แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ thermal conductivity detector แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ thermal conductivity detector แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

การวัดปริมาณไฮโดรเจนด้วย GC-TCD MO Memoir : Wednesday 3 February 2564

Thermal Conductivity Detector (ที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า TCD) หรือในชื่อเดิมคือ Katharometer นั้นเป็นตัวตรวจวัดที่มีการนำมาใช้กับเครื่องแก๊สโครมาโทกราฟ (Gas Chromatograph - GC) มานานแล้ว และก็ยังใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายในปัจจุบันด้วย เพราะมันมีจุดเด่นที่มีราคาไม่แพง และให้การตอบสนองต่อสารต่าง ๆ แบบจะเรียกว่าแทบทุกชนิดก็น่าจะได้ เรียกว่าถ้ามีสิทธิซื้อเครื่อง GC ได้เพียงเครื่องเดียวเพื่อเอาทำงานหลาย ๆ อย่าง (เช่นงานวิจัยที่เปลี่ยนหัวข้อไปเรื่อย ๆ) ตัว TCD ก็จะเป็นตัวเลือกตัวแรก

รูปที่ ๑ ค่าการนำความร้อนของแก๊สผสมระหว่าง He กับ H2 ที่สัดส่วนโมลของ H2 ต่าง ๆ จะเห็นว่าในช่วงแรกค่าการนำความร้อนจะลดลง ก่อนจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อสัดส่วน H2 เพิ่มขึ้น (จากบทความเรื่อง "Thermal Conductivity of Binary Mixtures of Gases. I. Hydrogen-Helium Mixtures, The Journal of Physical Chemistry, Vol. 72, No. 6, pp. 1924-1926, June 1968 โดย Clarke C. Minter)

การทำงานของตัวตรวจวัดชนิดนี้จะอาศัยสมดุลที่เปลี่ยนไประหว่างความร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวด และการระบายความร้อนออกจากขดลวดโดยแก๊สไหลผ่านขดลดนั้น ณ สภาวะการทำงานหนึ่ง (ที่อุณหภูมิ ความดัน อัตราการไหล และกระแสไฟฟ้า คงที่) ถ้าองค์ประกอบของแก๊สที่ไหลผ่านนั้นเปลี่ยนไป ก็จะทำให้ความสามารถในการระบายความร้อนของแก๊สนั้นเปลี่ยนไปด้วย ผลที่ตามมาก็คืออุณหภูมิของขดลวดจะเปลี่ยนไป พออุณหภูมิขดลวดเปลี่ยน ความต้านทานของขดลวดก็จะเปลี่ยน ดังนั้นถ้าจะให้กระแสไหลขดลวดผ่านเท่าเดิม ก็ต้องมีการปรับความต่างศักย์ และขนาดของความต่างศักย์ที่ต้องปรับเพื่อให้กระแสไหลผ่านเท่าเดิมนี้ เป็นตัวบ่งบอกว่าแก๊สที่ไหลผ่านขดลวดนั้นมีองค์ประกอบเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด

ความว่องไว (sensitivity) ของตัวตรวจวัดชนิดนี้แปรผันตามขนาดกระแสไฟฟ้า (I) ที่ไหลผ่านขดลวดยกกำลัง 3 (I3) แต่ความร้อนที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดจะแปรผันตามกระแสไฟฟ้ายกกำลัง 2 (I2) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือถ้าเราเพิ่มขนาดกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านขดลวดเป็น 2 เท่า ความว่องไวในการตรวจวัดจะเพิ่มเป็น 8 เท่า แต่ในขณะเดียวกันความร้อนที่เกิดขึ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า ดังนั้นถ้าแก๊สที่ไหลผ่านนั้นมีความสามารถในการระบายความร้อนที่ไม่เพียงพอ ขดลวดก็จะร้อนจัดจนทำให้อายุการใช้งานสั้นลงหรือขาดได้

ความสามารถในการนำความร้อนของแก๊สแปรผกผันคร่าว ๆ ก็ประมาณรากที่สองของน้ำหนักโมเลกุล ดังนั้นแก๊สที่เบากว่า (คือมีน้ำหนักโมเลกุลต่ำกว่า) ก็จะระบายความร้อนได้ดีกว่า ทำให้สามารถใช้กระแสที่สูงได้ ทำให้ตัวตรวจวัดมีความว่องไวในการวัดสูงไปด้วย แก๊สที่เบาที่สุดคือไฮโดรเจน (H2) แต่ H2 เป็นแก๊สที่ติดไฟได้ จึงไม่นิยมนำมาใช้เป็น carrier gas ตัวที่นิยมมากกว่าและใช้กันแพร่หลายที่สุดคือฮีเลียม (He) ที่นอกจากจะเป็นแก๊สที่เบาเป็นอันดับสองรองจาก H2 แล้ว He ยังเป็นแก๊สเฉื่อยที่ทำให้มั่นใจได้ว่ามันจะไม่ทำปฏิกิริยากับตัวขดลวดที่อุณหภูมิสูง

รูปที่ ๒ ค่าการนำความร้อนของแก๊สผสมระหว่าง He กับ H2 ที่สัดส่วนโมลของ H2 ต่าง ๆ (จากบทความเรื่อง "Thermal Conductivity of the Hydrogen-Helium Mixture", โดย A.G. Shashkov, F.P. Kamchatov and T.N. Abramenko วารสารต้นฉบับเป็นภาษารัสเซียตีพิมพ์ในวารสาร Inzhenerno-Fizicheskii Zhurnal, Vol. 24, No. 4, pp 657-662, April 1973 ซึ่งได้รับการแปลและตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในปีค.ศ. ๑๙๗๕)

ถ้าไม่นับ H2 แล้ว แก๊สตัวอื่นล้วนแต่มีน้ำหนักโมเลกุลมากกว่า He ทั้งสิ้น ดังนั้นเวลาที่ He มีแก๊สเหล่านั้นปนเข้ามาก็จะทำให้ค่าการนำความร้อนของแก๊สผสมนั้นลดต่ำลง และลดต่ำลงมากตามปริมาณที่ผสมเข้ามา ดังนั้นเวลาที่แก๊สผสมของ He นี้ไหลผ่านขดลวดความร้อน การเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดในทิศทางเดียวคือ ความสามารถในการระบายความร้อนลดลง Chromatogram ที่ได้ก็จะมีพีคชี้ไปในทิศทางเดียวกันหมด

มีหลายงานด้วยกันที่ต้องการวัดปริมาณ H2 ในแก๊สผสมโดยใช้เครื่อง GC ที่ติดตั้งตัวตรวจวัดชนิด TCD โดย H2 นี้จะเกิดรวมอยู่กับแก๊สอื่น ไม่ว่าจะเป็นอากาศ (N2 + O2), CO, CO2, CH4, H2O เป็นต้น แก๊สเหล่านี้ต่างมีน้ำหนักโมเลกุลมากกว่าและมีค่าการนำความร้อนต่ำกว่าของ He ดังนั้นเวลาที่สารเหล่านี้หลุดออกมาจากคอลัมน์ GC ก็จะทำให้แก๊สที่ไหลผ่าน TCD นั้นมีค่าการนำความร้อนที่ต่ำลง จะมีก็ตัว H2 ที่มีค่าการนำความร้อนที่สูงกว่า ที่ทำให้เกิดปัญหา

แต่แก๊สผสมระหว่าง He และ H2 มีพฤติกรรมที่ประหลาด กล่าวคือแม้ว่า H2 จะมีค่าการนำความร้อนที่สูงกว่า He แต่แก๊ส He ที่มี H2 ปนอยู่เล็กน้อยกลับมีค่าการนำความร้อนที่ "ต่ำกว่า" ของ He บริสุทธิ์ (รูปที่ ๑ - ๓)

รูปที่ ๓ ค่าการนำความร้อนของแก๊สผสมระหว่าง He กับ H2 ที่สัดส่วนโมลของ H2 ต่าง ๆ และที่อุณหภูมิต่าง ๆ (จากบทเดียวกับรูปที่ ๒)

และด้วยพฤติกรรมเช่นนี้จึงทำให้แก๊สผสม He + H2 ไหลผ่าน TCD พีค H2 ที่ TCD มองเห็นนั้นมีสิทธิเป็นได้ทั้ง พีคที่ตั้งขึ้น (เหมือนสารอื่น) หรือพีคที่คว่ำลง (ตรงข้ามกับสารอื่น) หรือมีทั้งตั้งขึ้นและคว่ำลงรวมกัน (ตัวปัญหา) ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของ H2 ในแก๊ส He ที่ไหลผ่าน TCD (รูปที่ ๔)

รูปที่ ๔ รูปร่างพีค H2 ที่อุณหภูมิการทำงานของ TCD ต่าง ๆ พึงสังเกตว่าที่อุณหภูมิการทำงานสูงขึ้น พีคมีแนวโน้มที่จะหันไปในทิศทางเดียวกัน (จากบทความเรื่อง "Thermal Conductivity Detector Analysis of Hydrogen Using Helium Carrier Gas and HayeSep® D Columns", Journal of Chromatographic Science, Vol. 36, pp. 191-196, April 1998. โดย Kirk Snavely and ฺBala Subramaniam)

เพื่อที่จะอธิบายรูปร่างของพีคที่ปรากฏในรูปที่ ๔ เรามาลองพิจารณาความเข้มข้นของ H2 ในแก๊ส He ที่ไหลผ่าน TCD ว่ามันส่งผลต่อรูปร่างสัญญาณ TCD ได้อย่างไร ตรงนี้ขอให้พิจารณารูปที่ ๕ ประกอบ

