ช่วงเวลาประมาณ
๒๒.๐๐
น ของคืนวันพุธที่ ๖ กรกฎาคม
ปีพ.ศ.
๒๕๓๑
(ค.ศ.
๑๙๘๘)
ได้เกิดการระเบิดบนแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลเหนือนอกชายฝั่งสกอตแลนด์ชื่อ
Piper
Alpha ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต
๑๖๗ ราย (เป็นผู้ที่อยู่บนแท่นขุดเจาะ
๑๖๕
รายและลูกเรือกู้ชีพที่เข้าไปช่วยผู้ที่กระโดดจากแท่นลงทะเลอีก
๒ ราย)
เรื่องนี้ผมเคยเกริ่นเอาไว้ครั้งหนึ่งแล้วใน
Memoir
ปีที่
๑ ฉบับที่ ๑๑ วันอังคารที่
๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ เรื่อง
"เชื้อเพลิงและการเผาไหม้
(2)
การเผาไหม้และการระเบิด"
บน
Piper
Alpha มีเชื้อเพลิงอยู่หลายชนิด
อาทิ
-
เมทานอลที่บรรจุอยู่ในถัง
ใช้สำหรับฉีดอัดด้วยปั๊มความดันสูงเข้าไปในแก๊สก่อนส่งขึ้นฝั่งเพื่อป้องกันการเกิด
gas
hydrate (ก้อนน้ำแข็งในแก๊ส)
-
น้ำมันดีเซลที่บรรจุอยู่ในถัง
ใช้สำหรับเครื่องปั่นไฟฟ้า
-
แก๊สและน้ำมันจากแท่นผลิต
ที่ถูกส่งมายัง Piper
Alpha เพื่อทำการแยกส่วนเป็นแก๊สและของเหลวก่อนจะส่งต่อไปยังบนฝั่ง
-
ส่วนที่เป็นแก๊สที่ได้จากการแยก
ที่ถูกอัดด้วยคอมเพรสเซอร์ความดันสูงเพื่อส่งขึ้นฝั่ง
-
ส่วนที่เป็นน้ำมันที่ได้จากการแยก
ที่ถูกอัดด้วยปั๊มความดันสูงเพื่อส่งขึ้นฝั่ง
เหตุการณ์ดังกล่าวช่องโทรทัศน์
National
Geographic เคยนำไปทำสารคดีชุด
Seconds
from disaster เผยแพร่ออกอากาศในปีพ.ศ.
๒๕๔๗
(ค.ศ.
๒๐๐๔)
ซึ่งลองไปดูย้อนหลังได้จาก
Youtube
ในหัวข้อ
"seconds
from disaster piper alpha" สารคดีดังกล่าวมีความยาวประมาณ
๑ ชั่วโมง
สิ่งที่น่าสนใจจากรายการดังกล่าวคือการวิเคราะห์ต้นตอของเพลิงไหม้ที่ตำแหน่งต่าง
ๆ ของแท่นโดยอาศัยรูปถ่ายเหตุการณ์ตั้งแต่การเกิดเพลิงไหม้
ผู้สืบสวนได้ใช้ลักษณะของเปลวเพลิงที่เกิดและนำไปเทียบกับแผนผังของแท่นเจาะว่าในบริเวณดังกล่าวมีถัง/ท่อของเชื้อเพลิงใดในบริเวณนั้นบ้าง
ทั้งนี้เพราะรูปแบบเปลวไฟที่เกิดจะขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อเพลิงที่เกิดการเผาไหม้
และลักษณะการรั่วไหลของเชื้อเพลิง
เช่นน้ำมันหนักจะให้เปลวไฟที่แดงและมีควันดำมากกว่าแก๊ส
เปลวไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงที่รั่วออกจากถัง/ท่อบรรจุที่ความดันสูงจะแตกต่างไปจากเปลวไฟที่เกิดจากเชื้อเพลิงที่หกราดอยู่บนพื้น
ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าข่าวการระเบิดตามด้วยการเกิดเพลิงไหม้ของโรงงานบริษัทกรุงเทพซินเทติกส์เมื่อวันเสาร์ที่
๕ พฤษภาคมที่ผ่านมาจะเงียบหายไปแล้ว
จากการสอบถามคนรู้จักที่ทำงานอยู่ในบริเวณนั้น
หรือคนที่ได้พูดคุยกับผู้ที่ทำงานอยู่ในบริเวณนั้นดูเหมือนว่าข้อมูลที่ได้นั้นจะไม่ตรงกัน
ที่ตรงกันมีเพียงมีการใช้โทลูอีนในการล้างถัง
ตามด้วยการเกิดการรั่วไหลของโทลูอีน
ที่ไม่ตรงกันคือผู้เสียชีวิตนั้นเป็นพนักงานของหน่วยงานใดบ้าง
และที่ไม่มีใครบอกได้เลยก็คือ
ทำไมโทลูอีนถึงรั่วออกมาได้
รั่วออกมาในปริมาณเท่าใด
และต้นตอของการจุดระเบิดคือแหล่งใด
