แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ KM แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ KM แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560

บันทึกเรื่องที่ต้องสอนซ้ำ บันทึกความทรงจำที่ได้พบเจอ (๔) MO Memoir : Wednesday 20 December 2560

"What a fabulous place! Coffee in the morning, lunch in the afternoon, tea in the afternoon, I wondered how does anyone get any science done," he recalled about his first day at Cambridge University in 1967. "It's because they are talking to each other and they are learning what experiments they should do.
Thomas A. Steitz, Nobel prize in chemistry, 2009.


ข้อความในย่อหน้าแรกเป็นคำกล่าวของนักเคมีที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีในปีค.ศ. ๒๐๐๙ (พ.ศ. ๒๕๕๒) ที่เล่าถึงประสบการการณ์ทำวิจัยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างนักวิจัยในระหว่างการพักกินกาแฟหรือน้ำชาในช่วงเช้าและบ่ายของแต่ละวัน ในช่วงเวลาที่เขาทำวิจัยอยู่ ณ ประเทศอังกฤษ เรื่องนี้ผมเคยเล่าไว้ครั้งหนึ่งเมื่อ ๘ ปีที่แล้วในหัวข้อเรื่อง "ไม่มีสัมมนา มีแต่พักกินกาแฟ" (วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๒)
 
การสอนของเรานั้น นิยม "ลอก" เพียง "ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง" ที่ต่างประเทศเขาบอกว่าดี ใช้ได้ผลดีในประเทศเขา แล้วนำมา "ใช้โดยไม่มีการปรับแต่ง" กับสังคมของบ้านเรา เท่านั้นยังไม่พอ ยังคิดเลยไปด้วยว่าสามารถบังคับใช้ได้ทันที และต้องได้ผลในเวลาเพียงภาคการศึกษาเดียว ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือพยายามให้มีผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน อย่างเช่นระบบ "Child centre" ที่บอกว่าให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียน ภาควิชาผมก็เคยมีคนพยายามนำมาใช้กับบางวิชา เป็นแบบว่าให้นิสิตไปอ่านเนื้อหามาเอง แล้วนำมาสอนในเพื่อนในห้องเรียน ส่วนเพื่อนในห้องเรียนก็ต้องมีส่วนร่วมด้วยการซักถาม โดยมีอาจารย์ (ที่ไม่ต้องสอนอะไร) คอยจดชื่อว่ามีใครถามคำถามไปแล้วบ้าง ใครไม่ถามก็จะถูกหักคะแนน
 
สุดท้ายก็กลับมาสอนกันอย่างเดิมมาจนถึงปัจจุบัน
 
กระบวนการสอนที่ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย มีการถกเถียงกันนั้น ใช่ว่าบ้านเราจะไม่มี เพียงแต่ว่ามันมีกันเพียงไม่กี่โรงเรียน และที่สำคัญคือกระบวนการเช่นนี้จะมาเริ่มฝึกกันตอนมัธยมหรือมหาวิทยาลัยไม่ได้ มันต้องปลูกฝังกันตั้งแต่ตอนเป็นเด็กที่เริ่มเข้าโรงเรียน ให้เขาเห็นว่าเป็นเรื่องปรกติในการเรียนหนังสือ และต้องต่อเนื่องจนจบมัธยมปลาย จากมหาวิทยาลัยก็ต้องรับลูกต่อ แต่ในสภาพความเป็นจริงมันไม่เป็นเช่นนั้นเลย
 
สภาพการเรียนของบ้านเราทำให้คนไม่ค่อยจะแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมเท่าใดนัก แต่ถ้าเป็นนอกห้องประชุมและในบรรยากาศที่ผ่อนคลายและไม่เป็นทางการ ที่เป็นการจับกลุ่มย่อยคุยกัน จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้อมูลและความเห็นหลายอย่างเราอาจจะไม่ได้จากการถามตรง ๆ ในที่ประชุม แต่สามารถรับทราบได้จากการพบปะกันในสถานที่และสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ห้องทำงาน
 
หลายหน่วยงานมักจะจัดกิจกรรมที่เรียกว่า "สลายพฤติกรรม" ผู้เข้าร่วมงาน (โดยเฉพาะผู้มาใหม่) แต่จะว่าไปแล้วที่เห็นมันก็เป็นลักษณะแบบสูตรสำเร็จ คือไม่มีการสนใจเลยว่าภูมิหลังของผู้เข้าร่วมแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร มีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ใช้วิธีการเดียวกับคนทุกคนและกับคนทุกรุ่น แต่ละคนก็ต้องทำท่าเสมือนว่าสนุกกับการเข้าร่วมทำกิจกรรม เพราะขืนทำหน้าไม่พอใจก็จะโดนมองว่าไม่ให้ความร่วมมือกับส่วนรวม (ทั้ง ๆ ที่คนอื่นก็ฝืนใจฉีกยิ้มหรือทำท่าทางสนุกสนานอยู่เหมือนกัน)



อีกประเด็นหนึ่งที่ปัจจุบันเห็นให้ความสำคัญกันน้อยลงทุกที ก็คือการพบปะพูดคุยกันตรง ๆ แทนที่จะเป็นการสื่อสารผ่านข้อความทางโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ สังคมบ้านเราก็ยังให้ความสำคัญกับการพบปะเจอหน้ากันอยู่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการ์ดเชิญงานแต่งงาน ที่คู่บ่าวสาวมักจะต้องพิมพ์เป็นบัตรเชิญและนำไปแจกด้วยตนเอง และก็มักจะพิมพ์ไว้บนการ์ดด้วยว่า ต้องขออภัยถ้าไม่สามารถมาเชิญได้ด้วยตนเอง
 
การพบปะพูดคุยกันตรง ๆ นี้ในเวทีระดับประเทศถือว่ามีนัยสำคัญยิ่งกว่าการออกแถลงการณ์หรือส่งข้อความถึงกัน เราจะเห็นในข่าวอยู่เสมอว่าถ้ามีเหตุการณ์สำคัญระหว่างประเทศเกิดขึ้น ผู้นำประเทศมหาอำนาจมักจะโทรศัพท์ถึงกัน และเมื่อโทรศัพท์ถึงกันทีไรก็มักจะเป็นข่าวทุกที อย่างเช่นกรณีที่เพิ่งจะเกิดเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ที่ผู้นำรัสเซียโทรศัพท์สายตรงถึงผู้นำสหรัฐอเมริกา