ในกรณีที่ความเข้มข้นของ H2 ในพีคที่เคลื่อนที่ผ่าน TCD นั้นมีค่าต่ำ (พีค 1) จนทำให้แก๊สผสมนั้นมีค่าการนำความร้อน-ของแก๊สผสมนั้นต่ำกว่าค่าการนำความร้อนของแก๊ส He พีคที่ได้ก็จะปรากฏในทิศทางเดียว (คือตั้งขึ้น) แต่ถ้าความเข้มข้นของ H2 ช่วงตอนกลางของพีคนั้นสูงจนทำให้ค่าการนำความร้อนสูงกว่าของ He (พีค 2) จะทำให้เห็นพีคที่มีลักษณะเหมือนกับเป็นพีคหัวแตกเช่นที่ 150ºC ในรูปที่ ๔ เพราะสัญญาณมีการกลับทิศ

รูปที่ ๕ ระดับความเข้มข้นของ H2 ในแก๊ส He ที่ไหลผ่าน TCD จะทำให้ได้พีคที่มีรูปร่างต่างกัน เส้นประสีน้ำเงินคือค่าการนำความร้อนของ He บริสุทธิ์

การกลับทิศของสัญญาณ TCD นี้จะมากขึ้นไปอีกถ้าหากความเข้มข้นของ H2 เพิ่มขึ้น (เช่นพีค 3) ที่อาจทำให้เป็นเป็น 2 พีคติดกัน (เช่นที่ 200ºC ในรูปที่ ๔) หรือเริ่มมีพีคกลับหัว (เช่นที่ 250ºC ในรูปที่ ๔) แต่ถ้าความเข้มข้นของพีคตอนกลางนั้นสูงกว่าด้านข้างมาก (เช่นพีค 4) พีคที่ได้ก็จะมีลักษณะกลับหัวที่เด่นชัน (เช่นที่ 300ºC ในรูปที่ ๔) โดยยังมีส่วนด้านข้างของพีคที่สัญญาณมีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตอนกลาง

อันที่จริงพีคในรูปที่ ๔ นั้นได้มาจากการฉีดตัวอย่างในปริมาณที่เท่ากัน (พูดง่าย ๆ คือรูปร่างพีคความเข้มข้น H2 ที่เคลื่อนที่ผ่าน TCD นั้นมีรูปร่างเดียวกันและเท่ากัน) เพียงแค่อุณหภูมิการทำงานของ TCD แตกต่างกัน บทความนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อเพิ่มอุณหภูมิการทำงาน TCD ให้สูงขึ้น ค่าการนำความร้อนของแก๊สผสม He + H2 นั้นมีแนวโน้มที่จะให้การเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียว คือเพิ่มขึ้นตามความเข้มข้น H2 ที่เพิ่มขึ้น (แม้ว่าจะมีลดต่ำลงเล็กน้อยในช่วงแรก)

การทำให้สัญญาณ H2 ที่ TCD วัดได้นั้นหันไปในทิศทางเดียวตลอดทั้งช่วงความเข้มข้นของพีค H2 ที่เคลื่อนที่ผ่านตัว TCD จึงอาจทำได้โดยการใช้แก๊สผสม He + H2 ที่มีค่าการนำความร้อนต่ำสุดมาใช้เป็น carrier gas วิธีการนี้จะทำให้สัญญาณ TCD ของพีค H2 นั้นอยู่ในทิศทางที่ตรงข้ามกับพีคสารตัวอื่น แต่ก็แก้ปัญหาได้ด้วยการกลับทิศทางสัญญาณของ TCD หลังจากพีค H2 เคลื่อนที่ผ่าน TCD แล้ว

อีกวิธีการหนึ่งก็คือการไปใช้ carrier gas ที่มีน้ำหนักโมเลกุล "สูงกว่า" ตัวอย่างทุกตัวที่ต้องการวิเคราะห์ (เช่นใช้แก๊ส Ar เป็น carrier gas) แต่การทำแบบนี้หมายถึงต้องไปลดขนาดกระแส (I) ที่ไหลผ่าน TCD นั่นหมายถึงความว่องไวในการวัดที่ลดต่ำลงไปด้วย และจะไม่สามารถใช้อุณหภูมิการทำงานของ TCD ที่สูงได้

ด้วยเหตุนี้การรายงานสภาวะการทำงานของเครื่อง GC ที่ใช้ในการวิเคราะห์ปริมาณ H2 จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะเป็นตัวบอกว่าตัวเลขปริมาณ H2 ที่ปรากฏในรายงานนั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใด

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

NH3-TPD - การลาก base line MO Memoir : Monday 7 March 2554

คำเตือนก่อนอ่านบันทึกฉบับนี้

สำหรับผู้นิสิตกลุ่มวิจัยอื่นที่กำลังจะสอบปกป้องวิทยานิพนธ์


สิ่งที่เขียนในบันทึกฉบับนี้อาจกระทบกระเทือน "ความเชื่อ" ดั้งเดิมที่ท่านมีอยู่ และอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสิ่งที่ท่านได้เขียนส่งกรรมการสอบไปแล้ว เนื้อหาในบันทึกฉบับนี้มีคำอธิบายทั้งสิ้นและได้ผ่านการทดสอบยืนยันแล้วว่าเป็นจริง ในอดีตที่ผ่านมานั้นมีนิสิตจากกลุ่มอื่น (ที่ไม่ใช่กลุ่มของผม) ซึ่งกำลังจะสอบปกป้องวิทยานิพนธ์และสงสัยในเรื่องดังกล่าวได้มาถาม แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจไม่อยากรับฟัง หรือไม่ก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจโดยไม่สามารถเอาไปบอกกับอาจารย์ที่ปรึกษาหรือสมาชิกอื่นในกลุ่มได้


Memoir ฉบับนี้เป็นตอนต่อเนื่องจาก Memoir ฉบับปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒๖๔ วันอาทิตย์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เรื่อง NH3-TPD - การไล่น้ำและการวาดกราฟข้อมูล ซึ่งในฉบับนั้นได้บอกวิธีที่เหมาะสมในการวาดกราฟก่อนที่จะทำการวิเคราะห์ข้อมูล

เนื้อหาในบันทึกฉบับนี้จะเป็นการอธิบายวิธีการลาก base line ซึ่งถ้าหากทำอย่างไม่เหมาะสมแล้วก็จะทำให้แปลผลการวิเคราะห์ไปคนละทาง หรืออาจจะคิดไปว่าผลการวิเคราะห์ NH3-TPD นั้นไม่สามารถทำซ้ำได้ (ทั้ง ๆ ที่จริงมันทำได้) หรือไม่น่าเชื่อถือ

ผลการวัดที่นำมาใช้เป็นตัวอย่างได้มาจากเครื่อง micromeritics ChemiSorb 2750 เช่นเดิม


ช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๕๑ มีนิสิตของผมคนหนึ่ง (ที่กำลังจะสอบปกป้องวิทยานิพนธ์) เข้ามาถามผมว่า เพื่อนของเขา (ซึ่งกำลังจะสอบปกป้องวิทยานิพนธ์เช่นเดียวกัน) มาขอให้เขาช่วยอธิบายวิธีการอ่านข้อมูล NH3-TPD เพราะเขาเห็นว่ากลุ่มของเรานั้นอ่านผลแบบไม่เหมือนใครในแลป และก็ดูเหมือนว่าวิธีการอ่านผลแบบของเรานั้นมันไม่เห็นมีปัญหาใด ๆ แถมมีคำอธิบายด้วยว่าทำไปต้องทำอย่างนั้น

ทีนี้นิสิตของผมก็คงคิดว่าสิ่งที่ผมสอนไปนั้นมันเป็นความลับ ไม่ควรบอกต่อ เขาก็เลยมาขออนุญาตผมก่อน ผมก็บอกเขาไปว่าสิ่งที่ผมสอนไปนั้นมันเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้พื้นฐาน ไม่ได้เป็นความลับอะไร อยากจะสอนใครก็ไม่หวง และถ้าเขาไปสอนเพื่อนของเขาแล้วเพื่อนของเขาไม่รู้เรื่อง ผมจะด่าเขาซ้ำด้วย เพราะตอนที่ผมสอนนั้นได้ถามแล้วว่าเข้าใจไหม ก็บอกว่าเข้าใจแล้ว แต่ถ้าไม่สามารถสอนต่อได้ก็แสดงว่าตอนนั้นยังไม่เข้าใจ แล้วมาโกหกผม

แต่ก่อนที่นิสิตของผมจะกลับไปสอนเพื่อนของเขา ผมฝากให้นิสิตของผมให้ลองถามเพื่อนของเขาดูก่อนว่า "คิดดีแล้วหรือที่อยากจะรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่กำลังจะสอบวิทยานิพนธ์อยู่แล้ว"

ดูเหมือนว่านิสิตของผมเขาจะนำคำถามของผมกลับไปถามเพื่อนของเขา พอได้ยินคำถามนั้นเพื่อนของเขาก็เลยเปลี่ยนความคิดเป็นไม่อยากรู้ว่าทางกลุ่มของเราอ่านผลการวัด NH3-TPD กันอย่างไร

(เรื่องนี้เคยเล่าไว้ครั้งหนึ่งแล้วใน Memoir ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒๖ วันศุกร์ที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๒ เรื่อง Thermal Conductivity Detector)