ผู้เสียชีวิตนั้นเสียชีวิตจากแรงระเบิดหรือจากไฟคลอก
ซึ่งผมถือว่าตรงนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่จะทำให้เราหาทางป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในทำนองเดียวกันนี้ซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก
บางคนที่คุยด้วยก็บอกว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากความบกพร่องของพนักงาน
(Human
error) แต่ผมก็แย้งว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น
เพราะมีก็มีเหมือนกันที่ผู้ปฏิบัติงานทำงานตาม
"ขั้นตอนที่ได้กำหนดเอาไว้"
ทุกประการ
แต่ก็ยังเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้เพราะ
"ขั้นตอนที่ได้กำหนดเอาไว้"
นั้นมีข้อผิดพลาด
หรือการออกแบบตัวอุปกรณ์เองมีจุดบกพร่องที่เปิดช่องให้คนทำผิดพลาดได้
ดังนั้นการสอบสวนหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุจึงไม่ควรเพ่งเล็งไปที่การหาผู้กระทำผิด
แต่ควรมีการพิจารณาด้วยว่าสภาพแวดล้อมของการทำงานนั้นส่งเสริมหรือเปิดโอกาสให้เขากระทำผิดพลาดนั้นได้
ในเช้าวันจันทร์ที่
๑๒ ธันวาคมปีพ.ศ.
๒๕๓๑
(ค.ศ.
๑๘๙๘)
เวลา
๘.๑๐
น ได้เกิดการชนกันของขบวนรถไฟที่ชุมทางชื่อ
Clapham
junction ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ
จากการสอบสวนของทางการพบว่าสาเหตุเกิดจากเจ้าหน้าที่ที่ทำการปรับปรุงระบบสัญญาณนั้น
"ต่อสายไฟผิด"
ทำให้สัญญาณแสดงว่าทางข้างหน้าว่างทั้ง
ๆ ที่มีรถไฟจอดอยู่
รถไฟขบวนที่วิ่งตามหลังมาจึงวิ่งเข้าชนท้ายรถไฟขบวนที่จอดรอเข้าสถานีอยู่
ผลการพิจารณาของทางการนั้น
"ไม่ได้"
ลงโทษเจ้าหน้าที่ที่ต่อสายไฟผิด
เพราะการสอบสวนแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานดังกล่าวต้องทำงาน
"ติดต่อกันเป็นเวลา
๗ วันต่อสัปดาห์โดยไม่มีการหยุดพักเป็นเวลาติดต่อกันหลายเดือน"
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องของทางการรถไฟที่ไม่จัดให้มีเจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเพียงพอ
การทำงานติดต่อกันเช่นนี้เป็นการเพิ่มโอกาสให้คนทำงานผิดพลาดได้มากขึ้นจากความเหนื่อยล้าและความเครียด
(เหมือนคนพิมพ์ดีด
จะพิมพ์เก่งยังไงก็ต้องมีการพิมพ์ผิดอยู่ดีถ้าต้องพิมพ์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน)
ใครสนใจรายละเอียดเรื่องนี้ก็ลองไปหาอ่านจากอินเทอร์เน็ตก่อนก็แล้วกัน
รูปที่
๑ ภาพถ่ายดาวเทียมของโรงงานที่เกิดเหตุ
บริเวณที่เกิดเหตุคือกรอบสีเหลือง
กรอบสี่เหลี่ยมฟ้าคือ cooling
tower
ส่วนที่เป็นกากบาทเขียวเดาว่าเป็นจุดที่ผู้ที่ถ่ายภาพที่แสดงในรูปที่
๒ ถ่ายภาพที่เกิดเหตุ
ทิศเหนืออยู่ทางด้านบนของรูป
การทำงานต่อเนื่องติดต่อกันจนเกิดอุบัติเหตุได้นั้น
ไม่จำเป็นต้องเป็นการทำงานติดต่อกันหลายวัน
การทำงานในวันเดียวแต่ติดต่อกันหลายชั่วโมงจนไม่มีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอก็สามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือพนักงานขับรถที่อาจต้องขับรถทางไกลต่อเนื่องกันหลายชั่วโมงโดยไม่มีระยะเวลาการพักผ่อนระหว่างการทำงานที่เหมาะสม
