เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการระเบิดของโรงงานของบริษัท
BST
นี้อาจจะต่อเนื่องยาวหน่อย
แต่ผมถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะใช้เหตุการณ์ต่าง
ๆ ที่ปรากฏในข่าวมาเล่าให้พวกคุณ
ซึ่งมีประสบการณ์การทำงานในโรงงานเพียงแค่ตอนฝึกงานเท่านั้นเอง
และหลายคนก็ไม่ได้มีโอกาสไปสัมผัสกับโรงงานพวกโรงกลั่นน้ำมันหรือปิโตรเคมีด้วย
ดังนั้นผมจึงพยายามตัดเนื้อหาต่าง
ๆ ให้เป็นเรื่องสั้น ๆ
และพยายามใส่คำอธิบายให้ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์เข้าใจ
โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ยังไม่สำเร็จการศึกษา
แต่สิ่งที่พวกคุณพึงระลึกคือ
ใน Memoir
ต่าง
ๆ เหล่านี้ผมไม่สามารถที่จะให้ข้อสรุปใด
ๆ ถึงต้นเหตุที่แท้จริงได้
ทำได้แต่เพียงตั้งข้อสังเกตหรือสมมุติฐานจากรายงานข่าวสารและภาพที่มีปรากฏในสื่อสาธารณะ
ดังนั้นสิ่งที่เขียนเอาไว้ในนี้จึงอาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
ส่วนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้นเราจะมีโอกาสได้รู้หรือไม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ผมได้ยินข่าวการระเบิดทางโทรทัศน์ในเย็นวันที่เกิดเหตุ
ในช่วงแรกนั้นยังไม่มีการรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต
บอกแต่ว่ามีผู้บาดเจ็บจำนวนมากหลายสิบราย
ตอนที่ได้ยินจำนวนผู้บาดเจ็บที่สูงก็เริ่มสงสัยแล้วว่าขณะเกิดเหตุนั้นโรงงานคงไม่ได้อยู่ในขณะเดินเครื่องการผลิตตามปรกติ
เพราะวันเกิดเหตุก็เป็นวันเสาร์ช่วงบ่ายและหยุดติดต่อกันสามวัน
รูปที่
๑ จากหน้าเว็บหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
บอกว่ามีผู้เสียชีวิต ๑๒
ราย บาดเจ็บ ๑๒๙ ราย
ดังนั้นรวมแล้วคือ ๑๔๑ ราย
แต่ทางด้านล่างรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรวม
๑๔๒ ราย จะเห็นว่าตัวเลขไม่ตรงกัน
รายละเอียดที่ได้รับฟังเพิ่มเติมต่อมาคือในขณะที่เกิดเหตุนั้นโรงงานหยุดดำเนินการผลิต
หรือที่เรียกเป็นภาษาในวงการทั่วไปว่า
"Shut
down"
ตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้ผมเกิดข้อสงสัย
เพราะปรกติจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายผลิต
(operation)
ที่จะต้องทำให้ระบบมีความปลอดภัยก่อนที่จะอนุญาตให้ฝ่ายซ่อมบำรุงเข้าไปทำการซ่อมแซมหรือปรับแต่ง
การทำให้ระบบมีความปลอดภัยนั้นประกอบด้วย
-
การปิดกั้นระบบ
(isolate)
บริเวณที่ต้องการทำการซ่อมบำรุง
-
การกำจัดสารพิษ/เชื้อเพลิงออกจากระบบที่จะทำการซ่อมบำรุง
ซึ่งปรกติตรงนี้จะทำโดยใช้แก๊สเฉื่อย
(เช่นไนโตรเจนหรือไอน้ำ)
-
จากนั้นจึงทำการแทนที่แก๊สเฉื่อยในระบบด้วยอากาศ
(เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เข้าไปทำงานเกิดการขาดอากาศหายใจ)