บางครั้ง การทำงานตามคู่มือนั้นมันใช้ไม่ได้ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานต้องพัฒนาเทคนิคการทำงานขึ้นมาเองเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ในเมื่อเขาพัฒนาขึ้นมาเอง และทางหน่วยงานมองว่าเป็นความรับผิดชอบของเขาที่ต้องทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้งานมันเดิน และไม่เห็นความสำคัญใด ๆ กับสิ่งที่เขาทำ (จนกว่าเขาคนนั้นจะหายตัวไป) ดังนั้นความรู้ที่เขาสร้างขึ้นมานั้นมันก็ติดอยู่กับตัวเขาโดยไม่มีการส่งทอดสืบไป คนที่มาทีหลังก็ต้องเริ่มต้นใหม่ ห้องปฏิบัติการรับทดสอบบางห้องในสถาบันที่ผมทำงานอยู่ก็เกิดปัญหานี้แล้วเมื่อผู้ปฏิบัติงานเดิมเกษียณอายุงาน ตอนนี้การแก้ปัญหาก็ทำแบบชั่วคราวคือต้องขอร้องให้คนเกษียณอยู่ช่วยงานต่อเพราะไม่มีคนอื่นทำแทนได้ แต่ที่น่าตลกก็คือ กลับไม่มีการวางแผนที่จะหาคนอื่นมาทำแทน มองกันว่า "ช่าง" ก็คือ "ช่าง" ถ้าคนปัจจุบันพ้นหน้าที่ไป คนที่รับเขามาใหม่ก็สามารถมาทำงานแทนได้ทันที ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงมันไม่เป็นเช่นนั้น
 
ส่วนตัวผมเองเห็นว่าการที่เราจะให้ใครสักคนนั้นยอมถ่ายทอดความรู้ที่เขามีอยู่นั้นให้กับผู้อื่น เราก็ต้องให้ความสำคัญกับบุคคลผู้นั้นก่อน และต้องเป็นการแสดงให้เห็นด้วยว่าการให้ความสำคัญนั้นเป็นการกระทำที่จริงใจ ไม่ใช่ทำเพียงแค่ให้ได้ชื่อว่าได้ทำหรือทำพอเป็นพิธี (ผมว่าแบบนี้จะยิ่งหนักเข้าไปใหญ่) และการถ่ายทอดนั้นไม่จำเป็นต้องให้ผู้ที่มีความรู้นั้นเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรออกมา เขาอาจเป็นเพียงแค่ผู้เล่าให้ฟังเพื่อให้ผู้อื่นไปเตรียมเอกสาร จากนั้นจึงค่อยนำมาให้ให้เขาตรวจสอบความถูกต้องอีกทีก็ได้ เพราะในความเป็นจริงนั้นใช่ว่าทุกคนจะถนัดในการเขียนเรื่องราวต่าง ๆ หนังสือประวัติส่วนตัวที่คนมีชื่อเสียงในต่างประเทศบางคนต้องการมี ก็ยังต้องใช้วิธีการจ้างนักเขียนไปรับทราบข้อมูลจากเขาเพื่อให้นักเขียนเหล่านั้นนำมาเขียนเรื่องตัวเขาเอง
 
มีอยู่ปีหนึ่งผมมีแขกที่เป็นอาจารย์ต่างประเทศมาเยี่ยม เขาจะมาบรรยายให้นิสิตฟังที่ภาควิชา ปรกติสิ่งที่ใครต่อใครทำกันก็คือใช้วิธีติดประกาศและบังคับให้นิสิตของตัวเองเข้าฟัง และสิ่งที่เห็นเป็นประจำก็คือหลังการบรรยายจบสิ้นก็มักไม่มีคำถามอะไรจากนิสิต อาจารย์ผู้เป็นเจ้าภาพต้องเป็นผู้ถามเอง แต่ครั้งนั้นผมทำกลับกัน ผมเดินไปเชิญนิสิตด้วยตนเอง พร้อมจัดรูปแบบการบรรยายใหม่ โดยก่อนการบรรยายนั้นมีการรับประทานของว่างกันเล็กน้อยระหว่างผู้เข้าฟัง (ประมาณ ๑๐ คนเศษ) กับผู้บรรยาย ในช่วงนี้ก็จะมีการแนะนำให้ผู้บรรยายรู้จักกับผู้เข้าฟังว่าแต่ละคนนั้นกำลังทำวิจัยเรื่องอะไรอยู่ มีการพบปะสนทนากันระหว่างผู้บรรยายกับผู้เข้าฟังก่อนเริ่มการบรรยาย ส่งที่ได้ก็คือระหว่างการบรรยายมีการถามตอบแสดงความคิดเห็นระหว่างกันเป็นระยะระหว่างผู้บรรยายและผู้เข้าฟัง โดยที่ผมนั่งฟังเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร

สิ่งที่ผมอยากเล่าให้ฟังในตอนที่ ๔ นี้ที่เป็นตอนสุดท้ายของเรื่อง Knowledge Management คือ ผมเห็นว่าถ้าเราอยากให้ใครสักคนเล่าสิ่งที่เขารู้หรือความคิดเห็นของเขาออกมา เราก็ต้องสร้างบรรยากาศและให้ความสำคัญกับเขา เขามีความรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ ความคิดเห็นในมุมมองที่แตกต่างไปจากเรา แต่เราไม่รู้ว่าเขามีความรู้อะไรบ้าง เขาเห็นอะไรที่เรามองข้ามไปบ้าง การสร้างบรรยากาศที่เหมาะกับการสนทนาและการให้ความสำคัญกับผู้ปฏิบัติงานแต่ละคนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการทำให้ผู้ปฏิบัติงานแต่ละคนนำความรู้ที่มีอยู่นั้นมาเผยแพร่ให้บุคคลอื่นได้รับทราบ 

วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

บันทึกเรื่องที่ต้องสอนซ้ำ บันทึกความทรงจำที่ได้พบเจอ (๓) MO Memoir : Tuesday 19 December 2560


ดูออกไหมครับว่ารูปข้างบนเป็นรูปของอะไร บอกใบ้ให้นิดนึง เป็นอาหารที่ทำจากไข่ไก่ครับ :) :) :)

คนโบราณกล่าวว่า "สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น ไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำ ไม่เท่าทำเอง" ถ้าใช้อัตราส่วนตามนี้เราก็พอจะสรุปได้ว่า "ฟังพันครั้ง ไม่เท่ากับลงมือทำครั้งเดียว"
 
ตอนที่สอนวิชาเคมีอินทรีย์ ผมยกตัวอย่างคำกล่าวของผู้ใหญ่ที่ว่า "ทอดไข่เจียวให้อร่อยต้องใช้น้ำมันหมู" มาตั้งเป็นประเด็นคำถามให้นิสิตพิจารณาว่า คำกล่าวดังกล่าวมันมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์รองรับหรือไม่ หรือเป็นความเชื่อที่บอกต่อกันมา และวิธีที่จะยืนยันได้ดีที่สุดก็เห็นจะได้แก่ ให้ลองทอดเปรียบเทียบกันระหว่างน้ำมันหมูและน้ำมันพืช ผมเลยจัดให้นิสิตทำการทดลองโดยให้ทอดไข่เจียวเปรียบเทียบระหว่างน้ำมันหมูกับน้ำมันถั่วเหลือง
 
