ก่อนอื่นก็ต้องขอกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่ที่มาพบเจอกันเมื่อบ่ายวันอังคารที่ผ่านมา
แม้ว่าจะขาดไป ๑
คนแต่ก็เชื่อว่าพอเปิดเทอมก็คงจะโผล่หน้ามาร่วมงานกัน
Memoir
ฉบับนี้เป็นฉบับแรกที่จะเริ่มส่งให้กับสมาชิกใหม่
และจะส่งต่อไปเรื่อย ๆ
จนกว่าจะถึงวันรับปริญญา
ส่วนเนื้อหาจะเป็นเรื่องอะไรบ้างและรูปแบบภาษาที่ใช้ในการเขียนจะเป็นแบบไหนนั้นก็ต้องขอบอกก่อนว่าขึ้นอยู่กับความพอใจและอารมณ์คนเขียน
(ซึ่งอย่าคาดหวังว่าจะคงเส้นคงวา)
พักหลังมานี้มันเป็นยังไงกันก็ไม่รู้
เจอคำถามที่มีคนขอให้ช่วยตอบแต่ละที
แทบไม่มีรายละเอียดใด ๆ เลย
คนถามก็ทำเหมือนกับว่าเรารู้จักระบบการผลิตของเขาเป็นอย่างดี
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมามีจากนิสิตรายหนึ่งอีเมล์ส่งมาถึง
ถามปัญหาเรื่องการฝึกงาน
เรื่องราวเป็นยังไงนั้นลองอ่านดูเอาเองก่อนก็แล้วกัน
Subject:
ปรึกษาเรื่องฝึกงานค่ะ
Date:
Thu, 3 May 2012 18:19:04 +0700
สวัสดีค่ะ
หนูอยากปรึกษาว่าถ้าต้องการปรับปรุง
Heat
Exchanger ให้
conversion
มากขึ้นนอกจากการ
check
stream pessure, conduct leak, stream composition, stream inlet/outlet
temperature แล้วพอมีวิธีอื่นเช่นใส่ปั๊มหรือวาล์วเพิ่มได้ไหมคะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
Subject:
RE: ปรึกษาเรื่องฝึกงานค่ะ
Date:
Sat, 5 May 2012 19:58:05 +0700
อ่านแล้วงง
แต่ก็น่าเห็นใจ
เพราะเรื่องนี้พวกคุณยังไม่ได้เรียน
มันจะเรียนกันเทอมหน้า
(แต่อาจจะผ่านมาบ้างในวิชา
transport
phenomena แล้ว)
Heat
exchanger เอาไว้แลกเปลี่ยนความร้อน
โดยนำเอาสายร้อนที่ต้องการทำให้เย็น
มาถ่ายเทความร้อนให้กับสายเย็นที่ต้องการทำให้ร้อน
ก็จะเป็นการประหยัดพลังงาน
แต่
conversion
เราใช้กับ
reactor
คุณใช้คำว่า
stream
(มีตัว
"r")
หมายถึงสายแก๊ส/ของเหลวที่ไหลเข้า-ออก
heat
exchanger
แต่เห็นพูดถึงความดัน
ผมเลยสงสัยว่ามันคือ steam
(ไม่มี
"r")
คือไอน้ำหรือเปล่า
conduct
leak ความหมายของคุณคืออะไร
ใช่ความร้อนรั่วไหลจากการนำความร้อนหรือไม่
(heat
loss via conduction)
คงต้องขอความชัดเจนสักหน่อย
ว่าทำอยู่โรงงานอะไร และ
heat
exchanger
ที่คุณได้รับมอบหมายงานมามันแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างอะไรกับอะไร
สวัสดี
Subject:
RE: ปรึกษาเรื่องฝึกงานค่ะ
Date:
Tue, 8 May 2012 13:45:41 +0700
โอเคค่ะเอาใหม่นะคะ
หนูงงเองค่ะ55
หนูฝึกงานที่
xxx
อยู่ส่วนผลิต
PP
(หมายเหตุ
PP
คือ
polypropylene)
ที่
xxx
site1 ค่ะ
ตอนนี้ปัญหาคือ reactor
ลูกที่
3
ที่ใช้ผลิต
random
copolymer พอมาเข้า
Heat
Exchanger แล้วมันตันเพราะมี
Fine
Powder ปลิวเข้ามาค่ะ
เลยต้องหาวิธีแก้ไม่ให้มันตัน
วิธีแก้คร่าว ๆ ก็มี
1.
ป้องกันการ
entrain
ไม่ให้
Fine
Powder มันปลิวออกจาก
Reactor
โดยการลดความเร็วที่
blower
2.
ป้องกันไม่ให้ปลิวเข้าไปถึง
Heat
Exchanger โดยการติดพวก
Deduster
ก่อนเข้า
Heat
Exchanger ซึ่งวิธีนี้หนูถามพี่
ๆ เค้าบอกว่าบริษัทไม่ค่อยยอมลงทุนซื้อเครื่องใหม่
ๆ
3.
