แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ base line แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ base line แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561

รู้ทันนักวิจัย (๑๙) ลาก Base line อย่างไร ตอน NH3-TPD MO Memoir : Thursday 11 October 2561

Thermal conductivity detector ที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า TCD (หรือในชื่อเก่าว่า Katharometer) เป็นอุปกรณ์วัดตัวหนึ่งที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง การวัด องค์ประกอบ ความเร็ว และอุณหภูมิ ของแก๊สที่ไหลผ่านตัว TCD ที่เปลี่ยนแปลงไป การทำงานของ TCD อาศัยการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างความสามารถในการระบายความร้อนออกจากขดลวดความร้อน ในงานที่ใช้วัดองค์ประกอบของแก๊สที่ไหลผ่านว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่นั้นจะใช้ขดลวดสองขด โดยขดหนึ่งนั้นเป็นตัวอ้างอิง (reference) และอีกขดหนึ่งนั้นเป็นขดลวดที่ให้แก๊สที่ต้องการวิเคราะห์ไหลผ่าน
 
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการระบายความร้อนออกจากขดลวดความร้อนได้แก่
๑. อัตราการไหล โดยแก๊สที่ไหลเร็วจะระบายความร้อนได้ดีกว่าแก๊สที่ไหลช้ากว่า
๒. อุณหภูมิของแก๊ส โดยแก๊สที่เย็นกว่าจะระบายความร้อนได้ดีกว่าแก๊สที่ร้อนกว่า และ
๓. องค์ประกอบของแก๊ส โดยแก๊สที่มีน้ำหนักโมเลกุลที่ต่ำกว่าจะระบายความร้อนได้ดีกว่าแก๊สที่มีน้ำหนักโมเลกุลที่สูงกว่า
 
ในการวิเคราะห์องค์ประกอบนั้น สิ่งที่เราต้องควบคุมให้คงที่คือ อัตราการไหล และอุณหภูมิ ของแก๊สที่ไหลผ่านขดลวดแต่ละขดของตัว TCD ทั้งนี้เพื่อให้สัญญาณที่ตัว TCD ส่งออกมานั้นเป็นผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากในกรณีของการวิเคราะห์ที่ "อุณหภูมิคงที่" แต่มักจะมีปัญหาเมื่อทำการวิเคราะห์แบบที่มี "การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ"


รูปที่ ๑ แผนผังอย่างง่ายของอุปกรณ์ที่ใช้ TCD ในการวัดองค์ประกอบของแก๊สที่เปลี่ยนแปลงไป รูปบนคือเครื่องแก๊สโครมาโทกราฟ (gas chromatograph หรือ GC) รูปล่างเป็นของอุปกรณ์พวก Temperature programmed techniques

ตัวอย่างเช่นในกรณีของเครื่องแก๊สโครมาโทกราฟ (ดูรูปที่ ๑ ประกอบ) แก๊สที่ไหลเข้าขดลวดอ้างอิงและขดลวดที่เป็นตัววัดองค์ประกอบนั้นเป็นแก๊สคนละเส้นทางกัน ในตอนปรับตั้งเครื่องนั้นเราสามารถที่จะตั้งให้อัตราการไหลของแก๊สทั้งสองสายนั้นเท่ากันได้ และถ้าคอลัมน์ที่แก๊สไหลผ่านนั้นมีความยาวเพียงพอ ก็จะทำให้อุณหภูมิของแก๊สทั้งสองสายที่ไหลเข้า TCD นั้นเท่ากันได้ ซึ่งจะเท่ากับอุณหภูมิของตัว oven ที่ติดตั้งคอลัมน์ทั้งสอง
 
แต่ถ้าเราทำการวิเคราะห์โดยมีการเพิ่มอุณหภูมิคอลัมน์ให้สูงขึ้นระหว่างการวิเคราะห์ สิ่งที่มักจะเห็นกันก็ TCD จะส่งสัญญาณออกมา ซึ่งทำให้เส้น base line มีการเปลี่ยนแปลงไป (และมักจะทำซ้ำไม่ค่อยได้) การที่ TCD ส่งสัญญาณออกมานี้ไม่ได้เกิดจากแก๊สที่ไหลผ่านขดลวดทั้งสองมีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน แต่เกิดจากการที่แก๊สที่ไหลผ่านขดลวดทั้งสองนั้นมี "อุณหภูมิ" และ/หรือ "อัตราการไหล" ที่แตกต่างกัน 
  
สัญญาณที่ TCD ส่งออกมานี้เป็นผลมาจากการที่คอลัมน์ที่ใช้ในการวิเคราะห์และใช้กับสายอ้างอิงนั้นไม่เหมือนกัน จึงทำให้แก๊สที่ไหลผ่านคอลัมน์ทั้งสองไม่ได้มีอุณหภูมิสูงขึ้นในอัตราเดียวกัน แก๊สที่ไหลผ่าน TCD จึงมีอุณหภูมิที่แตกต่างกัน และด้วยการที่แก๊สนั้นเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้นจะมีความหนืดขึ้น จะทำให้ความเร็วของแก๊สที่ไหลผ่านคอลัมน์ทั้งสองนั้นลดต่ำลง (ในกรณีที่ใช้การปรับความดันด้านขาเข้าเพียงอย่างเดียวในการปรับอัตราการไหล) ตรงนี้ถ้าใครมีเครื่อง GC ที่ติดตั้งตัวตรวจวัดชนิด TCD ก็สามารถลองเล่นดูได้ โดยทดลองเพิ่มอุณหภูมิคอลัมน์ให้สูงขึ้นด้วยอัตราเร็วตามที่กำหนดโดยไม่มีการฉีดสารตัวอย่าง แล้วคอยดูว่าสัญญาณที่ออกมานั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
 
เทคนิคการวิเคราะห์โดยมีการเพิ่มอุณหภูมิตัวอย่างให้เพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่กำหนดในระหว่างการวิเคราะห์นั้น (ที่เรียกว่า Temperature programmed technique) เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงทีเกิดขึ้น เป็นเทคนิคหนึ่งที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในการศึกษาตัวเร่งปฏิกิริยา แผนผังอย่างง่ายของอุปกรณ์ตระกูลนี้แสดงไว้ในรูปที่ ๑ โดยตัวตรวจวัดที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายก็คือตัว TCD
 
ในการออกแบบนั้นจะให้แก๊สไหลเข้า TCD ฝั่งขดลวดอ้างอิงก่อน จากนั้นจึงให้แก๊สตัวนี้ไหลผ่านคอลัมน์บรรจุตัวอย่างที่ติดตั้งอยู่ใน oven ที่ควบคุมอุณหภูมิตัวอย่าง แก๊สที่ไหลผ่านตัวอย่างออกมาอาจผ่านเข้า cold trap (จะมีการใช้หรือไม่ขึ้นอยู่กับรูปแบบการวิเคราะห์) ก่อนที่จะไหลเข้าสู่ขดลวดที่สอง สิ่งที่คาดหวังจะเห็นกันก็คือ สัญญาณที่ TCD ส่งออก
 
