แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ gc-2014 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ gc-2014 แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

MO Memoir รวมบทความชุดที่ ๑๕ Shimadzu GC-2104 FPD และ GC-2014 ECD & PDD MO Memoir : Wednesday 15 February 2560

ผมใช้เวลาเกือบ ๒ ปีในปรับแต่งภาวะการทำงานของทั้งคอลัมน์และตัวตรวจวัดทั้ง ๓ ตัวเพื่อทำให้เครื่อง GC-2014 ทั้งสองเครื่องนี้ใช้งานได้ ทั้ง ๆ ที่ตอนได้รับเครื่องมานั้นทางบริษัทแจ้งว่าช่างที่สิงคโปร์ได้ทำการปรับแต่งเครื่องให้เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อผมกับช่างของบริษัทตัวแทนทางเมืองไทยทำการตรวจสอบ กลับพบว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ทางตัวแทนจัดมาจากต่างประเทศนั้นใช้ไม่ได้ ทำให้เราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ ประสบการณ์ครั้งนั้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาด้วยการตั้งคำถามที่เป็น "พื้นฐาน" ว่าในระหว่างการทำงานนั้น มันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง และเหตุการณ์เหล่านั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งใดบ้าง 

เนื้อหาในรวมบทความชุดนี้ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง อันที่จริงมันเป็นบันทึกการพัฒนาการทางความคิดในการแก้ปัญหาของผมกับนิสิตปริญญาโทที่ทำงานร่วมกัน แต่มันก็ไม่ได้บันทึกเอาไว้อย่างละเอียดทุกขั้นตอน มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในระหว่างแต่ละตอนที่เขียนบันทึกแต่ไม่ได้นำมาบันทึกเอาไว้ ในระหว่างที่ทำการปรับแต่งเครื่องให้ใช้งานได้นั้น ผมยังได้บอกกับนิสิตที่เข้ามาช่วยกันทำงานว่า พวกเขาโชคดีมากเลยที่ได้ทำงานนี้ เพราะมันทำให้พวกเขาได้เห็นปัญหาอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างในการหาทางทำให้อุปกรณ์ชิ้นหนึ่งมันใช้งานได้ และสิ่งนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดีให้กับพวกเขาเมื่อพวกเขาต้องไปพบกับสิ่งใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน มันไม่เหมือนกับคนที่เข้ามาตอนที่มันใช้งานได้แล้ว เพราะถ้าเขาต้องไปเจอกับอะไรที่ต้องเริ่มจากศูนย์ เขาจะไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นอย่างไร

ดาวน์โหลดไฟล์ กดที่ลิงก์นี้




 

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

GC-2014 ECD & PDD ตอนที่ ๓๗ พีคออกซิเจนจาก ECD MO Memoir 2559 Jan 4 Mon

Memoir ฉบับนี้เป็นบันทึกสัญญาณพีคออกซิเจนที่วัดจาก ECD ในช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อไว้อ้างอิงในการเปรียบเทียบความแรงของสัญญาณ ECD เมื่อเวลาผ่านไป (ECD ทำงานด้วยสารกัมมันตภาพรังสี ซึ่งจะเสื่อมไปตามเวลา) สภาวะการทำงานยังคงเป็นเช่นเดียวกันกับที่รายงานไว้ใน Memoir ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๑๑๐๓ เรื่อง "GC-2014 ECD & PDD ตอนที่๓๖ ECDหลังผ่านไปปีเศษ" เพียงแต่การทดลองในวันนี้ใช้อุณหภูมิคอลัมน์ 40ºC
 
รูปแรกนั้นเป็นโครมาโทแกรมจากการฉีดอากาศ ๔ ครั้ง พีคที่เห็นนั้นเป็นพีคออกซิเจน (เราใช้ไนโตรเจนเป็น carrier gas ดังนั้นจึงไม่มีพีคไนโตรเจน) เป็นการเปรียบเทียบตำแหน่งและขนาดความสูงของพีค รูปที่สองนั้นเป็นภาพขยายส่วนฐานของพีคโดยที่ไม่ได้มีการปรับแต่งระดับของเส้น base line จะเห็นว่าในช่วงแรกเส้น base line จะอยู่ที่ระดับสูง (เปิดเครื่องตั้งแต่ ๘.๓๐ น มาฉีดตัวอย่างครั้งแรกตอนราว ๆ บ่ายโมงครึ่ง แต่พอการฉีดสองครั้งหลัง (หลังบ่ายสามโมง) ได้ระดับเส้น base line ที่ใกล้เคียงกัน ผลนี้แสดงให้เห็นว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าเส้น base line จะคงที่ (ปรกติจะเปิดไว้อย่างน้อย ๔ ชั่วโมงก่อน จึงจะเริ่มฉีดตัวอย่างแรกได้
 
ส่วนรูปสุดท้ายเป็นการนำโครมาโทแกรมมาทาบทับกันโดยวางจุดตั้งต้นพีคให้อยู่ที่ระดับเดียวกัน เพื่อตรวจสอบจุดสิ้นสุดของพีค
 
เครื่อง GC-2014 เครื่องนี้ พอโปรแกรมอุณหภูมิเสร็จเรียบร้อยและทำการ download พารามิเตอร์ต่าง ๆ เครื่องจะไม่ทำการเพิ่มอุณหภูมิทันที แต่จะรออยู่เป็นช่วงเวลาหนึ่งก่อน เพื่อให้ carrier gas ทำการ purge ไล่อากาศ (ที่อาจมีอยู่ในคอลัมน์เมื่อทำการปิดเครื่อง) ในคอลัมน์ออกก่อน จากนั้นจึงค่อยเพิ่มอุณหภูมิ oven ไปที่อุณหภูมิที่ทำการวิเคราะห์
 
พรุ่งนี้ก็จะทำการเปิดเครื่องทิ้งเอาไว้ในช่วงเช้า และช่วงบ่ายหลังข้าวเที่ยงก็คงจะได้ทำการฉีด NO กัน




วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

GC-2014 ECD & PDD ตอนที่ ๓๖ ECD หลังผ่านไปปีเศษ MO Memoir 2558 Dec 30 Wed

หลังให้เครื่องได้พักผ่อนไปปีเศษ เมื่อวานก็ได้ฤกษ์เปิดเครื่องใหม่อีกครั้ง แต่ก็ทำเอามึนไปพักใหญ่ เพราะจำไม่ได้ว่าตั้งค่าอะไรไว้เท่าไร ตั้งวาล์วตัวไหนไว้ตรงไหน โชคดีที่มีบันทึกเก็บเอาไว้ ก็เลยเสียเวลาไปเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งวัน แต่ถึงกระนั้นก็ต้องทำการ regenerate คอลัมน์ที่ 150ºC ข้ามคืน เช้านี้ก็เลยทำการทดสอบการวัด N2O ดูก่อนเลย