ในช่วงเดือนมีนาคมปีถัดมาก็มานิสิตปริญญาเอก (จากกลุ่มอื่น) มาถามผมเรื่องการลาก base line เพราะเขาสงสัยผลการอ่านกราฟ NH3-TPD ของสมาชิกผู้อื่นในกลุ่มเขา ผมก็อธิบายให้เขาฟังแล้วก็บอกให้เขากลับไปพิจารณาเอาเองก็แล้วกันว่าจะเอาไปบอกต่อกับสมาชิกผู้อื่นในกลุ่ม หรือจะเก็บเอาไว้เงียบ ๆ จนกว่าจะพ้นเดือนพฤษภาคมไปแล้ว เพราะช่วงเดือนมีนาคมนั้นนิสิตจำนวนหนึ่งในกลุ่มของเขาได้เขียนวิทยานิพนธ์ และบางคนก็ได้ส่งให้กรรมการสอบไปอ่านแล้ว และเหตุผลที่เขานิยมใช้ในการอ่านกราฟ NH3-TPD ก็คือ "ทำตามรุ่นพี่" ดังนั้นถ้าสิ่งที่เขารับรู้ไปนั้นมันขัดกับสิ่งที่ "รุ่นพี่" เขาทำเอาไว้ แน่นอนว่าเขาต้องโดนโต้แย้ง (ใครจะไปยอมรับง่าย ๆ ว่าสิ่งที่เขียนให้กรรมการไปอ่านแล้วมันผิดทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด) เพราะในกลุ่มของเขานั้นคำอธิบายว่า "ทำตามรุ่นพี่" มันอยู่เหนือคำอธิบายที่เป็นเหตุผลและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ทั้งสิ้น

ในช่วงเวลาไล่ ๆ กันนั้นก็มีนิสิตปริญญาเอกแลกเปลี่ยนจากประเทศสโลวัคคนหนึ่ง (ที่มาทำแลปอยู่กลุ่มเดียวกันกับในย่อหน้าข้างต้น) มาถามผมเรื่องนี้เหมือนกัน ซึ่งผมก็ได้อธิบายเขาไป เขาก็นั่งรับฟังอย่างเงียบ ๆ และจากไปอย่างเงียบ ๆ


ถ้าไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ก็อย่าอ่านเนื้อหาถัดไปจากบรรทัดนี้


ขอเริ่มจากผลการวัดที่เคยแสดงไว้ใน Memoir ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ก่อนก็แล้วกัน (รูปที่ ๑)

รูปที่ ๑ สัญญาณ NH3-TPD ของตัวเร่งปฏิกิริยา Cu-TS-1 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตสาขาวิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง "Preparation of copper titanium silicalite-1" โดยน.ส.ดรุณี สุขหอม ปีการศึกษา 2548) แนวเส้น base line คือเส้นประสีเขียวในรูป


สัญญาณตามรูปที่ ๑ คงไม่มีปัญหาใด ๆ เชื่อว่าทุกคนที่เห็นก็คงลาก base line ตามแนวเส้นสีเขียว ซึ่งจะได้ desorption peak ขนาดใหญ่ในช่วงเวลานาทีที่ 2-28 (อุณหภูมิประมาณ 80-320ºC)


ทีนี้ลองดูกราฟในรูปที่ ๒ และรูปที่ ๓ ดูบ้าง แล้วลองพิจารณาดูว่าเราควรจะลากเส้น base line อย่างไร


รูปที่ ๒ สัญญาณ NH3-TPD ของตัวเร่งปฏิกิริยา V-TS-1 ก่อนทำการล้างด้วยสารละลายกรด HNO3 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตสาขาวิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง "Catalytic study of iron, aluminium, cobalt and vanadium modified titanium silicalite-1 in the hydroxylation of benzene to phenol by hydrogen peroxide" โดยนายเกรียงไกร เสนจันทร์ฒิไชย ปีการศึกษา 2549)

รูปที่ ๓ สัญญาณ NH3-TPD ของตัวเร่งปฏิกิริยา Al-TS-1 ก่อนทำการล้างด้วยสารละลายกรด HNO3 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตสาขาวิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง "Catalytic study of iron, aluminium, cobalt and vanadium modified titanium silicalite-1 in the hydroxylation of benzene to phenol by hydrogen peroxide" โดยนายเกรียงไกร เสนจันทร์ฒิไชย ปีการศึกษา 2549)


สิ่งสำคัญที่ควรจะทำทุกครั้งเมื่อคิดจะทำ NH3-TPD คือ "การหาว่าตัวอย่างของเรานั้นมีตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวรวมเท่าไร" ซึ่งวัดได้ด้วยการให้ตัวอย่างดูดซับ NH3 หรือ pyridine จนอิ่มตัว เพราะเราต้องใช้ข้อมูลนี้ในการระบุว่าสัญญาณส่วนไหนที่เป็นสัญญาณของพีค NH3 และสัญญาณส่วนไหนควรเกิดจากการที่ base line เคลื่อนไปตามอุณหภูมิ

เทคนิคหนึ่งสำหรับวัดปริมาณ NH3 หรือ pyridine ที่ตัวอย่างดูดซับไว้ได้จนอิ่มตัวนั้น (โดยใช้เครื่อง GC) ได้เคยกล่าวไว้ใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๐๓ วันพุธที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๓ เรื่อง "การวัดปริมาณ-ความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิว" (NH3-TPD ฉบับที่แล้วบอกว่าฉบับต่อไปจะเล่าในฉบับต่อไป แต่ในความเป็นจริงเคยเล่าเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว) โดยส่วนตัวแล้วผมชอบที่จะวัดปริมาณรวมทั้งหมดด้วยการใช้การดูดซับ pyridine เพราะสามารถทำการวัดด้วยเครื่อง GC ที่ติดตั้ง FID ได้ เหตุผลก็เพราะ FID มันมี sensitivity สูงกว่า TCD และยังไม่มีปัญหาเรื่อง base line ไม่นิ่งในระหว่างการวิเคราะห์ด้วย นอกจากนี้ pyridine ยังเป็นของเหลวที่ฉีดได้ง่ายกว่าการฉีด NH3 ที่เป็นแก๊ส ซึ่งต้องระวังเรื่องการปรับความดันภายใน syringe ก่อนฉีดด้วย

หรือถ้าหากขี้เกียจทำการทดลองแยกกันสองครั้ง ก็สามารถทำการทดลองทีเดียวโดยใช้เครื่อง micromeritics ChemiSorb 2750 ก็ได้ สิ่งที่ต้องทำก็คืออย่าใช้วิธีผ่านแก๊สผสมที่มี NH3 ให้กับตัวอย่างจนตัวอย่างดูดซับ NH3 จนอิ่มตัว แต่ให้ใช้วิธีฉีดแก๊สผสมที่มี NH3 ให้กับตัวอย่างจนกว่าตัวอย่างจะอิ่มตัวด้วย NH3 จากนั้นคำนวณปริมาณ NH3 ที่ตัวอย่างดูดซับไว้ได้ ก็จะได้จำนวนตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวทั้งหมด ส่วนจะทำการฉีดด้วย syringe หรือใช้ sampling valve ของเครื่องนั้นก็แล้วแต่จะถนัด โดยส่วนตัวแล้วผมแนะนำให้ใช้ syringe จะดีกว่า เพราะจะได้ไม่มีปัญหาเรื่อง base line มีการกระตุกเป็นจังหวะในขณะที่ทำการสับตำแหน่ง sampling valve จากตำแหน่งเติม ไปเป็นตำแหน่งฉีด (ใครสงสัยว่าลักษณะสัญญาณกระตุกมันเป็นอย่างไร ก็ลองไปขอดูข้อมูลที่สาวน้อยหน้าใสจากบางละมุงทำเอาไว้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ส่วนที่ว่าทำไมสัญญาณมันต้องกระตุกตอนสับตำแหน่งวาล์วฉีดสารนั้น ขอกั๊กเหตุผลเอาไว้ก่อน เอาไว้เวลาไม่มีเรื่องอะไรจะล่าก็อาจจะเอามาเล่าให้ฟังก็ได้)

เมื่อเราได้ข้อมูลปริมาณ NH3 ที่ตัวอย่างสามารถดูดซับเอาไว้ได้ เราก็ทดลองลากเส้น base lineตามแนวที่เราคิดว่าจะเป็น ถ้าพบว่าปริมาณ NH3 ที่ตัวอย่างคายออกมาที่คำนวณได้จากกราฟ TPD นั้นตรงกับปริมาณที่ตัวอย่างดูดซับไว้ได้ นั่นก็แสดงว่าพีค NH3 ควรมีอยู่เพียงแค่นั้น

อีกวิธีการหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจคือการให้ตัวอย่างดูดซับ NH3 ที่อุณหภูมิสูง เช่นตัวอย่างที่แสดงในรูปที่ ๒ นั้น ถ้าเราสงสัยตัวสัญญาณตั้งแต่นาทีที่ 28 (หรือที่อุณหภูมิตั้งแต่ 300ºC) เป็นต้นไปนั้นเป็นพีคที่เกิดจากการคาย NH3 หรือไม่ เราก็ให้ความร้อนแก่ตัวอย่างจนมีอุณหภูมิ 300ºC แล้วฉีด NH3 เข้าไป ถ้าพบว่าปริมาณ NH3 ที่หลุดรอดผ่านตัวอย่างออกมานั้นเท่ากับปริมาณ NH3 ที่ฉีดเข้าไป นั่นก็แสดงว่าตัวอย่างไม่สามารถดูดซับ NH3 เอาไว้ได้ที่อุณหภูมิตั้งแต่ 300ºC เป็นต้นไป ดังนั้นสัญญาณที่เห็นที่อุณหภูมิสูงกว่า 300ºC จึงควรเป็นสัญญาณที่เกิดจากการเคลื่อนของ base line หรือการคายสารประกอบอื่น (เช่นน้ำ) ออกมาจากตัวอย่าง

ด้วยการทดสอบต่าง ๆ ดังกล่าวจึงทำให้สามารถระบุแนวเส้น base line ที่แท้จริงของสัญญาณที่แสดงในรูปที่ ๒ และ ๓ ซึ่งได้แสดงเอาไว้ในรูปที่ ๔ และ ๕ แล้ว