ก่อนหน้านั้นผมเคยถามนิสิตว่ารู้หรือเปล่าว่าการทำไข่เจียวทำอย่างไร นิสิตก็ตอบว่ารู้กันทั้งนั้นครับ พอถามต่อว่าแล้วทำไข่เจียวเป็นไหม ก็เริ่มมีคนชักไม่แน่ใจ ชั่วโมงแลปนั้นนิสิตแต่ละกลุ่มมี ๔ คน ผมก็เลยกำหนดกติกาขึ้นมาว่าให้แบ่งงานกันทำเป็น ๔ ส่วน ห้ามช่วยเหลือกันและห้ามแนะนำกัน โดยให้คนที่หนึ่งเป็นคนตอกไข่ใส่ชามและใส่เครื่องปรุง (แจกไขไก่ให้ ๔ ฟองและมีน้ำปลาให้) คนที่สองทำหน้าตีไข่ จากนั้นแบ่งไข่ที่ตีแล้วออกเป็นสองส่วน ให้อีกสองคนที่เหลือแยกกันทอดคนละกระทะ ต่างคนต่างเลือกใส่น้ำมันในปริมาณที่ตัวเองคิด เลือกความร้อนของเตาทอดเอาเอง และเพื่อให้ตื่นเต้นยิ่งขึ้นก็กำหนดให้มาทดลองทอดทีละกลุ่ม กลุ่มที่ยังไม่ได้ทอดห้ามมาแอบดูว่ากลุ่มก่อนหน้านั้นทำอย่างไร การทดลองนี้ไม่ได้บังคับให้ทำ แต่ถ้าอยากลองทำก็มีข้อแม้ว่าต้องกินไข่ทอดนั้นให้หมด
 
ทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมรู้ครับ ว่าการทำไข่เจียวนั้นให้ตอกไข่ใส่ชาม จากนั้นก็เหยาะน้ำปลาเติมลงไป เอาส้อมตีให้ไข่กับน้ำปลาเข้ากัน แล้วเทส่วนผสมลงกระทะที่มีน้ำมันร้อน ๆ รออยู่

แล้วผลออกมาเป็นอย่างไรหรือครับ ในแต่ละรุ่นที่ทดลองมา นิสิตแต่ละรุ่นมีราว ๆ ๘๐ คน มีคนที่ทอดไข่เจียวแล้วเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นไข่เจียวมีอย่างมากก็แค่ประมาณ ๕ คน ที่เหลือนั้นจะเรียกว่าเพียงพอแค่สำหรับการกินแก้หิวหรือกินเพื่อประทังชีวิตก็ได้ :) :) :)
 
เรื่องง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็คิดว่าตัวเองนั้นรู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่พอเอาเข้าจริงแล้วกลับทำไม่ได้ (ไม่ว่าควรจะใส่น้ำปลาเท่าไรดี ตีไข่แค่ไหนจึงจะเรียกว่าพอ และน้ำมันร้อนได้ที่หรือยัง) สิ่งนี้บ่งบอกให้เราทราบถึงอะไรบ้าง อย่างน้อยสิ่งที่เห็นก็คือ วิธีการทำที่แต่ละคนบอกว่ารู้นั้น มันเปิดช่องให้ทำแตกต่างกันได้ นั่นแสดงว่าความรู้ที่คิดว่ารู้ดีแล้วนั้นมันไม่สมบูรณ์

ผมเคยได้รับโอกาสให้ไปช่วยงานการติดตั้งเครื่องจักรให้หน่วยงานการกุศลแห่งหนึ่งที่รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากต่างประเทศ คำแนะนำหนึ่งที่ผมแนะนำเขาไปก็คือการเตรียมคู่มือการทำงาน ให้คนที่ไปรับการอบรมมานั้นมาช่วยกันเขียนคู่มือแบบที่เรียกว่าต้องเขียนให้ละเอียดชนิดที่เรียกว่าเอาคนใหม่มาทำตามคู่มือดังกล่าวต้องทำได้โดยไม่ต้องถามอะไร จะได้ไม่มีปัญหาเวลาที่คนเดิมลาออกไป แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็กลายเป็นว่าแต่ละคนที่ไปอบรมต่างประเทศนั้นต่างมีบันทึกของตัวเอง ต่างคนต่างถือเก็บเอาไว้เอง ไม่มีการสร้างคู่มือปฏิบัติการที่สามารถ่ายทอดต่อให้คนที่มาใหม่ได้ พอคนที่ไปอบรมนั้นลาออกจากงานไป คนใหม่ที่มาทำหน้าที่ต่อก็ต้องไปเริ่มงานจากศูนย์ใหม่
 
คู่มือปฏิบัติงานที่ดีนั้นไม่ควรจะบอกแต่เพียงว่าให้ทำอย่างไร แต่ควรมีคำอธิบายในเรื่องที่สำคัญด้วยว่าไม่ควรทำอย่างไรด้วย เพราะการลัดขั้นตอนการทำงานนั้นมันอาจไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในทันทีทันใด แต่มันสามารถทำให้อายุการใช้งานของอุปกรณ์นั้นสั้นลงได้ หรือไม่ก็เป็นการไปใช้งานในส่วน safety factor ที่ทางผู้ออกแบบเผื่อเอาไว้ ส่วนที่เป็น safety factor ที่การออกแบบเผื่อเอาไว้นี้มันไม่ควรเป็นส่วนที่นำมาใช้งานปรกติ มันควรเป็นส่วนที่จะถูกใช้งานถ้าหากการทำงานมีความผิดปรกติโดยไม่ตั้งใจ 
  
เพื่อให้เห็นภาพตรงนี้จะขอยกตัวอย่าง pressure vessel ที่ปัจจุบันจะทำการทดสอบความสามารถในการรับแรงดันแบบ hydrauic test ที่ 1.3 เท่าของ design pressure (คือความดันที่ใช้ในการออกแบบ ส่วนความดันในการใช้งานจริงหรือ operating pressure นั้นจะต่ำกว่า design pressure นี้อีก) ซึ่งpressure vessel นั้นต้องผ่านการทดสอบที่ความดันระดับนี้ก่อนจึงจะถือว่ามีความปลอดภัยในการใช้งาน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าในการทำงานตามปรกติเราสามารถที่จะนำเอา pressure vessel ตัวนี้มาใช้งานที่ความดันสูงกว่า design pressure แต่ต่ำกว่าความดันที่ใช้ทดสอบได้
 