การวัด NO นั้นวัดที่ 40ºC ส่วนการวัด N2O นั้นวัดที่ 150ºC ค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ในการตั้งเครื่องนั้นดูได้ในรูปในหน้าที่ ๒-๘ ซึ่งแสดงค่าในส่วนของ tab ต่อไปนี้ที่อยู่ใต้กราฟ Column, ECD1, PDD, General, Add flow (รวมของ tab Relay ทางด้านขวาด้วย) และ tab ด้านขวาคือ Line 1 และ Heater/Flow นอกจากนี้ยังมีในส่วนของ Make up gas สำหรับ ECD ที่ตั้งความดันไว้ที่ 10 kPa (ตั้งโดยใช้ pressure regulator ที่อยู่ด้านบนทางด้านหลังของเครื่อง)

ส่วนรูปในหน้า ๙ นั้นเป็นผลการฉีด N2O ๖ ครั้ง โดยนำเอาสัญญาณที่วัดได้นั้นมาวางในกราฟเดียวกัน ที่เห็นเส้น base line ของสัญญาณอยู่ที่ระดับความสูงที่แตกต่างกันเป็นผลจากการ drift อย่างช้า ๆ ของเส้น base line (ไม่ได้เกิดจากการใช้ซอร์ฟแวร์ขยับเส้นสัญญาณ) ส่วนรูปที่ ๑๐ นั้นเอากราฟที่วัดได้เมื่อกรกฎาคม ๒๕๕๗ (เส้นล่างสุด) มาวางเทียบเวลาและความสูง จะเห็นว่าตำแหน่งพีคยังคงเดิมอยู่ แต่ความแรงสัญญาณที่วัดได้ในวันนี้ต่ำกว่าเล็กน้อย (และยังไม่คงที่) ซึ่งตรงนี้เรายังพอจะเพิ่มความแรงของสัญญาณได้ด้วยการลดอัตราการไหลของ make up gas ของ ECD ให้ต่ำลงไปอีก

ที่เห็นเส้นโครมาโทแกรมลดระดับลงในช่วงแรกเป็นผลจากการเปลี่ยนตำแหน่งวาล์วฉีดตัวอย่าง จากตำแหน่งเก็บตัวอย่างไปอยู่ตำแหน่งฉีดตัวอย่าง ทำให้อัตราการไหลของ carrier gas เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมันส่งผลต่อระดับเส้น base line

ส่วนรูปในหน้า ๑๑ นั้นเป็นแผนผังอย่างง่ายของระบบการไหลของแก๊สที่ผมวาดเอาไว้เมื่อวาน การตั้งวาล์ว 2 และวาล์ว 4 ที่เราใช้ระหว่างการวิเคราะห์นั้น จะให้ carrier gas ที่มาจากวาล์ว 1 ไหลผ่านวาล์ว 2 และตรงไปยัง ECD เลย และ carrier gas ที่มาจากวาล์ว 3 ไหลผ่านวาล์ว 4 ตรงไปยัง PDD เช่นกัน

Memoir ฉบับนี้ก็เป็นฉบับสุดท้ายของปีนี้ สรุปว่าปีนี้ออก Memoir มาทั้งสิ้น ๑๙๑ ฉบับ รวม ๑๐๔๖ หน้ากระดาษ A4 แล้วพบกันใหม่ปีหน้า (ก็อีกไม่กี่วันข้างหน้า) พร้อมกับสมาชิกใหม่ของกลุ่มที่จะมีเพิ่มอีก ๒ คน ขอให้สนุกกันในช่วงเทศกาลปีใหม่กันทุกคนนะครับ สวัสดี




 

 


 


วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

GC-2014 FPD กับระบบ DeNOx ตอนที่ ๗ หลังจากผ่านไป ๔ ปี MO Memoir : Saturday 21 February 2558

เครื่อง GC-2014 FPD นี้ได้รับมาเมื่อราว ๆ ปลายปีพ.ศ. ๒๕๕๓ นำเชื่อมต่อเข้ากับระบบและทดสอบกันจริงจังก็ตอนต้นปี ๒๕๕๔ และมีบันทึกของเครื่องนี้ออกมาครั้งแรกก็ตอนเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีการใช้งานบ้างไม่ใช้งานบ้าง มาถึงปีนี้ได้เวลาที่จะนำกลับมาใช้งานกันยกใหญ่อีกครั้งก็เลยต้องลงไปตรวจสอบการทำงานกันสักหน่อย

เครื่องนี้ประกอบด้วย Relay ควบคุมวาล์ว ๒ ตัวดังนี้
  
Relay 91 ทำหน้าที่ควบคุมตำแหน่งวาล์วฉีดตัวอย่าง โดย Pt A คือตำแหน่งฉีดสารเข้าคอลัมน์ (carrier gas ไหลผ่าน sampling loop และดันแก๊สตัวอย่างใน sampling loop เข้าคอลัมน์ GC) และ Pt B คือตำแหน่งเก็บตัวอย่าง (รับแก๊สตัวอย่างจากระบบเข้า sampling loop และระบายทิ้งออกไป)
  
Relay 92 ทำหน้าควบคุมวาล์วปิด-เปิดท่อรับแก๊สตัวอย่างเข้าสู่ Sampling valve โดย Pt A คือตำแหน่งเปิดและ Pt B คือตำแหน่งปิด ดังนั้นก่อนจะเก็บตัวอย่างอย่าลืมตั้ง Relay 92 นี้ไปที่ตำแหน่ง Pt A ไม่เช่นนั้นจะฉีดตัวอย่างไม่เข้า

การทดสอบเริ่มตั้งแต่วันพุธที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาและไปเสร็จสิ้นเอาเมื่อวาน โดยในวันแรกนั้นเป็นการทบทวนการทำงานของระบบต่าง ๆ การทำงานของระบบวาล์ว การทำงานของตัวตรวจวัด และไปสิ้นสุดด้วยการทดลองฉีดแก๊ส SO2 เข้มข้น 10000 ppm ใน N2 เมื่อวานเพื่อตรวจสอบการทำงานของ FPD (Flame Photometric Detector)

ในช่วงสองวันแรกตั้งสภาวะการทำงานของเครื่องเอาไว้ดังนี้

Carrier gas (He) flow rate 15 ml/min
Air pressure 35 kPa
Hydrogen pressure 125 kPa
Injector temperature 110 ºC
Column temperature 180 ºC
Detector temperature 185 ºC (สุดท้ายปรับเป็น 180ºC)
Sampling rate 80 msec