ให้
Fine
Powder ปลิวเข้าไปถึง
Heat
Exchanger ได้แต่ไม่ให้มันเกาะใน
tube
แต่หนูไม่ทราบว่าพอจะมีสารอะไรที่ใช้เคลือบป้องการการเกาะของ
Fine
Powder ได้รึเปล่าคะ
หรือพอจะมีวิธีอื่นที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้รึเปล่าคะ
ตอนนี้วิธีแก้ที่ทำอยู่ก็คือ
พอตันทีก็ shut
down หรือไม่ก็กำหนด
cycle
ของ
random
copolymer สลับด้วย
Homopolymer
ขอบคุณค่ะ
Subject:
RE: ปรึกษาเรื่องฝึกงานค่ะ
Date:
Tue, 8 May 2012 20:14:13 +0700
ใช่
fluidised-bed
หรือเปล่า
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด
แก๊สที่ออกจาก fluidised-bed
จะถูกระบายความร้อนออกก่อนที่จะถูกป้อนกลับไปยัง
reactor
ใหม่
Heat
exchanger ตัวนี้เป็น
Shell
and Tube วางในแนวตั้งใช่ไหม
และแก๊สไหลในส่วนของ tube
แก๊สที่ออกจาก
heat
exchanger จะถูก
compressor
อัดกลับไปยัง
reactor
ใหม่ใช่ไหม
ถ้าเป็นเช่นนี้ผมคิดว่าข้อ
3
ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา
เพราะมันจะไปเกาะที่ compressor
แทน
วิธีแก้ปัญหาคือทำอย่างไรไม่ให้มันออกไปถึง
heat
exchanger
การลดความเร็วแก๊สก็เป็นวิธีการหนึ่ง
แต่มันส่งผลต่อการระบายความร้อนและการเกิด
fluidisation
ในเบด
อีกวิธีคือทำอย่างไรให้ได้ผง
polymer
ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ส่วนการติดตั้งอุปกรณ์ดัก
(ที่ถูกที่สุดน่าจะเป็น
cyclone)
ก็ต้องคำนึงถึงความดันใน
fluidised-bed
ที่จะเพิ่มขึ้นด้วย
ตอนนี้ขอความชัดเจนก่อนว่าที่ผมเขียนมาข้างบนนั้นเข้าใจถูกต้องไหม
สวัสดี
Subject:
RE: ปรึกษาเรื่องฝึกงานค่ะ
Date:
Wed, 9 May 2012 12:45:40 +0700
ถูกต้องทุกอย่างเลยค่ะ
วิธีที่
3
ลองไปถามพี่มา
เห็นพี่เค้าบอกว่าใช้สาร
Anti
Static เคลือบผงไว้แล้วผงมันจะไม่ไปเกาะที่ไหนเลย
เหมือนเค้าก็กำลังทดลองกันอยู่ค่ะ
แล้วถ้าจะทำให้ผง
polymer
มีขนาดใหญ่ขึ้นต้องใช้วิธีอะไรคะ
ขอบคุณค่ะ
Subject:
RE: ปรึกษาเรื่องฝึกงานค่ะ
Date:
Wed, 9 May 2012 16:30:01 +0700
โดยปรกติท่อของระบบโรงงานที่เป็นท่อโลหะนั้นจะมีการต่อสายดิน
(ต่อ
ground)
อยู่แล้ว
เพื่อป้องกันการสะสมของไฟฟ้าสถิตย์
ซึ่งจะเกิดได้ถ้าสารที่ไหลอยู่ในท่อนั้นไม่เป็นตัวนำไฟฟ้า
ตัวอย่างของสารที่ไม่นำไฟฟ้าได้แก่สารไม่มีขั้วเช่นไฮโดรคาร์บอน
ผงพอลิเมอร์ แต่ถ้าเป็นพวกมีขั้วที่แรงเช่น
น้ำ เอทานอล เมทานอล จะไม่มีปัญหานี้
สาเหตุที่ต้องป้องกันก็เพราะถ้ามีประจุไฟฟ้าสถิตย์สะสมมากเกินไป
อาจเกิดประกายไฟและจุดระเบิดได้
ปัญหาเรื่องไฟฟ้าสถิตย์นี้ถ้าเป็นต่างประเทศที่อากาศแห้งมาก
(โดยเฉพาะในหน้าหนาว)
จะเกิดขึ้นได้ง่ายจนถือว่าเป็นเรื่องปรกติ
แต่สำหรับประเทศไทยนั้นที่ปรกติแล้วความชื้นในอากาศสูงมาก
มักจะไม่มีปัญหานี้
(แต่ก็ต้องป้องกันเอาไว้ด้วย)
แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในอาคารที่เป็นห้องปรับอากาศเป็นเวลานาน
ก็อาจเจอปัญหานี้ได้
เพราะการปรับอากาศทำให้อากาศแห้ง
ไฟฟ้าสถิตย์ที่เกิดจากการเดิน
การเสียดสีระหว่างพื้นรองเท้ากับพื้นอาคาร
หรือระหว่างเสื้อผ้ากับตัวคน
ก็ทำให้คนมีไฟฟ้าสถิตย์สะสม
เวลาจะจับลูกบิดประตูก็จะเกิดประกายไฟทำให้สะดุ้งได้
(ที่อาคาร
๔ ผมก็โดนเป็นประจำ)