เท่าที่ทราบเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับบริษัทแห่งหนึ่งที่มีหน่วยงานทำวิจัยอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเรื่อง H2-TPR แต่ก็ใช้เครื่องมือรุ่นเดียวกัน) ทางบริษัทที่ขายเครื่องมือก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร เจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ขายเครื่องมือก็เลยโทรมาถามผม (เพราะบังเอิญผมรู้จักกับพี่ที่เป็นตัวแทนบริษัทที่ขายเครื่อง) ผมก็หัวเราะและบอกให้แกแวะเข้ามาหายังที่ทำงาน จะอธิบายให้ฟัง

วันรุ่งขึ้นพี่เขาก็แวะมาหาผม และจากไปด้วยรอยยิ้ม โดยทิ้งถุงขนมห่อใหญ่เอาไว้ให้ผมนั่งกินเล่นคนเดียว


รูปที่ ๔ แนวเส้น base line ของสัญญาณที่แสดงในรูปที่ ๒ แนวเส้น base line คือเส้นสีเขียวในรูป จากการตรวจสอบพบว่าสิ่งที่เห็นเป็นพีคที่เวลาประมาณนาทีที่ 37 นั้นเกิดจากการเคลื่อนของ base line และพีคเล็ก ๆ ที่อยู่ในช่วงเวลานาทีที่ 46-52 ที่วงแดงเอาไว้นั้นไม่ได้เกิดจากการคาย NH3 ออกจากพื้นผิว จะว่าไปแล้วสัญญาณรูปแบบนี้ถ้าจะให้ดีควรจะลองทำใหม่อีกอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพื่อที่จะได้เปรียบเทียบกันได้ว่าส่วนไหนเป็นพีคที่แท้จริง (เพราจะต้องทำซ้ำได้) และส่วนไหนเป็นแนวเส้น base line (ซึ่งจะพบว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงไป)


รูปที่ ๕ แนวเส้น base line ของสัญญาณที่แสดงในรูปที่ ๓ แนวเส้น base line คือเส้นสีเขียวในรูป จากการทดสอบพบว่าตัวอย่างไม่ดูดซับ NH3 ที่อุณหภูมิสูงเกินกว่า 320ºC จึงทำให้สรุปได้ว่าที่เห็นสัญญาณวิ่งขึ้นต่อเนื่องขึ้นไปอีกนั้นเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของแก๊สที่ไหลผ่าน TCD ของเครื่อง

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

NH3-TPD - การไล่น้ำและการวาดกราฟข้อมูล MO Memoir : Sunday 27 February 2554

ในแลปของเรานั้นคนส่วนใหญ่มักจะนิยมใช้เครื่อง micromeritics ChemiSorb 2750 ในการวิเคราะห์ ammonia temperature programmed desorption หรือที่เรานิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า NH3-TPD โดยเครื่อง ChemiSorb 2750 ที่เรามีอยู่นั้นจะใช้ Thermal Conductivity Detector (TCD) เป็นตัววัดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของแก๊สที่ไหลผ่านตัวอย่าง

โดยทั่วไปก่อนทำการวิเคราะห์นั้น เราจะไล่แก๊สต่าง ๆ ที่ถูกดูดซับอยู่บนพื้นผิว (ที่สำคัญคือน้ำ รองลงไปคือ CO2 แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นน้ำเสียมากกว่า) ออกไปก่อนด้วยการใช้แก๊สเฉื่อย (N2 หรือ He) purge ตัวอย่าง (คือเอาแก๊สเฉื่อยไหลผ่านตัวอย่าง) ในขณะเดียวกันก็มักจะทำการเพิ่มอุณหภูมิให้กับตัวอย่างเพื่อช่วยให้น้ำหลุดออกจากพื้นผิวและรูพรุนต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น น้ำที่หลุดออกมาจากรูพรุนนั้นจะถูกแก๊สเฉื่อยพัดพาออกไปจากระบบ และเมื่อเสร็จสิ้นการไล่น้ำแล้ว เราก็จะลดอุณหภูมิตัวอย่างให้ต่ำลงมายังอุณหภูมิที่จะทำการดูดซับ NH3 ซึ่งอุณหภูมิที่ใช้ในการดูดซับนี้มักจะอยู่ประมาณ 50ºC (อันนี้แล้วแต่คนทำการทดลอง)

ส่วนที่ว่าควรใช้อุณหภูมิเท่าไรในการดูดซับนั้นเคยกล่าวเอาไว้แล้วใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๑๙ วันศุกร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่องการควบคุมอุณหภูมิ และเรื่องเกี่ยวกับ NH3-TPD นี้เคยกล่าวไว้หลายครั้งแล้ว ขอให้ไปตามอ่านได้ใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๑๘ วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่องการวัดความเป็นกรดบนพื้นผิวของแข็ง (อีกครั้ง) ซึ่งในบันทึกฉบับหลังนี้จะบอกว่าควรต้องไปอ่านเรื่องก่อนหน้านี้เรื่องไหนบ้าง ใครที่ยังไม่มีบันทึกสองฉบับนี้ (โดยเฉพาะพวกรหัส ๕๓) ก็ไปหาอ่านได้จากคอมพิวเตอร์ของกลุ่มซึ่งผมเอาฉบับ pdf ไปลงเอาไว้

เหตุผลที่เราต้องไล่น้ำออกไปนั้นเป็นเพราะเมื่อเราทำการเพิ่มอุณหภูมิ ทั้ง NH3 และน้ำจะหลุดออกมาจากพื้นผิว และ TCD นั้นไม่แยกว่าสัญญาณที่วัดได้นั้นเป็นสัญญาณของน้ำหรือสัญญาณของ NH3 จึงทำให้เกิดปัญหาว่าพีคที่เห็นนั้นเป็นพีคการคายน้ำหรือเป็นพีคการคาย NH3

ตัวอย่างเดียวกันนั้น ถ้าใช้อุณหภูมิและระยะเวลาในการไล่น้ำแตกต่างกัน ก็ให้ผลการวัดNH3-TPD ที่แตกต่างกันได้ ทั้งนี้เป็นเพราะน้ำที่อยู่บนพื้นผิวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดตำแหน่งกรดแบบเบรินสเตด (Brönsted) และอุณหภูมิที่ใช้ไล่น้ำยังส่งผลถึงระดับการไล่โมเลกุลน้ำที่ถูกดูดซับทางเคมีออกจากพื้นผิวและโมเลกุลน้ำที่อยู่ในโครงสร้าง (ถ้ามีอยู่) ออกมาจากโครงสร้าง ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของพื้นผิวได้ ส่วนระยะเวลาการไล่นั้นส่งผลต่อระดับการไล่น้ำออกจากรูพรุน ถ้าเราให้เวลานานพอ น้ำที่หลุดออกมาจากพื้นผิวก็จะเคลื่อนที่ออกจากรูพรุนมาสู่แก๊สที่ไหลผ่านและถูกพาออกไปจากระบบ แต่ถ้าใช้เวลาสั้นเกินไป โมเลกุลของน้ำที่หลุดออกมากจากพื้นผิวที่อยู่ลึกในรูพรุนก็สามารถควบแน่นกลับลงบนพื้นผิวที่อยู่ใกล้ปากรูพรุนได้

แต่สิ่งสำคัญคือถ้าจะเปรียบเทียบผลการวัดตัวอย่างในตระกูลเดียวกัน ก็ควรทำการเตรียมตัวอย่าง (อุณหภูมิและเวลาที่ใช้ในการไล่น้ำ) ที่ภาวะเดียวกัน จะได้เปรียบเทียบผลการวิเคราะห์ได้

โดยส่วนตัวแล้วผมจะแนะนำให้ทำการไล่น้ำโดยใช้อุณหภูมิที่จะนำตัวเร่งปฏิกิริยานั้นไปใช้ในการทำปฏิกิริยา แต่ถ้าเราทำการศึกษาการทำปฏิกิริยาในช่วงอุณหภูมิต่าง ๆ กัน เช่นสมมุติว่าทดสอบในช่วงอุณหภูมิ 150-500ºC ผมจะแนะนำให้ทำการไล่น้ำที่อุณหภูมิ 150ºC จากนั้นจึงค่อยลดอุณหภูมิตัวอย่างลงมาที่อุณหภูมิที่จะให้ NH3 ดูดซับบนพื้นผิวของตัวอย่าง ทั้งนี้เพื่อให้พื้นผิวที่ NH3 เริ่มดูดซับนั้นมีลักษณะเดียวกันกับที่ควรเป็นที่อุณหภูมิ 150ºC เพราะถ้าเราไปไล่น้ำที่อุณหภูมิ 500ºC จะทำให้เราได้พื้นผิวตัวอย่างเป็นพื้นผิวที่ควรเป็นที่อุณหภูมิ 500ºC แม้ว่าเราจะลดอุณหภูมิตัวอย่างลงมายังอุณหภูมิที่จะทำการดูดซับ NH3 ก็ตาม

ในระหว่างการทำ NH3-TPD นั้นเราจะปรับอุณหภูมิของตัวอย่างให้เปลี่ยนแปลงไปตามโปรแกรมที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งมักจะทำการเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นด้วยอัตราการเพิ่มที่กำหนด โดยอัตราการเพิ่มนั้นอาจคงที่ตลอดการวิเคราะห์หรือปรับเปลี่ยนไป นอกจากนี้ยังอาจมีช่วงที่เรารักษาอุณหภูมิตัวอย่างให้คงที่


รูปที่ ๑ ตัวอย่างสัญญาณ NH3-TPD ของตัวเร่งปฏิกิริยา Cu-TS-1 ที่วิเคราะห์ด้วยเครื่อง micromeritics ChemiSorb 2750 ที่ให้เวลาเป็นแกนนอน (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตสาขาวิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง "Preparation of copper titanium silicalite-1" โดยน.ส.ดรุณี สุขหอม ปีการศึกษา 2548)