เครื่องนี้มีระบบควบคุมการไหลของ carrier gasให้คงที่ผ่านทางคอมพิวเตอร์ ดังนั้นจำเป็นต้องตั้งความดันด้านขาออกของ pressure regulator ที่หัวถังแก๊สให้เพียงพอ (สัก 5 bar) ส่วน Injector port นั้นไม่มีคอลัมน์ต่ออยู่ คอลัมน์ต่อตรงกับกับด้านขาออกของ sampling valve ที่มีการให้ความร้อนด้วย heating block อีกตัวหนึ่ง

รูปที่ ๑ และ ๒ เป็นการทดสอบผลของอัตราการไหลของ carrier gas ที่มีต่อระดับ base line พบว่าเมื่อลดอัตราการไหลจะทำให้ base line ลดระดับลงในช่วงต้นก่อนที่จะเปลี่ยนระดับไปยังตำแหน่งที่สูงขึ้นในช่วงสุดท้าย และเมื่อเพิ่มอัตราการไหลก็พบว่า base line มีการเพิ่มระดับสูงขึ้นก่อนที่จะลดระดับลงต่ำลงในช่วงสุดท้าย และก่อนที่ระดับ base line จะเข้าที่สัญญาณจะมีการแกว่งไปมาเล็กน้อย การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงอัตราการไหล carrier gas ส่งผลต่อสัญญาณของ FPD ในระดับหนึ่ง
  
ส่วนรูปที่ ๓ เป็นการปล่อยทิ้งไว้หลักจากการทดลองในรูปที่ ๒ ผ่านไป ๒ ชั่วโมง รูปนี้แสดงให้เห็นการเปลี่ยนระดับ base line เมื่อเปิดเครื่องทิ้งเอาไว้โดยไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับมัน
  
รูปที่ ๔ และ ๕ เป็นการทดสอบผลการเปลี่ยนตำแหน่ง sampling valve ว่ามีผลต่อสัญญาณหรือไม่ ทั้งนี้เพราะเมื่อ sampling valve เปลี่ยนจากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง ความต้านทานในการไหลจะเปลี่ยนไป อัตราการไหลของ carrier gas จะเปลี่ยนไป (ตำแหน่งฉีดสารตัวอย่างจะมีความต้านทานการไหลที่สูงกว่าตำแหน่งเก็บสารตัวอย่าง) ทำให้ระบบต้องมีการปรับความดันเพื่อปรับอัตราการไหลให้กลับมาคงเดิม ซึ่งผลกระทบตรงนี้ส่งผลให้โครมาโทแกรมที่ได้จากการฉีดสารตัวอย่างนั้นมีลักษณะที่มีการแกว่งในช่วงแรกอยู่บ้าง (ดูรูปที่ ๖) ก่อนที่ระบบปรับตัวเข้าสู่สภาพเดิมได้ รูปที่ ๖ เป็นการฉีด carrier gas ด้วย sampling valve เข้าคอลัมน์ ดังนั้นมันไม่ควรจะมีการแสดงพีคใด ๆ พีคต่าง ๆ ที่เห็นในช่วง 2.5 นาทีแรกนั้นเป็นผลจากการเปลี่ยนตำแหน่งวาล์วที่ทำให้อัตราการไหล carrier gas ไม่นิ่งอยู่ชั่วขณะ

รูปที่ ๗ เป็นการทดลองฉีด SO2 10000 ppm ใน N2 ด้วย sampling valve (ขนาด sampling loop 0.1 ml) อันที่จริงปริมาณตัวอย่างที่ฉีดนั้นก็มากเกินกว่าทั้งคอลัมน์ที่ใช้และตัว FPD จะรับได้ พีคที่ได้นั้นเป็นพีคหัวตัดที่ความสูงของพีคแสดงให้เห็นว่า detector อิ่มตัว (วัดจนสุดสเกลสูงสุดที่วัดได้) ส่วนรูปที่ ๘ - ๑๓ นั้นเป็นภาพหน้าจอการตั้งเครื่อง GC
รูปที่ ๑ การทดสอบผลของอัตราการไหลของ carrier gas ต่อระดับ base line ในรูปนี้เป็นการทดลองลดอัตราการไหลของ carrier gas จาก 15 ml/min ลงเหลือ 12 ml/min และเพิ่มกลับเป็น 15 ml/min ใหม่ ตอนที่ทดลองนี้เพิ่งจะเปิดเครื่องได้ไม่นาน (แกน x ข้างล่างคือเวลาเป็นนาที นับจากเปิดเครื่อง)

รูปที่ ๒ เป็นรูปต่อเนื่องจากรูปที่ ๑ โดยเป็นการทดสอบผลของอัตราการไหลของ carrier gas ต่อระดับ base line ในรูปนี้เป็นการทดลองเพิ่มอัตราการไหลของ carrier gas จาก 15 ml/min เป็น 18 ml/min และลดกลับลงเหลือ 15 ml/min ใหม่ (แกน x ข้างล่างคือเวลาเป็นนาที นับจากเปิดเครื่อง) จะเห็นว่าระดับสัญญาณสุดท้ายนั้นลดต่ำลงกว่าระดับสัญญาณตอนเริ่มต้นเปิดเครื่องอยู่เล็กน้อย

รูปที่ ๓ หลังจากเปิดเครื่องทิ้งไว้กว่า ๓ ชั่วโมง รูปนี้แสดงการเปลี่ยนแปลงระดับสัญญาณ base line ในช่วงเวลา ๑ ชั่วโมง (สเกลเวลายังคงต่อเนื่องจากรูปที่ ๑ และ ๒)
 
รูปที่ ๔ ยังเป็นการทดลองต่อเนื่องจากรูปที่ ๓ คราวนี้เป็นการทดสอบผลของการขยับตำแหน่งวาล์วเก็บ-ฉีดสารตัวอย่าง (Relay 91) โดยลองสลับกันระหว่างตำแหน่งเก็บสารตัวอย่าง (Pt B) กับตำแหน่งฉีดสารตัวอย่าง (Pt A) 
รูปที่ ๕ ยังเป็นการทดลองต่อเนื่องจากรูปที่ ๔ โดยังคงเป็นการทดสอบผลของการขยับตำแหน่งวาล์วเก็บ-ฉีดสารตัวอย่าง (Relay 91) โดยลองสลับกันระหว่างตำแหน่งเก็บสารตัวอย่าง (Pt B) กับตำแหน่งฉีดสารตัวอย่าง (Pt A) กลับไปมาหลายครั้งเพื่อดูว่าลักษณะของ spike ที่เกิดขึ้นเมื่อวาล์วเก็บตัวอย่างขยับจาก Pt B เป็น Pt A นั้นเกิดขึ้นคงที่ทุกครั้งหรือไม่
 





วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

GC-2014 ECD & PDD ตอนที่ ๓๕ เมื่อวาล์ว 1 อุดตัน MO Memoir : Saturday 21 June 2557

บันทึกฉบับนี้อ้างอิงไปยังแผนผังระบบเก็บตัวอย่างของ ECD ในบันทึกปีที่ ๔ ฉบับที่ ๔๓๒ วันพุธที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ เรื่อง "GC-2014 ECD & PDD ตอนที่ ๒๒ ระบบคอลัมน์ใหม่ของ ECD" โดยรูปที่ ๒ และ ๓ ในบันทึกนี้นำมาจากรูปที่ ๓ และ ๔ ในบันทึกฉบับที่ ๔๓๒ ตามลำดับ
  
วาล์ว 1 นั้นทำหน้าที่ฉีดแก๊สเข้าคอลัมน์ของ ECD โดยในจังหวะเก็บแก๊สตัวอย่าง (ดูรูปที่ ๑-๓ ประกอบ) แก๊สตัวอย่างจะไหลเข้าวาล์วทาง port 10 เข้าสู่ sampling loop ทาง port 1 ออกจาก sampling loop เพื่อวกกลับเข้าวาล์วอีกทีทาง port 8 และออกจากวาล์วมุ่งไปยังวาล์ว 3 ที่ใช้ฉีดแก๊สเข้าคอลัมน์ PDD ทาง port 9
  
ในจังหวะฉีดตัวอย่างเข้าคอลัมน์นั้น วาล์วจะมีการหมุนในทิศทางตามเข็มนาฬิกา ท่อที่เชื่อมระหว่าง port 8 และ 9 ในจังหวะเก็บตัวอย่าง (เส้นสีเหลือง) จะเคลื่อนมาเชื่อมระหว่าง port 9 และ 10 แทน (เส้นสีส้ม) ส่วน carrier gas นั้นจะไหลเข้า sampling loop ทาง port 7 (อยู่ข้างใต้ port 8) เพื่อดันแก๊สตัวอย่างใน sampling loop ออกทาง port 1 และเข้าสู่คอลัมน์ GC ทาง port 2 (อยู่ทางด้านขวาของ port 1 ในรูปที่ ๑)

รูปที่ ๑ วาล์ว 1 ของเครื่อง GC-2014 ECD & PDD ที่เกิดการอุดตัน ตัวเลขระบุตำแหน่ง port ของวาล์ว (ดูรูปที่ ๒ และ ๓ ในหน้าถัดไปประกอบ)


รูปที่ ๒ วาล์ว 1 เมื่ออยู่ในตำแหน่ง sampling loop รับแก๊สตัวอย่างจากด้านขาออกของ reactor (จากรูปที่ ๓ ในบันทึกฉบับที่ ๔๓๒)


รูปที่ ๓ วาล์ว 1 เมื่ออยู่ในตำแหน่งฉีดแก๊สตัวอย่างใน sampling loop เข้าคอลัมน์ GC (จากรูปที่ ๔ ในบันทึกฉบับที่ ๔๓๒)
  
เรื่องมันเริ่มจากหนุ่มน้อยรายเดียวของกลุ่มเพื่อนบ้านที่ยังต้องทำการทดลองอยู่ เขาแวะมาหาผมในวันพุธ จะขอให้ช่วยไปดูเครื่อง GC ให้หน่อย เพราะมันฉีดแก๊สตัวอย่างเข้าวาล์วเก็บตัวอย่างไม่ได้ บังเอิญวันพฤหัสบดีผมติดธุระ เลยเพิ่งจะมีเวลามาดูให้เขาเมื่อวานตอนก่อนเที่ยง ปัญหาการอุดตันนั้นทางกลุ่มเราก็เคยประสบ คาดว่าเกิดจากมี (NH4)2SO3 สะสมในระบบท่อ แต่คำถามก็คือ "ตรงตำแหน่งไหน"

การแก้ปัญหาเมื่อวานเริ่มจากการถอดเอา sampling loop ออกก่อน ตั้งตำแหน่งวาล์วให้อยู่ในตำแหน่ง "เก็บตัวอย่าง" จากนั้นก็ทดลองฉีดแก๊สเข้าระบบ ก็พบว่าฉีดได้ โดยแก๊สจะรั่วออกทาง port 1 นั่นแสดงว่าเส้นทางจากด้านขาเข้ามาจนถึงทางออกที่ port 1 นั้นไม่อุดตัน 
   
จากนั้นก็ทดลองปรับตำแหน่งวาล์วไปที่ตำแหน่ง "ฉีดตัวอย่าง" แล้วทดลองฉีดแก๊สเข้าระบบอีกครั้ง ก็พบว่าไม่สามารถฉีดได้ นั่นแสดงว่าตำแหน่งการอุดตันอยู่ระหว่างท่อเชื่อม port 9 - port 10 ของวาล์ว 1 (ดูรูปที่ ๓) ไปจนถึงทางออก ขั้นตอนต่อไปก็คือต้องหาว่าการอุดตันเกิดที่ตำแหน่งไหน มีอยู่เพียงตำแหน่งเดียว หรือมีหลายตำแหน่ง
  
จากนั้นเริ่มการทดสอบต่อด้วยการถอดท่อนำแก๊สออกจากวาล์ว 1 ตรง port 9 (ที่ส่งตรงไปยังวาล์ว 3) ออก โดยที่ยังคงตำแหน่งวาล์ว 1 ไว้ที่ "เก็บตัวอย่าง" แล้วทดลองฉีดแก๊สตัวอย่างอีกครั้ง ก็พบว่าไม่สามารถฉีดได้ นั่นแสดงว่าเราพบการอุดตันแล้ว 1 ที่ คือในท่อที่เชื่อมต่อระหว่าง port 9 และ port 10 เมื่อวาล์วอยู่ในตำแหน่ง "ฉีดตัวอย่าง" (เส้นสีเขียวในรูปที่ ๑) ท่อนี้จะย้ายไปเชื่อมต่อระหว่าง port 8 และ port 9 เมื่ออยู่ในตำแหน่ง "เก็บตัวอย่าง" (เส้นสีเหลืองในรูปที่ ๑)
  
