมัธยมปลายนั้นกับสิ่งที่คนทำงานในวงการวิชาชีพใช้กันนั้นมันต่างกัน