ผมเคยเขียนเรื่องขดลวดความร้อนของเตาเผา
ซึ่งมีนิสิตมาถามว่าจะให้ทำอย่างไร
ผมก็บอกว่าให้ไปหาซื้อเส้นใหม่มาเปลี่ยน(๑)
แต่ผมมาทราบทีหลังว่าเขาใช้วิธีเรียกร้านค้าให้มาขนเตาจากแลปเอาไปซ่อมที่ร้าน
ผลก็คือมีรายการเปลี่ยนขดลวดความร้อนเส้นละแปดพันบาท
มาคราวนี้ก็ถึงทีของสายไฟเส้นละสี่พันบาทซึ่งเป็นตอนต่อเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา(๒)
เมื่อวานผมเพิ่งจะทราบเหตุการณ์บางเรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในปีที่แล้ว(๓)
ซึ่งทำให้ผมพอจะเดาได้ว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์บางอย่างในปีนี้
ซึ่งตอนแรกก็ทำให้เข้าใจไปอีกอย่าง
แต่ก่อนอื่นเราลองมาดูอุปกรณ์ที่ได้รับความเสียหายที่ซ่อมเสร็จแล้วก่อนดีกว่า
(รูปที่
๑ ข้างล่าง)
รูปที่
๑ เตา calcine
หลังจากซ่อมเสร็จแล้ว
ปัญหามันเกิดจากการที่พอผู้ใช้เตาติดตั้งอุปกรณ์เข้ากับตัวเตา
แล้วเสียบปลั๊กไฟเพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเตานั้น
สายไฟฟ้าที่ต่อจากปลั๊กมายังตัวเตามันวางอยู่กับพื้น
และลอดผ่านด้านใต้ของตัวเตา
(อยู่ข้างใต้รูสำหรับใส่หลอดแล้วในเตาพอดี)
ดังนั้นเมื่อมีปัญหามีวัตถุที่มีความร้อนสูงหยดลงมาจากตัวเตา
มันก็จะลงบนสายไฟพอดี
วิธีที่ปลอดภัยคือต้องเก็บสายไฟดังกล่าว
ให้เดินอ้อมห่างออกไปจากตัวเตา
ซึ่งถ้าหากมีการกำชับให้ทำเช่นนั้นตั้งแต่ต้นหรือให้ความสนใจบ้างว่าผู้ทำการทดลองนั้นทำการทดลองในสภาพใด
แม้ว่าในวันดังกล่าวจะเกิดปัญหาหลอดแก้วที่ร้อนจัดจนหลอมเหลวหยดร่วงลงมา
แก้วหลอมเหลวนั้นก็จะหยดลงบนแท่นรองที่เป็นโลหะ
ซึ่งจะปลอดภัยกว่า
ทันทีที่เกิดอุบัติเหตุ
ผู้ทำการทดลองก็รีบทำการเก็บกวาดและส่งอุปกรณ์ที่ได้รับความเสียหายไปซ่อมทันที
ตัวผมเองนั้นได้มีโอกาสไปดูอุปกรณ์ที่ได้รับความเสียหาย
ตอนแรกผมนึกว่าช่างที่เขาส่งอุปกรณ์ไปให้นั้นจะทำเพียงแค่เปลี่ยนสายไฟเส้นเดียว
แต่เขากลับส่งต่อไปที่ร้าน
ผลก็คือทางร้านซ่อมมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนต่าง
ๆ ที่ไม่จำเป็น (เพราะไม่มีความเสียหายใด
ๆ)
เพียงเพื่อจะหวังรายได้ที่มากขึ้น
ผลก็คือได้เปลี่ยนสายไฟเส้นละสี่พันบาท
อันที่จริง
เมื่ออุปกรณ์เรามีความเสียหาย
เราก็ควรที่จะทำการตรวจสอบเบื้องต้นก่อนว่ามีส่วนใดเสียหายบ้าง
ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ช่างทำการเปลี่ยนชิ้นส่วนต่าง
ๆ (แม้ว่ามันจะไม่เสีย)
เพราะแต่ละชิ้นที่เขาเปลี่ยนนั้นเขาไม่ได้คิดราคาทุนกับเรา
แต่เขาบวกกำไรและค่าแรงในการเปลี่ยนเข้าไปด้วย
ดังนั้นยิ่งเขาถอดชิ้นส่วนของเราออกไป
(ซึ่งอาจนำไปขายเป็นของมือสองได้)
และนำชิ้นส่วนใหม่มาใส่ให้ได้มากชิ้นเท่าไร
เขาก็จะมีรายได้มากขึ้น
ทีนี้เรามาลองพิจารณาดูว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว(๓)
กับที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้(๒)
น่าจะมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ตามข้อมูลที่ผมเพิ่งจะได้รับทราบมาเมื่อวานคือ
หลังเกิดเหตุการณ์ในปีที่แล้ว
ผู้ที่ทำการทดลองนั้นถูกสั่งพักการทดลองเป็นการลงโทษ
พอผมทราบผมก็เลยถามคนที่เล่าให้ผมฟังว่า
ก็คนที่ทำการทดลองนั้นทำการทดลองภายใต้การกำกับดูแลของรุ่นพี่คนหนึ่ง
ซึ่งรุ่นพี่คนนั้นบอกให้เขาทำตามขั้นตอนที่เขาบอก
แล้วทำไมจึงไม่ลงโทษรุ่นพี่คนนั้นด้วย