ครั้งก่อนหน้านี้ที่เราเจอ เราทำเพียงแค่หมุนวาล์ว 1 ขยับไปมา และอัดแก๊สตัวอย่างเข้าไป ในที่สุดสิ่งอุดตันก็หลุดออก อันที่จริงการอุดตันที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ก็ไม่ถึงขึ้นที่เรียกว่าอัดแก๊สไม่เข้าเลย แต่ต้องใช้แรงเยอะ แสดงว่าการอุดตันคงจะยังไม่ถึงขั้นปิดเส้นทางการไหลของแก๊สอย่างสมบูรณ์ แต่หลังจากทดลองขยับวาล์วและอัดแก๊สเข้าไป ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ วิธีแก้ปัญหาวิธีแรกที่คิดก็คือ สงสัยว่าคงต้องเรียกช่างเขามาถอดวาล์วทำความสะอาด อันที่จริงวาล์วแบบนี้ผมก็เคยถอดชิ้นส่วนมัน แต่มันก็นานมาแล้ว (สมัยเรียน) และที่สำคัญก็คือถ้าหากเกิดปัญหาเพิ่มเติมอีก เดี๋ยวหนุ่มรายนี้จะไม่จบ เพราะแค่นี้เขาก็ย่ำแย่มากอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ตามช่างมา ก็ไม่รู้ว่าจะมาได้เมื่อใด และก็คงจะทำให้เขาไม่สามารถจบได้ทันเช่นกัน เพราะไม่สามารถปิดการทดลองได้ทันเวลา

หลังจากที่ปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลยตัดสินใจทดลองทำความสะอาดเอง โดยการปรับวาล์วไปอยู่ที่ตำแหน่ง "เก็บตัวอย่าง" ก่อน แล้วต่อ sampling loop กลับคืนเข้าไป แต่ยังคงถอดท่อตรง port 9 อยู่ จากนั้นก็หยดน้ำกลั่นเข้าไปทาง port 9 ทิ้งไว้สักพักให้น้ำซึมเข้าไปละลายสิ่งอุดตัน (ที่เราคาดว่าน่าจะเป็น (NH4)2SO4 ที่ละลายน้ำได้) ตอนนี้มีการดูดแก๊สให้ไหลย้อนเข้าวาล์ว 1 ทาง port 9 เล็กน้อย เพื่อดึงให้น้ำกลั่นซึมเข้าไปละลายสิ่งอุดตันได้ดีขึ้น จากนั้นก็ทำการอัดแก๊สเข้าวาล์ว 1 อีก ทีนี้พบว่าทำเพียงไม่กี่ครั้ง สิ่งอุดตันที่มีอยู่ก็หลุดออก
  
ก่อนประกอบท่อที่ต่อตรง port 9 กลับคืนก็ทำการไล่น้ำที่ค้างอยู่ออกให้หมดก่อน ด้วยการอัดแก๊สตัวอย่างผ่านเข้าวาล์วหลาย ๆ ครั้ง ซับน้ำที่อาจค้างอยู่ตามร่องเกลียวออก แล้วจึงค่อยต่อท่อกลับคืน port 9 จากนั้นก็ทดสอบระบบอีกทีว่ายังมีการอุดตันที่ตำแหน่งอื่นอีกหรือเปล่า โชคดีที่พบว่ามีเพียงแค่ตำแหน่งเดียว

โบราณเขาว่า "สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็น ไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำ ไม่เท่าทำเอง" ถ้าว่ากันตามนี้ คนที่ไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย ให้คนอื่นไปทำแทนแล้วก็รอนั่งฟังผลเพื่อเอาไปเล่าต่อ ถึงจะรับฟังเรื่องเดียวกันมาจากคนหนึ่งพันคนพูด ก็ไม่มีทางรู้ดีไปกว่าคนที่ได้ลงมือทำเพียงครั้งเดียว

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๕๕ (ตอนที่ ๒๙) MO Memoir 2557 Feb 27 Thu

เอกสารฉบับนี้แจกจ่ายเป็นการภายใน ไม่นำเนื้อหาลง blog
เนื้อหาในเอกสารฉบับนี้เป็นภาพสรุปโครมาโทแกรมการวัดการเกิด N2O

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สรุปปัญหาระบบ DeNOx (ภาค ๔) MO Memoir : Thursday 3 October 2556

เนื้อหาในบันทึกนี้เป็นตอนต่อจากงานที่มอบหมายให้กลุ่ม DeNOx ทดสอบที่กล่าวไว้ในบันทึกปีที่ ๖ ฉบับที่ ๖๗๕ วันอังคารที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เรื่อง "แนวทางหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์นิสิตรหัส ๕๕ (ตอนที่ ๑๓)" เป็นบันทึกการแก้ปัญหาพีค SO2 หายไปที่อุณหภูมิสูง ที่ได้กระทำไปในช่วงวันอังคารที่ ๑ - พฤหัสบดีที่ ๓ ตุลาคมที่ผ่านมา
 
สิ่งที่ผมสงสัยคือมันเกิดปัญหาแบบเดียวกับที่เคยกล่าวไว้ในบันทึกปีที่ ๕ ฉบับที่ ๔๙๔ วันเสาร์ที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ เรื่อง "สรุปปัญหาระบบ DeNOx (ภาค ๓)" หรือไม่
 
สิ่งแรกที่ได้ให้ทีม DeNOx ทำก็คือ ทดลองลดปริมาณ TiO2 จาก 0.10 g เหลือ 0.07 g และเปลี่ยนท่อเชื่อมด้านขาออกของ Mass flow controller ของ SO2 จากท่อสแตนเลสหัก 90º มาเป็นท่อพลาสติกโค้งดังรูปที่ ๑ ข้างล่าง


รูปที่ ๑ สายท่อพลาสติกที่ใช้ในการเชื่อมต่อด้านขาออกของ Mass flow controller ของ SO2 เข้าเส้นทางการไหลหลัก
 
จากนั้นให้วัดความเข้มข้น SO2 ด้านขาออกที่อุณหภูมิ 200ºC และ 450ºC โดยที่อุณหภูมิ 200ºC นั้นไม่ต้องรอจนกระทั่งระบบเข้าสู่สมดุล (ที่อุณหภูมิต่ำ TiO2 จะดูดซับ SO2 ได้มากกว่าที่อุณหภูมิสูง) เอาแต่เห็นพีคสูงมากพอก็ใช้ได้ แล้วก็ให้ปรับอุณหภูมิ reactor ไปเป็น 450ºC จากนั้นวัดพีค SO2 ใหม่ ถ้าเห็นพีค SO2 ที่ 450ºC มีขนาดเท่ากับหรือใหญ่กว่าพีค SO2 ที่ 200ºC ก็แสดงว่าการลดขนาดเบด (จาก 0.10 g หรือ 0.07 g) และการปรับแนวท่อ (จากท่อหักฉากมาเป็นท่อโค้ง) สามารถลดความต้านทานด้านขาออก และทำให้ SO2 ไหลได้สม่ำเสมอตลอดทั้งช่วงอุณหภูมิทำการทดลอง (200-450ºC)
 
