แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ STP แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ STP แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

บันทึกเรื่องที่ต้องสอนซ้ำ บันทึกความทรงจำที่ได้พบเจอ (๒) MO Memoir : Monday 18 December 2560

"STP นี่นิยามที่ตรงไหน"
 
คำถามซื่อ ๆ ธรรมดา ๆ จากรุ่นพี่วิศวไฟฟ้าท่านหนึ่งเมื่อ ๒๙ ปีที่แล้ว ที่ทำเอาน้อง ๆ ที่เป็นทั้งวิศวเคมีและเครื่องกลถึงกับวงแตก เพราะน้อง ๆ แต่ละคนให้นิยามที่ไม่ตรงกัน (ผมเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย)

STP ในที่นี้ย่อมาจากคำว่า Standard Temperature and Pressure อันที่จริงมันยังมีอีกคำหนึ่งคือ NTP ที่ย่อมาจาก Normal Temperature and Pressure ที่กำหนดอุณหภูมิและความดันที่ใช้ในการเปรียบเทียบปริมาตรแก๊ส ส่วนที่ว่า STP และ NTP นั้นเหมือนกันหรือไม่ และต่างนิยามที่อุณหภูมิและความดันเท่าใดนั้นลองดูในรูปที่ ๑ ข้างล่างที่ผมนำเอามาจาก wikipedia ในวันนี้ดูก่อนไหมครับ จากนั้นจึงลองกลับไปดูว่าที่เราเรียนมาตามตำรานั้น มันตรงกับนิยามไหน



บางที สิ่งที่เขาคิดไม่ตรงกับเรา เขาก็ไม่ได้ผิด สิ่งที่เราคิดไม่ตรงกับเขา เราก็ไม่ผิด และบางทีก็ต้องถามเหมือนกันว่าแม้ว่าสิ่งที่เราเรียนมาไม่ว่าจากโรงเรียนไหนในประเทศไทยนั้นต่างเรียนมาเหมือนกัน แล้วคนที่เขาจบมาจากประเทศอื่น เขาเรียนเหมือนกับเราหรือไม่
 
ตัวอย่างหนึ่งที่ผมเคยเจอก็คือนิยามของวาล์วระบายความดันที่มีชื่อเรียกอยู่ ๓ ชื่อคือ Safety valve, Relief valve และ Safety and Relief valve ซึ่งตรงนี้พบว่าจำนวนไม่น้อยจะบอกว่า Safety valve ใช้กับแก๊ส Relief valve ใช้กับของเหลว และ Safety and Relief valve ใช้ได้กับทั้งแก๊สและของเหลว
แต่พอไปอ่านตำราของ IChemE (Institute of Chemical Engineering) ที่เป็นสถาบันวิชาชีพทางวิศวกรรมเคมีของอังกฤษ เขาอธิบายว่านิยามตามย่อหน้าข้างบนนั้นเป็นนิยามตามแบบอเมริกา ส่วนทางอังกฤษนั้นถือว่าเหมือนกัน ไม่มีการแยกว่าชื่อไหนเป็นวาล์วสำหรับแก๊ส และชื่อไหนเป็นวาล์วสำหรับของเหลว
 
ทำนองเดียวกันครับ รถไฟใต้ดินที่ทางอังกฤษเรียก underground แต่ทางอเมริกาเรียก subway แต่พอเป็นทางเดินใต้ดินทางอังกฤษเรียก subway แต่ทางอเมริกาเรียก underground

ดังนั้นจะดีไหมครับ ถ้าก่อนที่เราจะคุยกันเรื่องความรู้ที่ลึกซึ้งลงไปหรือในระดับที่ก้าวหน้าขึ้นไป (ที่เขาชอบเรียกว่าระดับแอดวานซ์) เรามาลองคุยกันเรื่องนิยามศัพท์พื้นฐานกันก่อนว่าแต่ละคนเข้าใจตรงกันไหม ถ้าพบว่ามีการใช้นิยามที่แตกต่างกัน องค์กรนั้นก็ควรมีการตกลงกันว่าจะให้เลือกใช้นิยามไหน