มานั้นควรเป็นผลจากการที่แก๊สที่ไหลเข้าขดลวดอ้างอิงกับที่ไหลออกมาจากตัวอย่างนั้นมี "องค์ประกอบที่แตกต่างกัน" เท่านั้น
 
แต่เอาเข้าจริงมันมักไม่เป็นเช่นนั้น เพราะแม้แต่เราเอาวัสดุที่เฉื่อยบรรจุไว้ในคอลัมน์ แล้วทดลองเพิ่มอุณหภูมิคอลัมน์ให้สูงขึ้น เราก็ยังเห็น TCD ส่งสัญญาณออกมาอยู่ดี ทั้ง ๆ ที่องค์ประกอบของแก๊สที่ไหลผ่านขดลวดทั้งสองเหมือนกัน ดังเช่นตัวอย่างที่นำมาแสดงในรูปที่ ๒ ที่ให้เฉพาะแก๊ส He ไหลผ่านคอลัมน์ที่บรรจุ TiO2 เอาไว้ แล้วทำการเพิ่มอุณหภูมิและลดอุณหภูมิสลับกัน ๓ ครั้ง จะเห็นว่า TCD ส่งสัญญาณออกมาเหมือนกับมีพีค แต่ในความเป็นจริงนั้นสิ่งที่เห็นมีรูปร่างเหมือนพีคนั้นคือ Base line รายละเอียดของการทดลองนี้อ่านได้ใน Memoir ปีที่ ๙ ฉบับที่ ๑๒๕๖ วันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ เรื่อง "NH3-TPD การลาก base line (๒)"
 
สาเหตุที่ TCD ส่งสัญญาณออกมาก็เพราะเมื่ออุณหภูมิคอลัมน์สูงขึ้น แก๊สจะมีความหนืดมากขึ้น จึงไหลผ่านเบดตัวอย่างที่บรรจุอยู่ในคอลัมน์ได้ยากขึ้น ในกรณีนี้ถ้าเราวัดความดันด้านขาเข้าเบดเราจะเห็นว่าความดันด้านขาเข้าสูงขึ้น อัตราการไหลโดยปริมาตรของแก๊ส (ค่าที่ความดันด้านขาเข้าเบด) จะลดต่ำลง ความเร็วแก๊สที่ไหลผ่านขดลวดอ้างอิงก็ลดต่ำลงไปด้วย ในขณะเดียวกันแก๊สอุณหภูมิสูงที่ไหลผ่านเบดตัวอย่างออกมานั้น เมื่อไหลมาถึงตัวขดลวดฝั่งด้านที่เป็นตัววัด ก็อาจมีอุณหภูมิสูงกว่าเดิม ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ TCD ส่งสัญญาณว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของแก๊สที่ไหลเข้าตัว TCD แต่เกิดจาก "ความเร็วของการไหล" และ "อุณหภูมิ" ของแก๊สที่ไหลเข้าตัว TCD นั้นเปลี่ยนไป
 
NH3-TPD เป็นเทคนิคที่นิยมใช้กันในการวัดปริมาณและความแรงของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ในการวิเคราะห์นี้จะมีการเตรียมตัวอย่างด้วยการให้ความร้อนแก่ตัวอย่าง ณ อุณหภูมิหนึ่งนานเป็นช่วงเวลาหนึ่งก่อนภายใต้บรรยากาศแก๊สเฉื่อยเช่น He ขั้นตอนนี้ทำเพื่อกำจัดแก๊สอื่นที่ไม่ใช่ He ออกจากรูพรุนของตัวอย่าง จากนั้นจึงค่อยลดอุณหภูมิตัวอย่างแล้วให้ตัวอย่างดูดซับแก๊ส NH3 จนอิ่มตัว ตามด้วยการไล่แก๊ส NH3 ที่ไม่ถูกดูดซับด้วยการ purge ด้วย He ซ้ำ ซึ่งเมื่อไล่ NH3 ที่ไม่ถูกดูดซับออกไปจนหมดแล้ว แก๊สที่ไหลเข้า TCD ฝั่งอ้างอิงและแก๊สที่ไหลผ่านตัวอย่างมาเข้า TCD ก็จะมีแต่ He เป็นองค์ประกอบเท่านั้น

รูปที่ ๒ การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและสัญญาณที่ TCD ส่งออกมา เมื่อให้เฉพาะแก๊ส He ไหลผ่านตัวอย่าง TiO2 และทำการเพิ่มอุณหภูมิและลดอุณหภูมิสลับกับ ๓ ครั้ง เส้นสีแดงที่เห็นว่ามีรูปร่างเหมือนพีคนั้นแท้จริงคือ Base line

แต่ในความเป็นจริงนั้นมีหลายปัจจัยด้วยกันที่ส่งผลให้สัญญาณที่ TCD ส่งออกมานั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการมี NH3 หลุดออกมาจากพื้นผิวเท่านั้น แต่เกิดจากปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น ความเร็วและอุณหภูมิของแก๊ส He ที่ไหลเข้าตัว TCD ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยสาเหตุที่ได้กล่าวมาข้างต้น และการใช้อุณหภูมิที่ไม่สูงพอและระยะเวลาที่ไม่นานพอที่จะไล่แก๊สอื่นที่ไม่ใช่ He ออกจากรูพรุนของตัวอย่างจนหมดในขั้นตอนการเตรียมตัวอย่าง ทำให้แก๊สเหล่านี้หลุดออกจากรูพรุนของตัวอย่างเมื่อเพิ่มอุณหภูมิตัวอย่างจนสูงมากพอ การไล่แก๊สตรงนี้เป็นการไล่ "แก๊สชนิดอื่น" ไม่ใช่เฉพาะ "ความชื้น" แบบที่ใครต่อใครชอบคิดกัน
 
ด้วยเหตุนี้การคำนวณปริมาณแก๊ส NH3 ที่ตัวอย่างคายออกมานั้นโดยอาศัยสัญญาณ TCD ที่วัดได้จึงควรต้องใช้ความระมัดระวังมาก เรื่องเหล่านี้เคยเล่าไว้บ้างแล้วใน Memoir ฉบับก่อนหน้าดังนี้
 
ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒๖๔ วันอาทิตย์ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เรื่อง "NH3-TPD - การไล่น้ำและการวาดกราฟข้อมูล"
ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒๖๗ วันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๔ เรื่อง "NH3-TPD - การลาก base line"
ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๔๓ วันพุธที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เรื่อง "NH3-TPD ตอน ตัวอย่างผลการวิเคราะห์ ๑"
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๑๐๙๐ วันศุกร์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ เรื่อง "NH3-TPD ตอน ตัวอย่างผลการวิเคราะห์ ๒"
 