จากผลการทดสอบที่แสดงในรูปที่ ๒ ข้างล่างจะเห็นว่าได้พีค SO2 กลับคืนมาเหมือนเดิมที่ 450ºC (ดูจากการที่พีค SO2 ที่ 450ºC นั้นไม่ได้มีขนาดเล็กกว่าพีค SO2 ที่ 200ºC)
 
งานส่วนนี้กระทำไปในวันอังคารที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖
 
รูปที่ ๒ พีค SO2 ที่อุณหภูมิ 200ºC และ 450ºC ผ่านเบดที่บรรจุ TiO2 0.07 g ที่เห็นว่าพีคที่ 200ºC นั้นต่ำกว่าพีคที่ 450ºC เป็นเพราะไม่ได้รอให้ระบบเข้าสู่สมดุลที่ 200ºC (ถ้ารอก็คงจะได้พีคสูงกว่านี้)

งานถัดมาที่กระทำในวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ เป็นการทดสอบว่าตัวปัญหาหลักอยู่ที่ระบบท่อหรืออยู่ที่เบด โดยในการนี้ได้ให้ทำการต่อท่อเข้าเหมือนเดิม (Old line) โดยยังคงใช้เบดที่บรรจุ TiO2 เอาไว้ 0.07 g จากการทดสอบพบว่าพีค SO2 ที่ 450ºC นั้นหายไป (Old line ในรูปที่ ๓ ข้างล่าง) แต่เมื่อทำการเปลี่ยนเป็นท่อพลาสติก ก็ได้พีค SO2 กลับคืนมา แสดงว่าระบบท่อเดิมด้านขาออกของ Mass flow controller ของ SO2 นั้นได้รับผลกระทบมากจากความต้านทานการไหลที่เพิ่มขึ้นเมื่อเบดมีอุณหภูมิสูงขึ้น
 
รูปที่ ๓ พีค SO2 ที่อุณหภูมิ 200ºC และ 450ºC ผ่านเบดที่บรรจุ TiO2 0.07 g การทดสอบนี้เป็นการทดสอบว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเบดหรืออยู่ที่ข้อต่อ 3 ทาง โดยในการนี้ได้ทดลองต่อท่อกลับคืนเดิม (Old line) พบว่าที่ 200ºC พีคยังปรากฏเหมือนเดิม แต่ที่ 450ºC นั้นพีค SO2 หายไป แต่พอเปลี่ยนมาเป็นท่อพลาสติก (New line) พบว่าที่ 450ºC ก็ได้พีค SO2 กลับมาเหมือนเดิม แสดงว่าความต้านทานการไหลของข้อต่อสามทางทางด้านขาออกของ Mass flow controller ของ SO2 นั้น ส่งผลต่อการไหลของ SO2 ที่อุณหภูมิสูงอย่างมาก

งานสุดท้ายที่ทำการทดสอบในเช้าวันนี้คือทดลองใช้ท่อพลาสติก (New line) แต่ใช้ปริมาณ TiO2 เป็น 0.10 g (ปริมาณที่ใช้ในการทดลองต่าง ๆ ก่อนหน้านี้) การทดสอบนี้กระทำเพื่อตรวจสอบว่าความต้านทานการไหลระหว่างตัวท่อกับที่เบดนั้น ที่ไหนมีบทบาทสำคัญในการรบกวนการไหลของ SO2 จาก Mass flow controller การทดสอบนี้กระทำที่อุณหภูมิเดียวคือ 450ºC 
  
ผลการทดสอบที่แสดงในรูปที่ ๔ ข้างล่างชี้ให้เห็นว่าตัวปัญหาหลักคือตัวท่อ ไม่ใช่ตัวเบด เพราะไม่ว่าจะใช้ TiO2 0.07 g หรือ 0.10 g ก็ให้พีคที่เหมือนกัน


รูปที่ ๔ พีค SO2 ที่อุณหภูมิ 200ºC และ 450ºC ผ่านเบดที่บรรจุ TiO2 0.10 g การทดสอบนี้เป็นการทดสอบว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเบดหรืออยู่ที่ข้อต่อ 3 ทาง โดยในการนี้ได้ใช้ท่อพลาสติก (New line) แต่ใช้ปริมาณ TiO2 0.01 g พบว่าที่ 450ºC ก็ได้พีค SO2 ที่มีขนาดใกล้เคียงกับพีค SO2 ที่ได้เมื่อใช้ TiO2 0.07 g แสดงว่าที่อุณหภูมิสูง ความดันลดคร่อมเบดไม่ได้ส่งผลต่อการไหลของ SO2 มากเหมือนผลของของข้อต่อสามทางทางด้านขาออกของ Mass flow controller ของ SO2

ต่อจากนี้หวังว่าคงไม่มีปัญหาภาค ๕ ตามมาอีกนะ 
  
ว่าแต่ว่าพวกคุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมผมจึงคิดว่าปัญหามันน่าจะอยู่ตรงท่อตำแหน่งนั้นตั้งแต่แรก

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เมื่อ GC ถ่านหมด (การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๕๑) MO Memoir : Tuesday 1 October 2556

เช้าวันนี้กะว่าจะแวะไปดูสาวน้อยจากเมืองวัดป่ามะม่วงทำการดัดแปลงระบบท่อ SCR สักหน่อยเพื่อทำการวัด SO2 ปรากฏว่าทันทีที่เจอหน้าก็เจอรายงานปัญหาทันที คือเขาบอกว่าเครื่อง GC-2014 FPD (ที่เราใช้วัด SO2) มันขึ้น Error ว่า "DET#4 FPD Battery error"
 

ผมก็บอกเขาว่ามันไม่มีอะไรหรอก สงสัยถ่านหมด ท่าทางเขางง ๆ ก็เลยบอกให้ลดอุณหภูมิ oven ลงแล้วก็เปิดฝาหน้าของเครื่องให้ดู ชี้ให้เห็นกล่องในถ่านไฟฉายขนาด AA ๔ ก้อน พอแกะออกมาก็พบว่าถ่านมันเน่าไปแล้วก้อนนึง ก็เลยให้ไปซื้อถ่านมาเปลี่ยนใหม่ (เอาเป็นถ่านอัลคาไลน์ยี่ห้อดี ๆ หน่อย มันจะได้ไม่รั่วไหลเวลาหมดอายุ)