แต่มียกเว้นอยู่ตัวย่อหนึ่งนะครับที่บ้านเรามีบริษัทหนึ่งนิยามขึ้นมาเองแบบแตกต่างไปจากคนทั้งโลก นั่นคือคำว่า NGV ที่คนทั้งโลก (ยกเว้นบริษัทหนึ่งในประเทศไทย) เข้าใจตรงกันว่ามันย่อมาจาก Natural Gas Vehicle ที่หมายถึงรถที่ใช้แก๊สธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (คือตัวรถนะครับ ไม่ใช่แก๊ส) ส่วนแก๊สธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับ NGV เขาเรียกว่า CNG ที่ย่อมาจาก Compressure Natural Gas (คือแก๊สนะครับ ไม่ใช่รถ) ในกฎหมายบ้านเราก็ใช้คำว่า CNG หมายความถึงแก๊สธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับรถ ส่วน NGV ที่ย่อมาจาก Natural Gas for Vehicle (มีการเติมคำว่า for เข้าไป) นั้นเป็นนิยามเฉพาะของบริษัทหนึ่งเท่านั้นนะครับ (แต่ทำเอาคนไทยส่วนใหญ่เข้าใจความหมายผิดไปด้วย)
 
ที่หนักกว่าเรื่องคำย่อเดียวกันแต่มีความหมายต่างกันเห็นจะได้แก่การที่ใช้แต่คำย่อเต็มไปหมด โดยที่ไม่รู้ว่ามันย่อมาจากอะไรและมีความหมายอะไร ผมเองก็เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ปีหนึ่งได้รับหน้าที่เป็นตัวแทนภาควิชาให้ไปเข้าร่วมประชุมเตรียมพร้อมการตรวจประเมินคุณภาพจากหน่วยงานภายนอก ปัญหาเริ่มต้นแต่ตอนที่ผมไปลงทะเบียน เจ้าหน้าที่ที่รับลงทะเบียนก็ถามผมว่าอาจารย์มาในฐานะเป็น xxx ใช่ไหม (คือจำไม่ได้แล้วว่าคำอะไร รู้แต่ว่าเป็นคำย่ออักษรภาษาอังกฤษ ๓ ตัว) ผมก็ตอบไปว่าไม่รู้เหมือนกัน แล้ว xxx นี้คืออะไรช่วยบอกหน่อยได้ไหม ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ไม่ยอมบอกผม คิดว่าผมถามกวน ๆ ผมก็บอกไปว่าที่ถามเนี่ยเพราะไม่รู้ ไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน เพิ่งจะมารับงาน พออธิบายไปอย่างนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็เลยหันไปถามเพื่อนอีกคนข้าง ๆ ว่า xxx นี้ย่อมาจากอะไร (อ้าว กลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านนี้โดยตรงก็ยังไม่รู้เลยว่าคำย่อที่ตัวเองใช้ในการทำงานอยู่ทุกวันนั้นมันย่อมาจากอะไร)
 
เรื่องยังไม่จบครับ การบรรยายนี้มีวิทยากรมาให้คำแนะนำในการเตรียมการ พอวิทยากรบรรยายเสร็จก็ถามว่ามีใครมีข้อสงสัยตรงไหนบ้าง ผมก็ยกมือถามว่าคำย่อต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นย่อมาจากอะไร หมายถึงอะไร วิทยากรก็ถามกลับมาว่าคำไหนบ้าง ผมก็ตอบไปว่าทุกคำเลย เพราะผมเพิ่งจะได้รับหน้าที่ให้มาทำงานนี้ และในการบรรยายและเอกสารประกอบก็ไม่มีบอกเลยว่าคำย่อแต่ละคำนั้นย่อมาจากอะไร มีความหมายอย่างไร งานนี้ทำเอาวิทยากรอึ้งไปเหมือนกัน "เพราะเขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน"
 
