ตอนจบปี
๒ 
คณะจะทำการเปลี่ยนหลักสูตรโดยจะให้ทางคณะพาณิชยศาตร์และการบัญชีสอนวิชาสถิติให้นิสิตวิศวะ
 ซึ่งในขณะนั้นทางคณะวิทยาศาสตร์เป็นผู้สอนอยู่
	โดยหลักสูตรสาขาวิชาของผมเองนั้น
 วิชาสถิติมันเรียนตอนปี ๓
 ผมเองก็ไม่อยากไปเรียนตัวใหม่ที่ทางบัญชีเป็นผู้สอน
 เรื่องทั้งเรื่องก็เป็นเพราะไม่รู้ว่าจะยากหรือจะง่าย
 แนวข้อสอบจะเป็นอย่างไร 
ไม่เหมือนของเก่าที่เราตุนข้อสอบเก่าจากรุ่นพี่เอาไว้
 หน้าร้อนปี ๒๕๒๙ ก็เลยลงเรียน
summer
ซะ ๑
เทอม  คือลงวิชาสถิติที่สอนโดยคณะวิทยาศาสตร์
 เพราะถ้าไม่ลงตอนนั้น 
พอเปิดเทอมใหม่ก็จะไม่มีให้เรียน
 ต้องไปเรียนตัวใหม่ที่ทางบัญชีเป็นผู้สอน
	และระหว่างเรียนภาคฤดูร้อนนี้เอง
 ที่ผมได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมค่ายยุววิศวกรบพิธ
	ค่ายที่ทำกันคือการไปสร้างสิ่งก่อสร้างที่อำนวยความสะดวกให้กับชุมชนที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาน
อาจารย์ผู้หนึ่งเล่าให้ฟังว่าสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการไปก่อสร้างคือพวกฝายและเขื่อนทดน้ำ
เพราะเป็นเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชนที่อยู่ต้นน้ำและปลายน้ำได้
 ดังนั้นสิ่งก่อสร้างที่มักจะไปทำถ้าไม่เป็นพวกอาคารก็จะเป็นสะพาน
	ในฤดูร้อนปีพ.ศ.
๒๕๒๙
 ค่ายยุววิศวกรบพิธ ๑๔
เป็นการสร้างสะพานขึง (cable
stayed bridge) ที่บ้านห้วยเนียม
ต.บ้านไผ่
อ.น้ำปาด
จ.อุตรดิตถ์
	ว่ากันว่าที่เลือกสร้างสะพานขึงนั้นเป็นเพราะว่าตอนนั้นในกรุงเทพกำลังมีการสร้างสะพานพระราม
๙ อยู่  สะพานพระราม ๙
จะเปิดใช้ในปีพ.ศ.
๒๕๓๐
ซึ่งจะเป็นสะพานขึงที่มีช่วงระหว่างเสายาวที่สุดในโลก
ทางค่ายก็เลยเลือกสร้างสะพานให้เป็นสะพานขึงเพื่อชิงเปิดตัดหน้าสะพานพระราม
๙  แต่ที่แตกต่างกันคือสะพานพระราม
๙ เป็นสะพานขึงระนาบเดียว
คือมีสายเคเบิลยึดระหว่างเสากับตัวสะพานที่บริเวณตรงส่วนกลางของแนวยาวของสะพาน
 ส่วนสะพานที่ทางค่ายจะสร้างนั้นเป็นสะพานขึงระนาบคู่
คือมีสายเคเบิลยึดระหว่างเสากับตัวสะพานตลอดความยาวขนาบข้างทางด้านซ้ายและขวา
	แต่ผมว่าที่ทางค่ายเลือกสร้างสะพานแบบนี้เป็นเพราะลักษณะภูมิประเทศมันบังคับมากกว่า
 คือตำแหน่งที่จะสร้างสะพานเชื่อมนั้นค่อนข้างลึก
 และในฤดูน้ำหลากจะมีน้ำไหลเชี่ยวมามาก
 ดังนั้นถ้าสร้างสะพานขึงโดยวางตำแหน่งเสาไว้ใกล้ชายฝั่งทั้งสองฟาก
 ตอนกลางของร่องน้ำก็จะไม่มีอะไรไปขวางกั้น