รูปที่ ๒ กราฟเดียวกันกับรูปที่ ๑ แต่ในที่นี้วาดใหม่โดยให้อุณหภูมิเป็นแกนนอน จะเห็นว่าเกิดปัญหาตรงตำแหน่ง (ก) อุณหภูมิ 80-90ºC ซึ่งเป็นช่วงที่เครื่องพยายามปรับอัตราการเพิ่มอุณหภูมิให้ได้ 10ºC/min และที่ (ข) 550ºC ซึ่งจุดข้อมูลสัญญาณในช่วงเวลาจากประมาณนาทีที่ 51-68 (ระหว่างเส้นประสีเขียวในรูปที่ ๑) ถูกยุบรวมเข้ามาเป็นขีดในแนวดิ่ง ซึ่งสามารถก่อให้เกิดปัญหาได้ถ้าหากในช่วงที่อุณหภูมิระบบคงนี้นี้มีการคาย NH3 ออกมาด้วย เพราะจะทำให้ข้อมูลดังกล่าวหายไป


ความจริงก็คือเราไม่สามารถ "หยุดเวลา" ได้ แต่เราสามารถ "หยุดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ" ได้ ดังนั้นถ้าเราจะนำเอาข้อมูลมาทำการวิเคราะห์ เราก็ควรที่จะใช้กราฟที่ถูกต้อง คือให้แกน x เป็นแกนเวลา ส่วนอุณหภูมิและสัญญาณ TCD นั้นให้เป็นแกน y เพราะที่ผ่านมานั้นพบว่านิสิตส่วนใหญ่ (กลุ่มอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มเรา) นิยมเขียนกราฟโดยให้แกน x เป็นแกนอุณหภูมิและแกน y เป็นแกนสัญญาณ TCD เพียงเพื่อให้อ่านค่าอุณหภูมิของตำแหน่งพีคได้ง่าย แต่การกระทำดังกล่าวนั้นส่งผลต่อกราฟข้อมูลเมื่อต้องการคำนวณพื้นที่ใต้พีค เพราะอาจทำให้ข้อมูลขาดหายไปได้โดยเฉพาะถ้าหากมีการคาย NH3 ออกมาในช่วงที่อุณหภูมิคงที่ ตัวอย่างของปัญหานี้ได้แสดงไว้ให้เห็นในรูปที่ ๑ และรูปที่ ๒ แล้ว


ในกรณีของสาวน้อยหน้าใสจากบางละมุงนั้นที่ผมบอกว่าการวิเคราะห์นี้ไม่จำเป็นสำหรับวิทยานิพนธ์ก็เพราะ งานของสาวน้อยหน้าใสนั้นเป็นการทำปฏิกิริยาในเฟสของเหลวที่เป็นน้ำโดยที่น้ำยังคงเป็นของเหลวอยู่ โครงสร้างของพื้นผิวที่สัมผัสกับน้ำที่เป็นของเหลวนั้นแตกต่างไปจากโครงสร้างของพื้นผิวที่สัมผัสกับแก๊สที่อุณหภูมิสูง ดังนั้นผมจึงคิดว่าการวัด NH3-TPD จะไม่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องของพื้นผิวในขณะที่ทำปฏิกิริยาเพราะอุณหภูมิที่ใช้ทำการทดลองและที่ใช้ในการวิเคราะห์นั้นแตกต่างกันมาก และสภาพแวดล้อมก็แตกต่างกันด้วย ผมจึงบอกว่าจะทำ NH3-TPD ก็ได้ แต่ก็ควรเอาไปใส่ไว้ในภาคผนวก ไม่จำเป็นต้องเอามาใส่ในบทวิธีการทดลองและผลการทดลอง ใส่เป็นเพื่อข้อมูลเผื่อว่าจะมีคนรุ่นหลังจะนำไปใช้ เพราะข้อมูลดังกล่าวนั้นคงไม่ได้เอาไปใช้ในการอธิบายผลการทดลองของสาวน้อยหน้าใส ในกรณีของสาวน้อยผมยาวจากชายแดนใต้ก็เช่นเดียวกัน


แต่ถ้าเป็นกรณีของสาวน้อย 150 cm ที่ทำการทดลองในเฟสแก๊สและที่อุณหภูมิสูงนั้น การวัด NH3-TPD จะมีความสำคัญเพราะช่วงอุณหภูมิการทำปฏิกิริยาและช่วงอุณหภูมิการวิเคราะห์นั้นเป็นช่วงเดียวกัน ส่วนที่ว่าอุณหภูมิที่ควรใช้ในการไล่น้ำควรเป็นเท่าใดนั้นผมคิดว่าน่าจะประมาณ 150ºC เพราะปฏิกิริยา DeNOx จะเริ่มเกิดที่อุณหภูมิประมาณนี้

เหตุผลที่ผมคิดว่าสาวน้อย 150 cm ควรใช้อุณหภูมิไล่น้ำเพียงแค่ 150ºC ก็มี ๒ ข้อดังนี้

(ก) ตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมขึ้นนั้น ในระหว่างการเตรียมได้เคยผ่านการเผา (calcine) ที่อุณหภูมิไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิที่จะใช้ในการวัด NH3-TPD มาแล้ว ดังนั้นถ้ามีน้ำค้างอยู่ในโครงร่างผลึก น้ำดังกล่าวก็ควรจะสลายตัวออกมาจากโครงร่างผลึกหมดแล้ว ถ้าจะมีค้างอยู่ก็ควรจะเป็นน้ำที่จะหลุดออกมาได้ที่อุณหภูมิที่สูงกว่า แต่ในการวัดนั้นถ้าเราไม่ได้ใช้อุณหภูมิสูงถึงขนาดนั้น น้ำที่ไล่ออกมาได้ที่อุณหภูมิสูงก็จะไม่หลุดออกมารบกวนการวัดที่อุณหภูมิต่ำ

(ข) ในการเก็บตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมขึ้น เรามักเก็บไว้ในขวดที่ปิดสนิท ดังนั้นแม้ว่าตัวเร่งปฏิกิริยาจะมีโอกาสสัมผัสกับความชื้นในอากาศ แต่ความชื้นนั้นก็ควรอยู่เพียงแค่บนพื้นผิวตัวเร่งปฏิกิริยาเท่านั้น ไม่ควรแทรกเข้าไปในโครงร่างผลึกที่ผ่านการเผาจนมีเสถียรภาพแล้วได้


ดังนั้นในขณะนี้คิดว่าพวกคุณคงพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าถ้าจะทำการวัด NH3-TPD นั้นควรจะใช้อุณหภูมิในการไล่น้ำสูงเท่าใด ซึ่งตอนนี้ก็ได้ยินมาว่ามีบางคนเพิ่งจะเริ่มจะสงสัยว่าทำไมเวลาที่ไล่น้ำด้วยอุณหภูมิที่แตกต่างกันจึงได้ผลการวิเคราะห์ที่แตกต่างกันไป แต่แทนที่เขาจะไปค้นคว้าว่ามันเป็นเพราะเหตุใด กลับใช้วิธีให้คนอื่นไปหาคำเหตุผลและอธิบายมาบอกเขา เพื่อที่เขาจะได้รู้เหมือนคนอื่น แม้แต่พวกคุณเองใช่ว่าอ่านบันทึกนี้จะรู้เรื่องได้ดี ถ้าไม่เคยได้สัมผัสกระบวนการทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น (ประเภทให้คนอื่นทำให้หมด รอดูแต่ผลอย่างเดียว) ก็คงจะรู้แบบผิวเผินเท่านั้น

เรื่องต่อไปที่วางแผนจะเขียนคือเรื่องของวิธีการป้อน NH3 เพื่อให้ตัวดูดซับ ซึ่งขั้นตอนนี้จะส่งผลต่อการระบุจำนวนพีคและการลากเส้น base line

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Thermal Conductivity Detector ภาค 2 MO Memoir : วันอังคารที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

MO Memoir ฉบับ 30 มกราคม ได้แนะนำให้รู้จักกับ Thermal Conductivity Detector (TCD) และเรื่องของ base line ไปแล้ว ฉบับนี้ขอกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวข้องที่ยังคงตกค้างอยู่

ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของ TCD คือให้การตอบสนองต่อแก๊สทุกชนิดที่ผสมกับแก๊สพาหะ (โดยปรกติที่เราใช้กันก็คือฮีเลียมนั่นแหละ) แล้วให้ค่าการนำความร้อนของแก๊สผสมแตกต่างไปจากแก๊สพาหะ การตอบสนองต่อตัวอย่างเกือบทุกชนิดก็เป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือถ้าไม่รู้ว่าตัวอย่างมีองค์ประกอบอะไรบ้าง และมีกี่องค์ประกอบ การใช้ TCD ก็เป็นตัวเลือกที่ดี หรือในกรณีที่สามารถซื้อ GC ได้แค่เครื่องเดียว แต่ต้องการวิเคราะห์สารหลาย ๆ อย่าง TCD ก็มักจะเป็นตัวเลือกตัวแรก

แต่ในกรณีที่เรารู้แล้วว่าเราต้องการวัดอะไร การเลือกตัวตรวจวัดที่มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่าจะเป็นการดีกว่า เช่นการวัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่อยู่ในน้ำ ถ้าเราใช้ TCD เป็นตัวตรวจวัดเราจะเห็นทั้งสัญญาณของน้ำและแอลกอฮอล์ แต่ถ้าเราใช้ FID (Flame Ionisation Detector จะกล่าวถึงใน MO Memoir ฉบับต่อไป) เราจะมองเห็นแต่สัญญาณของแอลกอฮอล์เท่านั้น จะไม่มีสัญญาณของน้ำเข้ามารบกวน ตัวอย่างของการใช้ TCD ตรวจวัดคือพวกแก๊สต่าง ๆ ในอากาศ เช่น ไนโตรเจน ออกซิเจน ไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนมอนออกไซด์ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่าง ๆ เป็นต้น