ในตอนที่ ๑ ของเรื่องนี้ผมได้เล่าถึงรูปแบบการเขียน ที่ผมเห็นว่ามันไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัว มันขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนนั้นมีความถนัดอย่างไร และผู้ที่ต้องการให้รับรู้สิ่งที่เขียนนั้นเป็นใคร ในตอนที่ ๒ นั้นผมมองว่าเพื่อที่จะทำให้มั่นใจว่าในการทำให้ผู้ที่รับทราบข้อมูลเดียวกันนั้นมีความเข้าใจที่ตรงกัน เราอาจต้องมีการทบทวนและกำหนดนิยามต่าง ๆ ของคำที่เราใช้ในการสื่อสารให้ชัดเจน โดยได้ยกประสบการณ์ของตัวเองที่ได้ประสบมาเป็นตัวอย่าง ส่วนตอนที่ ๓ นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการทำงาน ที่เอาเข้าจริง ๆ แล้วบ่อยครั้งที่พบว่าคู่มือการปฏิบัติงานที่มีอยู่นั้นมันเปิดช่องให้ทำแตกต่างกันได้ อันเป็นผลจากการบันทึกวิธีการปฏิบัติงานที่ไม่ชัดเจนหรือคิดว่าครอบคลุมหมดแล้ว หรือแม้แต่พบว่าของที่มีอยู่นั้นยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ผมเองสอนแลปนิสิตมากว่า ๒๐ ปี ปรับปรุงแก้ไขคู่มือปฏิบัติการมาตลอด แต่ก็ยังพบอยู่เรื่อย ๆ ว่านิสิตแต่ละรุ่นยังสามารถตีความวิธีการทำแลปให้แตกต่างไปจากสิ่งที่อยากให้นิสิตปฏิบัติ

สำหรับรูปในหน้าแรกที่เอามาให้ดูนั้น ถ้าท่านใดคิดว่ามันคือ "ไข่เจียว" ก็ขอตอบว่าไม่ใช่ครับ ที่ถูกต้องคือ "ไข่ดาว" ที่นิสิตผู้ทอดเองก็ยอมรับว่า เป็นการทอดไข่ดาวครั้งแรกในชีวิต :) :) :)

วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2560

บันทึกเรื่องที่ต้องสอนซ้ำ บันทึกความทรงจำที่ได้พบเจอ (๒) MO Memoir : Monday 18 December 2560

"STP นี่นิยามที่ตรงไหน"
 
คำถามซื่อ ๆ ธรรมดา ๆ จากรุ่นพี่วิศวไฟฟ้าท่านหนึ่งเมื่อ ๒๙ ปีที่แล้ว ที่ทำเอาน้อง ๆ ที่เป็นทั้งวิศวเคมีและเครื่องกลถึงกับวงแตก เพราะน้อง ๆ แต่ละคนให้นิยามที่ไม่ตรงกัน (ผมเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย)

STP ในที่นี้ย่อมาจากคำว่า Standard Temperature and Pressure อันที่จริงมันยังมีอีกคำหนึ่งคือ NTP ที่ย่อมาจาก Normal Temperature and Pressure ที่กำหนดอุณหภูมิและความดันที่ใช้ในการเปรียบเทียบปริมาตรแก๊ส ส่วนที่ว่า STP และ NTP นั้นเหมือนกันหรือไม่ และต่างนิยามที่อุณหภูมิและความดันเท่าใดนั้นลองดูในรูปที่ ๑ ข้างล่างที่ผมนำเอามาจาก wikipedia ในวันนี้ดูก่อนไหมครับ จากนั้นจึงลองกลับไปดูว่าที่เราเรียนมาตามตำรานั้น มันตรงกับนิยามไหน



บางที สิ่งที่เขาคิดไม่ตรงกับเรา เขาก็ไม่ได้ผิด สิ่งที่เราคิดไม่ตรงกับเขา เราก็ไม่ผิด และบางทีก็ต้องถามเหมือนกันว่าแม้ว่าสิ่งที่เราเรียนมาไม่ว่าจากโรงเรียนไหนในประเทศไทยนั้นต่างเรียนมาเหมือนกัน แล้วคนที่เขาจบมาจากประเทศอื่น เขาเรียนเหมือนกับเราหรือไม่
 
ตัวอย่างหนึ่งที่ผมเคยเจอก็คือนิยามของวาล์วระบายความดันที่มีชื่อเรียกอยู่ ๓ ชื่อคือ Safety valve, Relief valve และ Safety and Relief valve ซึ่งตรงนี้พบว่าจำนวนไม่น้อยจะบอกว่า Safety valve ใช้กับแก๊ส Relief valve ใช้กับของเหลว และ Safety and Relief valve ใช้ได้กับทั้งแก๊สและของเหลว
แต่พอไปอ่านตำราของ IChemE (Institute of Chemical Engineering) ที่เป็นสถาบันวิชาชีพทางวิศวกรรมเคมีของอังกฤษ เขาอธิบายว่านิยามตามย่อหน้าข้างบนนั้นเป็นนิยามตามแบบอเมริกา ส่วนทางอังกฤษนั้นถือว่าเหมือนกัน ไม่มีการแยกว่าชื่อไหนเป็นวาล์วสำหรับแก๊ส และชื่อไหนเป็นวาล์วสำหรับของเหลว
 
ทำนองเดียวกันครับ รถไฟใต้ดินที่ทางอังกฤษเรียก underground แต่ทางอเมริกาเรียก subway แต่พอเป็นทางเดินใต้ดินทางอังกฤษเรียก subway แต่ทางอเมริกาเรียก underground

ดังนั้นจะดีไหมครับ ถ้าก่อนที่เราจะคุยกันเรื่องความรู้ที่ลึกซึ้งลงไปหรือในระดับที่ก้าวหน้าขึ้นไป (ที่เขาชอบเรียกว่าระดับแอดวานซ์) เรามาลองคุยกันเรื่องนิยามศัพท์พื้นฐานกันก่อนว่าแต่ละคนเข้าใจตรงกันไหม ถ้าพบว่ามีการใช้นิยามที่แตกต่างกัน องค์กรนั้นก็ควรมีการตกลงกันว่าจะให้เลือกใช้นิยามไหน

แต่มียกเว้นอยู่ตัวย่อหนึ่งนะครับที่บ้านเรามีบริษัทหนึ่งนิยามขึ้นมาเองแบบแตกต่างไปจากคนทั้งโลก นั่นคือคำว่า NGV ที่คนทั้งโลก (ยกเว้นบริษัทหนึ่งในประเทศไทย) เข้าใจตรงกันว่ามันย่อมาจาก Natural Gas Vehicle ที่หมายถึงรถที่ใช้แก๊สธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (คือตัวรถนะครับ ไม่ใช่แก๊ส) ส่วนแก๊สธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับ NGV เขาเรียกว่า CNG ที่ย่อมาจาก Compressure Natural Gas (คือแก๊สนะครับ ไม่ใช่รถ) ในกฎหมายบ้านเราก็ใช้คำว่า CNG หมายความถึงแก๊สธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับรถ ส่วน NGV ที่ย่อมาจาก Natural Gas for Vehicle (มีการเติมคำว่า for เข้าไป) นั้นเป็นนิยามเฉพาะของบริษัทหนึ่งเท่านั้นนะครับ (แต่ทำเอาคนไทยส่วนใหญ่เข้าใจความหมายผิดไปด้วย)
 