ในกรณีนี้ผมคิดว่าการใช้สาร
anti
static อาจไม่ช่วย
เพราะการเกาะของผงพอลิเมอร์กับพื้นผิวโลหะของ
heat
exchanger นั้นไม่น่าเกิดเพราะไฟฟ้าสถิตย์
แม้ว่าตัวผงพอลิเมอร์เองในระหว่างที่ไหลไปกับแก๊สนั้นจะมีไฟฟ้าสถิตย์สะสม
แต่พอไปเกาะกับผิวโลหะแล้วก็ควรจะถ่ายประจุให้กับผิวโลหะนั้น
ผมสงสัยว่าการเกาะนั้นเกิดจากการที่ระบบมีอุณหภูมิสูงเกินไป
ทำให้พอลิเมอร์ที่ได้มีลักษณะเป็นผงที่อ่อนนุ่ม
เวลาชนเข้ากับพื้นผิวอะไรก็จะติดกับพื้นผิวนั้นได้
(เหมือนดินน้ำมัน
เวลาที่มันนิ่ม ๆ มันจะแปะข้างฝาได้
แต่พอเอาเข้าแช่ตู้เย็นให้มันแข็ง
มันจะแปะข้างฝาไม่ติด)
หรือเวลาที่ชนเข้าด้วยกันเองก็จะเกาะเป็นก้อนใหญ่ขึ้น
ซึ่งข้อสัณนิฐานนี้จะจริงหรือไม่ก็ต้องไปถามคนที่เห็นปัญหาว่ามันเป็นอย่างที่กล่าวหรือไม่
อีกประเด็นคือ
compressor
ออกแบบมาเพื่อสำหรับอัดแก๊ส
ขนาดมีของเหลวปนมากับแก๊สก็ยังไม่ยอมให้มี
ต้องมีการดักของเหลวออกก่อน
ถ้าปล่อยให้ผงพอลิเมอร์ไม่เกาะที่
heat
exchanger มันก็ต้องไปที่
compressor
ถ้าโชคดีมันก็จะสะสมที่
suction
drum (ถังดักของเหลวก่อนเข้า
compressor)
และตันที่
suction
drum แทน
แต่ถ้ามันหลุดไปถึง
compressor
ผมว่าปัญหามันจะหนักมากกว่า
(compressor
มี
moving
part นะ
ในขณะที่ heat
exchanger ไม่มี)
การทำความสะอาด
heat
exchanger น่าจะง่ายกว่าการทำความสะอาด
(ถ้าโชคดี)
หรือซ่อม
(ถ้าโชคร้าย)
compressor
เรื่องการทำให้ผงพอลิเมอร์มีขนาดใหญ่ขึ้นผมคิดว่าคงต้องอยู่ที่กระบวนการผลิตของเขาว่าสามารถปรับแต่งได้ตรงไหน
เช่นอาจปรับแต่งขนาดผงพอลิเมอร์ที่ได้จาก
reactor
ตัวก่อนที่จะป้อนเข้า
fluidised
bed ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
(ผมเข้าใจถูกไหม
เดาว่าเขามี reactor
ต่ออนุกรมกัน
โดยจะเปลี่ยนโพรพิลีนให้กลายเป็นผงพอลิเมอร์ก่อนส่วนหนึ่ง
จากนั้นจึงป้อนผงพอลิเมอร์นั้นให้เข้าสู่
fluidised
bed เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ต่อไปให้เสร็จ)
แต่นั่นอาจหมายถึงการย้ายสัดส่วนการเกิดปฏิกิริยามาที่ตัว
reactor
ตัวนี้มากขึ้น
(ซึ่งต้องคำนึงถึงความสามารถในการระบายความร้อนของ
reactor
ตัวนี้ด้วย)
และไปลดการเกิดปฏิกิริยาใน
fluidised
bed ให้น้อยลง
แต่ผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นจะตรงกับความต้องการของเขาหรือไม่นั้นผมไม่สามารถตอบได้
สวัสดี
Subject:
RE: ปรึกษาเรื่องฝึกงานค่ะ
Date:
Tue, 15 May 2012 15:32:07 +0700
สวัสดีค่ะ
ถ้าอยากหาว่าใน Feed
1000 kg/hr จะมีผงกี่
kg
แล้วตอนนี้ข้อมูลที่มีคือ
rhoของผง
rhoของแก๊ส
muของแก๊ส
มันไม่พอใช่มั้ยคะ
หนูหาตั้งนานแล้วไม่ออกซักทีค่ะ
ต้องมีข้อมูลของอะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่าคะ
แล้วก็อยากรู้อัตราการไหลของแก๊สขาเข้าไซโคลนเพิ่อนำไปหาพื้นที่หน้าตัด
ข้อมูลที่มีคือความเร็วขาเข้าไซโคลน
กับพวก rho
จะสามารถหา
Q
ได้ไหมคะ
ขอบคุณค่ะ
Subject:
RE: ปรึกษาเรื่องฝึกงานค่ะ
Date:
Tue, 15 May 2012 20:06:07 +0700
ถามมาแต่ละคำถามไม่บอกที่มาที่ไปและไม่ให้ข้อมูลอะไรมาเลย
คงเป็นการออกแบบไซโคลนด้านขาออกของ
fluidised-bed
ใช่ไหม
ลองใช้ข้อมูลต่อไปนี้ประมาณก่อนนะ
ความหนาแน่นและความหนืดของแก๊สก็คงต้องเป็นของโพรพิลีนเป็นหลัก