ส่วนพวกคุณเองบางคนก็คงมีประสบการณ์มาแล้วในช่วงที่เร่งปิดการทดลองเมื่อต้องทำการทดลองติดต่อกัน
๔๘ ชั่วโมง
แม้ว่าจะมีระยะเวลาพักผ่อนระหว่างการรอเก็บตัวอย่างแต่ละครั้ง
แต่มันก็เทียบไม่ได้กับการที่ได้พักผ่อนยาว
ผมถึงได้ย้ำว่าในการทำวิจัยนั้นเพื่อนร่วมงานก็สำคัญ
เพราะเราอาจต้องขอให้เขามาช่วยเราทำงานของเรา
(ทั้ง
ๆ ที่มันไม่ใช่งานของเขา)
ในส่วนการเก็บตัวอย่างหรือเฝ้าดูว่าเครื่องมือของเราทำงานเรียบร้อยหรือไม่
กลับมายังเรื่องไฟไหม้โรงงานกันต่อ
จากภาพข่าวที่ผมเห็นทางโทรทัศน์ในวันที่เกิดเหตุและจากที่มีผู้นำมาเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตในเวลาหลังเกิดเหตุไม่นานนักทำให้ผมคิดว่าข่าวที่ออกมาว่าเชื้อเพลิงที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้คือโทลูอีนนั้นอาจจะเป็นจริง
เพราะจากภาพต่าง ๆ
ที่เห็นนั้นจะเห็นแต่ภาพควันดำกลุ่มใหญ่พวยพุ่งมาจากโรงงาน
โดยไม่เห็นเปลวไฟที่มีลักษณะฉีดพุ่งซึ่งเป็นลักษณะของแก๊สรั่วออกจากท่อ/ถังที่ความดันสูง
รูปที่
๒ รูปนี้เป็นภาพแรก ๆ
ที่มีคนเผยแพร่
เข้าใจว่าน่าจะถ่ายจากภายในโรงงานที่เกิดเหตุจากตำแหน่งกากบาทเขียวในรูปที่
๑ โดยคาดว่าเป็นการมองจากทางทิศตะวันออกไปทางตะวันตก
จากรูปนี้ยังไม่สามารถมองเห็นเปลวไฟใด
ๆ ทั้ง ๆ ที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ
คิดว่าคงเป็นเพราะเปลวไฟนั้นอยู่ต่ำ
(เช่นเกิดจากการหกรดบนพื้น)
และไม่ได้เกิดจากการรั่วไหลที่มีลักษณะฉีดออกมาเป็นพวยพุ่งจากความดันที่สูง
โดยปรกติแล้วในบริเวณที่เป็น
hazardous
area นั้นจะควบคุมการนำอุปกรณ์ต่าง
ๆ ที่สามารถจุดติดไฟหรือทำให้เกิดประกายไฟได้เข้าไปในบริเวณนั้น
บางแห่งแม้แต่รองเท้าหนังที่ตอกเกือกเหล็กที่ส้นกันส้นสึกก็ไม่อนุญาตให้ใส่เข้าไป
เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดประกายไฟขณะที่เดินไปตามพื้นคอนกรีตได้
อุปกรณ์สื่อสารเช่นโทรศัพท์มือถือหรือวิทยุติดตามตัวแบบธรรมดาก็ไม่อนุญาตให้นำเข้าไป
ผมเอารูปที่
๒ ที่แสดงไว้ข้างบนนี้ไปถามเล่น
ๆ กับคนที่เคยทำงานในฝ่ายผลิตว่า
"ปรกติเขาอนุญาตให้เอาโทรศัพท์มือถือส่วนตัวติดตัวเข้าไปใน
hazardous
area ด้วยเหรอ"
คำตอบที่ได้ก็คือ
"ปรกติก็ไม่อนุญาตหรอก
แต่คราวนี้ที่ทำได้คงเป็นเพราะมันไม่ปรกติ
:)"
รูปที่
๓ รูปนี้เป็นรูปที่มีการเผยแพร่กันในวันแรกเช่นกัน
เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงงานที่อยู่ข้างเคียง
(ผู้นำภาพมาเผยแพร่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพนี้จากหน้าจอมอนิเตอร์ของกล้องวงจรปิดอีกที)
จะเห็นควันดำพวยพุ่งขึ้นจากบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ
แต่ไม่สามารถมองเห็นเปลวไฟที่ลุกไหม้
ส่วนวงเขียวทางด้านขวาเป็นเปลวไฟของระบบ
flare
ที่ลุกไหม้ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ทางทิศตะวันตกของโรงงานที่เกิดเหตุ
ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นของโรงงานที่เกิดเหตุหรือเปล่า