ที่หนักกว่าเรื่องคำย่อเดียวกันแต่มีความหมายต่างกันเห็นจะได้แก่การที่ใช้แต่คำย่อเต็มไปหมด โดยที่ไม่รู้ว่ามันย่อมาจากอะไรและมีความหมายอะไร ผมเองก็เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ปีหนึ่งได้รับหน้าที่เป็นตัวแทนภาควิชาให้ไปเข้าร่วมประชุมเตรียมพร้อมการตรวจประเมินคุณภาพจากหน่วยงานภายนอก ปัญหาเริ่มต้นแต่ตอนที่ผมไปลงทะเบียน เจ้าหน้าที่ที่รับลงทะเบียนก็ถามผมว่าอาจารย์มาในฐานะเป็น xxx ใช่ไหม (คือจำไม่ได้แล้วว่าคำอะไร รู้แต่ว่าเป็นคำย่ออักษรภาษาอังกฤษ ๓ ตัว) ผมก็ตอบไปว่าไม่รู้เหมือนกัน แล้ว xxx นี้คืออะไรช่วยบอกหน่อยได้ไหม ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ไม่ยอมบอกผม คิดว่าผมถามกวน ๆ ผมก็บอกไปว่าที่ถามเนี่ยเพราะไม่รู้ ไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน เพิ่งจะมารับงาน พออธิบายไปอย่างนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็เลยหันไปถามเพื่อนอีกคนข้าง ๆ ว่า xxx นี้ย่อมาจากอะไร (อ้าว กลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านนี้โดยตรงก็ยังไม่รู้เลยว่าคำย่อที่ตัวเองใช้ในการทำงานอยู่ทุกวันนั้นมันย่อมาจากอะไร)
 
เรื่องยังไม่จบครับ การบรรยายนี้มีวิทยากรมาให้คำแนะนำในการเตรียมการ พอวิทยากรบรรยายเสร็จก็ถามว่ามีใครมีข้อสงสัยตรงไหนบ้าง ผมก็ยกมือถามว่าคำย่อต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นย่อมาจากอะไร หมายถึงอะไร วิทยากรก็ถามกลับมาว่าคำไหนบ้าง ผมก็ตอบไปว่าทุกคำเลย เพราะผมเพิ่งจะได้รับหน้าที่ให้มาทำงานนี้ และในการบรรยายและเอกสารประกอบก็ไม่มีบอกเลยว่าคำย่อแต่ละคำนั้นย่อมาจากอะไร มีความหมายอย่างไร งานนี้ทำเอาวิทยากรอึ้งไปเหมือนกัน "เพราะเขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน"
 
งานนี้กลายเป็นว่าทางผู้ช่วยอธิการบดี (ซึ่งบังเอิญเป็นเพื่อนร่วมรุ่นวิศวกับผมเอง) ต้องมาออกโรงเอง พร้อมยกตัวอย่างคำย่อคำหนึ่งคือ CDS ที่ย่อมาจาก "common data set" หรือแปลเป็นไทยว่า "ฐานข้อมูลร่วม" ซึ่งในระหว่างการบรรยายนั้นผมก็ถามคนนั่งอยู่ข้าง ๆ ว่าคำนี้หมายถึงอะไร ซึ่งเขาก็ตอบผมไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ผมเลยเสนอแนะในที่ประชุมว่าควรมีการจัดทำสารบัญคำศัพท์ต่าง ๆ ให้เป็นบรรทัดฐานในการทำงาน เพื่อที่ผู้ทำงานแต่ละคนจะได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน
ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด

พอช่วงพักรับประทานของว่าง (ที่เราชอบเรียกว่าคอฟฟี่เบรคนั่นแหละครับ) มีผู้เข้าร่วมประชุมหลายท่านแอบมา กระซิบกับผมว่าขอบคุณมากที่อาจารย์ช่วยถาม เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคำย่อแต่ละคำที่วิทยากรนำมาใช้นั้นมีความหมายอย่างไรบ้าง กลายเป็นว่าเรากำลังทำงานกับแบบว่า เวลาผู้ใต้บังคับบัญชามีข้อสงสัย ก็ไม่กล้าถาม กลัวเพื่อนร่วมงาน (ซึ่งก็มีข้อสงสัยเช่นเดียวกัน) คนอื่นจะฉวยโอกาสกล่าวหาว่าไม่มีความรู้แล้วเหยียบซ้ำ และทางในกลับกันตัวผู้บังคับบัญชาเองนั้นแม้ว่าจะมี่ข้อสงสัยก็ไม่กล้าถาม เพราะกลัวลูกน้องนินทาเอาได้ว่าไม่มีความรู้แล้วมาเป็นหัวหน้าได้อย่างไร
 
อีกปัญหาหนึ่งที่เคยเห็นบนหน้าเว็บบอร์ด คือมีคนถามว่าจะเตรียมสารละลายเข้มข้น 1 N ต้องทำอย่างไร ก็มี "ผู้รู้" ตอบถามกลับมาว่า "พิมพ์ผิด" หรือเปล่า หน่วยที่ถูกต้องต้องเป็น 1 M (เขาคงคิดว่าแป้นพิมพ์อักษร N กับ M มันอยู่ใกล้กัน ก็เลยพิมพ์ผิดกันได้) ว่าแล้วก็แสดงวิธีการคำนวณว่าถ้าต้องการเตรียมสารละลายเข้มข้น 1 M ต้องทำอย่างไร
 
สำหรับคนรุ่นเก่าที่เรียนเคมีมา พอเห็นหน่วยความเข้มข้นที่เป็น N ก็จะเข้าใจทันทีว่ามันหมายถึง Normality และหน่วยนี้ก็ยังคงมีการใช้งานอยู่ แต่ผู้ที่เรียนจบในยุคหลังที่ตำราในโรงเรียนและรวมถึงในระดับมหาวิทยาลัยนั้นไม่มีการกล่าวถึงหน่วย N ใช้แต่หน่วย M ที่ย่อมาจาก Molarity เพียงอย่างเดียว ก็เลยเข้าใจไปว่าตัวอักษร N ที่เห็นนั้นน่าจะเกิดจากการพิมพ์ผิด ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองนั้นเข้าใจผิด หน่วย N และ M นั้นไม่เหมือนกันซะทีเดียว ถ้าเป็นกรณีของโซดาไฟหรือ NaOH ก็ยังพอว่า แต่ถ้าเป็นกรดกำมะถัน H2SO4 นี่ไปคนละเรื่องเลย ถ้าใครทำงานอยู่ในสถานที่ทำงานที่มีคนอายุห่างกันมาก ๆ ก็น่าจะลองตรวจสอบดูนะครับว่า มันมีเรื่องแบบนี้อยู่ในที่ทำงานของเราโดยเราไม่รู้ตัวหรือเปล่า