กราฟผลการวิเคราะห์ NH3-TPD ที่มีรายงานทั่วไปในบทความวิชาการต่าง ๆ นั้น ไม่ได้มีการระบุเอาไว้ว่าเป็นกราฟข้อมูลดิบที่ได้จริงจากการวัดหรือเป็นกราฟที่ผ่านการตัด base line ทิ้งแล้ว โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าผล NH3-TPD จำนวนไม่น้อยที่มีการรายงานกันนั้นเป็นผลที่เกิดจากการตัด base line ทิ้งไปแล้วเพื่อทำให้เส้นกราฟดูดีโดยทำให้เหมือนกับว่าสัญญาณ base line นั้นขนานไปกับแกน x แต่ก็มีปรากฏในหลายบทความเช่นกันที่นำเสนอกราฟที่ยังไม่ผ่านการตัด base line ซึ่งถ้าเราพิจารณาตัวเส้นกราฟกับข้อมูลตัวเลขที่เขารายงานเอาไว้นั้น ก็พอจะมองเห็นความขัดแย้งอยู่
 
เริ่มจากตัวอย่างในรูปที่ ๓ และ ๔ กราฟในรูปที่ ๓ นั้นมีการขยับเส้นไม่ให้ซ้อนทับกัน ส่วนกราฟในรูปที่ ๔ นั้นเริ่มต้นโดยนำตำแหน่งสัญญาณเริ่มต้นการวัดมาไว้ที่ระดับเดียวกัน จากกราฟทั้งสองเห็นได้ชัดว่าตำแหน่งเริ่มต้นของสัญญาณเมื่อเริ่มการวัดกับตำแหน่งสัญญาณเมื่อสิ้นสุดการวัดนั้นอยูคนละตำแหน่งกัน โดยตำแหน่งเมื่อสิ้นสุดการวัดนั้นอยู่ "สูงกว่า" ตำแหน่งเมื่อเริ่มต้นการวัด การที่เห็นตำแหน่งสิ้นสุดการวัดนั้นอยู่ "สูงกว่า" ตำแหน่งเมื่อเริ่มต้นการวัดมันก็แปลได้สองทาง คือ (ก) ยังมีการคายซับ NH3 ออกมาอยู่ แต่หยุดการวิเคราะห์ก่อนที่จะคายออกมาหมด ถ้าเป็นเช่นนี้ปริมาณตำแหน่งกรดที่วัดได้ก็ไม่ใช่ปริมาณ "ทั้งหมด" หรือ (ข) base line มีการเปลี่ยนตำแหน่ง ถ้าเป็นเช่นนี้คำถามที่ตามมาก็คือ base line มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบใด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นตรงเสมอไป

รูปที่ ๓ กราฟ NH3-TPD ที่ใช้ TCD เป็นตัวตรวจวัด ในรูปนี้มีการขยับเส้นกราฟแต่ละเส้นไม่ให้ซ้อนทับกัน ถ้าเป็นคุณ คุณจะลากเส้น base line โดยใช้แนวเส้น 1 หรือ 2 หรือจะลากเป็นอย่างอื่น

รูปที่ ๔ อีกตัวอย่างของกราฟ NH3-TPD ที่ใช้ TCD เป็นตัวตรวจวัด ในบทความนี้เขียนกราฟโดยให้มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ระดับเดียวกัน พึงสังเกตว่าแม้ว่าจะทำการวัดด้วยสภาวะเดียวกัน แต่ตำแหน่งจุดสิ้นสุดของกราฟนั้นอยู่ที่ระดับที่ต่างกัน ในกรณีเช่นนี้ถ้าเป็นคุณ คุณจะลาก base line เพื่อคำนวณปริมาณ NH3 ที่ตัวอย่างคายออกมาอย่างไร
 
อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ผลการวิเคราะห์ในรูปที่ ๓ และ ๔ ได้มาจากตัวอย่างที่มี Al2O3 เป็นองค์ประกอบหลัก และตัว Al2O3 ก็มีความเป็นกรดอยู่บนพื้นผิวด้วย (บทความของคณะวิจัยในกลุ่มทำงานเดียวกัน) แต่เมื่อเริ่มทำการวิเคราะห์ที่อุณหภูมิเริ่มต้นต่างกัน (รูปที่ ๓ เริ่มที่ 100ºC ในขณะที่รูปที่ ๔ เริ่มที่ 30ºC) ลักษณะการปรากฏของพีคแรกที่อุณหภูมิต่ำนั้นแตกต่างกัน โดยในรูปที่ ๓ นั้นจะเห็นว่าการเพิ่มขึ้นของสัญญาณจะเกิดขึ้นหลังจากที่อุณหภูมิสูงเกิน 100ºC ได้ระดับหนึ่ง (เห็นได้จากการที่เส้นกราฟค่อนข้างราบในช่วงแรกก่อนไต่ขึ้น) นั่นแสดงว่าถ้าการเพิ่มขึ้นนั้นเกิดจาก NH3 ที่พื้นผิวปลดปล่อยออกมา การปลดปล่อยนั้นจะเริ่มเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 100ºC ได้ระดับหนึ่ง แต่ในรูปที่ ๔ นั้นจะเห็นว่าสัญญาณมีการเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่เมื่อเริ่มเพิ่มอุณหภูมิ และมีสัญญาณออกมาเรื่อย ๆ นั่นแสดงว่าถ้าการเพิ่มขึ้นนั้นเกิดจาก NH3 ที่พื้นผิวปลดปล่อยออกมา การปลดปล่อยนั้นจะมีอยู่ตลอดเวลาเมื่ออุณหภูมิของตัวอย่างสูงเกินกว่า 30ºC
 
ความแตกต่างของการทดลองทั้งสองอยู่ตรงที่การไล่ NH3 ที่ไม่ถูกดูดซับออกจากรูพรุน โดยในรูปที่ ๓ นั้นทำการดูดซับที่อุณหภูมิ 100ºC และทำการไล่ที่อุณหภูมิดังกล่าวนาน 1 ชั่วโมง แต่ในรูปที่ ๔ นั้นทำการดูดซับที่อุณหภูมิ 30ºC และทำการไล่ที่อุณหภูมิดังกล่าวนาน 3 ชั่วโมง สาเหตุหนึ่งที่อาจเป็นไปได้ก็คือ (ถ้าไม่คำนึงเรื่อง base line เปลี่ยนเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ) การดูดซับที่อุณหภูมิสูงนั้นมี NH3 ตกค้างน้อยกว่า (แก๊สร้อนมีความหนาแน่นต่ำกว่าแก๊สเย็น) และมีอัตราการแพร่ที่สูงกว่า ทำให้การใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงก็สามารถไล่ NH3 ที่ตกค้างอยู่ในรูพรุนออกได้หมด เมื่อเริ่มเพิ่มอุณหภูมิตัวอย่างจึงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง แต่การดูดซับที่ 30ºC แม้ว่าจะทำการไล่ NH3 ไม่ถูกดูดซับออกจากรูพรุนนานถึง 3 ชั่วโมงก็อาจจะยังไล่ NH3 ที่ค้างอยู่ในรูพรุนออกได้หมด ดังนั้นเมื่อทำการเพิ่มอุณหภูมิ แก๊สที่ร้อนขึ้นมีการขยายตัว โมเลกุล NH3 ที่ไม่ถูกดูดซับแต่ยังคงค้างอยู่ในรูพรุนก็เลยแพร่ออกมา กลายเป็นสัญญาณให้เห็น แต่สัญญาณนี้ไม่ควรตีความว่าเป็นการปลดปล่อย NH3 ออกจากตำแหน่งที่เป็นกรด แต่เป็น NH3 ในเฟสแก๊สที่ค้างอยู่ในรูพรุน