ความดันและอุณหภูมิก็ดูจากด้านขาออกของ
fluidised-bed
แก๊สเข้า
reactor
คือ
แก๊สที่ออกจาก fluidised-bed
ซึ่งจะไหลวนผ่าน
heat
exchanger จากนั้นจะรวมกับแก๊สสารตั้งต้นตัวอื่นที่ป้อนเพิ่มเติม
แก๊สที่ออกจาก
reactor
ควรจะน้อยกว่าแก๊สที่เข้า
fluidised-bed
เพราะแก๊สส่วนหนึ่งกลายไปเป็นผง
polymer
แล้ว
ความหนาแน่นของผงพอลิเมอร์ก็คงต้องไปดูจาก
specification
ของ
PP
ที่เขาผลิตว่า
เกรดที่ความหนาแน่นต่ำสุดนั้นมีค่าความหนาแน่นเท่าใด
ซึ่งเกรดนี้น่าจะเป็นเกรดที่แยกด้วยไซโคลนยากที่สุด
ผมคิดว่าน่าจะมีค่า specific
gravity ประมาณสูงกว่า
0.9
อัตราการไหลของแก๊สที่เข้าไซโคลนก็ควรจะเป็นแก๊สที่ไหลวนผ่าน
compressor
ความเร็วคูณพื้นที่หน้าตัดก็จะได้อัตราการไหลโดยปริมาตร
(ปริมาตรต่อหน่วยเวลา)
อัตราการไหลโดยปริมาตรคูณความหนาแน่นก็จะได้อัตราการไหลโดยมวล
(น้ำหนักต่อหน่วยเวลา)
ส่วนในแก๊สที่หลุดออกจาก
fluidised-bed
นั้นจะมีของแข็งเท่าไรนั้นผมก็คงบอกอะไรไม่ได้
เพราะสิ่งที่เขาคาดหวังก็คือไม่ควรมีของแข็งหลุดลอยออกจาก
fluidised-bed
อาจต้องหาจากอัตราการสะสม
(ปริมาณ
PP
ที่ออกมาติดค้างที่
heat
exchanger นับจากช่วงเวลาที่ทำความสะอาด
heat
exchanger ไปจนถึงช่วงเวลาที่ต้องทำความสะอาด
heat
exchanger อีกครั้ง
และปริมาตรแก๊สที่ไหลผ่านheat
exchanger ในช่วงเวลาดังกล่าว)
สวัสดี
เป็นไงบ้าง
อ่านแล้วเข้าใจไหม
ที่คุยกันมาข้างบนทั้งหมดนั้นไม่มีรูปประกอบเลยนะ
แต่จากข้อมูลที่พอมีอยู่ทำให้พอจะเขียนกระบวนการผลิตได้คร่าว
ๆ ดังแสดงในรูปที่ ๑ ข้างล่าง
รูปที่
๑ แผนผังอย่างง่ายของกระบวนการผลิต
polypropylene
ที่มีคนถามคำถามมา
ก่อนหน้าที่ผมเคยกล่าวถึงเรื่องการผลิตพอลิเมอร์มาบ้างแล้วใน
Memoir
๒
ฉบับก่อนหน้านี้คือ
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๕๗ วันเสาร์ที่ ๑๙
กันยายน ๒๕๕๒ เรื่อง "พอลิเอทิลีน"
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๕๘ วันอาทิตย์ที่
๒๐ กันยายน ๒๕๕๒ เรื่อง
"Ethylene
polymerisation"
แม้ว่าคราวนั้นเป็นการผลิตพอลิเอทิลีน
แต่สำหรับพอลิโพรพิลีนนั้นก็ยังคงใช้หลักการเดียวกันได้อยู่
ปฏิกิริยาคายความร้อนนั้นเป็นปฏิกิริยาที่เร่งตนเอง
ความร้อนที่คายออกมาจากปฏิกิริยาจะทำให้อุณหภูมิการทำปฏิกิริยาเพิ่มสูงขึ้น
อุณหภูมิการทำปฏิกิริยาที่เพิ่มสูงขึ้นก็จะไปเร่งให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มสูงขึ้น
อัตราการเกิดปฏิกิริยาที่เพิ่มสูงขึ้นก็จะไปเร่งให้อัตราการคายความร้อนเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
ทำให้อุณหภูมิของระบบเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
เหตุการณ์จะดำเนินวนรอบไปอย่างนี้เรื่อย
ๆ ซึ่งถ้าหากไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้ทันเวลา
ปฏิกิริยาก็จะควบคุมไม่อยู่หรือที่เรียกว่า
"Runaway"
ถ้าเป็นปฏิกิริยาที่ใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ที่เป็นของแข็ง
อุณหภูมิที่เพิ่มสูงมากเกินไปก็จะทำให้ตัวเร่งปฏิกิริยาเสื่อมสภาพอย่างถาวรได้
(การเสื่อมสภาพที่ชอบเกิดที่อุณหภูมิสูงคือ
sintering
และการเปลี่ยนโครงสร้าง)
ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ปฏิกิริยาก็อาจจะหยุดลงเพราะตัวเร่งปฏิกิริยาหมดสภาพการใช้งานอีกต่อไป
ถ้าเป็นปฏิกิริยาออกซิเดชันสารประกอบไฮโดรคาร์บอนโดยใช้อากาศ
อุณหภูมิที่เพิ่มสูงมากเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดการระเบิดในระบบขึ้นได้
เพราะในระบบนั้นมีอากาศผสมกับไฮโดรคาร์บอนอยู่แล้ว
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีอากาศอยู่ในระบบ
แต่ถ้าสารตั้งต้นเป็นสารบางชนิดเช่นอะเซทิลีนหรือเอทลีน
(กล่าวโดยรวมก็คือพวกที่มีค่า
enthalpy
of formation เป็นบวก
(+))
ก็อาจเกิดการระเบิดได้
โดยเกิดจากการที่สารเหล่านั้นสลายตัวและคายความร้อนออกมา
ปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์โอเลฟินส์ก็เป็นปฏิกิริยาคายความร้อนปฏิกิริยาหนึ่ง
ในกรณีที่อุณหภูมิการทำปฏิกิริยาสูงมากเกินไปมักจะ
(ก)
ถ้าเป็นการพอลิเมอร์ไรซ์ที่ใช้ตัวทำละลาย
ก็อาจเกิดปัญหาผงพอลิเมอร์ที่ได้นั้นเกิดการละลายกลับเข้าไปในตัวทำละลาย
และเมื่อสารละลายเย็นตัวลง
พอลิเมอร์ที่ละลายอยู่ก็จะแข็งตัวกลายเป็นคราบ/ก้อนของแข็งเกาะติดตามผนังอุปกรณ์/ท่อต่าง
ๆ (มันไม่กลับมาเป็นผงเหมือนเดิม)
จนเกิดการอุดตันหรือทำให้การถ่ายเทความร้อนแย่ลงได้
ทำให้ต้องมีการหยุดเดินระบบเพื่อทำความสะอาด
(ข)
ถ้าเป็นการพอลิเมอร์ไรซ์ในเฟสแก๊ส
(เช่นใน
fluidised
bed) ก็อาจเกิดปัญหาผงพอลิเมอร์ที่ได้นั้นเกิดการอ่อนตัว
และเมื่อชนกระทบเข้าด้วยกันก็จะจับตัวกันเป็นก้อนใหญ่ขึ้น
หรือไม่ก็เกาะติดเข้ากับผนังอุปกรณ์
ในที่สุดก็จะกลายเป็นก้อนของแข็งอุดตันระบบได้
กระบวนการผลิตที่แสดงในรูปที่
๑ ข้างบนนั้น
เริ่มจากการพอลิเมอร์ไรซ์โพรพิลีนใน
1st
reactor ก่อน
ซึ่งเป็น slurry
phase โดยใช้โพรพิลีนเองเป็นตัวทำละลาย
(เพราะสามารถใช้ความดันอัดโพรพิลีนให้เป็นของเหลว
ณ อุณหภูมิทำปฏิกิริยาได้)
ตัวเร่งปฏิกิริยาจะถูกป้อนเข้าไปใน
1st
reactor โพรพิลีนบางส่วนจะกลายเป็นผงพอลิเมอร์เล็ก
ๆ ซึ่งจะถูกแยกออกมาและป้อนเข้าสูง
2nd
reactor ที่เป็น
fluidised-bed
แก๊สที่ไหลผ่าน
fluidised-bed
นั้นมีอยู่
๒ ส่วนด้วยกัน
คือแก๊สโพรพิลีนที่ป้อนเข้ามาใหม่
และแก๊สโพรพิลีนที่ออกจากเบดโดยที่ไม่ได้ทำปฏิกิริยาและถูกวนรอบกลับมาใหม่
เมื่อระบบอยู่ในภาวะสมดุลนั้น
ปริมาณโพรพิลีนที่ป้อนเข้ามาใหม่จะเท่ากับปริมาณผง
polypropylene
ที่ผลิตได้
ดังนั้นอัตราการไหลของแก๊สที่อยู่ใน
loop
จากด้านขาออกของ
fluidised-bed
ไปยัง
heat
exchanger ต่อไปยัง
blower
และกลับไปที่
fluidised-bed
ใหม่นั้นควรจะคงที่
ส่วนบนของ
fluidised-bed
reactor นั้นจะมีขนาดพื้นที่หน้าตัดใหญ่กว่าส่วนเบด
ทั้งนี้เพื่อให้แก๊สที่ไหลขึ้นมานั้นมีความเร็วลดลง
อนุภาคที่ลอยขึ้นมาเหนือเบดพร้อมกับแก๊สจะได้ตกกลับลงไปในเบดใหม่
ความร้อนที่คายออกมาจากปฏิกิริยาการพอลิเมอร์ไรซ์ใน
fluidised-bed
นั้นจะออกมากับแก๊สที่ออกจากเบด
และไประบายความร้อนให้กับน้ำหล่อเย็นที่
shell
and tube heat exchanger นั้น
การที่แยก
reactor
ออกเป็นสองตัวนั้นก็เพราะแก๊สนั้นระบายความร้อนได้ไม่ค่อยดี
ถ้าหากให้ปฏิกิริยาทั้งหมดเกิดที่
fluidised-bed
เพียงอย่างเดียว
จะทำให้การควบคุมอุณหภูมิทำได้ยาก
การนำ slurry
reactor