 น้ำจะได้ไหลได้สะดวก 
ในหน้าแล้งชาวบ้านสองฝั่งจะเดินข้ามร่องนี้ไปมาหาสู่กันได้
 แต่พอช่วงน้ำหลากก็จะไม่สามารถติดต่อกันได้
ดังนั้นถ้ามีสะพานเชื่อมสองฝั่งก็จะทำให้ชาวบ้านทั้งสองฝั่งสามารถไปมาหาสู่กันได้ตลอดทั้งปี
	งานที่ผมเข้าไปร่วมทำเป็นงานที่ทำที่กรุงเทพ
 คือทำหน้าที่เชื่อมเสาสะพาน
 เสาสะพานมีสองส่วน 
ส่วนล่างเป็นตอม่อคอนกรีตที่ต้องไปก่อสร้างกันที่หน้างาน
 ส่วนที่ผมทำหน้าเป็นเสาเหล็กที่จะนำไปติดตั้งบนต่อม่อคอนกรีตอีกที
	เสาเหล็กนั้นจะใช้เหล็กรูปตัวซี
(ขนาดน่าจะสักประมาณ
8-10
นิ้ว
จำไม่ได้แน่ชัด)
ยาวประมาณ
๓ เมตรมาประกบกันให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม
 ตรงขอบที่จะประกบกันนั้นจะทำการเจียรเพื่อให้แนวประกบนั้นเป็นรูปตัววี
(V) 
เวลาเอามาวางประกบกันก็จะเว้นช่องว่างไว้เล็กน้อย
 ขนาดประมาณเส้นผ่านศูนย์กลางของลวดเชื่อม
 เวลาเชื่อมก็จะเชื่อมหัวท้ายทั้งด้านบนและด้านล่างและเชื่อมตรงกลาง
 ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบิดตัวจนเสาคดโก่ง
 จากนั้นจึงเดินรอยเชื่อมรอยล่างสุดให้เต็มแนวก่อน
 รอยล่างสุดนี้สำคัญสุดเพราะรอยเชื่อมต้องซึมลึกตลอดพอดี
ไม่น้อยเกินไปหรือไม่มากเกินไป
 ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับการตั้งกระแสไฟฟ้า
(ที่ใช้ตอนนั้นดูเหมือนสักประมาณ
80-100
A)  จากนั้นจึงค่อยเติมเต็มผิวบนให้เต็มแนว
	ส่วนตัวสายเคเบิลนั้นก็ไม่ได้ใช้สายเคเบิล
 แต่ใช้เหล็กข้ออ้อย 
ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะใช้วิธีการกลึงเกลียวที่ปลายท่อนเหล็ก
และใช้วิธีต่อเข้าด้วยกันด้วยข้อต่อเกลียวที่สามารถปรับการขันให้ตึงหย่อนได้ดังต้องการ
	สถานที่ที่ทำงานก็เป็นถนนหน้า
work
shop อยู่ระหว่างหน้า
work
shop กับห้องน้ำสามแสน
 ซึ่งปัจจุบันอาคาร work
shopนี้ถูกทุบไปแล้วและสร้างเป็นอาคาร
๔ ขึ้นมาแทน 
ส่วนห้องน้ำสามแสนก็ถูกทุบทิ้งไปเมื่อไม่นานนี้เพื่อสร้างเป็นอาคาร
๑๐๐ ปี
	ความรู้ที่ได้จากการทำค่ายครั้งนั้นช่วยผมไว้มาก
 เพราะพอจบไปทำงานก่อสร้างผมบังเอิญต้องไปดูแลงานวางท่อโรงงาน
 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเชื่อมท่อเป็นอย่างมาก
	พอเชื่อมชิ้นส่วนได้มากพอแล้ว
 ก็จะทำการลำเลียงทางรถบรรทุกไปยังค่ายที่
จ.อุตรดิตถ์
	ตอนนั้นผมได้หน้าที่นำชิ้นส่วนงานเชื่อมลอตหนึ่งไปส่งที่ค่าย
 รถที่นั่งไปนั้นเป็นรถบรรทุก
๖ ล้อรุ่นเก่า (ดูเหมือนจะมีฉายาว่าหน้า