งานนี้กลายเป็นว่าทางผู้ช่วยอธิการบดี (ซึ่งบังเอิญเป็นเพื่อนร่วมรุ่นวิศวกับผมเอง) ต้องมาออกโรงเอง พร้อมยกตัวอย่างคำย่อคำหนึ่งคือ CDS ที่ย่อมาจาก "common data set" หรือแปลเป็นไทยว่า "ฐานข้อมูลร่วม" ซึ่งในระหว่างการบรรยายนั้นผมก็ถามคนนั่งอยู่ข้าง ๆ ว่าคำนี้หมายถึงอะไร ซึ่งเขาก็ตอบผมไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ผมเลยเสนอแนะในที่ประชุมว่าควรมีการจัดทำสารบัญคำศัพท์ต่าง ๆ ให้เป็นบรรทัดฐานในการทำงาน เพื่อที่ผู้ทำงานแต่ละคนจะได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน
ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด

พอช่วงพักรับประทานของว่าง (ที่เราชอบเรียกว่าคอฟฟี่เบรคนั่นแหละครับ) มีผู้เข้าร่วมประชุมหลายท่านแอบมา กระซิบกับผมว่าขอบคุณมากที่อาจารย์ช่วยถาม เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคำย่อแต่ละคำที่วิทยากรนำมาใช้นั้นมีความหมายอย่างไรบ้าง กลายเป็นว่าเรากำลังทำงานกับแบบว่า เวลาผู้ใต้บังคับบัญชามีข้อสงสัย ก็ไม่กล้าถาม กลัวเพื่อนร่วมงาน (ซึ่งก็มีข้อสงสัยเช่นเดียวกัน) คนอื่นจะฉวยโอกาสกล่าวหาว่าไม่มีความรู้แล้วเหยียบซ้ำ และทางในกลับกันตัวผู้บังคับบัญชาเองนั้นแม้ว่าจะมี่ข้อสงสัยก็ไม่กล้าถาม เพราะกลัวลูกน้องนินทาเอาได้ว่าไม่มีความรู้แล้วมาเป็นหัวหน้าได้อย่างไร
 
อีกปัญหาหนึ่งที่เคยเห็นบนหน้าเว็บบอร์ด คือมีคนถามว่าจะเตรียมสารละลายเข้มข้น 1 N ต้องทำอย่างไร ก็มี "ผู้รู้" ตอบถามกลับมาว่า "พิมพ์ผิด" หรือเปล่า หน่วยที่ถูกต้องต้องเป็น 1 M (เขาคงคิดว่าแป้นพิมพ์อักษร N กับ M มันอยู่ใกล้กัน ก็เลยพิมพ์ผิดกันได้) ว่าแล้วก็แสดงวิธีการคำนวณว่าถ้าต้องการเตรียมสารละลายเข้มข้น 1 M ต้องทำอย่างไร
 
สำหรับคนรุ่นเก่าที่เรียนเคมีมา พอเห็นหน่วยความเข้มข้นที่เป็น N ก็จะเข้าใจทันทีว่ามันหมายถึง Normality และหน่วยนี้ก็ยังคงมีการใช้งานอยู่ แต่ผู้ที่เรียนจบในยุคหลังที่ตำราในโรงเรียนและรวมถึงในระดับมหาวิทยาลัยนั้นไม่มีการกล่าวถึงหน่วย N ใช้แต่หน่วย M ที่ย่อมาจาก Molarity เพียงอย่างเดียว ก็เลยเข้าใจไปว่าตัวอักษร N ที่เห็นนั้นน่าจะเกิดจากการพิมพ์ผิด ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองนั้นเข้าใจผิด หน่วย N และ M นั้นไม่เหมือนกันซะทีเดียว ถ้าเป็นกรณีของโซดาไฟหรือ NaOH ก็ยังพอว่า แต่ถ้าเป็นกรดกำมะถัน H2SO4 นี่ไปคนละเรื่องเลย ถ้าใครทำงานอยู่ในสถานที่ทำงานที่มีคนอายุห่างกันมาก ๆ ก็น่าจะลองตรวจสอบดูนะครับว่า มันมีเรื่องแบบนี้อยู่ในที่ทำงานของเราโดยเราไม่รู้ตัวหรือเปล่า