พอเปลี่ยนถ่านใหม่ ประกอบทุกอย่างกลับคืน คำเตือน Error นั้นก็หายไป





รูปที่ ๑ (บน) คำเตือน "DET#4 FPD Battery error" ที่จอเครื่อง (ล่าง) ตำแหน่งกล่องใส่แบตเตอรี่



อันที่จริงเรื่องนี้เคยเล่าเอาไว้ใน Memor ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๑๙๑ วันอังคารที่ ๑๗ สิงหาคม พ.. ๒๕๕๓ เรื่อง "ข้อสังเกตเกี่ยวกับ FPD (ตอนที่ ๒)" (ผมแนบไฟล์มาให้ด้วยแล้ว) ตอนนั้นมันก็ ๓ ปีแล้ว แสดงว่าอายุถ่านไฟฉายในเครื่องนี้มันอยู่ไม่เกิน ๓ ปีแน่ แต่คงขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งานด้วย



สงสัยว่าอีก ๓ ปีข้างหน้าคงมีคนมาถามปัญหาเรื่องนี้ใหม่อีกที

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

เมื่อพีคออกซิเจนของระบบ DeNOx หายไป (การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๕๐) MO Memoir : Sunday 22 September 2556

ช่วงสายวันเสาร์ที่ผ่านมาเห็นเขานั่งสับปะหงกอยู่ที่เก้าอี้หน้าระบบ DeNOx ตอนนั้นอุณหภูมิ reactor อยู่ที่ 300ºC เห็นกราฟโครมาโทแกรมหน้าจอคอมพิวเตอร์กำลังแสดงผลการวิเคราะห์ ผมก็เลยไปเอาน้ำใส่กาต้มน้ำเพื่อจะต้มน้ำร้อนชงกาแฟกิน ระหว่างรอน้ำร้อนเดือดก็เดินเล่นไปรอบ ๆ แลป สักพักก็เห็นเขาออกอาการ สาเหตุก็คือโครมาโทแกรมไม่ปรากฎพีคออกซิเจน มีแต่พีค NO (อันที่จริงมีพีคออกซิเจนเล็กมากดังที่เอามาให้ดูในรูปที่ ๑ จากเครื่อง GC-2014 ECD & PDD โดยใช้ ECD วัด) ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ที่เขาเริ่มทดสอบโดยเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง 250ºC ทุกอย่างก็ยังปรกติอยู่

เหตุการณ์นี้ซ้ำรอยกับที่เขาประสบมาเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ คราวนั้นเขาถึงกับต้องยุติการทดลอง พอมาทดลองใหม่ในสัปดาห์นี้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา เขาก็ลงทุนอดนอน (ดูเหมือนจะได้นอนบ้างช่วงรอเก็บตัวอย่าง) เพื่อที่จะดูว่ามันจะเกิดเหมือนเดิมอีกหรือไม่ (คือพีคออกซิเจนหายไปที่อุณหภูมิ 300ºC) และมันก็เกิดจริง ๆ สนองการรอคอยของเขา

รูปที่ ๑ โครมาโทแกรมเส้นบน (สีม่วง) คือเส้นปรกติ จะเห็นพีคออกซิเจนเป็นพีคที่ใหญ่และสูงมาก (15 vol%) ที่เริ่มออกมาเมื่อเวลาประมาณ 8 นาที โดยมีพีค NO ออกตามหลังมา (ประมาณ 120 ppm) ส่วนเส้นล่าง (สีดำ) เป็นเส้นที่มีปัญหา จะเห็นพีคออกซิเจนเหลือเพียงนิดเดียว

แม้ว่าจะใช้ระบบเดียวกัน แต่วิธีการทดลองของเขาในวันนี้แตกต่างไปที่กลุ่มเราใช้ กล่าวคือเขาไม่ได้ผสมไอน้ำเข้าไปในแก๊สขาเข้า แต่เขายังคงให้แก๊สออกซิเจนไหลผ่าน saturator อยู่ (ตามเส้นสีแดงในรูปที่ ๒) เพียงแต่ไม่เปิด heater เท่านั้นเอง เมื่อวานผมก็เลยให้เขาปรับทิศทางการไหลของแก๊สออกซิเจนด้วยการใช้วาล์ว 3 ทางที่ติดตั้งอยู่ (รูปที่ ๓) ให้แก๊สออกซิเจนไหลผ่านจุดป้อน SO2 ก่อนไปบรรจบกับเส้นทางการไหลของแก๊สไนโตรเจน (แนวเส้นประสีเขียวในรูปที่ ๒) แต่การทำเช่นนี้จะทำให้แก๊สจากสายไนโตรเจนไหลย้อนเข้า saturator ได้ ดังนั้นควรที่จะปิดวาล์วด้านขาออกจาก saturator ด้วย (ไม่ได้แสดงในรูป)

รูปที่ ๒ แผนผังการไหลของแก๊สของระบบ DeNOx ที่เราใช้ทำการทดลอง

รูปที่ ๓ ในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดง คือวาล์วสามทางที่ใช้เปลี่ยนทิศทางการไหลของแก๊สออกซิเจน

หลังจากนั้นก็ให้เขาทดลองวัดองค์ประกอบของแก๊สที่อุณหภูมิ 300ºC ใหม่ ก็พบว่าได้พีคออกซิเจนกลับคืนมาเหมือนเดิมดังแสดงในรูปที่ ๔ ข้างล่าง และจากการติดตามก็พบว่าออกมาเป็นปรกติจนถึงอุณหภูมิ 400ºC

รูปที่ ๔ การกลับมาของพีคออกซิเจน (เส้นสีดำ) เทียบกับข้อมูลเดิม (เส้นสีม่วง) จะเห็นว่าจุดเริ่มต้นเกิดพีคและจุดสิ้นสุดของพีคออกซิเจนของทั้งสองเส้นนั้นอยู่ที่เดียวกัน

อันที่จริงถ้าย้อนหลังกลับไปดูข้อมูลของเขาก่อนหน้านี้ (รูปที่ ๕) จะเห็นปัญหาเกิดกับพีคออกซิเจนตั้งแต่อุณหภูมิ reactor 200ºC แล้ว คือเห็นพีคออกซิเจนแคบลงเล็กน้อย และที่อุณหภูมิ 250ºC ก็เห็นพีคออกซิเจนแคบลงมาก พอเพิ่มอุณหภูมิ reactor สูงถึง 300ºC พีคออกซิเจนก็แทบไม่เหลือเลย ทั้ง ๆ ที่อัตราการไหลของออกซิเจนนั้น (30 ml/min) มากเป็นอันดับสองรองจากไนโตรเจน