อีกกรณีหนึ่งที่เคยเจอก็คือการใช้ปิเปตที่เราเรียกว่า transfer pipette ปิเปตชนิดนี้มันวัดได้แค่ปริมาตรเดียว ก่อนที่นิสิตปี ๒ จะเริ่มเรียนแลปเคมีที่ภาควิชา ผมเคยถามคำถามนิสิตว่า เวลาใช้ปิเปตแบบนี้ (หยิบปิเปตให้ดูเป็นตัวอย่าง) ต้องไล่ของเหลวที่ค้างอยู่ที่ปลายปิเปตออกหรือไม่ ปรากฏว่ามีนิสิตตอบมาทั้ง "ต้อง" และ "ไม่ต้อง" ไล่ของเหลวที่ปลายปิเปต
 
ที่น่าสนใจก็คือคำตอบของทั้งสองคำตอบนั้นมาจากการเรียนในวิชาเดียวกัน (ปฏิบัติการเคมีปี ๑) แต่เรียนจากอาจารย์ผู้สอนคนละคนกัน ผมก็เลยถามต่อไปว่าอาจารย์คนที่สอนว่า "ต้อง" ไล่ของเหลวออกให้หมดนั้น มี "อายุ" น้อยกว่าอาจารย์อีกคนที่สอนว่า "ไม่ต้อง" ไล่ของเหลวใช่ไหม ซึ่งนิสิตก็ตอบว่าใช่ (พร้อมกับทำท่างง ๆ ว่าวันเกี่ยวกันอย่างไร)
 
รายการนี้คาดว่าเป็นเพราะในระดับมัธยมปลายนั้นแทบไม่มีการให้นักเรียนทดลองทำปฏิบัติการ ทีนี้พอนักเรียนได้รับทุนไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่ระดับปริญญาตรี คงไปพบกับการใช้ปิเปตที่ต้องไล่ของเหลวเสมอ ก็เลยเข้าใจว่าการใช้ปิเปตที่ถูกต้องคือต้องไล่ของเหลวออกให้หมด พอกลับมาสอนหนังสือที่เมืองไทย ก็เลยสอนแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ปิเปตที่ใช้กันในบ้านเรานั้น (ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดได้ไหม) เป็นชนิดที่ "ไม่ต้อง" ไล่

ตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น (ที่ได้มาจากประสบการณ์ส่วนตัวในการสอนหนังสือนะครับ) ก็เพื่อจะบอกว่า เวลาที่คนต่างวัยคุยกันเนี่ย บางครั้งดูเผิน ๆ มันก็ไม่น่ามีปัญหาใดในการสื่อสาร แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วกลับพบว่าต่างคนต่างเข้าใจไปกันคนละเรื่องเลย เพราะต่างคิดว่าผู้ฟังหรือคู่สนทนานั้นเขาเข้าใจข้อมูลแบบเดียวกับที่ตัวเองเข้าใจ
 
ช่วงเปิดเทอมเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมอยากรู้ว่านิสิตปี ๒ ที่เพิ่งจะเข้าภาควิชานั้นมีพื้นฐานความรู้แบบใด ก็เลยทำแบบทดสอบง่าย ๆ ให้นิสิตทดลองทำกัน (ไม่ต้องใส่ชื่อ เลขประจำตัว) และหนึ่งในคำถามของแบบทดสอบก็คือให้นิสิต "วาดรูปต้นสับปะรดที่มีผลสับปะรดติดอยู่" แล้วผลออกมาเป็นอย่างไรเหรอครับ ดูตัวอย่างในรูปที่ ๒ ข้างล่างดูก่อนก็ได้ครับ แต่ถ้าอยากดูตัวอย่างอื่นอีก สามารถดูได้จากบทความบนหน้า blog วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ เรื่อง "วาดรูปต้นสับปะรดที่มีผลสับปะรดติดอยู่" ได้ครับ เห็นอย่างไรก็ตามนั้นแหละครับ :) :) :)


รูปที่ ๒ ส่วนหนึ่งของรูปต้นสับปะรดพร้อมผล ที่ผมให้นิสิตปี ๒ วาดให้ดู

บทความชุดนี้ยังไม่จบนะครับ ยังมีตอนที่ ๓ ต่ออีก :) :) :)

วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560

บันทึกเรื่องที่ต้องสอนซ้ำ บันทึกความทรงจำที่ได้พบเจอ (๑) MO Memoir : Sunday 17 December 2560

"ตอนนี้ทางทีมของพวกผมขาดบุคลากรในด้านนี้มากครับ คือด้านเกี่ยวกับการทำ Know how การถ่ายทอด รุ่นสู่รุ่น และการจดบันทึก เหมือนที่อาจารย์แนะนำ
 
จนเป็นเวลาผ่านมาหลายปี ยังไม่ประสบผลสำเร็จเลยครับ ผมอยากทำเรื่องนี้เลยค่อย ๆ อ่านศึกษาเรื่อย ๆ ตัวเองทำงานมาประมาณ10ปี ก็พอมีพื้นฐานบ้างครับ พยายามถ่ายทอดออกมา และจดบันทึกได้บ้าง
  
จะพยายามทำให้ได้ครับ ถ้าอาจารย์ มีอะไรแนะนำ ก็เชิญได้นะครับ ยินดีรับคำติชมครับ"

อย่างแรกเลยผมคงต้องขอขอบคุณเป็นอย่างมากครับที่ส่งอีเมล์มาให้กำลังใจในการเขียนเรื่องราวต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ขอบอกตามตรงเลยนะครับว่า ถ้าเป็นเรื่องราววิชาการความรู้ คนใกล้ตัวผม (คือนิสิตที่กำลังเรียนอยู่) มักจะไม่อ่านหรอกครับ เว้นแต่ว่าจะบอกว่ามีข้อสอบอยู่ในนั้น หรือบางเรื่องมันมีเนื้อหาตรงกับรายงานที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำ และบนหน้า blog ผมมันเป็นเนื้อหาภาษาไทย (เพราะพวกเขาจะได้ไม่ต้องแปลแบบถูก ๆ ผิด ๆ) แต่ถ้าเป็นพวกเรื่องราวไร้สาระเนี่ย ยอด กดไลค์มักจะต่ำ แต่ยอดเข้าชมมักจะสูงครับ (คือพอผมโพสเรื่องใหม่ขึ้น blog ผมจะนำไปเผยแพร่ใน facebook ของนิสิตก่อนครับ) ส่วนพวกความรู้พื้นฐานต่าง ๆ (เช่น pipe กับ tube ต่างกันอย่างไร) มักจะมีคนเข้ามาอ่านกันมากตอนช่วงฝึกงานครับ
 