อีกกรณีหนึ่งที่เคยเจอก็คือการใช้ปิเปตที่เราเรียกว่า transfer pipette ปิเปตชนิดนี้มันวัดได้แค่ปริมาตรเดียว ก่อนที่นิสิตปี ๒ จะเริ่มเรียนแลปเคมีที่ภาควิชา ผมเคยถามคำถามนิสิตว่า เวลาใช้ปิเปตแบบนี้ (หยิบปิเปตให้ดูเป็นตัวอย่าง) ต้องไล่ของเหลวที่ค้างอยู่ที่ปลายปิเปตออกหรือไม่ ปรากฏว่ามีนิสิตตอบมาทั้ง "ต้อง" และ "ไม่ต้อง" ไล่ของเหลวที่ปลายปิเปต
 
ที่น่าสนใจก็คือคำตอบของทั้งสองคำตอบนั้นมาจากการเรียนในวิชาเดียวกัน (ปฏิบัติการเคมีปี ๑) แต่เรียนจากอาจารย์ผู้สอนคนละคนกัน ผมก็เลยถามต่อไปว่าอาจารย์คนที่สอนว่า "ต้อง" ไล่ของเหลวออกให้หมดนั้น มี "อายุ" น้อยกว่าอาจารย์อีกคนที่สอนว่า "ไม่ต้อง" ไล่ของเหลวใช่ไหม ซึ่งนิสิตก็ตอบว่าใช่ (พร้อมกับทำท่างง ๆ ว่าวันเกี่ยวกันอย่างไร)
 
รายการนี้คาดว่าเป็นเพราะในระดับมัธยมปลายนั้นแทบไม่มีการให้นักเรียนทดลองทำปฏิบัติการ ทีนี้พอนักเรียนได้รับทุนไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่ระดับปริญญาตรี คงไปพบกับการใช้ปิเปตที่ต้องไล่ของเหลวเสมอ ก็เลยเข้าใจว่าการใช้ปิเปตที่ถูกต้องคือต้องไล่ของเหลวออกให้หมด พอกลับมาสอนหนังสือที่เมืองไทย ก็เลยสอนแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ปิเปตที่ใช้กันในบ้านเรานั้น (ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดได้ไหม) เป็นชนิดที่ "ไม่ต้อง" ไล่

ตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น (ที่ได้มาจากประสบการณ์ส่วนตัวในการสอนหนังสือนะครับ) ก็เพื่อจะบอกว่า เวลาที่คนต่างวัยคุยกันเนี่ย บางครั้งดูเผิน ๆ มันก็ไม่น่ามีปัญหาใดในการสื่อสาร แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วกลับพบว่าต่างคนต่างเข้าใจไปกันคนละเรื่องเลย เพราะต่างคิดว่าผู้ฟังหรือคู่สนทนานั้นเขาเข้าใจข้อมูลแบบเดียวกับที่ตัวเองเข้าใจ
 