เมื่อระบบมีความปลอดภัยแล้วจึงจะอนุญาตให้ฝ่ายซ่อมบำรุงเข้าไปทำงานได้
ที่สงสัยก็คือในขณะเกิดเหตุนั้นโรงงานนี้คงไม่ได้ทำการหยุดเดินเครื่องทุกหน่วยการผลิต
หรืออาจทำหยุดเดินเครื่องเฉพาะส่วนของหน่วยการผลิตใดหน่วยหนึ่ง
จึงทำให้มีทั้งคนจำนวนมากและสารเชื้อเพลิงนั้นอยู่ในบริเวณเดียวกันได้
รูปที่
๒ จากเว็บหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
จะเห็นว่าจำนวนผู้เสียชีวิต
๑๒ รายและบาดเจ็บ ๑๒๙ รายรวมได้
๑๔๑ ราย
แต่ก็มีรายงานบอกว่ายอดรวมผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตคือ
๑๔๒ ราย ซึ่งจะเห็นว่าตัวเลขไม่ตรงกัน
ถ้าลองค้นข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นอีกจะพบว่าบางฉบับรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต
๑๒ ราย และบาดเจ็บ ๑๔๒ ราย
(มากขึ้นไปอีก)
โรงงานเองนั้นก็ต้องมีการหยุดเดินเครื่องประจำปีที่เรียกว่า
Annual
shut down
การหยุดเดินเครื่องประจำปีนั้นจะเป็นการหยุดเดินเครื่องหน่วยการผลิตทุกส่วน
เพื่อทำการซ่อมบำรุงและ/หรือปรับปรุงตัวโรงงาน
งานเช่นนี้จะมีการระบายสารตั้งต้น/ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระบบท่อ-ถังต่าง
ๆ ของหน่วยผลิตออกไปให้หมด
และแทนที่ด้วยอากาศเพื่อให้ฝ่ายซ่อมบำรุงสามารถทำงานต่าง
ๆ ไม่ว่าการเชื่อม ตัด เจาะ
เปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยา
ซ่อมแซมอุปกรณ์ เปลี่ยนชิ้นส่วน
ฯลฯ ได้อย่างปลอดภัย
การหยุดเดินเครื่องอีกแบบหนึ่งที่ไม่ว่าโรงงานใด
ๆ
ไม่ต้องการให้เกิดคือการหยุดเดินเครื่องเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรือที่เรียกว่า
Emergency
shut down การหยุดแบบนี้อาจจะเป็นการควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์
โดยที่เมื่อกดปุ่มฉุกเฉินเพียงปุ่มเดียวคอมพิวเตอร์ก็จะสั่งการต่าง
ๆ เพื่อให้หน่วยต่าง ๆ
ของโรงงานไปอยู่ในสภาวะที่ปลอดภัย
เช่น ลดความดันระบบ
ลดการป้อนความร้อน เพิ่มการหล่อเย็น
ระบายสารที่เผาไหม้ได้/สารพิษไปยังหน่วยกำจัด
(เช่นระบบ
flare
สำหรับเผาทิ้ง)
เป็นต้น
แต่ก่อนเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้โรงงานในบ้านเราต้องทำการหยุดเดินเครื่องฉุกเฉินเป็นประจำคือไฟฟ้าดับ
(พวกที่ซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมักต้องทำใจเรื่องนี้)
ต่อมาภายหลังเวลาที่มีโรงงานหลายโรงอยู่ร่วมกัน
เขาก็เลยตั้งโรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าใช้กันเองในหมู่โรงงาน
ปัญหาเรื่องไฟฟ้าดับก็ลดน้อยลงไป
เว้นแต่โรงงานที่ไปตั้งอยู่โดดเดี่ยวไม่อยู่ร่วมกับใคร
(ไฟฟ้าสำรองในโรงงานมักจะมีเพียงพอแค่จ่ายไฟให้กับระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมและสั่งการณ์เท่านั้น
หรือไม่ก็กับอุปกรณ์บางตัวที่สำคัญต่อความปลอดภัย