ในกรณีของตัวอย่างในรูปที่ ๕ นั้น ขอให้ลองสังเกตเส้น a และ e ตรงที่ทำเครื่องหมายเลข 1 เอาไว้ บทความนี้อ่านสัญญาณ TCD ที่เพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงจาก 100ºC ว่าเป็นสัญญาณที่เกิดจากการคายซับ NH3 จากตำแหน่งที่เป็นกรดที่มีความแรงต่ำ แต่กลับไม่อ่านสัญญาณ TCD ที่เพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิอยู่ในช่วงระหว่าง 450-500ºC ว่าเป็นสัญญาณที่เกิดจากการคายซับ NH3 จากตำแหน่งที่เป็นกรดที่มีความแรงสูง ในส่วนของวิธีการทดลองนั้นบทความก็ระบุเอาไว้ชัดเจนว่าในขั้นตอนการให้ความร้อนไล่ NH3 ออกจากพื้นผิวนั้นใช้อุณหภูมิสูงถึง 700ºC แต่กราฟที่นำมาแสดงกลับตัดมาแค่อุณหภูมิประมาณ 550ºC เท่านั้นเอง จึงทำให้มองไม่เห็นว่าที่อุณหภูมิสูงกว่า 550ºC นั้น สัญญาณของกราฟทุกเส้น โดยเฉพาะเส้น a e f และ h นั้นมีการไต่ขึ้นไปสูงแค่ไหน
 
หรือในกรณีของเส้น e f g และ h ตรงตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายเลข 2 เอาไว้ ในบทความนั้นอ่านว่าเส้น f และ g มีพีคที่เกิดจากการคายซับ NH3 จากตำแหน่งที่เป็นกรดที่มีความแรงสูง แต่ในกรณีของเส้น e และ h นั้น จะว่าไปแล้วเส้น e มีลักษณะที่เป็นพีคที่เด่นชัดกว่าของเส้น h แต่บทความกลับอ่านว่าเส้น e ไม่มีพีคของตำแหน่งที่เป็นกรดที่มีความแรงสูง แต่ของเส้น h กลับอ่านว่ามี

โดยส่วนตัวแล้วจะใช้การวัดปริมาณเบสที่ตัวอย่าง "ดูดซับ (adsorption)" เอาไว้ได้ควบคู่ไปกับผล NH3-TPD เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาว่าตำแหน่งไหนที่เป็นพีคที่แท้จริง และปริมาณ NH3 ที่ไล่ออกมานั้นออกมาหมดแล้วหรือยัง เพราะการดูผลการ "คายซับ (desorption)" เพียงอย่างเดียวไม่สามารถบอกได้ว่าได้ใช้อุณหภูมิที่สูงพอที่สามารถไล่ NH3 ออกจากพื้นผิวได้หมดหรือไม่

อันที่จริงยังมีเรื่องของ H2-TPR เตรียมไว้อีก แต่ฉบับนี้รู้สึกว่าจะยาวพอสมควรแล้ว เลยต้องขอพักไว้ตรงนี้ก่อน

รูปที่ ๕ กราฟ NH3-TPD และปริมาณตำแหน่งที่เป็นกรดที่ทางคณะผู้วิจัยคำนวณไว้ การวัดนี้ใช้ TCD เป็นตัวตรวจวัด พึงสังเกตบริเวณตัวอย่างที่ใส่หมายเลข (1) และ (2) เอาไว้

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

NH3-TPD การลาก base line (๒) MO Memoir : Friday 14 October 2559

การวัดปริมาณ (amount) และความแรง (strength) ของตำแหน่งที่เป็นกรดบนพื้นผิวของแข็งด้วยเทคนิคการคายซับแอมโมเนียที่เรียกกันในวงการว่า NH3-TPD (ammonia temperature programmed desorption) นั้น ดูเผิน ๆ ก็เป็นเทคนิคที่เรียบง่าย ไม่น่าจะมีความยุ่งยากอะไร แต่ถ้าจะตรวจสอบกันจริง ๆ แล้วก็ไม่ยากที่จะพบว่าผลการวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยที่มีการรายงานกันนั้นเต็มไปด้วยข้อสงสัยว่าถูกต้องหรือไม่ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ที่วัดปริมาณ NH3 ที่พื้นผิวคายออกมาโดยใช้ตัวตรวจวัดชนิด TCD (Thermal conductivity detector) ไม่ว่าจะเป็นการหาปริมาณด้วยการคำนวณหาพื้นที่ใต้พีค หรือการเปรียบเทียบความแรงด้วยการดูจากตำแหน่งเกิดพีค
 
รูปที่ ๑ ภาพรวมของผลการทดลอง ที่ใช้ตัวอย่างเดิมทำซ้ำ 3 ครั้ง ที่อุณหภูมิสูงสุดต่างกันคือประมาณ 280, 420 และ 520ºC
 
TCD จัดว่าเป็นตัวตรวจวัดที่ sensitive ต่อการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างของแก๊สที่ไหลผ่านตัว TCD ไม่ว่าจะเป็น องค์ประกอบ อัตราการไหล และอุณหภูมิ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงอัตราการไหลและอุณหภูมิของแก๊สที่ไหลผ่านนี่เอง ที่เป็นตัวปัญหาทำให้ตัว TCD ส่งสัญญาณออกมาเสมือนว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ
 
ในระหว่างที่เราเพิ่มอุณหภูมิตัวอย่างให้สูงขึ้นนั้น แก๊สด้านขาเข้าตัวอย่างจะมีความดันสูงขึ้น ทำให้อัตราการไหลด้านขาเข้าลดต่ำลง (ถ้าคุมการไหลด้วยการใช้ความดันด้านขาเข้าเพียงอย่างเดียว) ส่วนอัตราการไหลของแก๊สด้านขาออกนั้นจะคงเดิม แต่จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเนื่องจากได้รับความร้อนจาก furnace ดังนั้นถ้าตัว TCD เองไม่มีระบบที่คอยควบคุมอัตราการไหลและอุณหภูมิให้คงที่ตลอดการวิเคราะห์ จะทำให้เส้น base line ของสัญญาณจาก TCD มีการเคลื่อนตัว
 
เพื่อที่จะแสดงให้เห็นปัญหาดังกล่าว จึงได้ทำการทดลองเลียนแบบการวัด NH3-TPD แต่ไม่มีการให้ตัวอย่างดูดซับ NH3 ทำเพียงแค่ให้แก๊ส He ไหลผ่าน แล้วปรับเปลี่ยนอุณหภูมิตัวอย่างให้สูงขึ้น สลับกับลดต่ำลง เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเส้น base line ที่ออกมารูปร่างเหมือนพีคคายซับ NH3 ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่