ความว่องไวของ TCD ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน ปัจจัยแรกที่กระแสที่ไหลผ่านวงจรบริดจ์ของ TCD ยิ่งกระแสไหลผ่านสูงเท่าใด ความว่องไวของ TCD ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย (ในคู่มือ GC ของ Shimadzu ที่เราใช้กันในแลปนั้นระบุไว้ว่าความว่องไวของ TCD เพิ่มตามปริมาณกระแสยกลำลัง 3 แต่การใช้กระแสที่สูงมากก็อาจทำให้ base line ขาดเสถียรภาพและทำให้อายุการใช้งานของขดลวดสั้นลงได้

ปัจจัยที่สองที่ส่งผลต่อความว่องไวของ TCD คือความสัมพันธ์ระหว่างค่าการนำความร้อนของแก๊สพาหะและของแก๊สตัวอย่าง ถ้าค่าการนำความร้อนของแก๊สพาหะและแก๊สตัวอย่างต่างกันมากเท่าใด ความว่องไวก็จะเพิ่มมากตามไปด้วย จากการที่ฮีเลียมมีค่าการนำความร้อนที่สูงกว่าไนโตรเจนมาก เราจึงนิยมให้ฮีเลียมเป็นแก๊สพาหะ (เหตุผลที่ไม่ใช้แก๊สไฮโดรเจนเป็นเหตุผลด้านความปลอดภัย) ในกรณีของไฮโดรเจนนั้น แม้ว่าไฮโดรเจนบริสุทธิ์จะมีค่าการนำความร้อนที่ดีกว่าฮีเลียมบริสุทธิ์ แต่ถ้าความเข้มข้นของไฮโดรเจนในฮีเลียมต่ำกว่า 8% แก๊สผสมนั้นจะมีค่าการนำความร้อนต่ำกว่าฮีเลียมบริสุทธิ์ ดังนั้นถ้าเราวัดแก๊สไฮโดรเจนในช่วงความเข้มข้นต่ำกว่า 8% เสมอจะไม่เจอปัญหาพีคกลับหัว แต่ถ้าความเข้มข้นของไฮโดรเจนในฮีเลียมสูงกว่า 8% ค่าการนำความร้อนของแก๊สผสมนี้จะสูงกว่า และทำให้เกิดปัญหาพีคกลับหัวเมื่อเทียบกับแก๊สตัวอื่น วิธีการหนึ่งในการวิเคราะห์แก๊สผสมที่มีไฮโดรเจนผสมอยู่ในความเข้มข้นต่าง ๆ กันคือการใช้แก๊สผสมที่ประกอบด้วยไฮโดรเจน 10% ในฮีเลียม ซึ่งจะทำให้ได้สัญญาณพีคไฮโดรเจนกลับหัวเสมอเมื่อเทียบกับแก๊สตัวอื่น แต่ก็สามารถใช้โปรแกรมหรือการตั้งเครื่องเพื่อให้สัญญาณกลับทิศได้

ปัจจัยที่สามที่ส่งผลต่อความว่องไวของ TCD คืออุณหภูมิการทำงานของขดลวด การเพิ่มกระแสวงจรบริดจ์จะเพิ่มอุณหภูมิขดลวดและความว่องไวของขดลวด แต่ก็จะทำให้อายุการทำงานของขดลวดสั้นลง

ความสัมพันธ์ระหว่างสัญญาณจาก TCD กับการเปลี่ยนแปลงค่าการนำความร้อนของแก๊ส (ซึ่งเป็นไปตามชนิดและปริมาณของตัวอย่างที่อยู่ในแก๊สพาหะ) ไม่ได้เป็นเส้นตรงในช่วงที่กว้างมากนักเมื่อเทียบกับตัวตรวจวัดชนิดอื่น (เช่น FID ที่จะกล่างถึงต่อไป) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถประมาณด้วยเส้นตรงได้ เอาเป็นว่าเวลาที่คุณสร้างเส้นกราฟมาตรฐาน (calibration curve) ก็ลองพิจารณาเอาเองก็แล้วกันว่าควรประมาณด้วยเส้นตรงหรือเส้นโค้ง หรืออาจแบ่งเป็นช่วง ๆ ก็ได้ ถ้าสงสัยเรื่องนี้ลองกลับไปอ่านเรื่อง "ลากให้ผ่านหรือไม่ให้ผ่าน" ใน MO Memoir 2551 Dec 9 Tue ดูใหม่

สิ่งหนึ่งที่แนะนำให้ทำอยู่เสมอแต่ไม่ค่อยจะทำกันคือ เมื่อปรับตั้งเครื่อง GC เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะเริ่มการทดลองแต่ละครั้งให้ทดลองฉีดสารมาตรฐานสักตัวเพื่อดูความแรงของสัญญาณ ตัวอย่างเช่นถ้าคุณต้องการวัดสารอินทรีย์ ก็อาจเอาสารบริสุทธิ์เช่น แอลกอฮอล์ หรือไฮโดรคาร์บอน หรือสารใดก็ได้ที่คอลัมน์ GC ที่คุณใช้อยู่สามารถรับได้ (โดยอุณหภูมิคอลัมน์ต้องสูงกว่าจุดเดือดของสารที่ฉีดเข้าไป) หรือใช้อากาศในกรณีของการวิเคราะห์แก๊สทั่วไป ที่ทราบปริมาตรแน่นอน ฉีดเข้าไปในเครื่อง GC แล้วดูความแรงของสัญญาณที่ได้และเวลาที่สารออกมาจากเครื่อง การกระทำดังกล่าวเป็นการทดสอบว่าตัวตรวจวัดยังมีความว่องไวเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า (อย่าคิดว่าเครื่องตั้งไว้เฉย ๆ ไม่มีใครไปยุ่งกับมัน) เช่นอาจเอาเอทานอล 0.5 ไมโครลิตร ฉีดเข้าไปแล้วได้พื้นที่ออกมา 100,000 ดังนั้นในการทำการทดลองครั้งถัดไปก็ต้องทดลองเอาเอทานอล 0.5 ไมโครลิตรฉีดเข้าไปแล้วดูว่ายังได้พื้นที่ออกมา 100,000 อยู่หรือเปล่า ถ้าผิดเพี้ยนไปจากค่านี้มากแสดงว่าเครื่อง GC ไม่ได้อยู่ในสภาพเดียวกันกับที่เคยใช้มาก่อนหน้า ให้หาสาเหตุให้ได้ก่อน แล้วปรับเครื่องให้ได้เหมือนเดิม จากนั้นจึงค่อยเริ่มทำการทดลอง

ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นกับ GC ติดตั้ง TCD ที่ใช้กันในแลปเราคือคอลัมน์อิ่มตัวไปด้วยน้ำ สาเหตุเป็นเพราะในการทดลองบางการทดลองมีการเก็บแก๊สไปวิเคราะห์ปริมาณ N2 O2 CO และ CO2 ซึ่งในแก๊สดังกล่าวมีน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย ทีนี้อุณหภูมิที่ใช้ในการวิเคราะห์แก๊สเหล่านี้มักจะอยู่ที่ประมาณอุณหภูมิห้อง ซึ่งที่อุณหภูมิห้องสารเหล่านี้จะเป็นแก๊สทุกตัว ยกเว้น "ไอน้ำ" เมื่อเราฉีดสารตัวอย่างที่มีไอน้ำผสมอยู่เข้าไปในคอลัมน์ที่ทำงานที่อุณหภูมิต่ำกว่า 100 C ไอน้ำจะไม่ออกมาจากคอลัมน์แต่จะตกค้างอยู่ในคอลัมน์ เมื่อทำการทดลองไปเรื่อย ๆ จะเกิดปัญหาคอลัมน์อิ่มตัวไปด้วยไอน้ำ ทำให้ไม่สามารถแยกสารได้ หรืออาจเกิดเป็นสัญญาณรบกวนในรูปของ base line ไม่นิ่ง จริง ๆ แล้ววิธีป้องกันปัญหาดังกล่าวก็ไม่ยากอะไร เพียงแค่ตกลงกันให้ดีระหว่างคนที่ใช้ก่อนหน้าและคนที่จะมาใช้ถัดไป โดยสมมุติว่าคนแรกใช้เสร็จในตอนเย็น แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นจะมีคนที่สองมาใช้ คนแรกก็ทำการ regenerate คอลัมน์ไว้ให้เลยโดยการเพิ่มอุณหภูมิคอลัมน์ให้สูงขึ้นเพื่อไล่น้ำออกมา (ควรเกิน 100 C แต่ไม่มากจนคอลัมน์ทนไม่ได้) และเปิดเครื่องทิ้งไว้ทั้งคืน ไม่ใช่รอให้คอลัมน์อิ่มตัวก่อนแล้วค่อยทำการแก้ปัญหา ซึ่งอาจต้องรอเป็นเวลาหลายวันก็ได้

มีเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยอยู่ว่าทำไปทำไม ก็คือเวลาที่ใครใช้เครื่อง TCD แล้วพอจะปิดเครื่อง ก็จะปิดฮีทเตอร์ที่ให้ความร้อนแก่ TCD แล้วก็รอให้อุณหภูมิของ TCD ลดลงใกล้กับอุณหภูมิห้องก่อนจึงค่อยปิดเครื่อง GC (รอกันหลายชั่วโมงเลยแหละ) พอถามเหตุผลว่าทำไมทำอย่างนั้นก็บอกว่ารุ่นพี่บอกต่อ ๆ กันมา ไม่มีใครถามว่าเพราะเหตุใด (แต่เชื่อเหอะ ถึงถามว่าทำไมต้องทำแบบนั้นรุ่นพี่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันแหละ) ซึ่งผมก็เคยอธิบายให้ฟังว่าในความเป็นจริงแล้ว พอคุณปิดฮีทเตอร์ที่ให้ความร้อนแก่ TCD (ไม่ว่าโดยการตั้งอุณหภูมิของ TCD ให้เท่ากับอุณหภูมิห้องหรือโดยการปิดเครื่อง GC ทั้งระบบเลย) ตัว TCD ก็ไม่ได้เย็นตัวลงด้วยอัตราการเย็นตัวที่แตกต่างกัน เพราะว่า TCD เองมันไม่มีระบบลดอุณหภูมิหรือระบายความร้อน (เครื่อง Shimadzu ที่เราใช้กันในแลปเรานั้นก็ไม่มี ยี่ห้ออื่นผมไม่รู้ และไม่เคยได้ยินด้วยว่ามี) การเย็นตัวลงของ TCD เกิดจากการที่ TCD สูญเสียความร้อนผ่านตัวเครื่องมายังอากาศที่อยู่รอบ ๆ ดังนั้นพอคุณระบายแรงดันของแก๊สออกจากระบบ GC เสร็จก็สามารถปิดเครื่องได้เลย จะได้มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่น ไม่ต้องรอให้ TCD เย็นตัวลงจนถึงอุณหภูมิห้อง (บางรายมีกฎอีกว่าต้องสูงกว่าอุณหภูมิห้องไม่เกินเท่าใดจึงจะปิดเครื่องได้) ผลที่ออกมาคือนิสิตก็ยังคงรอให้ TCD เย็นตัวลงเหมือนเดิม ทั้งนี้เพราะนิสิตเชื่อรุ่นพี่มากกว่าอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่รุ่นพี่ไม่สามารถอธิบายอะไรได้ มีเพียงแต่ความเชื่อที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมา ซึ่งผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะไม่ใช่คนรอปิดเครื่อง แต่เสียดายค่าไฟฟ้าที่ต้องเปิดเครื่องทิ้งไว้หลายชั่วโมงเพื่อให้พัดลมใน oven มันหมุนเล่นโดยไม่เกิดประโยชน์อะไร

Thermal Conductivity Detector MO Memoir : วันศุกร์ที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๒

Thermal conductivity detector (TCD) หรือบางทีก็เรียกว่า (ชื่อเก่า) Katharometer เป็นตัวตรวจวัดชนิดหนึ่งที่มีการประยุกต์ใช้งานในอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อใช้ตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของสารหรืออัตราการไหลเป็นต้น ตัวอย่างวงจรไฟฟ้าของ TCD ได้แสดงไว้ในรูปที่ 1

รูปที่ 1 วงจรของ Thermal conductivity detector (ภาพจาก http://www.chemistry.adelaide.edu.au/external/soc-rel/content/tcd.htm)

การทำงานของ TCD อาศัยการเปลี่ยนแปลงความสามารถในการระบายความร้อนของแก๊สที่ไหลผ่านขดลวดไฟฟ้าของตัวตรวจวัด ตัวตรวจวัดประกอบด้วยขดลวดไฟฟ้าที่ต่อเป็นวงจรวีตสโตนบริดจ์ (wheatstone bridge) โดยมี 2 ขดลวดที่มีแก๊สไหลผ่าน (ขดลวด sample ด้านซ้ายล่าง (ซึ่งต่อไปขอเรียกว่าขดลวด A) และขดลวดอ้างอิงด้านขวาล่าง (ขดลวด reference ซึ่งต่อไปขอเรียกว่าขดลวด B) ของรูปที่ 1) TCD ทำงานโดยอาศัยหลักการที่ว่า เมื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดไฟฟ้าที่ความต่างศักย์ค่าหนึ่ง กระแสไฟฟ้าจะทำให้ขดลวดไฟฟ้ามีอุณหภูมิสูงขึ้น (พลังงานความร้อนแปรตามสมการ E = I2R เมื่อ I คือกระแส และ R คือความต้านทาน) และเมื่อขดลวดไฟฟ้ามีอุณหภูมิสูงขึ้น ความต้านทานไฟฟ้าก็จะสูงขึ้น และเมื่อความต้านทานไฟฟ้าสูงขึ้น ก็จะทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้น้อยลง (พอกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้น้อยลง ขดลวดก็เย็นตัวลง พอขดลวดเย็นตัวลง กระแสไฟฟ้าก็ไหลผ่านมากขึ้น ขดลวดก็ร้อนขึ้นไปอีก และกลับไปกลับมาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าระบบจะเข้าสู่จุดสมดุล ซึ่งถ้าเป็นในกรณีของเครื่อง GC แล้ว การที่ต้องเปิดเครื่องรอถึง 2-3 ชั่วโมงเพื่อให้สัญญาณนิ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ) และถ้าขดลวดไฟฟ้านั้นมีแก๊สไหลผ่านอยู่รอบนอก อุณหภูมิและกระแสไฟฟ้าที่ภาวะสมดุลของขดลวดจะขึ้นอยู่กับค่าการนำความร้อนและอัตราการไหลของแก๊สที่ไหลผ่าน กล่าวคือขดลวดที่มีแก๊สที่มีค่าการนำความร้อนต่ำไหลผ่าน ก็จะร้อนกว่าขดลวดที่มีแก๊สที่มีค่าการนำความร้อนสูงกว่าไหลผ่าน และขดลวดที่มีแก๊สไหผ่านเร็วกว่า ก็จะเย็นกว่าขดลวดที่มีแก๊สไหลผ่านช้ากว่า

โดยทั่วไปแล้วค่าการนำความร้อนของแก๊สจะแปรผกผันกับน้ำหนักโมเลกุลของแก๊ส กล่าวคือแก๊สที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำจะมีค่าการนำความร้อนสูงกว่าแก๊สที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูง ในกรณีของแก๊สบริสุทธิ์นั้น ไฮโดรเจนเป็นแก๊สที่นำความร้อนได้ดีที่สุด รองลงไปคือฮีเลียม (นอกจากนี้ยังควรพึงระลึกไว้ด้วยว่าค่าการนำความร้อนของแก๊สอุดมคติยังแปรผันตามรากที่สองของอุณหภูมิสัมบูรณ์ด้วย) ตัวอย่างค่าการนำความร้อนของแก๊สทั่วไปบางชนิดที่อุณหภูมิ 0 C ได้แสดงไว้ในตารางที่ 1

ตารางที่ 1 ค่าการนำความร้อนของแก๊สทั่วไปที่ 0 C (ข้อมูลจาก http://chromatographyonline.findanalytichem.com /lcgc/article/articleDetail.jsp?id=283449&pageID=1&sk=&date=#)

แก๊ส

ค่าการนำความร้อน

(cal.cm-1.s-1.C-1 x 10-5)

ไฮโดรเจน

41.6

ฮีเลียม

34.8

มีเทน

7.2

ออกซิเจน

5.9

ไนโตรเจน

5.8

คาร์บอนมอนออกไซด์

5.6

อาร์กอน

4.0

เบนซีน

2.2

แรกเริ่มถ้ากำหนดให้ขดลวดทั้ง 4 เหมือนกันหมด และขดลวด A และ B มีแก๊สฮีเลียมที่มีอุณหภูมิเท่ากัน ไหลผ่านด้วยอัตราการไหลเดียวกัน ดังนั้นขดลวด A และ B ก็จะอยู่ที่ภาวะสมดุลเดียวกัน จะมีกระแสไหลผ่านเท่ากันและร้อนจนมีอุณหภูมิเท่ากัน วงจรบริดจ์ของขดลวดทั้ง 4 ก็จะอยู่ในภาวะสมดุล สัญญาณด้าน output ที่ออกมาก็จะเป็นศูนย์

ทีนี้ถ้าหากแก๊สฮีเลียมทางด้าน sample มีแก๊สตัวอื่น (ที่ไม่ใช่ไฮโดรเจน) เข้าไปปะปน เช่นมาจากสารตัวอย่างที่เราฉีดเข้าไปในคอลัมน์ GC และหลุดออกมาจากคอลัมน์ทีละตัว แก๊สที่เข้าไปปะปนนี้จะทำให้ค่าการนำความร้อนของแก๊สฮีเลียมด้าน sample ลดลงไปจากเดิม ค่าการนำความร้อนที่เปลี่ยนไปทำให้ขดลวด A มีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งไปส่งผลต่อถึงความต้านทานของขดลวดและปริมาณกระแสที่ไหลผ่านขดลวด A วงจรบริดจ์ก็จะเสียความสมดุลและจะแสดงค่ากระแส (หรือความต่างศักย์) ออกมาให้เห็นได้ทางสัญญาณ output ยิ่งมีแก๊สปนเปื้อนมากขึ้น การเสียสมดุลก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้เห็นสัญญาณด้าน output แรงมากขึ้นตามไปด้วย

ในอีกกรณีหนึ่งแม้ว่าขดลวดทั้ง 2 จะมีแก๊สฮีเลียมไหลผ่านเหมือนกัน แต่ถ้าอัตราการไหลของแก๊สฮีเลียมด้าน sample เปลี่ยนแปลงไป ก็จะทำให้อุณหภูมิของขดลวด sample เปลี่ยนแปลงไปด้วย และทำให้เกิดสัญญาณ output ดังเช่นที่ได้กล่าวมาข้างต้น ด้วยหลักการนี้จึงสามารถนำเอา TCD ไปใช้วัดการเปลี่ยนแปลงอัตราการไหลของแก๊สได้ หรือมองอีกมุมหนึ่งคืออัตราการไหลของแก๊สมีผลต่อสัญญาณของ TCD