"แป๊ยิ้ม")
ที่มีเครื่องยนต์วางอยู่ข้างหน้าคนขับ
(หน้ายื่นออกมาแบบรถเก๋ง)
 ที่นั่งและพนักพิงเป็นไม้แผ่นวางตั้งฉาก
 ไม่มีประตู  นั่งไปกันสามคน
 ผมนั่งกลางระหว่างคนขับกับรุ่นพี่อีกคนหนึ่ง
 ออกจากมหาวิทยาลัยตอนหัวค่ำ
 แรก ๆ ก็ดูสนุกดี 
พอพ้นดอนเมืองเข้ารังสิตก็มืดไปหมดแล้ว
 มีแต่ไฟแสงสว่างของร้านอาหารข้างทาง
 ตอนนั้นถนนพหลโยธินช่วงนี้ก็มีแค่
๔ ช่องทางจราจร (ไป-กลับข้างละสอง)
 คนขับก็ขับไปตามกำลังรถที่จะไปได้
 คือ ๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง
 หลับ ๆ ตื่น ๆ ไปไม่รู้กี่เที่ยว
 จนกระทั่งหลังเที่ยงคืนจึงมีการแวะพักกินข้าวกันที่พิษณุโลก
	ออกจากพิษณุโลกเริ่มมีฝนตกเป็นช่วง
ๆ ผมกับพี่ที่ไปด้วยก็นั่งสัปหงกกันต่อ
 จังหวะหนึ่งคนขับก็หยิบยามาเม็ดหนึ่ง
 กินเข้าไปแล้วก็หันมาถามผมกับพี่ว่า
"จะเอาบ้างไหม"
พร้อมกับส่งมาให้
๑ เม็ด  เท่านั้นแหละทั้งผมและพี่ก็ตาสว่างเลย
 ก็คนขับเล่นล่อม้า
(ยาบ้าในปัจจุบันนั่นแหละ)
ให้ดูกันต่อหน้าต่อตา
 แต่ถึงกระนั้นพอรุ่งเช้าเราก็ไปถึงอ.น้ำปาด
จ.อุตรดิตถ์จนได้
	ของที่ขนไปกับรถนั้นต้องให้รถของกรมทางหลวงขนต่อไปให้ที่ค่าย
 เพราะทางไปค่ายนั้นเป็นทางลูกรังขึ้นเขา
 ในปีนั้นสถานที่ที่ไปออกค่ายนั้นยังเป็นพื้นที่สีชมพู
(ไม่ได้หมายความว่าเป็นพื้นที่ของจุฬานะ
 แต่หมายถึงเป็นพื้นที่ที่มีการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ค่อนข้างรุนแรง
 ถ้ารุนแรงมากจะเป็นพื้นที่สีแดง)
 การลำเลียงสิ่งที่อาจนำไปใช้เป็นปัจจัย
(เช่นน้ำมันเชื้อเพลิง
 ที่เราจำเป็นต้องนำไปใช้กับเครื่องปั่นไฟฟ้าสำหรับเครื่องเชื่อม)
จะถูกเพ่งเล็งจากเจ้าหน้าที่เป็นพิเศษ
 ผมกับรุ่นพี่จะขึ้นไปค่ายก่อน
 โดยจะอาศัยรถสองแถวเดินทางขึ้นไป
 ตอนนั้นหมู่บ้านดังกล่าวจะมีรถสองแถววันละเที่ยว
 คือตอนเช้าจะออกจากหมู่บ้านมายังอำเภอ
 และรับคนกลับไปยังหมู่บ้านอีกที
	เท่าที่จำได้คือทางไปหมู่บ้านนั้นเป็นทางลูกรังบนเขา
 ไม่มีป้ายบอกว่าข้างหน้าเป็นโค้งอันตราย
(เพราะมันเป็นเกือบทุกโค้ง)
 ไม่มีเสาบอกว่าข้างทางเป็นเหว
(เพราะเป็นที่รู้กัน)
 อุปกรณ์ประจำรถที่ต้องมีคือโซ่พันล้อ
 เพราะถ้าฝนตกจะถนนเปียกเมื่อไร
 ก็ต้องหยุดรถเพื่อเอาโซ่มาพันล้อทั้งสี่ก่อน
 เพื่อให้ล้อมันเกาะถนน 
ไม่เช่นนั้นถ้าตกหล่มก็ขึ้นไม่ได้
 หรือไม่ก็ลื่นไถลออกนอกเส้นทางได้ 
	เนื่องจากคืนก่อนหน้ามีฝนตก