เช่นปั๊มน้ำหล่อเย็น
เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ
อุปกรณ์ทุกชนิดที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าก็จะทำงานไม่ได้
วาล์วควบคุมที่ใช้ในโรงงานจึงมักใช้แรงดันอากาศ
(ระบบนิวเมติกส์)
เป็นตัวควบคุมให้วาล์วปิด-เปิด
เพราะจะยังมีอากาศอยู่ในถังเก็บสำรอง
ปั๊ม/คอมเพรสเซอร์ที่สำคัญนั้นอาจใช้ไอน้ำขับเคลื่อนแทนการใช้มอเตอร์ไฟฟ้า
เพราะแม้ว่าหม้อไอน้ำจะมีปัญหา
แต่ความดันไอน้ำที่อยู่ในระบบท่อก็ยังพอจะทำให้ปั๊ม/คอมเพรสเซอร์นั้นยังทำงานไปได้อีกระยะหนึ่ง
แต่ถ้าใช้มอเตอร์)
แต่ก็มีโอกาสอยู่เหมือนกันที่โรงงานจะหยุดการเดินเครื่องเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของหน่วยการผลิต
เพื่อทำการซ่อมแซมหรือดัดแปลงส่วนนั้น
โดยในระหว่างนั้นจะไม่มีการหยุดเดินเครื่องส่วนที่อยู่
upstream
ส่วนที่หยุดเดินเครื่อง
โดยอาจไปใช้ระบบสำรองแทน
หรือส่งผลิตภัณฑ์จากด้าน
upstream
ของส่วนที่หยุดการเดินเครื่องไปยังหน่วยผลิตหน่วยอื่นแทน
เมื่อทำการซ่อมแซม/ปรับปรุงแก้ไขเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ฝ่ายซ่อมบำรุงก็จะส่งมอบงานให้กับฝ่ายผลิต
ฝ่ายผลิตก็จะเริ่มจากการไล่ออกกาศออกจากระบบ
(โดยใช้แก๊สไนโตรเจนหรือไอน้ำร่วม)
จากนั้นจึงป้อนสารต่าง
ๆ (ซึ่งในโรงงานปิโตรเคมีก็มักเป็นสารที่ติดไฟได้)
เข้าไปในระบบ
ตามด้วยการปรับภาวะการทำงานของโรงงาน
(อุณหภูมิ
ความดัน ความเข้มข้นของสารที่เข้าทำปฏิกิริยากัน)
จนโรงงานเข้าสู่ภาวะการเดินเครื่องปรกติ
สำหรับการซ่อมบำรุง-ดัดแปลง-แก้ไขขนาดใหญ่นั้น
บุคลากรที่เข้าไปทำการซ่อมบำรุงมักจะเป็นผู้รับเหมาจากภายนอก
ทั้งนี้เนื่องจากในโรงงานหนึ่ง
ๆ นั้นไม่ได้มีงานซ่อมแซม-ดัดแปลง-แก้ไขขนาดใหญ่กันทุกวัน
การจะจ้างพนักงานประจำและซื้อเครื่องจักร
(เช่นรถเครน)
หรือมาเก็บไว้ใช้เองก็จะเป็นการสิ้นเปลือง
ดังนั้นจึงมีบริษัทที่รับจ้างทำงานเหล่านี้ให้กับบริษัทต่าง
ๆ ในนิคมอุตสาหกรรม
สิ่งเดียวที่ผมเห็นว่าทุกโรงงานจะมีเป็นของตัวเอง
(แม้ว่าไม่ได้ใช้เองเลยหรือแทบจะไม่ได้ใช้เองเลย)
ก็คือ
"รถดับเพลิง"
ในกรณีของการระเบิดเมื่อวันเสาร์ที่
๕ พฤษภาคมนั้น
คงต้องแยกว่าสาเหตุของการบาดเจ็บและทำให้เสียชีวิตนั้นเกิดจากการระเบิดหรือจากเปลวไฟ
ผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บจากเปลวไฟอาจเป็นผู้ที่อยู่ท่ามกลางไอระเหยของเชื้อเพลิงก่อนที่จะเกิดการจุดระเบิด
หรืออยู่ในบริเวณข้างเคียงแต่ได้รับการบาดเจ็บการแผ่รังสีความร้อน
หรือได้รับความร้อนเนื่องจากทำงานอยู่ในบริเวณที่อยู่เหนือเปลวไฟที่ลุกไหม้
อีกเรื่องหนึ่งที่ควรต้องพิจารณาคือ
การรั่งไหลจนทำให้เกิดการระเบิดที่ทำให้ผู้คนได้รับบาดเจ็บจำนวนมากนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเพียงใด
เพราะจากจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บนั้นทำให้เกิดข้อสงสัยว่า
(ก)
เกิดอย่างรวดเร็วมากจนไม่มีเวลาจะสั่งอพยพผู้คน
(ข)
ไม่ได้เกิดอย่างรวดเร็ว
แต่ไม่มีการแจ้งเตือน หรือ
(ค)
มีการแจ้งเตือน
แต่มีปัญหาเรื่องเส้นทางอพยพ
ที่ทำให้ผู้อพยพต้องโฉบเข้ามาใกล้บริเวณที่เกิดเหตุ
ถ้าเป็นกรณีของข้อ
(ก)
ก็จะช่วยระบุว่าต้นตอของการรั่วไหลนั้นเกิดจากสาเหตุใด
ถ้าเป็นข้อ
(ข)
ผมคิดว่าก็ต้องไปพิจารณาการวางแผนการสั่งอพยพและผู้มีอำนาจสั่งการ
(เคยมีกรณีเหมือนกันที่มีการวางแผนเอาไว้อย่างดี
มีการกำหนดผู้มีอำนาจสั่งการ
แต่พอเกิดเรื่องขึ้นจริงปรากฏว่าผู้มีอำนาจสั่งการเผ่นหนีเป็นคนแรก
พวกที่รอคำสั่งว่าจะปฏิบัติอะไรต่อไปก็เลยได้แต่รอ
จนความเสียหายขยายเป็นวงกว้างจนเกิดความเสียหายต่อเนื่องที่ทำให้เกิดการระเบิดรุนแรงที่ทำให้ผู้ที่รอคำสั่งนั้นบาดเจ็บและเสียชีวิต)
และถ้าเป็นข้อ
(ค)
ก็คงต้องกลับไปพิจารณาดูการวางผังโรงงานจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
เวลาที่เครื่องมือในแลปเราเสียคุณจะเห็นแล้วว่าจะหาไม่ได้ว่าใครเป็นคนทำ
และทำอย่างไรมันจึงเสีย
เพราะมีผู้ไปตั้งกฎเอาไว้ว่าเครื่องเสียเกิดจากคนที่ใช้เครื่องในขณะนั้น
ดังนั้นในขณะนั้นใครเป็นคนใช้
คนนั้นต้องเป็นคนจ่าย
มันก็เลยมีกรณีที่
"คู่มือการใช้งานมันผิด"
แต่มันไม่ทำให้เครื่องมีปัญหาทันที
แต่ทำให้เครื่องเสื่อมสภาพอย่างที่ไม่ควรเป็น
ดังนั้นพอเจอซ้ำ ๆ
กันหลายครั้งเข้าเครื่องมันก็ทนไม่ไหว
ใครโชคไม่ดีไปใช้เครื่องในจังหวะนั้นก็ซวยไป
การทำอย่างนี้มันไม่แก้ปัญหา
เพราะพอซ่อมเครื่องกลับมาได้เหมือนเดิม
มันก็จะเกิดเหตุการณ์แบบเดิมอีก
แต่ถ้าเราเปลี่ยนการสอบสวนเป็นทำไมเครื่องถึงเสีย
ซึ่งตรงจุดนี้จะทำให้เราพิจารณาไปถึงคู่มือการใช้งานและการออกแบบตัวอุปกรณ์ด้วย
เพราะในแลปเราก็มีกรณีมาแล้วที่พบว่าวิธีการมันผิด
ไม่ได้เกิดจากผู้ปฏิบัติงาน
(ดู
Memoir
ปีที่
๓ ฉบับที่ ๒๐๑ วันศุกร์ที่
๑๐ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง
"Pyrophoric
substance (อีกครั้ง)")
และเราก็เคยมีเหตุการณ์ที่ว่าคู่มือปฏิบัติการมันถูก
แต่ผู้ใช้เครื่องมือนั้นไปลัดขั้นตอนการปฏิบัติ
แต่ในกรณีนี้ก็น่าเห็นใจคนใช้เครื่องมืออยู่เหมือนกัน
เพราะโดนบังคับมาว่าต้องมีผลแลปส่งเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้
ไม่งั้นจะมีปัญหา
ซึ่งคนสั่งก็ไม่คิดจะสนใจเลยว่าเครื่องมือต้องใช้เวลาเท่าไรในการวิเคราะห์ตัวอย่างแต่ละตัวอย่าง
จำนวนตัวอย่างที่เขาสั่งให้วิเคราะห์นั้นคงต้องใช้เวลาสักเดือนในการวิเคราะห์
แต่นี้ต้องการภายในสัปดาห์เดียว
(ดู
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๗๐ วันอังคารที่
๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง
"เรื่องของสุญญากาศกับ
XPS")