ช่วงเปิดเทอมเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมอยากรู้ว่านิสิตปี ๒ ที่เพิ่งจะเข้าภาควิชานั้นมีพื้นฐานความรู้แบบใด ก็เลยทำแบบทดสอบง่าย ๆ ให้นิสิตทดลองทำกัน (ไม่ต้องใส่ชื่อ เลขประจำตัว) และหนึ่งในคำถามของแบบทดสอบก็คือให้นิสิต "วาดรูปต้นสับปะรดที่มีผลสับปะรดติดอยู่" แล้วผลออกมาเป็นอย่างไรเหรอครับ ดูตัวอย่างในรูปที่ ๒ ข้างล่างดูก่อนก็ได้ครับ แต่ถ้าอยากดูตัวอย่างอื่นอีก สามารถดูได้จากบทความบนหน้า blog วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ เรื่อง "วาดรูปต้นสับปะรดที่มีผลสับปะรดติดอยู่" ได้ครับ เห็นอย่างไรก็ตามนั้นแหละครับ :) :) :)


รูปที่ ๒ ส่วนหนึ่งของรูปต้นสับปะรดพร้อมผล ที่ผมให้นิสิตปี ๒ วาดให้ดู

บทความชุดนี้ยังไม่จบนะครับ ยังมีตอนที่ ๓ ต่ออีก :) :) :)

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อย่าคิดว่าคนอื่นจะคิดเหมือนเราเสมอไป MO Memoir : วันศุกร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒

เมื่อวันพุธที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ไปนั่งฟังการนำเสนอผลงานของนิสิตที่ทำการฝึกงานที่โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ ศรีราชา ปรากฏว่าฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะผลงานของนิสิตแต่ละกลุ่มเต็มไปด้วยคำย่อ ซึ่งคิดว่าเป็นคำย่อมาตรฐานที่แต่ละหน่วยงานของโรงกลั่นเข้าใจกัน แต่ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าถ้าเป็นต่างหน่วยงานจะเข้าใจกันหรือเปล่า ข้อคิดที่ได้ให้แก่นิสิตเหล่านั้นไปคือให้ระวังถ้าจะต้องนำเสนองานต่าง ๆ ให้กับผู้ฟังที่ไม่มีพื้นฐานในงานที่ตัวเองทำ (หรือมีพื้นฐานแต่เป็นผู้ที่มาจากหน่วยงานอื่น) เพราะคำย่อที่ใช้ในหน่วยงานหนึ่งอาจเป็นคำย่อเฉพาะสำหรับหน่วยงานนั้น ๆ ไม่ใช่คำย่อมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปในวงการ
  
จะว่าไปเรื่องการใช้คำย่อโดยที่ไม่สนว่าผู้ฟังจะรู้เรื่องหรือเปล่านี่ไม่ต้องไปหาตัวอย่างดูไกล ๆ ที่ไหนหรอก เวลาเรียนในชั่วโมงสัมมนาก็เห็นได้ชัด ผู้นำเสนอของแต่ละกลุ่มวิจัยก็นำเสนอโดยไม่สนใจว่าผู้ที่อยู่ในกลุ่มวิจัยอื่นจะรู้เรื่องหรือเปล่า (หรือเขาคิดกันอยู่ในใจว่า "ไม่รู้เรื่องก็ดี จะได้ไม่มีคำถาม")
 
เรื่องการใช้คำย่อดังกล่าวทำให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว (ราว ๆ ปีพ.. 2531 หรือปีค.. 1988) ตอนนั้นยังทำงานคุมการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีแห่งหนึ่งอยู่ที่มาบตาพุด คือหลังจากที่เลือกเทคโนโลยีการผลิตได้แล้วก็จะเป็นขั้นตอนการเปลี่ยนจาก Process Flow Diagram (PFD) ไปเป็นตัวโรงงานจริง ซึ่งต้องมีการระบุรูปร่างและขนาดของพื้นที่ที่จะทำการก่อสร้าง และตำแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงค่อยทำการคำนวณหาขนาดของท่อและปั๊มหรือคอมเพรสเซอร์ เพื่อให้ได้อัตราการไหลและความดันตามที่ต้องการ ซึ่งในระหว่างกระบวนการเหล่านี้ก็มักจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแบบไปเรื่อย ๆ (โดยเฉพาะ Piping and Instrumental Diagram - PID หรือ P&ID ฯลฯ หรือแล้วแต่จะย่อกัน)
 