รูปที่ ๒ การทดลองครั้งแรกที่เพิ่มอุณหภูมิตัวอย่างจาก 120ºC ด้วยอัตรา 10ºC ไปถึง 280ºC จากนั้นคงอุณหภูมิตัวอย่างไว้ที่ 280ºC นาน 1 ฃั่วโมง ก่อนลดอุณหภูมิลงเหลือ 120ºC ใหม่ จะเห็นว่าเส้น base line (เส้นสีส้มทั้งหมดที่เห็น) มีการไต่สูงขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ก่อนวกกลับลงเมื่ออุณหภูมิตัวอย่างเพิ่มขึ้นสูงสุดและคงที่ ทำให้เหมือนกับว่ามี peak เกิดขึ้นที่ตำแหน่งอุณหภูมิสูงสุด ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ให้ตัวอย่างนั้นดูดซับแก๊ส NH3 เอาไว้เลย
 
ในการทดลองนี้ใช้ TiO2 (anatase P-25) เริ่มต้นด้วยการบรรจุตัวอย่าง 0.1 g ลงใน sample tube จากนั้นทำการให้ความร้อนแก่ตัวอย่างที่ 200ºC นาน 2 ชั่วโมงในแก๊สฮีเลียม จากนั้นลดอุณหภูมิตัวอย่างลงเหลือ 120ºC ก่อนเพิ่มอุณหภูมิด้วยอัตรา 10ºC ไปถึง 280ºC และคงไว้ที่อุณหภูมิดังกล่าวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นลดอุณหภูมิตัวอย่างลงเหลือ 120ºC (จบรอบที่หนึ่ง) จากนั้นทำการทดลองต่อ (เริ่มรอบที่สอง) โดยยังคงใช้ตัวอย่างเดิม โดยเพิ่มอุณหภูมิด้วยอัตรา 10ºC ไปจนถึง 420ºC และคงไว้ที่อุณหภูมิดังกล่าวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นลดอุณหภูมิตัวอย่างลงเหลือ 120ºC (จบรอบที่สอง) และทำซ้ำอีกครั้ง (เริ่มรอบที่สาม) โดยยังคงใช้ตัวอย่างเดิม โดยเพิ่มอุณหภูมิด้วยอัตรา 10ºC แต่ครั้งสุดท้ายนี้สูงไปจนถึง 520ºC และคงไว้ที่อุณหภูมิดังกล่าวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นลดอุณหภูมิตัวอย่างลงเหลือ 120ºC (จบรอบที่สาม)
 
ภาพรวมของผลการทดลอง (อุณหภูมิและสัญญาณจาก TCD ที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา) แสดงไว้ในรูปที่ ๑ ส่วนรูปที่ ๒-๔ เป็นภาพขยายผลการทดลองของ รอบที่หนึ่ง รองที่สอง และรอบที่สาม ตามลำดับ
รูปที่ ๓ การทดลองรอบที่สองที่เพิ่มอุณหภูมิตัวอย่างจาก 120ºC ด้วยอัตรา 10ºC ไปจนถึง 420ºC และคงไว้ที่อุณหภูมิดังกล่าวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นลดอุณหภูมิตัวอย่างลงเหลือ 120ºC จะเห็นว่าเส้น base line มีลักษณะวกขึ้น-ลงเสมือนกับว่ามีพีคคายซับสองพีค (ซึ่งในความเป็นจริงคือ base line) โดยจุดวกกลับจุดแรก (เมื่อเพิ่มอุณหภูมิจนสูงถึง 420ºC และรักษาให้คงที่) จะย้ายตามตำแหน่งอุณหภูมิสูงสุดที่ทำการทดลอง
รูปที่ ๔ การทดลองรอบที่สามที่เพิ่มอุณหภูมิตัวอย่างจาก 120ºC ด้วยอัตรา 10ºC ไปจนถึง 520ºC และคงไว้ที่อุณหภูมิดังกล่าวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นลดอุณหภูมิตัวอย่างลงเหลือ 120ºC จะเห็นว่าเส้น base line มีลักษณะวกขึ้น-ลงเสมือนกับว่ามีพีคคายซับสองพีค (ซึ่งในความเป็นจริงคือ base line) ดังเช่นรูปที่ ๒ และ ๓ โดยจุดวกกลับจุดแรก (เมื่อเพิ่มอุณหภูมิจนสูงถึง 520ºC และรักษาให้คงที่) จะย้ายไปที่อุณหภูมิประมาณ 520ºC

จากทั้งสี่รูปจะเห็นชัดนะครับว่า แม้ว่าในการทดลองจะผ่านเพียงแค่แก๊ส He เท่านั้นให้ไหลผ่านตัวอย่าง แต่เมื่ออุณหภูมิของตัวอย่างเปลี่ยนไป เส้น base line ก็เปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปด้วย จนมีรูปร่างเหมือนกับว่าเป็นพีคที่เกิดจากการคายซับ และที่สำคัญคือมันยากที่จะทำซ้ำเดิม เว้นแต่ว่าจะมีการควบคุมอัตรการไหลและอุณหภูมิของแก๊สที่ไหลผ่าน TCD ให้คงที่ตลอดเวลาที่ทำการวิเคราะห์
ต้องขอขอบคุณนิสิตปริญญาโทรหัส ๕๘ ในที่ปรึกษาทุกคนที่ช่วยทำการทดลองนี้ให้

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

ปัญหาการสร้าง calibration curve ของ ICP (การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๔๙) MO Memoir : Tuesday 10 September 2556

เทคนิคทางด้าน atomic spectroscopy ไม่ว่าจะเป็นการวัดการดูดกลืน (absorption) หรือการเปล่งแสง (emission) นั้นจัดว่าเป็นเทคนิคที่มีความว่องไว (sensitivity) ในการวัดที่สูง สามารถวัดธาตุในสารตัวอย่างที่ระดับปริมาณ ppm (part per million - ส่วนต่อล้านส่วน) หรือ ppb (part per billion - ส่วนต่อพันล้านส่วน) ได้ แต่นั่นหมายถึงตัวอย่างที่ต้องการวัดปริมาณธาตุนั้นจำเป็นต้องมีธาตุเหล่านั้นที่ความเข้มข้นระดับ ppm ด้วย เพราะถ้าความเข้มข้นของธาตุในสารตัวอย่างสูงเกินไป เครื่องจะวัดไม่ไหว
  
ในกรณีที่เรามีตัวอย่างเป็นของแข็งและต้องการวัดปริมาณธาตุในตัวอย่างนั้น สิ่งที่ต้องกระทำก็คือละลายตัวอย่างในตัวทำละลายที่เหมาะสม เนื่องจากการละลายให้ได้ความเข้มข้นระดับ ppm ในครั้งเดียวเป็นเรื่องยากที่จะทำ (ปัญหาหนักข้อหนึ่งมันอยู่ตรงที่การชั่งสารในปริมาณน้อย ๆ) วิธีการที่ทำกันมากกว่าคือการเตรียมตัวอย่างให้เป็นสารละลายที่ความเข้มข้นสูงก่อน จากนั้นจึงค่อยทำการเจือจางสารละลายนั้นให้อยู่ในระดับความเข้มข้นที่เครื่องสามารถวัดได้
 