ในกรณีของเครื่อง GC นั้น เราจะมีการใช้คอลัมน์ 2 คอลัมน์ต่อเข้ากับ TCD โดยคอลัมน์หนึ่งเป็นคอลัมน์อ้างอิง (reference) ต่อเข้าไปยังด้านขดลวด B และอีกคอลัมน์หนึ่งนั้นเป็นคอลัมน์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ตัวอย่างที่ต่อเข้าไปยังขดลวด A เพื่อให้ดีที่สุดแล้วควรที่จะปรับให้แก๊สฮีเลียมที่ไหลผ่านขดลวดทั้งสองไหลผ่านด้วยอัตราการไหลเดียวกัน เพราะถ้าหากอัตราการไหลของแก๊สไม่เท่ากันแล้ว จะทำให้วงจรบริดจ์ไม่สมดุลตั้งแต่เริ่มแรก ต้องใช้การปรับชดเชยสัญญาณ (ที่เรียกว่า set zero) ช่วย ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วปุ่มปรับสัญญาณชดเชยมีไว้เพื่อปรับแก้ความไม่สมดุลที่มีไม่มากเกินไป ความไม่สมดุลที่ไม่มากเกินไปอาจเกิดจากการที่เราไม่สามารถปรับอัตราการไหลของแก๊สที่ผ่านทั้ง 2 ขดลวดให้เท่ากันพอดีหรือขดลวดทั้งสองไม่เหมือนกัน 100% เมื่อใดก็ตามที่ไม่สามารถปรับสมดุล (set zero) ได้หรือต้องทำการปรับชดเชยค่อนข้างมาก แสดงว่าระบบอุปกรณ์วัดของเรากำลังมีปัญหา ปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจากตัวตรวจวัดเองหรือเกิดจากตัวคอลัมน์ที่ใช้วิเคราะห์ก็ได้ (กรณีหลังนี้เจอบ่อย)

ผู้ที่ใช้เครื่อง GC ที่ใช้ TCD เป็นตัวตรวจวัดเป็นตัวตรวจวัดมักจะพบกับปัญหา base line ไม่นิ่ง (กล่าวคือวิ่งขึ้นหรือวิ่งลง) เมื่ออุณหภูมิของ oven เริ่มเปลี่ยนทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้มีการฉีดสารตัวอย่างใด ๆ เข้าไปในคอลัมน์ การที่เห็น base line ไม่นิ่งเป็นเพราะคอลัมน์ที่ใช้วิเคราะห์และคอลัมน์อ้างอิงนั้นไม่เหมือนกัน 100% เมื่ออุณหภูมิของ oven เพิ่มสูงขึ้น ความร้อนของอากาศใน oven จะทำให้ผนังคอลัมน์ร้อนขึ้น การส่งผ่านความร้อนจากผนังคอลัมน์ไปยังแก๊สจะขึ้นอยู่กับการมีอยู่ของ packing และชนิด packing ที่บรรจุอยู่ คอลัมน์ที่มี packing บรรจุอยู่จะทำให้แก๊สที่ไหล่ผ่านข้างในร้อนมากกว่าคอลัมน์ที่ไม่มี packing บรรจุอยู่ ทั้งนี้เป็นเพราะ packing ช่วยนำความร้อนจากผิวผนังด้านในส่งไปยังแก๊สที่ไหลตอนกลางคอลัมน์และช่วยให้แก๊สเกิดการไหลผสมกันในแนวรัศมี พอแก๊สร้อนไม่เท่ากันก็จะทำให้อัตราการไหลของแก๊สเปลี่ยนไปไม่เท่ากัน (ความหนืดของแก๊สจะเพิ่มมากขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ดังนั้นแก๊สฝั่งด้านที่ร้อนมากกว่าจะไหลผ่าน packing ได้ช้ากว่า) จึงส่งผลให้วงจรบริดจ์เกิดความไม่สมดุลและส่งสัญญาณออกมา

เครื่องมือวิเคราะห์พวก temperature programmed ต่าง ๆ เช่น TPD (temperature programmed desorption) TPO (temperature programmed oxidation) TPR (temperature programmed reduction)) ที่ใช้ TCD เป็นตัวตรวจวัดต่างก็ประสบปัญหา base line วิ่งเช่นเดียวกัน ซึ่งในการแปลผลต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเพราะสัญญาณที่เห็นอาจไม่ได้เกิดจากปฏิกิริยาหรือสารที่หลุดออกมา แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอัตราการไหลเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป สิ่งหนึ่งที่เห็นเป็นประจำคือเมื่อเริ่มทำการวิเคราะห์และเพิ่มอุณหภูมิของตัวอย่าง เช่นเพิ่มจาก 100 C ไปจนถึง 500 C และให้คงที่ที่ 500 C ในช่วงแรกจะพบว่าตัวตรวจวัดส่งสัญญาณออกมา และพออุณหภูมิขึ้นไปถึง 500 สัญญาณจะตกกลับลงมาที่เดิม สาเหตุที่เห็นว่าตัวตรวจวัดมีการส่งสัญญาณออกมาเป็นเพราะคอลัมน์วิเคราะห์และคอลัมน์อ้างอิงร้อนไม่เท่ากัน ทำให้วงจรบริดจ์เสียสมดุล แต่พอไปถึง 500C แล้วคอลัมน์ที่ร้อนช้ากว่าจะค่อย ๆ ร้อนขึ้นทันและมีอุณหภูมิเท่ากับคอลัมน์ที่ร้อนเร็วกว่า วงจรบริดจ์จึงกลับมาสู่สมดุลใหม่ ทำให้เห็นสัญญาณตกกลับลงมาที่เดิม

รูปที่ 2 ตัวอย่างการวิ่งของ base line เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน เส้นสีน้ำเงินคือสัญญาณ TCD ส่วนเส้นสีม่วงคืออุณหภูมิ (จาก พรนภา เกษมศิริ, วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเรื่อง "การศึกษาคุณสมบัติการเร่งปฏิกิริยาของตัวเร่งปฏิกิริยาไทเทเนียม ซิลิกาไลต์-1 ที่ถูกปรับปรุง ในปฏิกิริยาไฮดรอกซิเลชันของอัลคิลเบนซีนโดยใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์", ปีการศึกษา 2550)

รูปที่ 2 ข้างบนเป็นผลการวิเคราะห์ NH3-TPD โดยการให้ตัวอย่างดูดซับ NH3 จนอิ่มตัว จากนั้นเพิ่มอุณหภูมิของตัวอย่างด้วยอัตรา 10 C/min จนถึง 500 C NH3 ที่คายออกมาจากสารตัวอย่างทำให้เกิดเป็นพีคในช่วงเวลาประมาณ 5-22 นาที (อุณหภูมิประมาณ 100 C-280 C) เท่านั้น ส่วนสัญญาณที่ไต่ขึ้นไปอีกหลังจากเวลาดังกล่าวไม่ได้เกิดจาก NH3 ที่หลุดออกมาจากสารตัวอย่าง แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอัตราการไหลของแก๊สเมื่ออุณหภูมิของคอลัมน์เปลี่ยนไป การแปลผลว่าพีคการหลุดออกของ NH3 มีเฉพาะตรงช่วงอุณภูมิ 100 C-280 C ที่ได้กล่าวมาหรือไม่ทำได้โดยการวัดปริมาณ NH3 ที่สารตัวอย่างสามารถดูดซับไว้ได้จนอิ่มตัว ซึ่งในกรณีของตัวอย่างที่ยกมาพบว่าตรงกับปริมาณ NH3 ที่คายออกมาในช่วงอุณหภูมิดังกล่าว

รูปที่ 3 อีกตัวอย่างของการวิ่งของ base line เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน เส้นสีน้ำเงินคือสัญญาณ TCD ส่วนเส้นสีม่วงคืออุณหภูมิ (จาก พรนภา เกษมศิริ, วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเรื่อง "การศึกษาคุณสมบัติการเร่งปฏิกิริยาของตัวเร่งปฏิกิริยาไทเทเนียม ซิลิกาไลต์-1 ที่ถูกปรับปรุง ในปฏิกิริยาไฮดรอกซิเลชันของอัลคิลเบนซีนโดยใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์", ปีการศึกษา 2550)

รูปที่ 3 ข้างบนเป็นอีกตัวอย่างแสดงให้เห็นการวิ่งของ base line ที่ได้จากภาวะการวิเคราะห์แบบเดียวกันกับกรณีของรูปที่ 2 (แตกต่างกันตรงตัวอย่างที่วิเคราะห์) ในกรณีนี้ขอให้สังเกตว่าเส้นสีน้ำเงินตรงเวลาประมาณ 50 นาทีมีพีคเกิดขึ้น 1 พีค แต่ที่เวลาดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งเกินขึ้นคือมีการเพิ่มอุณหภูมิของคอลัมน์สูงถึง 500 C แล้วก็ตัดความร้อนออก และปล่อยให้คอลัมน์เย็นโดยอิสระ (เส้นสีม่วงขึ้นสูงสุดแล้วตกลงมาทันที) พีคของเส้นสีน้ำเงินที่เวลา 50 นาทีจึงไม่ใช่พีคของ NH3 ที่หลุดออกมาจากตัวอย่าง แต่เป็นพีคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของการวัด และต้องไม่นำพีคนี้มาพิจารณา

หน้าร้อนที่แล้ว (ช่วงมีนา 51) มีนิสิตในที่ปรึกษามาถามว่า มีเพื่อนเขาคนหนึ่งมาขอให้เขาอธิบายเรื่องการลาก base line ของสัญญาณ NH3-TPD นิสิตในที่ปรึกษาคนดังกล่าวก็มาถามผมว่าผมจะอนุญาตไหม ผมก็ตอบเขาไปว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความลับอะไร คุณสามารถอธิบายเขาได้เลย ถ้าคุณอธิบายเขาไม่รู้เรื่อง ผมจะด่าคุณแทนว่าผมสอนแล้วไม่จำ แต่ให้กลับไปถามเขาดูก่อนว่าคิดดีแล้วหรือว่าอยากจะรู้ เพราะตอนนี้ก็กำลังจะสอบวิทยานิพนธ์อยู่

ผลออกมาว่าจากคนที่เคยอยากรู้ กลายเป็นคนที่ไม่อยากรู้ขึ้นมาทันที