อยู่มาวันหนึ่งในที่ประชุม รุ่นพี่ที่เป็นวิศวกรไฟฟ้าคนหนึ่งก็เอ่ยถามว่า "STP นี่นิยามที่ตรงไหน" ปรากฏว่าพวกนักเคมีและวิศวกรเคมีที่อยู่ในที่ประชุมต่างให้คำตอบที่ไม่ตรงกัน (เรียนมาจากตำราต่างกัน) บางคนก็บอกว่าค่านี้คือ STP และอีกค่าหนึ่งคือ NTP บางคนก็บอกว่า STP และ NTP คือค่าค่าเดียวกัน ฯลฯ คำถามที่เกิดขึ้นทันทีในขณะนั้นคือการออกแบบโรงงานที่กำลังกระทำอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ใช้ค่า STP ตรงกับที่ทางฝ่ายไทยคิดเอาไว้หรือไม่
  
STP ย่อมาจาก Standard Temperature and Pressure ส่วน NTP ย่อมาจาก Normal Temperature and Pressure เมื่อลองค้นหาโดยใช้ google ก็พบว่ามีทั้งที่บอกว่าเหมือนกันและแตกต่างกัน บางคนก็บอกว่า NTP เป็นชื่อเก่าของ STP แต่ที่หนักไปกว่านั้นคือนิยามของ STP เอง ซึ่งทาง IUPAC ได้ให้ไว้ 2 นิยาม
  
นิยามเดิมของ STP นั้นทาง IUPAC กำหนดไว้ที่อุณหภูมิ 273.15 K (°C) และความดัน 1.01325 ´ 105 pascals (หรือ 1 atm) แต่ในเอกสารของ IUPAC เองที่ระบุว่าเผยแพร่ในปีค.. 1990 (.. 2533) กลับกำหนดที่อุณหภูมิ 273.15 K เหมือนเดิมแต่เปลี่ยนความดันเป็น 105 pascals (ความดันลดลงเล็กน้อย) และกล่าวไว้ด้วยว่าควรจะยกเลิกนิยามที่เดิมกำหนดที่ความดัน 1.01325 ´ 105 pascals (ดู http://www.iupac.org/goldbook/S05910.pdf)
 
ในเอกสารของ IUPAC เอง (http://www.iupac.org/goldbook/S06036.pdf จัดทำในปีค.. 1997) ในส่วนของ STP ยังได้กล่าวเอาไว้อีกว่า ในกรณีของการปรับเทียบ (calibrate) flow meter ต่าง ๆ นั้นที่ระบุอัตราการไหลเป็นปริมาตรต่อหน่วยเวลา มักจะหมายถึงปริมาตรที่อุณหภูมิ 25 °C ไม่ใช่ที่ 0 °C
ตารางที่ 1 ในหน้าถัดไปได้มาจากเว็ปไซด์ของ wikipedia จะเห็นว่าแต่ละหน่วยงานก็มีการกำหนดนิยามของ STP ที่แตกต่างกันออกไป รายละเอียดชื่อย่อหน่วยงานต่าง ๆ ขอให้ไปตามดูเองจากเว็ปไซด์ดังกล่าว
 

ตารางที่ 1 ภาวะอ้างอิงมาตรฐานสำหรับค่า STP ที่กำหนดโดยหน่วยงานต่าง ๆ
Temp.
Pressure (abs)
Relative humidity
Publishing or establishing entity
°C
kPa
% RH

0
100.000

IUPAC (present definition)
0
101.325

IUPAC (former definition), NIST, ISO 10780
15
101.325
0
ICAO's ISA, ISO 13443, EEA, EGIA
20
101.325