แต่วิธีการเจือจางก็ยังมีปัญหาเรื่องความคลาดเคลื่อนอยู่ดี ปัญหาหลักก็คือประสบการณ์ของผู้ที่เตรียมสารละลายในการใช้อุปกรณ์เครื่องแก้วต่าง ๆ ในการวัดปริมาตร

ในสัปดาห์ที่แล้วสมาชิกผู้หนึ่งของกลุ่มเราได้ส่งตัวอย่างไปวิเคราะห์ด้วยเทคนิค inductively coupled plasma หรือที่เรียกย่อว่า ICP ปรากฏว่าผลการวัดที่ได้นั้นเกิดปัญหาขึ้น คือค่าความเข้มข้นที่วัดได้นั้นมันติดลบ ก็เลยได้มีการปรึกษากันระหว่างผมกับทางเจ้าหน้าที่ผู้วิเคราะห์ (เขาเพิ่งจะย้ายมารับงานนี้) 
   
ในการส่งตัวอย่างไปนั้นผู้ส่งตัวอย่างต้องเตรียมสารละลายตัวอย่างและสารละลายที่จะใช้สร้าง calibration curve การเตรียมสารละลายที่ใช้สร้าง calibration curve นั้นจะใช้สารละลายมาตรฐานที่ทราบค่าความเข้มข้นแน่นอน มาเจือจางให้ได้ระดับความเข้มข้นต่าง ๆ กัน ซึ่งหลังจากที่ได้ปรึกษากันแล้วผมก็เสนอว่าปัญหามันน่าจะอยู่ตรงที่การสร้าง calibration curve และความเข้มข้นของสารในตัวอย่างที่นำมาวัด ผมก็เลยขอให้ทางผู้วิเคราะห์นั้นส่งข้อมูลความแรงของสัญญาณที่วัดได้จากตัวอย่างความเข้มข้นต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบการสร้าง calibration curve
  
กล่าวคือในการวิเคราะห์นั้น ทางผู้ส่งตัวอย่างส่งสารที่ความเข้มข้น 0, 1, 3, 5, 10 และ 15 ppm ที่เตรียมขึ้นเองเพื่อใช้สร้าง calibration curve ผู้ทำการวิเคราะห์ก็ทำการวัดสัญญาณที่ได้จากสารเหล่านี้ความเข้มข้นละ 3 ครั้งก่อนที่จะหาค่าเฉลี่ย จากนั้นจะใช้ค่าเฉลี่ยที่ได้นั้นมาสร้าง calibration curve โดยกำหนดให้ calibration curve เป็นเส้นตรงที่ตัดผ่านจุดกำเนิด ข้อมูลดิบที่ได้และและผลการคำนวณแสดงไว้ในตารางที่ ๑ ข้างล่าง

ตารางที่ ๑ ข้อมูลดิบที่ได้จากการวัดและข้อมูลที่ทำการปรับแก้แล้ว


ข้อมูลดิบ
เฉลี่ย
เทียบกับค่าเฉลี่ย
สัญญาณ
ppm
ครั้งที่ ๑
ครั้งที่ ๒
ครี้งที่ ๓
ครั้งที่ ๑
ครั้งที่ ๒
ครี้งที่ ๓
ที่ปรับแก้
0
860128.9
854053.3
854289.8
856157.3
3971.6
-2104.0
-1867.5
0.0
1
1372324.5
1371738.1
1372463.0
1372175.2
516167.2
515580.8
516305.7
516017.9
3
2389482.1
2395157.7
2384729.7
2389789.8
1533324.8
1539000.4
1528572.4
1533632.5
5
3390577.3
3392577.0
3403565.6
3395573.3
2534420.0
2536419.7
2547408.3
2539416.0
10
5947784.0
5915905.6
5903768.8
5922486.1
5091626.7
5059748.3
5047611.5
5066328.8
15
8434312.8
8433330.6
8406988.8
8424877.4
7578155.5
7577173.3
7550831.5
7568720.1

รูปที่ ๑ (ซ้าย) สัญญาณข้อมูลดิบที่วัดได้กับความเข้มข้นของสาร (ขวา) ปรับแก้ base line ด้วยการลบสัญญาณที่วัดได้จากตัวอย่างแต่ละความเข้มข้นด้วยสัญญาณที่วัดได้จากตัวอย่างความเข้มข้น 0 ppm

ถ้านำเอาข้อมูลดิบ (หรือที่ตัด base line ทิ้งไปแล้ว) คือความแรงของสัญญาณที่วัดได้กับความเข้มข้นของสารมาตรฐานที่เตรียมขึ้นมาเขียนกราฟ ก็จะได้กราฟดังแสดงในรูปที่ ๑ ข้างบน มองแบบนี้จะเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างความแรงของสัญญาณกับความเข้มข้นของสารมีลักษณะเป็นกราฟเส้นตรงซึ่งเป็นไปตาม Beer's law
 
อันที่จริง calibration curve ในรูปที่ ๑ ก็ใช้การได้ แต่ถ้าจะดูให้ละเอียดโดยเอาตัวเลขข้อมูลดิบมาตรวจสอบว่าความสัมพันธ์ระหว่างความแรงของสัญญาณกับความเข้มข้นของสารนั้นเป็นเส้นตรงที่ตัดจุดกำเนิดของกราฟหรือไม่ก็จะพบว่ามีปัญหาเล็กน้อย (ดูตารางที่ ๒) กล่าวคือถ้าเอาจุด 0 ppm และ 1 ppm เป็นหลัก จากนั้นตรวจสอบว่าที่ความเข้มข้น 3, 5, 10 และ 15 ppm นั้นสัญญาณแรงเป็น 3, 5, 10 และ 15 เท่าของสัญญาณที่ 1 ppm หรือไม่ก็พบว่าความแรงของสัญญาณที่ความเข้มข้น 3, 5, 10 และ 15 ppm นั้น "ต่ำกว่า" 3, 5, 10 และ 15 เท่าของสัญญาณที่ 1 ppm อยู่เล็กน้อย โดยยิ่งห่างจุด 1 ppm มากก็ยิ่งต่ำลงมากขึ้น

ตารางที่ ๒ เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยสัญญาณที่วัดได้จริงกับค่าที่ควรเป็นถ้าอ้างอิงจุด 1 ppm และ 15 ppm
ppm
เฉลี่ย
ref ที่ 1 ppm
ref ที่ 15 ppm
0
0.0
0.0
0.0
1
516017.9
516017.9
504581.3
3
1533632.5
1548053.6
1513744.0
5
2539416.0
2580089.3
2522906.7
10
5066328.8
5160178.7
5045813.4
15
7568720.1
7740268.0
7568720.1