มาวางไว้ก่อนหน้าจะช่วยให้ความร้อนจากปฏิกิริยาบางส่วนระบายออกที่
slurry
reactor ก่อน
(การระบายความร้อนที่
slurry
reactor ใช้การระเหยของตัวทำละลายและไปควบแน่นที่
condenser
ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
ดู Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๕๘)
เมื่อวานได้ไปเยี่ยมนิสิตผู้ที่ถามปัญหาดังกล่าว
เขาก็เอารูปที่พี่ที่ทำงานถ่ายเอาไว้มาให้ดู
ปรากฏว่าปัญหามันใหญ่กว่าที่ผมคิดเสียอีก
คือผงพอลิเมอร์มัน "เคลือบ"
ผิวท่อตั้งแต่ทางออกจาก
fluidised-bed
อุดตันทางเข้า
heat
exchanger (ซึ่งเป็น
shell
and tube) ผ่านไปถึง
blower
ลักษณะมันไม่เหมือนกับการเป็นผงไป
"เกาะ"
แต่เป็นเหมือนการสะสมของผงและหลอมรวมตัวกัน
ผมก็เลยคิดว่าใช้คำว่า
"เคลือบ"
น่าจะให้ภาพที่ตรงกว่า
ตอนแรกผมนึกว่าเขาใช้
"compressor"
ซึ่งจะมีปัญหามากถ้ามีของแข็งหลุดเข้าไปถึงตัวใบพัด
แต่จากรูปที่เห็นคิดว่าเป็น
"Axial
flow blower" (คล้าย
ๆ แบบพัดลมตามบ้านนั่นแหละ)
มันก็เลยยังทำงานได้แม้ว่าจะมีอนุภาคของแข็งติดมากับแก๊สบ้าง
ในส่วนตัวผมเองที่เป็นคนนอก
และได้รับฟังข้อมูลจากนิสิต
(ที่ได้รับทราบเพียงข้อมูลบางส่วนจากวิศวกรผู้ควบคุมการฝึกงานซึ่งประจำอยู่ฝ่ายผลิต)
นั้น
เมื่อวานก็ได้ให้ความเห็น/คำถามกับนิสิตไปดังนี้
๑.
ปัญหาที่เกิดคือมีผงพอลิเมอร์ขนาดละเอียดเกินไปอยู่ในระบบ
และสามารถหลุดออกจาก
fluidised-bed
ด้วย
สิ่งที่ต้องระบุคือผงอนุภาคขนาดเล็กละเอียดนี้เกิดขึ้นที่ไหน
๒.
ตัวเร่งปฏิกิริยานั้น
ป้อนเข้าที่เฉพาะ 1st
reactor เท่านั้น
หรือมีการป้อนเพิ่มเติมที่
fluidised-bed
ด้วย
ถ้ามีการป้อนเข้าที่เฉพาะ
1st
reactor เท่านั้น
นั่นแสดงว่าการเกิดผงพอลิเมอร์ต้องเกิดใน
1st
reactor ก่อนจนมีขนาดอนุภาคระดับหนึ่ง
จากนั้นจึงส่งผงพอลิเมอร์จาก
1st
reactor เข้า
fluidised-bed
ซึ่งผงพอลิเมอร์จะมีขนาดโตขึ้นใน
fluidised-bed
นี้
ดังนั้นถ้าผงพอลิเมอร์จาก
1st
reactor มีขนาดใหญ่มากพอ
ดังนั้นเมื่อไหลเข้า
fluidised-bed
แล้วโอกาสที่จะหลุดออกไปทางด้านบนของเบดก็จะน้อยลง
(หรือไม่ควรมี)
๓.
ถ้ามีการป้อนตัวเร่งปฏิกิริยาเข้าที่เฉพาะ
1st
reactor เท่านั้น
แสดงว่าผงพอลิเมอร์ขนาดเล็กเกิดขึ้นใน
1st
reactor ก่อน
แต่ไม่สามารถเติบโตได้เร็วพอจนมีขนาดที่จะคงค้างอยู่ใน
fluidised-bed
ได้
๔.
ในขณะนี้ทางบริษัทคิดว่าปัญหาเกิดจากการที่อนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมได้นั้นมีขนาดไม่สม่ำเสมอ
อนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีขนาดใหญ่บางตัวมีการแตกออกเป็นผงละเอียด
และอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่แตกออกเป็นผงละเอียดนี้เป็นตัวทำให้เกิดเป็นผงพอลิเมอร์ที่เล็กละเอียดจนหลุดลอยออกไปจาก
fluidised-bed
ได้
(ตามแบบจำลองของเขา
ผงอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยา
1
อนุภาคจะกลายเป็นผงพอลิเมอร์
1
อนุภาค
ดังนั้นจำนวนผงพอลิเมอร์ที่เกิดก็ควรจะเท่ากับจำนวนอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่ป้อนเข้าระบบ)
และผงพอลิเมอร์ที่ได้จะต้องมีขนาดที่ใหญ่กว่าขนาดอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใส่เข้าไป
๕.