EPA, NIST
25
101.325

EPA
25
100.000

SATP
20
100.000
0
CAGI
15
100.000

SPE
20
101.3
50
ISO 5011
°F
psi
% RH

60
14.696

SPE, U.S. OSHA, SCAQMD
60
14.73

EGIA, OPEC, U.S. EIA
59
14.503
78
U.S. Army Standard Metro
59
14.696
60
ISO 2314, ISO 3977-2
°F
in Hg
% RH

70
29.92
0
AMCA, air density = 0.075 lbm/ft3. This AMCA standard applies only to air.
จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Standard_conditions_for_temperature_and_pressure
* EGIA: Electricity and Gas Inspection Act (of Canada)
* SATP: Standard Ambient Pressure and Temperature
* SCAQMD: California's South Coast Air Quality Management District
  
ในหนังสือ What went wrong? Case histories on process plant disasters เขียนโดย Trevor A. Kletz ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 เมื่อปีค.. 1988 โดยสำนักพิมพ์ Gulf publishing company นั้น เนื่องจากผู้เขียนเป็นชาวอังกฤษ แต่หนังสือจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อเมริกา ในเรื่องแรกของเนื้อหาจึงต้องมีการกล่าวไว้ก่อนว่าภาษาที่ใช้เป็นภาษาอังกฤษแบบไหน และได้ให้ตารางเทียบศัพท์เทคนิคที่ใช้ระหว่างอังกฤษกับอเมริกาเอาไว้ด้วย ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือค่า STP
ดังแสดงในตารางที่ 2 ข้างล่าง
 
ตารางที่ 2 ค่า STP และ NTP ตามความหมายของอังกฤษ (UK) และอเมริกา (US)
US

UK

STP
60 °F 1 atm
32 °F 1 atm
STP
NTP
32 °F 1 atm

  
Prof. T.A. Kletz นั้นเดิมเป็นวิศวกรทำงานบริษัทเอกชน (ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนว่าจะเป็น ICI) มีประสบการณ์เกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงานมามาก เมื่อพ้นจากงานในบริษัทเอกชนก็เข้ามาเป็นอาจารย์ที่ Loughborough University ประเทศอังกฤษ หนังสือเล่มที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการรวบรวมอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมและชี้ให้เห็นความผิดพลาดต่าง ๆ จัดว่าเป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่ง ผมเองอ่านจนหมดเล่มเป็นสิบเที่ยวอยู่เหมือนกัน เอาไว้ถ้ามีโอกาสจะคัดเลือกบางเรื่องจากหนังสือดังกล่าวมาเล่าให้ฟัง
  
อีกตัวอย่างหนึ่งคือเครื่องหมายคำเตือนที่มักติดไว้ข้างกล่องหรือลังสิ่งของต่าง ๆ ดังแสดงในรูปที่ 1 ข้างล่าง การที่ใช้รูปภาพก็เพื่อตัดปัญหาเรื่องภาษาที่อาจสื่อสารไม่เข้าใจกันเมื่อต้องส่งสิ่งของไปยังประเทศต่าง ๆ ลองดูภาพข้างล่างแล้วคุณคิดว่าหมายความว่าอย่าไร


รูปที่ 1 ตัวอย่างป้ายเตือนที่มักพบอยู่ข้างหีบห่อสิ่งของต่าง ๆ
 
ภาพข้างบนเป็นภาพรวม แต่ก็มีบันทึกไว้เหมือนกันว่าพอคนงานเห็นรูปแก้วแตกอยู่ข้างกล่อง ก็ตีความหมายว่ากล่องนั้นบรรจุสิ่งของที่แตกหักเอาไว้ ดังนั้นเวลาขนของหรือลำเลียงก็ไม่ต้องใช้ความระมัดระวังมาก โยนได้ก็โยน พอเห็นรูปร่มกันฝนก็เข้าใจว่าหีบห่อดังกล่าวได้รับการป้องกันน้ำฝนเอาไว้แล้ว ดังนั้นสามารถเก็บไว้กลางแจ้งให้ตากแดดตากฝนได้
ถ้าคุณเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า คุณจะทำอย่างไร