และในทางกลับกันถ้าเอาจุด 0 ppm และ 15 ppm เป็นหลัก จากนั้นตรวจสอบว่าที่ความเข้มข้น 1, 3, 5 และ 10 ppm นั้นสัญญาณแรงเป็น 1/15, 3/15, 5/15 และ 10/15 เท่าของสัญญาณที่ 15 ppm หรือไม่ก็พบว่าความแรงของสัญญาณที่ความเข้มข้น 1, 3, 5 และ 10 ppm นั้น "สูงกว่า" 1/15, 3/15, 5/15 และ 10/15 เท่าของสัญญาณที่ 15 ppm อยู่เล็กน้อยเช่นเดียวกัน โดยยิ่งเข้าใกล้จุด 0 ppm มากก็ยิ่งสูงขึ้นมากขึ้น (ค่าสัมพัทธ์)

ปัญหานี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำเวลาที่ตวงของเหลวปริมาตรน้อย ๆ ด้วยอุปกรณ์ที่เพียงชิ้นเดียวก็สามารถตวงของเหลวได้หลายปริมาตรเช่น graduate pipette หรือบิวเรต หรือแม้แต่การใช้ syringe ขนาดใหญ่ในการฉีดตัวอย่างปริมาตรน้อย (เช่นเอา syringe ขนาด 1 ไมโครลิตรมาฉีดตัวอย่างขนาด 0.1-0.2 ไมโครลิตร) ทั้งนี้เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้จะมีความคลาดเคลื่อนในการวัดปริมาตรอยู่ในระดับหนึ่ง โดยไม่ขึ้นกับปริมาตรที่ทำการตวง
สมมุติว่าเราใช้ graduate pipette ขนาด 10 ml ในการตวงของเหลวปริมาตร 10 ml ความคลาดเคลื่อนจากการตวงจะอยู่ที่ฝีมือผู้ทำการตวงของเหลวในการอ่านสเกลและปรับปริมาตรของเหลวให้ตรงกับขีด และปริมาตรของเหลวที่ตกค้างอยู่ที่ปลายปิเปต ซึ่งความคลาดเคลื่อนตรงนี้จะมีขนาดคงที่ ไม่ขึ้นกับปริมาตรของเหลวที่ทำการตวง ถ้าสมมุติว่าขนาดความคลาดเคลื่อนสองส่วนนี้รวมกันเท่ากับ 0.02 ml ดังนั้นถ้าเรานำเอา graduate pipette ตัวนี้มาตวงของเหลว 10 ml ก็จะมีสิทธิคลาดเคลื่อนไปได้ (0.02/10.0)*100 = 0.2%
  
แต่ถ้าเรานำเอา graduate pipette ตัวนี้มาตวงของเหลวปริมาตร 1.0 ml ความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการอ่านสเกล การปรับระดับของเหลวให้ตรงขีด และปริมาตรของเหลวที่ค้างอยู่ที่ปลายก็ยังคงเท่ากับ 0.02 ml เหมือนเดิม แต่ในขณะนี้เมื่อเทียบกับปริมาตร 1.0 ml ที่ทำการตวง การตวงจะมีควรคลาดเคลื่อนเพิ่มเป็น (0.02/1.0)*100 = 2.0% ดังนั้นเพื่อที่จะลดขนาดความคลาดเคลื่อนสัมพัทธ์ตรงนี้ จึงไม่ควรตวงสารในปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับขนาดของอุปกรณ์ที่ใช้ตวง


ในกรณีนี้สิ่งที่ผมคิดว่าพวกเราควรต้องปฏิบัติคือให้ไปดูว่าสารมาตรฐานที่เขาซื้อมานั้นมีความเข้มข้นเท่าใด ก็ให้เตรียมสารตัวอย่างให้มีความเข้มข้นประมาณนั้น เช่นสมมุติว่าโลหะที่เราต้องการวัดนั้นมีสารมาตรฐานเข้มข้น 15 ppm การสร้าง calibration curve ก็ใช้จุด 2 คือ 0 ppm กับ 15 ppm ที่ผมคิดว่าใช้เพียงแค่สองจุดได้ก็เพราะความสัมพันธ์ระหว่างความแรงสัญญาณและความเข้มข้นนั้นเป็นเส้นตรงที่ดีและผ่านจุดกำเนิด (ดูรูปที่ ๑)

จุด 0 ppm ได้จากการวัดตัวทำละลายเปล่า ตัวทำละลายเปล่านี้คือตัวทำละลายที่เราใช้ละลายตัวเร่งปฏิกิริยา ที่ต้องทำการวัดตัวทำละลายเปล่าก็เพื่อหาว่าสัญญาณของตัวทำละลายเปล่าเมื่อไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยาละลายอยู่นั้นแรงเท่าใด ส่วนจุด 15 ppm ก็วัดจากสารละลายมาตรฐานนั้นเลย เมื่อได้ผลการวิเคราะห์ออกมาก็เทียบกับcalibration curve เส้นนี้

ส่วนการเตรียมสารละลายตัวอย่างนั้นก็ให้คำนวณก่อนว่าควรนำตัวเร่งปฏิกิริยาหนักกี่กรัม ละลายในตัวทำละลายกี่ ml จึงจะได้ความเข้มข้นของโลหะที่ต้องการวัดในสารละลายนั้นเข้มข้นประมาณ 15 ppm (เราทราบปริมาณโลหะโดยประมาณของตัวอย่างจากปริมาณโลหะที่เราเติมเข้าไปตอนสังเคราะห์ตัวเร่งปฏิกิริยา)

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

GC-2014 ECD & PDD ตอนที่ ๓๒ การสร้างส่วนหางพีค O2 MO Memoir : Friday 27 July 2555


บันทึกฉบับนี้เป็นบันทึกการสนทนาระหว่างผมกับสาวน้อยร้อยห้าสิบเซนต์ (คนใหม่) และสาวน้อยหน้าบาน (คนใหม่) ในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวปฏิบัติในการสร้างส่วนหางของพีค O2 และแนวปฏิบัติในการคำนวณพื้นที่พีค NO ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ทำการคำนวณในทิศทางเดียวกัน ซึ่งตั้งแต่วันนี้จะขอให้ใช้วิธีการที่เขียนไว้ในบันทึกฉบับนี้ก่อน จนกว่าจะมีการแก้ไขใหม่

หลังจากที่เราได้โครมาโทแกรมมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหาพื้นที่พีค NO

ปัญหาที่เราเจออยู่ก็คือความสูงของพีค O2 นั้นประมาณ 1000 เท่าของพีค NOและพีค NO อยู่บนส่วนหางของพีค O2 ซึ่งดูเหมือนว่าส่วนหน้าของพีค NO จะคร่อมอยู่บนส่วนหางของพีค O2 โดยส่วนหลังของพีค NO จะอยู่บนเส้นสัญญาณอีกเส้นหนึ่งที่ไม่ใช่เส้น base line ซึ่งตอนนี้เราไม่สามารถระบุได้ว่าสัญญาณดังกล่าวเป็นของสารใด รู้แต่เพียงว่าถ้าไม่มี NO ก็จะไม่เห็นสัญญาณดังกล่าวหรือเห็นต่ำมาก แต่ถ้ามี NO ก็มักจะมีสัญญาณตัวนี้ปรากฏค่อนข้างชัดเจน