รูปที่ ๕ ข้อมูลก่อนหน้าของเขาที่วัดที่อุณหภูมิต่าง ๆ กันจนถึง 300ºC เมื่อทำการเปรียบเทียบข้อมูลจะเห็นว่าพีคออกซิเจนเริ่มมีขนาดแคบลงเล็กน้อยตั้งแต่อุณหภูมิ 200ºC และที่สำคัญก็คือการหายไปของออกซิเจนนั้นเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่อุณหภูมิ 250ºC แล้ว

การแก้ปัญหานั้นถ้าเราแก้ด้วยการหาสาเหตุที่เป็นต้นตอของปัญหา เราก็จะหาทางหลีกเลี่ยงมันได้ หรือถ้าเราพบเจอกับมันอีกในอนาคต เราก็จะรู้ว่าควรต้องทำอย่างไรกับมัน แต่ถ้าแก้โดยการลองถูกลองผิด หรือทำตามที่คนอื่นบอกมาโดยที่ไม่รู้ว่าหรือสนใจว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น เมื่อพบกับปัญหาใด ๆ ก็จะไม่รู้วิธีการแก้ หรือกว่าจะหาได้ก็คงต้องลองผิดลองถูกไปเยอะ ดังนั้นในกรณีนี้เราจะมาลองพิจารณากันว่าอะไรเป็นต้นตอของเรื่อง
  
สิ่งที่เราต้องพิจารณาคือเกิดอะไรขึ้นเมื่อเพิ่มอุณหภูมิ reactor และการที่แก๊สออกซิเจนไหลผ่าน saturator และไม่ไหลผ่าน saturator นั้นมันแตกต่างกันอย่างไร

เมื่อเราเพิ่มอุณหภูมิของ fixed-bed ให้สูงขึ้น สิ่งที่เราทราบกันอยู่แล้วก็คือความต้านทานการไหลจะสูงขึ้น เพราะเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นแก๊สจะมีความหนืดมากขึ้น และบันทึกของกลุ่มเราหลายเรื่อง (เกี่ยวกับ GC-2014 ECD & PDD และระบบ DeNOx) ก็ได้บันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ และการแก้ปัญหาเอาไว้ แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับแก๊สที่มีอัตราการไหลที่ต่ำมาก (คือ NO NH3 และ SO2) เมื่อเทียบกับอัตราการไหลรวมของระบบ

กรณีที่เห็นว่าใกล้เคียงกับเหตุการณ์นี้มากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องที่เคยเล่าไว้ใน Memoir ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒๗๗ วันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เรื่อง "สรุปปัญหาระบบ DeNOx (ภาค ๒)" ที่แนบมาด้วย

เมื่อให้แก๊สออกซิเจนไหลผ่าน saturator นั้นจะมีแรงต้านทานการไหลเพิ่มขึ้นจากเมื่อไม่ไหลผ่านคือ "ระดับน้ำที่อยู่ใน saturator" (ความสูง h ในรูปที่ ๒) แต่ถ้าคิดว่ามันเกิดจากระดับน้ำใน saturator มันก็จะเกิดปัญหาตามมาคือ "ทำไมเมื่อสาวน้อยจากเมืองวัดป่ามะม่วงและสาวน้อยโซเฟอร์สิบล้อทำการทดลอง จึงไม่เห็นพีคออกซิเจนหายไป ทุกอย่างออกมาเป็นปรกติ"

ตรงจุดนี้จากประสบการณ์ที่เคยเจอ และเมื่อพิจารณาจากโครงสร้างของอุปกรณ์ พอจะคาดเดาสาเหตุที่เป็นไปได้ ๒ ข้อดังนี้ (คือคิดออกแค่นี้ แต่จะมีมากกว่านี้หรือเปล่าก็ไม่รู้)

(ก) เส้นทางแก๊สไหลผ่าน saturator นั้นมีการรั่วไหลอยู่เล็กน้อย และ/หรือ
(ข) เขาบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาอัดแน่นเกินไป

กรณีมีการรั่วไหลอยู่เล็กน้อยนี้กลุ่มเราเคยพบกับระบบ gas phase partial oxidation ในกรณีที่แก๊สมีทางออกได้สองทางที่มีความต้านทานการไหลแตกต่างกันมาก แก๊สจะเลือกออกทางเส้นทางที่มีความต้านทางการไหลต่ำมากก่อน แต่ถ้าหากเส้นทางที่มีความต้านทานการไหลต่ำนี้มีความต้านทานการไหลเพิ่มสูงขึ้น แก๊สก็จะรั่วออกทางเส้นทางที่มีความต้านทานการไหลสูงกว่าเพิ่มมากขึ้น เราก็จะเห็นแก๊สหายไปจากระบบ

สิ่งแรกที่ผมถามเขาคือเขาได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับ saturator หรือเปล่า เขาบอกว่าไม่ได้ไปยุ่งอะไร คนก่อนหน้าที่ทำการทดลองที่มีการเพิ่มน้ำในระบบปล่อยให้ line เส้นนี้อยู่อย่างไรก็ยังคงอยู่อย่างนั้น เขาทำเพียงแค่ไม่เปิด heater เท่านั้นเองเพื่อไม่ให้มีน้ำระเหยเข้าระบบ

ดังนั้นต้นตอของสาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้คือเกิดจากการอัดเบดตัวเร่งปฏิกิริยาแน่นเกินไป ซึ่งเรื่องนี้เราเคยประสบมาในกรณีของแก๊ส SO2 ที่สาวน้อยหน้าบาน (คนใหม่) และสาวน้อยร้อยห้าสิบเซนต์ (คนใหม่) เจอมาเมื่อปีที่แล้ว ที่พบว่าการ อัดเบดตัวเร่งปฏิกิริยาแน่นเกินไปนั้นส่งผลต่อการไหลของแก๊ส (ที่มีอัตราการไหลต่ำมากเมื่อเทียบกับอัตราการไหลรวม) ได้เมื่ออุณหภูมิของ reactor เพิ่มสูงขึ้น แต่ตรงนี้ผมก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการอัดเบดตัวเร่งปฏิกิริยาของเขานั้นเขาอัดแน่นเกินไปหรือไม่เมื่อเทียบกับที่กลุ่มเราใช้อยู่


แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็คงต้องขอให้ผู้ที่ทำการทดลองกับระบบ DeNOx นี้คำนึงถึงปัญหานี้เอาไว้ด้วย