โดยความเห็นส่วนตัวนะครับ หลากหลายเรื่องราวมันไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคืออาหารการกิน ในอดีตกาลผู้คนที่อาศัยอยู่ในแต่ละท้องถิ่นนั้นรู้ว่าในภูมิประเทศที่เขาอาศัยอยู่นั้นมันมีอะไรที่เขากินเป็นอาหารเพื่อดำรงชีวิตได้ เขาก็กินสิ่งที่เขาหาได้ในท้องถิ่นนั้น ตัวอย่างเช่นพวกเอสกิโมที่อยู่ในภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง ปลูกผักอะไรไม่ได้ เขาก็บริโภคเนื้อเป็นหลัก อยู่ดี ๆ จะไปบอกเขาว่าหันมากินผักแทนเถอะ เพราะมันไม่บาป ผมว่ามันก็ไม่ถูก ผมเห็นว่าการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกันครับ


รูปที่ ๑ หน้าปกหนังสือของ "เหม เวชกร" รุ่นที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า เป็นหนังสือชุดที่ผมชอบอ่านมากชุดหนึ่ง แต่ทำไมถึงมาโผล่อยู่ในบทความนี้ได้ ก็ลองอ่านเนื้อหาบทความไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกันครับ
 
ผู้เล่าเรื่องราวอาจเปรียบได้เหมือนพ่อครัวผู้ทำอาหาร (อันนี้ของรวมถึงแม่ครัวด้วยนะครับ ไม่ได้ลำเอียงใด ๆ) พ่อครัวนั้นมีวัตถุดิบคือ พืช ผัก เนื้อ และเครื่องปรุงต่าง ๆ ส่วนวัตถุดิบของผู้เล่าเรื่องราวก็คือสิ่งที่เขาได้ไปพบ ไปเห็น ได้รับฟังมา การได้วัตถุดิบของพ่อครัวอาจได้มาจากตลาดใกล้บ้าน หรือการท่องเที่ยวเดินทางไปยังท้องถิ่นอื่นเพื่อสรรหาวัตถุดิบใหม่ ผู้เล่าเรื่องราวก็เช่นกันครับ เรื่องที่นำมาเล่านั้นอาจเป็นเรื่องใกล้ตัว เช่นงานที่ทำอยู่หรือประสบการณ์ในการทำงาน หรือจากคนอื่นเล่าให้ฟัง แต่บางครั้งเราก็ต้องเดินทางไปยังที่อื่นบ้างเพื่อเปิดโอกาสได้เจอกับสิ่งใหม่ ๆ บ้าง
 
มันไม่มีอาหารชนิดใดหรอกครับที่คนทุกคนบนโลกจะชื่นชอบ ทำนองเดียวกันครับ มันไม่มีรูปแบบการเขียนที่ถือว่าเป็นสุดยอดที่ทุกคนต้องเอาเยี่ยงอย่าง พ่อครัวแต่ละคนต่างก็มีความถนัดในด้านการทำงานแต่ละด้าน จะมาบอกว่าคนที่เป็นพ่อครัวอาหารฝรั่งเศสนั้นเหนือกว่าอาหารจีนก็ไม่ถูก คนเล่าเรื่องราวก็เช่นเดียวกัน บางคนเล่าเรื่องสยองขวัญเก่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเล่าเรื่องชีวิตรักได้หวานซึ้งหรือเรื่องตลกได้ขำกลิ้ง
 
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพอเราถนัดในเรื่องใดแล้วเราก็ควรต้องยึดติดในเรื่องนั้นนะครับ ผมเชื่อว่าแต่ละคนก็มีบ้างเหมือนกันในบางครั้งที่อยากลองทำอะไรที่เราไม่เคยลองทำหรือคิดว่าไม่มีความถนัด แต่ที่เราไม่ทำก็เพราะกลัวว่าจะออกมาไม่ดี ผมเองก็เคยลองทำเหมือนกัน และบังเอิญออกมาประสบความสำเร็จดีซะด้วย (แต่ยังทำซ้ำไม่ได้นะครับ) คือดีซะจนคนในที่ทำงานเดียวกับผม (ซึ่งปรกติเขาก็ไม่ค่อยมาอ่านบทความที่ผมเขียนลง blog อยู่แล้ว) เวลาเจอหน้าผมเขาถึงกับมองหน้าผมด้วยความสงสัยว่า มันเป็นเรื่องจริงหรือนิยาย (ทีเรื่องแบบนี้ละก็ อ่านแล้วอ่านอีก อ่านละเอียดเสียด้วย) ถ้ายังไงก็อยากขออนุญาตแนะนำให้ลองอ่านเรื่อง "อาจารย์ครับ ผมไม่เรียนต่อแล้วนะครับ" เล่น ๆ ก่อนก็ได้ครับ (สำหรับผู้อ่านบนหน้าเว็บ สามารถกดลิงค์ที่ชื่อบทความเพื่อเข้าไปยังเรื่องดังกล่าวได้เลยนะครับ)

ดังนั้นเรื่องที่จะเล่าต่อไปจากนี้ ถือเสียว่าเป็นการเล่าประสบการณ์ส่วนตัวก็แล้วกันนะครับ อย่ายึดถือว่าเป็นตัวอย่างที่ควรเลียนแบบ เป็นคำติหรือคำชม หรือคำแนะนำใด ๆ นะครับ :) :) :)

MO Memoir เริ่มจากการเขียนบันทึกเป็นไฟล์ pdf แจกจ่ายให้กับนิสิตปริญญาโทที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ครับ เรื่องทั้งเรื่องมันเริ่มจากการที่รู้สึกว่าต้องมาฝึกสอนเรื่องเดิม ๆ (โดยเฉพาะเทคนิคปฏิบัติงาน และการปรับความเข้าใจในความรู้พื้นฐานให้ถูกต้อง) ให้กับนิสิตรุ่นใหม่ทุกปี และบางปีก็ลืมสอนในบางเรื่องด้วย ก็เลยคือทำเป็นบันทึกแจกจ่ายทางอีเมล์ให้กับเฉพาะนิสิตปริญญาโทที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์เท่านั้น (ซึ่งตอนนี้ก็ยังทำอยู่ โดยจะส่งให้ทางอีเมล์ตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาเรียน จนกระทั่งถึงวันที่พวกเขาเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร) แต่พอเขียนไปได้หลายเรื่องก็เริ่มมีปัญหาแล้วว่าเคยเขียนเรื่องอะไรไว้บ้างและเขียนไว้เมื่อไร ก็เลยคิดนำเอาเรื่องต่าง ๆ นั้นขึ้น blog เพราะมันทำให้ค้นหาเรื่องย้อนหลังได้ง่ายขึ้น (ตรงที่ผมทำช่อง "ค้นหาบทความ MO Memoir" นั่นแหละครับ) ทีนี้พอโพสเรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยทำให้มีผู้อ่านหลากหลายมากขึ้นครับ
 