 ดังนั้นระหว่างทางขึ้นไปจึงมีบางช่วงที่ถนนเป็นเลน
 รถสองแถวต้องหยุดรถเพื่อพันโซ่ล้อ
 เวลาผ่านหลุมบ่อบางแห่งผู้โดยสาร
(ผู้ชายตัวหนัก)
ก็ต้องมายืนขย่มที่ท้ายรถเพื่อกดให้ล้อรถจมลงไปสัมผัสกับพื้นแข็งที่อยู่ข้างล่าง
 รถจะได้เดินทางต่อไปได้ 
หรือไม่ก็ต้องลงมาช่วยกันเข็นรถให้พ้นหลุม
	ฝีมือเชื่อมเหล็กของผมก็ทำได้เฉพาะการเชื่อมในแนวนอนกับชิ้นงานที่วางราบอยู่บนพื้น
 จะให้ไปเชื่อมแนวตั้ง แนวดิ่ง
หรือแนวระนาบของชิ้นงานที่วางตั้งฉากอยู่กับพื้น
ก็ไม่อยากทำ  เพราะไม่อยากให้คนอื่นเขาเดือดร้อน
 ไปอยู่ค่ายก็เลยไปเป็นลูกมือทำงานอื่น
 เช่นไปช่วยพวกสำรวจส่องกล้องตั้งแนวเสา
(ผมส่องไม่เป็นหรอก
 แต่ให้ช่วยแบกของก็พอทำได้)
 ตกกลางคืนก็นอนดูดาว
อยู่ที่โน่นได้เจ็ดวันก็เดินทางกลับกรุงเทพเพื่อกลับมาทำงานเชื่อมเหล็กต่อ
 ซึ่งตอนนั้นก็เหลือไม่มากแล้ว
	ผมได้กลับที่นั่นอีกทีตอนงานเปิดสะพาน
 บริเวณข้าง ๆ
ตอม่อคอนกรีตก็มีการเอาต้นไม้มาปลูก
(ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นไผ่)
เพื่อให้ช่วยลดความเร็วของสายน้ำที่จะมาปะทะตอท่อสะพานเวลาน้ำหลาก
 และป้องกันสิ่งของที่พัดพามากับน้ำปะทะเข้ากับตอม่อสะพานโดยตรง
(ให้กอไผ่รับเอาไว้ก่อน)
 ความแข็งแรงของสะพานนั้นตอนที่สร้างกันอยู่ก็กะว่าเพื่อให้คนเดินข้าม
 ไม่ได้กะให้มีรถยนต์วิ่งผ่าน
 แต่บังเอิญวันนั้นมีรถปิ๊คอัพคันหนึ่งวิ่งไปบนสะพาน
 พวกผมก็ยืนดูกัน 
รุ่นพี่คนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า
"เออ
ดีเหมือนกัน
มีคนช่วยทดสอบว่าสะพานมันแข็งแรงหรือเปล่า"
 และรถคันดังกล่าวก็ผ่านไปได้อย่างปลอดภัย
	คืนนั้นในหมู่บ้านก็มีการจัดงานรี่นเริงกัน
 งานหนึ่งคือมีรายการ "สาวรำวง"
 คือจะมีการกั้นลานด้วยเชือก
 ในลานนั้นจะมีสาว ๆ แต่งตัวสวย
ๆ (เรียบร้อยแบบชาวบ้านและไม่โป๊)
นั่งรออยู่
 คนจะเข้าไปรำวง (ก็มักจะเป็นหนุ่ม
ๆ)
ก็จะต้องซื้อบัตรแล้วไปเลือกว่าอยากจะรำวงกับสาวคนไหน
 เขาจะเปิดให้เขาเป็นรอบ ๆ
 พอหมดรอบก็ต้องออกมา 
อยากจะรำใหม่ก็ต้องไปซื้อบัตรใหม่
 พวกผมไปในฐานะกลุ่มคนที่สร้างสะพาน
 ก็เลยได้เข้าไปร่วมรำวงฟรีโดยไม่ต้องซื้อบัตร
(ทั้ง
ๆ ที่รำไม่เป็น)
 
นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตของผมที่ได้มีโอกาสเห็นงานรื่นเริงที่เรียกว่า
"สาวรำวง" 
	เปิดสะพานเสร็จแล้วก็กลับมาเรียนหนังสือต่อกันที่กรุงเทพ
 เพราะมันเปิดเทอมแล้ว
	นั่นเป็นเรื่องเมื่อหน้าร้อนปีพ.ศ.