ตามแบบจำลองอีกแบบนั้น
(ที่ผมเคยผ่านตามาสมัยเรียนรู้กระบวนการผลิตพอลิเอทิลีน)
เมื่อเริ่มเกิดพอลิเมอร์
พอลิเมอร์จะดันให้อนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาออกเป็นอนุภาคเล็ก
ๆ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นแกนกลางให้เกิดผงพอลิเมอร์เติบโตต่อไป
ซึ่งถ้าเป็นตามแบบจำลองนี้
การแตกของอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาก็ไม่น่าจะเป็นต้นเหตุของปัญหา
๖.
ผมลองเอาแบบจำลองตามข้อ
๔.
และ
๕.
ไปปรึกษากับนิสิตหญิงปริญญาเอกผู้หนึ่งที่ทำวิจัยทางด้านตัวเร่งปฏิกิริยาการสังเคราะห์พอลิโพรพิลีนและกำลังจะสอบจบ
(ผมถือว่าเขามีประสบการณ์ด้านนี้มากกว่าผม
เพราะเขามีประสบการณ์การทำการทดลองทางด้านนี้โดยตรง)
ก็ได้ข้อสรุปดังนี้
(ก)
ถ้าหากอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยามีขนาดเล็ก
และ active
site
ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยานั้นอยู่บนพื้นผิวรอบนอกของอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยา
พอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นก็จะหุ้มห่ออนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาเอาไว้
ทำให้อนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาไม่แตกออก
(แบบจำลองตามข้อ
๔.)
(ข)
แต่ถ้าหากอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยามีขนาดใหญ่และมีรูพรุน
และมี active
site ที่ว่องไวมากอยู่ในรูพรุนด้วย
active
site ที่ว่องไวมากที่อยู่ในรูปพรุนจะทำให้เกิดพอลิเมอร์ในรูพรุนนั้น
ซึ่งพอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นจะทำให้อนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยานั้นแตกออกเป็นอนุภาคที่เล็กลง
(แบบจำลองตามข้อ
๕.)
๗.
ถ้าเป็นตามข้อ
๔.
การป้องกันปัญหาคงจะไม่ได้อยู่ตรงที่การป้องกันไม่ให้ผงอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาขนาดใหญ่เกิดการแตกเป็นผงละเอียดเท่านั้น
แต่ยังรวมไปถึงการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาไม่ให้มีขนาดผงอนุภาคที่ละเอียดเกินไป
๘.
แต่อีกปัจจัยที่ควรต้องนำมาพิจารณาก็คือความว่องไวของตัวเร่งปฏิกิริยา
กล่าวคืออนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมได้นั้นอาจมีความว่องไวที่ไม่สม่ำเสมอ
ผงอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีความว่องไวสูงก็จะทำให้โพรพิลีนเกิดเป็นพอลิเมอร์ห่อหุ้มตัวมันเองจนมีขนาดใหญ่พอ
(หรือหนักมากพอ)
ที่จะป้องกันไม่ให้มันหลุดลอยออกไปเหนือ
fluidised-bed
ได้
ส่วนผงอนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีความว่องไวต่ำจะไม่สามารถทำให้โพรพิลีนกลายเป็นพอลิเมอร์ห่อหุ้มตัวมันเองไว้จนมีขนาดใหญ่มากพอที่จะสามารถป้องกันตัวมันเองไม่ให้ถูกพัดพอออกไปจาก
fluidised-bed
ได้
๙.
ถ้าเป็นตามข้อ
๘.
ผมคิดว่าการแก้ปัญหาเบื้องต้นน่าจะอยู่ตรงที่ต้องให้ปฏิกิริยาเกิดใน
1st
reactor มากขึ้น
ซึ่งอาจทำโดยวิธีการต่อไปนี้วิธีการใดวิธีการหนึ่ง
หรือหลายวิธีการร่วมกัน
(ก)
จากวิชาจลนศาสตร์ที่เราเรียนนั้น
ถ้าเป็น reactor
ชนิด
CSTR
(continuous stirred tank reactor) ถ้าเราให้สารตั้งต้นอยู่ใน
reactor
นานมากขึ้น
ค่า conversion
ก็จะสูงขึ้น
ดังนั้นถ้าเราให้เวลาตัวเร่งปฏิกิริยาอยู่ใน
1st
reactor นานมากขึ้น
ขนาดผงพอลิเมอร์ที่ได้ก็น่าจะโตมากขึ้น
แต่เนื่องจาก 1st
reactor มีปริมาตรคงที่
ดังนั้นถ้าต้องการให้อนุภาคตัวเร่งปฏิกิริยาอยู่ใน
1st
reactor นานมากขึ้นก็ต้องลดอัตราการป้อนโพรพิลีนเข้า
reactor
ซึ่งการทำเช่นนี้จึงหมายถึงการไปลดกำลังการผลิต
หรือ
(ข)
จากวิชาจลนศาสตร์เช่นเดียวกัน
ถ้าทำให้อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้นได้
ดังนั้นแม้ว่าเวลาที่สารตั้งต้นอยู่ใน
reactor
นั้นจะคงเดิม
แต่ค่า conversion
ก็จะเพิ่มมากขึ้น
(น่าจะได้อนุภาคพอลิเมอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น)
ในกรณีของปฏิกิริยานี้ซึ่งเกิดขึ้นในเฟสของเหลว
ดังนั้นวิธีที่จะเพิ่มอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้ก็น่าจะเป็นการเพิ่มอุณหภูมิการทำปฏิกิริยาใน
1st
reactor ให้สูงขึ้น
เพื่อให้ปฏิกิริยาเกิดได้เร็วขึ้นในระยะเวลาทำปฏิกิริยาเท่าเดิม
แต่ก็ต้องพิจารณาปัญหาอื่นร่วมด้วยเช่นการระบายความร้อน
เป็นต้น
๑๐.