ในการสร้างส่วนหางของพีค O2 นั้นเราได้ทดสอบโดยการนำเอาโครมาโทแกรม ๒ โครมาโทแกรมที่มีพีค O2 เข้มข้น 15 vol% ที่ได้มาโดยไม่มีพีค NO ร่วมอยู่ มาเป็นตัวทดสอบ (ดูรูปที่ ๑ ประกอบ)

โครมาโทแกรมในรูปเป็นส่วนขยายบริเวณฐานของพีค O2 (ความสูงของพีค O2 นั้นสูงกว่า 1000000)

ที่ผ่านมานั้นเราสังเกตพบว่าเส้น base line มีการเคลื่อน (drift) น้อยมากจากจุดเริ่มต้นเก็บข้อมูลจนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุดข้อมูลและนำ GC กลับมายังภาวะพร้อมเก็บตัวอย่างใหม่ จากข้อมูลนี้ทำให้เราสามารถประมาณได้ว่าแนวเส้น base line ของพีค O2 นั้นเป็นเส้นที่ขนานแกน x (หรือความชันเป็นศูนย์)

การกำหนดเส้น base line ทางด้านซ้ายให้เริ่มจากตำแหน่งก่อนเกิดพีค O2 เล็กน้อย (ลูกศรสีม่วงในรูป) และลากเส้นขนานแกน x ไป (เส้นประสีแดงในรูป) ซึ่งสัญญาณโครมาโทแกรมควรจะกลับมาตัดกับเส้น base line ที่ตำแหน่งใดสักตำแหน่งหนึ่งก่อนถึงเวลา 20 นาที

ในกรณีที่เส้น base line มีการเคลื่อนตัว (drift) ค่อนข้างชัดเจน ขอบเขตด้านขวาให้กำหนดที่จุด ณ เวลา 20 นาที

สัญญาณที่เกิดจาก O2 เพียงอย่างเดียวนั้นจะเริ่มจากจุดที่เริ่มต้นเกิดพีค (ตรงลูกศรสีม่วงชี้) ไปจนถึงจุดที่เริ่มต้นปรากฏพีค NO จากการทดสอบที่ผ่านมาเราพบว่าตามภาวะการวิเคราะห์ของเรานั้น ที่ความเข้มข้น NO 120 ppm พีค NO จะเริ่มปรากฏที่เวลาประมาณก่อน 9.8 นาที ดังนั้นเราจะใช้ข้อมูลโครมาโทแกรมในช่วงจากจุดเริ่มต้นเกิดพีค O2 ไปจนถึงเวลา "ก่อน" ที่พีค NO จะปรากฏเล็กน้อย (จุดที่ลูกศรสีเขียวชี้)

ขั้นตอนต่อไปคือทำให้ข้อมูลที่อยู่ทางด้านซ้ายของจุดเริ่มต้นเกิดพีค O2 (ทางด้านซ้ายของลูกศรสีม่วง) เป็น inactive และจุดที่อยู่ทางด้านขวาของลูกศรสีเขียวให้กลายเป็น inactive ด้วย (ใช้คำสั่งของโปรแกรม fityk)

การสร้างส่วนหางของพีค O2 ทำโดยการทำ peak fitting กับพีค O2 ซึ่งทำได้โดยการใช้คำสั่ง "add peak" และกดปุ่มให้โปรแกรมทำ peak fitting เป็นระยะ พีคที่จะเติมเข้าไปนั้นให้เลือกใช้พีคชนิด "SplitGaussian" จากเมนูคำสั่งของโปรแกรม (SplitGaussian ในโปรแกรม fityk ก็คือพีค Gaussian ที่ไม่สมมาตรนั่นเอง กล่าวคือมีค่าความกว้างทางด้านซ้ายและทางด้านขวาของพีคที่ไม่เท่ากัน)

รูปที่ ๑ พีค O2 15 vol% ขยายเฉพาะตรงส่วนฐาน ทั้งสองรูปได้จากการวัดโดยให้แก๊สไหลผ่านเบด TiO2 ใน reactor ที่อุณหภูมิ 120ºC เป็นการวัดสองครั้งต่อเนื่องกัน ในการลากเส้น base line นั้นให้กำหนดจุดแรกตรงตำแหน่งก่อนเกิดพีค O2 เล็กน้อย (ตรงตำแหน่งลูกศรสีม่วง) แล้วลากเส้นขนานแกน x ไป (เส้นประสีแดง) ในกรณีที่ไม่มี NO ผสมอยู่นั้นพบว่าเส้น base line ที่ลากนั้นจะมาบรรจบกับโครมาโทแกรมใหม่ประมาณตำแหน่งเวลา 14 นาที

จำนวนพีคที่จะเติมและจำนวนครั้งที่จะกดปุ่มทำ peak fitting นั้นค่อนข้างจะเป็นศิลป์เล็กน้อย ต้องทดลองดูเอาเอง แต่สุดท้ายส่วนใหญ่ก็จะให้ผลที่ออกมาใกล้เคียงกันมาก ซึ่งตรงนี้ขึ้นกับความราบเรียบของข้อมูล ช่วงข้อมูลที่เราเลือกมาทำ peak fitting และการวางตำแหน่งเส้น base line

จากตัวอย่างในรูปที่ ๒ จะเห็นว่าในโครมาโทแกรมรูปบนนั้นผมต้องเติมพีคเข้าไปถึง ๙ พีคเพื่อให้ได้รูปร่างพีค O2 ในรูปแบบที่มันควรเป็น (เส้นสีน้ำเงิน) ในขณะที่ในรูปบนนั้นใช้เพียง ๕ พีคก็พอ

ถ้าในระหว่างการทำ peak fitting พบว่ามีการเติมพีคที่กลับหัวและ/หรือเติมพีคที่มีจุดยอดอยู่นอกช่วงระหว่างลูกศรสีม่วงและลูกศรสีเขียว (ในรูปที่ ๑) ก็ให้ลบพีคดังกล่าวทิ้งเสีย

ที่สำคัญคือพยายามวางเส้น base line ให้ใกล้กับจุดต่ำสุดของข้อมูลโครมาโทแกรมให้มากที่สุด แต่อย่าให้มีจุดข้อมูลของโครมาโทแกรมอยู่ใต้เส้น base line เพราะจุดดังกล่าวอาจก่อให้เกิดปัญหาการวางพีคกลับหัวได้

รูปที่ ๒ การสร้างส่วนหางของพีค O2 หลังจากที่ได้ทำการตัด base line และกำหนดช่วงข้อมูลที่เป็นเฉพาะของพีค O2 แล้ว

ฉบับนี้คงพอเท่านี้ก่อน ฉบับถัดไปจะเป็นการหาพื้นที่พีค NO แล้ว