๒๕๒๙
 หรือเมื่อ ๒๕ ปีที่แล้ว
รูปที่
๑  รูปสองรูปนี้เอามาจาก
face
book ของพี่คนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า
Tien 
เป็นสะพานขึงที่ชาวค่ายยุววิศวกรบพิธ
๑๔ ไปสร้างเอาไว้เมื่อปีพ.ศ.
๒๕๒๙
 เพื่อนผมคนหนึ่งเอามาเผยแพร่ใน
facebook
ของรุ่น
 ทำให้นึกถึงเรื่องต่าง ๆ
ที่เคยทำไว้ในสมัยนั้น  
ภาพดังกล่าวดูเหมือนจะนำมาจากคลิปข่าวของโทรทัศน์ช่อง
9
	อีก
๒๐ ปีถัดมาผมก็ได้มีโอกาสโฉบไปเที่ยวภาพเหนือทางซีกแถวนั้นอีก
 แต่ก็ไม่ได้แวะไปที่อุตรดิตถ์
 ไปแต่จังหวัดที่อยู่เหนือขึ้นไปหรือไม่ก็ต่ำลงมา
 อีกอย่างคือไปกับครอบครัว
ครั้งจะขับรถพาครอบครัวไปเพื่อไปดูสะพานที่เคยไปสร้างไว้สมัยเรียนหนังสือ
 คนอื่นก็ไม่รู้ว่าจะดูทำไม
 ที่สำคัญก็คือจำไม่ได้แล้วว่าสะพานที่เคยไปออกค่ายนั้นอยู่ที่ไหน
 จำได้เพียงแค่ชื่ออำเภอและชื่อจังหวัด
	จนกระทั่งเมื่อวานได้เห็นเพื่อนคนหนึ่งโพสเอาไว้ใน
facebook
ของรุ่นว่าไปเห็นรูป
๒ รูปในหน้า facebook
ของรุ่นพี่คนหนึ่ง
 ซึ่งเป็นภาพสะพานขึงที่ได้มีโอกาสร่วมในการก่อสร้าง
 ภาพดังกล่าวดูเหมือนจะนำมาจากคลิปข่าวของโทรทัศน์ช่อง
9
หลังเหตุการณ์โคลนถล่ม
 ภาพแสดงให้เห็นสะพานที่ยังคงใช้การได้อยู่
 แต่ถูกกระแสน้ำพัดจนทำให้สะพานที่วางไว้ในแนวตรงนั้นบิดเบี้ยวไป
	ผมก็เลยลองใช้คำว่า
"ยุววิศวกรบพิธ
14"
ค้นหาใน
google
ดู 
ก็เลยได้ไปเห็นข่าวในรูปที่
๒ ข้างล่าง
รูปที่
๒  ข่าวนี้นำมาจากเว็บไทยรัฐออนไลน์
 คอลัมน์เทียบท่าหน้า ๓
ฉบับวันพุธที่ ๑๔ กันยายน
๒๕๕๔ เรื่อง "รอซ่อม"
 แต่ผมมาเซฟหน้านี้เอาไว้เมื่อวาน
 ที่ทำให้ระลึกถึงเหตุการณ์ประทับใจต่าง
ๆ เมื่อ ๒๕ ปีก่อนหน้านั้นคือข้อความในกรอบสีแดง
	ตอนนี้ก็เห็นพวกพี่
ๆ ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการก่อสร้างครั้งนั้นมีการติดต่อกันทาง
facebook
เรื่องไปสำรวจความเสียหายของสะพานดังกล่าวแล้ว
	ผมเขียนเรื่องนี้เพื่อบันทึกเสี้ยวหนึ่งของเหตุการณ์ที่ตัวเองได้ไปมีส่วนร่วมเมื่อ
๒๕ ปีที่แล้ว 
เพื่อไม่ให้เลือนหายไปกับความทรงจำของคนรุ่นนั้นหมดสิ้น