แต่ถ้ามีการป้อนเข้าที่
fluidised-bed
ด้วย
(ข้อมูลตรงนี้ทางนิสิตเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน)
ผงพอลิเมอร์ที่เป็นผงละเอียดที่เป็นปัญหานั้นก็อาจเกิดตรงนี้ด้วย
ดังนั้นความเห็นที่เขียนมาข้างต้นก็อาจจะผิดหมดก็ได้
๑๑.
ส่วนเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ดักจับฝุ่นอนุภาคทางด้านขาออกนั้นผมคิดว่าถ้าทำได้เขาก็คงทำไปนานแล้ว
เพราะที่ได้รับฟังมาดูเหมือนว่าปัญหานี้ไม่ใช่ว่ามันเพิ่งจะเกิด
แต่มีมานานแล้ว
การติดตั้งอุปกรณ์ดักจับด้านขาออกนั้นต้องคำนึงถึงความดันลดที่จะเพิ่มขึ้นในระบบ
ซึ่งอาจจะส่งผลต่อรูปแบบการไหลของแก๊สที่ไหลผ่าน
fluidised-bed
และการทำงานของ
blower
ที่ใช้ในการหมุนเวียนแก๊ส
พื้นที่ที่ต้องใช้ในการติดตั้ง
และจะทำอย่างไรก็ฝุ่นที่ดักได้อีก
ที่เขียนมาข้างต้นเป็นบทสนทนาระหว่าง
ผู้ที่ไม่ได้เห็นของจริง
(คือผมเอง)
กับผู้ที่ได้เห็นของจริงส่วนหนึ่งแต่ไม่ค่อยเข้าใจกระบวนการ
(คือนิสิตฝึกงาน)
ดังนั้นความเห็น/การคาดการณ์ที่เขียนมาข้างต้นทั้งหมดจะถูกหรือผิด
จะใช้ได้หรือไม่ได้อย่างไร
ผมเองก็คงจะให้คำตอบใด ๆ
ไม่ได้ ถือว่าอ่านเล่น ๆ
ก็แล้วกัน
สำหรับตัวนิสิตฝึกงานเองก็คงจะได้เห็นอะไรบ้างแล้วนะว่า
ถ้าเราไม่สามารถใช้ความรู้ในตำราที่เรียนมาไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา
หรือไม่เชื่อถือการใช้ความรู้ในตำราที่เราเรียนกันมาในการแก้ปัญหา
(โดยไม่สามารถบอกได้ว่ามันผิดอย่างไร)
คอยแต่แก้ปัญหาด้วยการให้ไปหาว่าคนอื่นเขาทำกันอย่างไรจะได้ทำตามเขา
ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะเรียนหนังสือไปทำไมกัน
และการให้ไปค้นทางอินเทอร์เน็ตว่าบริษัทอื่นเขาทำกันอย่างไรจะได้ลอกวิธีการมาเลยนั้นคงไม่ต้องรอให้มีนิสิตฝึกงานไปฝึกงานก่อนแล้วจึงค่อยทำ
ลองถามดูซิว่าทางบริษัทของเขาเคยมีการบันทึกปัญหาต่าง
ๆ
ที่เกิดเพื่อไว้สืบค้นใช้เองในกลุ่มบริษัทเดียวกันและมีการนำเผยแพร่ให้คนอื่นได้รับรู้ด้วยหรือไม่
ถ้าเขาเองยังไม่เคยทำก็ไม่น่าจะคาดหวังว่าจะมีบริษัทอื่นใจดีทำให้เช่นเดียวกัน
และถ้ามันมีการทำเผยแพร่จริงทางวิศวกรในบริษัทของเขาก็ควรที่จะหาเจอไปตั้งนานแล้ว
(บริษัทของเขารับแต่คนเกรดสูง
ๆ จากสถาบันชั้นนำในประเทศและต่างประเทศเข้าทำงานทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ)
สิ่งที่คุณทำได้ในฐานะนิสิตฝึกงานก็คือเสนอแนวทางแก้ปัญหาต่าง
ๆ และผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดถ้าเลือกใช้วิธีการแก้ปัญหานั้น
โดยต้องอิงจากพื้นฐานในวิชาต่าง
ๆ ที่พวกคุณเรียนมา
(โรงงานที่คุณฝึกงานอยู่มันก็ออกแบบโดยอิงพื้นฐานจากตำราที่พวกคุณเรียนอยู่เช่นเดียวกัน)
ส่วนเขาจะเลือกใช้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับทางเขาเอง
มันไม่ใช่โรงงานของคุณนี่
แล้วคุณจะไปกลุ้มใจมันทำไม