รูปแบบการเขียนนั้น ผมมักจะอิงแนวทางเหมือนกับว่าผมกำลังเล่าเรื่องให้ผู้อื่นฟังอยู่ ถ้าเป็นเรื่องงานวิจัยก็จะวางแนวทางการเล่าเสมือนกับเล่าให้นิสิตปริญญาโทในที่ปรึกษาฟัง ถ้าเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วไปก็จะวางแนวทางการเล่าเสมือนกับเล่าให้นิสิตที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือผู้ที่เรียนต่างสาขาฟัง ทีนี้พอวางภาพว่าคนฟังเป็นผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ ดังนั้นคำบางคำที่คนที่กำลังทำงานอยู่นั้นอ่านแล้วเข้าใจเลย แต่สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาอยู่นั้นจะพบว่าเป็นคำศัพท์ใหม่ ทำให้จำเป็นต้องมีการขยายความเป็นระยะ
 
"แค่เห็นรูปก็กลัวแล้ว แค่ได้ยินคำบรรยายก็สามารถรับรู้ได้ถึงรสชาติอาหาร" เป็นคำอธิบายงานเขียนของศิลปินแห่งชาติ "เหม เวชกร" ที่ผมต้องยอมรับว่ามีอิทธิพลต่อรูปแบบการเขียนของผมมาก ไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านการใช้ภาษาที่เรียบง่ายและความสมจริงอย่างน่าประทับใจของตัวละครที่เป็นผู้เล่าเรื่อง ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้นำเอารูปหนังสือที่เขียนโดย เหม เวชกร ที่ผมมีเก็บไว้บางเล่มนำมาประกอบเรื่องเล่าวันนี้ครับ
 
ผมเองจะไม่พยายามเขียนเรื่องยาว ๆ ให้จบในตอนเดียว ในกรณีที่คิดว่าเรื่องมันค่อนข้างจะยาว ก็จะพยายามตัดตอนเป็นช่วง ๆ วิธีการนี้มันก็มีข้อดีตรงที่ผู้อ่านไม่ต้องเสียเวลาในการอ่านมาก และยังทำให้ตัว blog นั้นมีเรื่องราวใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับว่ามันยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งในปัจจุบันที่คนหันไปอ่านจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือกันมากขึ้น จึงทำให้ยากที่จะมีคนอ่านบทความยาว ๆ จากหน้าจอรวดเดียวจนจบ นอกจากนี้ก็จะพยายามให้แต่ละย่อหน้ามันไม่ยาวเกินไป เพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนได้พักสายตาเมื่ออ่านจบแต่ละย่อหน้า และบางครั้งก็จะใช้การเว้นบรรทัดช่วยแยกย่อหน้าให้ห่างจากกัน ซึ่งการเว้นบรรทัดนี้มันมีประโยขน์ทั้งการจัดหน้ากระดาษและการเน้นข้อความ ยังช่วยบอกให้ผู้อ่านทราบเป็นนัยว่ากำลังจะเริ่มเนิ้อหาใหม่
 
ในขณะเดียวกันก็จะพยายามหารูปแทรกประกอบเนื้อหาที่เขียน เพราะมันไม่แต่จะช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น มันยังช่วยให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเนื้อหาที่อ่านนั้นมันไม่หนาแน่นมากเกินไป (บางทีบทความขนาด ๑๐ หน้ากระดาษ A4 มีส่วนที่เป็นข้อความอยู่ไม่ถึงครึ่งก็มี) แต่ก็มีบ่อยครั้งเหมือนกันครับที่พอเขียนจบเรื่องแล้วพบว่าหน้ากระดาษมันว่างอยู่ ก็เลยต้องไปหารูปอะไรต่อมิอะไรมาลงเพื่อให้หน้ากระดาษมันเต็มเท่านั้นเอง (ทั้งหมดจะเป็นรูปที่ผมถ่ายเอง) รูปเหล่านี้จะว่าไปบ่อยครั้งที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อหาในบทความเลยครับ เป็นเพียงแค่การฝากสิ่งที่ผมได้พบเห็นไว้ในบทความนั้นเท่านั้นเอง แต่ก็ไม่แน่นะครับ ในอนาคตมันอาจมีคุณค่าขึ้นมาก็ได้ ตัวอย่างเช่นตอนนี้ถ้าใครสักคนไปถ่ายรูปรถติดบนถนนที่สี่แยกแห่งหนึ่งแล้วนำมาโพส คนเห็นก็คงไม่รู้สึกแปลกอะไร แต่ถ้าผ่านไปสัก ๓๐ ปีแล้วนำมาโพสใหม่ เชื่อว่าคนที่เห็นภาพเดิมนี้ในตอนนั้นจะมีความรู้สึกที่แตกต่างไป แบบที่เราเห็นภาพสถานที่ต่าง ๆ เมื่อหลายสิบปีที่แล้วนั่นแหละครับ "น้ำปลาที่ดีต้องใช้เวลาบ่มนานฉันใด ความทรงจำก็เช่นกัน" (อันที่จริงผมเคยใช้คำว่า "สุรา" มาก่อนครับ แต่ดูปฏิทินแล้วเห็นว่าวันนี้เป็นวันพระ ก็เลยขอเปลี่ยนเป็น "น้ำปลา" แทน) รูปแบบการจัดหน้าของผมตรงนี้ลองดูได้จาก MO Memoir ฉบับรวมบทความที่สามารถดาวน์โหลดไฟล์ pdf จากหน้า blog ได้ครับ
 
ตอนแรกนี้คงทำได้แค่การเล่าให้ฟังว่าผมเริ่มเขียนได้อย่างไร ได้แนวทางการเขียนมาจากไหน วางรูปแบบการเขียนอย่างไร ส่วนเรื่องที่ว่าเรื่องที่เขียนเอามาจากไหนนั้น ขอยกเป็นตอนต่อไปก็แล้วกันนะครับ เพราะยังจัดลำดับการวางเรื่องไม่ลงตัว วันนี้ขอสวัสดีแค่นี้ก่อนครับ :) :) :)


รูปที่ ๒ ตัวอย่าง MO Memoir ฉบับรวมบทความที่สามารถดาวน์โหลดไฟล์ pdf ได้ฟรีครับ