หรือไม่ก็อย่างน้อยต้องมีการสอบสวนว่าทำไมจึงยังมีการใช้วิธีการทดลองประเภทที่รอโอกาสว่าถ้าผู้ทำการทดลองพลาดเมื่อไรก็จะเกิดเรื่อง
ซึ่งผมก็ไม่ได้รับคำตอบใด
ๆ
ในประเทศอังกฤษที่ผมไปศึกษานั้น
เวลามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นสิ่งหนึ่งที่ต้องกระทำคือ
การหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุนั้น
และต้องมีการทำรายงานเผยแพร่
ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้คนอื่นทำผิดพลาดซ้ำอีก
การปกปิดเอาไว้ถ้ามีการตรวจพบเมื่อไรจะถือว่าเป็นความผิด
ความผิดพลาดนั้นพิจารณาไล่กันไปตั้งแต่
การฝึกอบรม การมีวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง
การออกแบบอุปกรณ์ที่ถูกต้อง
การมีระบบป้องกันที่เพียงพอ
ฯลฯ
รวมไปถึงการจัดองค์กรว่าวัฒนธรรมองค์กรนั้นให้ความสำคัญกับการป้องกันอุบัติเหตุมากน้อยเพียงใด
เวลาที่มีใครสักคนทำให้เกิดอุบัติเหตุ
จะต้องมีการสอบสวนกันด้วยว่าสิ่งที่เกิดนั้นเกิดจากอะไร
เช่นเกิดจากความสะเพร่าของผู้ปฏิบัติ
เกิดจากการที่ผู้กำกับการทำงานไม่ได้ให้การฝึกอบรมวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง
เกิดจากการที่ผู้กำกับการทำงานใช้คนที่ไม่มีความรู้ในด้านที่เหมาะสม
เกิดจากการใช้คนจนเกินกำลังความสามารถทางร่างกาย
เกิดจากความไม่เอาใจใส่ในด้านความปลอดภัยในทางปฏิบัติ
ฯลฯ
ซึ่งบ่อยครั้งที่พบว่าผลสรุปออกมาว่าผู้ที่ผิดนั้นไม่ใช้ผู้ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ
แต่เป็นผู้กำกับดูแลการทำงานของผู้ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ
การที่เขาตรวจสอบกันเช่นนี้ก็เพราะต้องการบีบบังคังให้องค์กรให้ความสำคัญกับการป้องกันอุบัติเหตุ
ไม่ใช่ดีแต่พูด
พอเกิดเรื่องทีก็โยนความผิดให้กับผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ
ในกรณีนี้ผมเดาว่าผู้ทำการทดลองคนดังกล่าวคงกลัวว่าจะถูกลงโทษห้ามเข้าแลป
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่องานของเขาที่เขาต้องกระทำ
เขาจึงพยายามทำให้ทุกอย่างจบสิ้นโดยเร็วและให้เงียบที่สุด
โดยตัวผมเองนั้นคงกล่าวอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้
เพราะแค่นี้ผู้ทำการทดลองคนนั้นก็แย่อยู่แล้ว
เรื่องนี้มันคล้ายกับสิ่งที่เกิดเมื่อ
๓ ปีที่แล้ว
ซึ่งตอนนั้นผมบอกกับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ว่าผมขอเงียบ
ๆ ไว้ดีกว่า
ขืนพูดอะไรออกไปพวกคุณจะกลายเป็นแพะรับบาปทันที
ซึ่งผลครั้งนั้นที่ออกมาก็ดูเหมือนว่าจะมีการโยนความผิดไปให้โดยบอกว่าไม่เคยบอกให้ทำอะไรอย่างนั้น
ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงนั้นไม่เคยบอกให้ทำอะไรเลย(๔)
หมายเหตุ
(๑)
Memoir ปีที่
๓ ฉบับที่ ๑๙๔ วันเสาร์ที่
๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ เรื่อง
"ขดลวดความร้อน"
(๒)
Memoir ปีที่
๔ ฉบับที่ ๓๔๙ วันจันทร์ที่
๕ กันยายน ๒๕๕๔ เรื่อง
"การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ
ตอนที่ ๓๒ อย่าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแล
(เรื่องที่
๒)"
(๓)
Memoir ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๐๑ วันศุกร์ที่
๑๐ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง
"Pyrophoric
substance (อีกครั้ง)"
(๔)
Memoir ปีที่
๑ ฉบับที่ ๑๕ วันเสาร์ที่ ๒๕
ตุลาคม ๒๕๕๑ เรื่อง "Pyrophoric
substance"