เพราะภาพระบบท่อจากภายถ่ายดาวเทียม
(รูปที่
๑)
มันไม่ชัด
แต่มันก็ไม่มี flare
stack ตัวอื่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนั้นอีก
วาล์วระบายความดัน
(Safety
valve หรือ
Relief
valve) นั้นมักจะออกแบบมาเพื่อระบายความดันในภาชนะรับความดัน
(pressure
vessel) ที่สูงเกินไปที่เกิดจากความผิดพลาดในการทำงาน
(เช่นเปิดท่อจ่ายแก๊สเข้าถังแต่ท่อด้านให้แก๊สไหลออกมันอุดตัน
หรือปั๊มของเหลวเข้าถังเร็วเกินไปจนไหลออกจากถังไม่ทัน)
แต่มักจะไม่ได้รับการออกแบบมาเพื่อระบายความดันที่เกิดจากภาชนะรับความดันนั้นถูกไฟคลอก
ความดันที่สูงเกินไปที่เกิดจากความผิดพลาดในการทำงานนั้นมักจะเกิดที่อุณหภูมิที่ใช้งานปรกติหรือไม่ก็ใกล้เคียง
อุณหภูมิที่ใช้งานปรกติ
ซึ่งที่อุณหภูมิที่ใช้งานปรกตินั้นความแข็งแรงของโลหะที่ใช้สร้างภาชนะรับความดันนั้นยังเป็นไปตามที่ออกแบบเอาไว้อยู่
แต่ในกรณีที่ภาชนะรับความดันนั้นถูกไฟคลอก
ความร้อนจากเปลวไฟจะทำให้ความดันในถังเพิ่มสูงขึ้น
และในขณะเดียวกันก็จะทำให้ความแข็งแรงของโลหะนั้นลดลงไปด้วย
(โลหะจะสูญเสียความแข็งแรงเมื่อร้อน)
จึงทำให้เกิดโอกาสที่โลหะที่เป็นผนังของภาชนะรับความดันนั้นเกิดการฉีกขาดทั้ง
ๆ ที่ความดันภายในภาชนะนั้น
"ต่ำกว่า"
ความดันที่กำหนดให้วาล์วระบายความดันเปิดออก
ดังนั้นในกรณีนี้จึงจำเป็นต้องมีการติดตั้งวาล์วระบายความดันในกรณีที่ภาชนะรับความดันนั้นถูกไฟคลอก
ซึ่งการเปิดวาล์วดังกล่าวจะอาศัยการสั่งการจากผู้ปฏิบัติงานแทนที่จะใช้ความดันในภาชนะรับความดันนั้นเป็นตัวกำหนด
รูปที่
๔
เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดต่อจากรูปที่
๓ ที่ซูมเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุในวงสีเขียวต่าง
ๆ
คิดว่าเป็นเปลวไฟที่เกิดจากการระบายสารที่อยู่ในอุปกรณ์ออกทางวาล์วระบายความดันเพื่อป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เกิดการระเบิด
ผมไม่คิดว่าจะเป็น ground
flare
ในภาวะฉุกเฉินนั้นจะยอมให้ทำการระบายเชื้อเพลิงที่บรรจุอยู่ในภาชนะความดันต่าง
ๆ ออกสู่บรรยากาศโดยตรงโดยไม่ต้องส่งไปเผาที่
flare
stack เพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินนั้น
flare
stack อาจจะรับการระบายแก๊สจำนวนมากจนอาจรับไม่ไหว
(ไม่เพียงแต่โรงงานที่เกิดเพลิงไหม้ต้องระบายเชื้อเพลิงทิ้ง
โรงงานที่อยู่ข้างเคียงก็อาจต้องทำเช่นเดียวกันเผื่อเอาไว้ก่อนถ้าหากเหตุการณ์มันควบคุมไม่อยู่)
หรือท่อที่ส่งไปยังระบบ
flare
เสียหายจากการระเบิดทำให้ไม่สามารถระบายเชื้อเพลิงไปเผาที่
flare
stack ได้
ด้วยเหตุนี้จึงยอมให้ทำการระบายแก๊สเชื้อเพลิงที่อยู่ในระบบออกสู่บรรยากาศโดยตรง
เชื้อเพลิงที่ระบายออกมาจะเกิดการลุกติดไฟซึ่งจะทำให้เปลวไฟที่เกิดขึ้นวิ่งย้อนกลับไปเผาไหม้อยู่ที่ท่อทางออกของวาล์วระบายความดัน
(ดูรูปที่
๔)
บางรายบอกว่ามีการใช้โทลูอีนล้างยางที่เกาะติดผนังของถัง
ซึ่งตรงนี้ผมตั้งข้อสังเกตว่าโทลูอีนนั้นมีจุดเดือดสูงกว่าน้ำ
(จุดเดือดโทลูอีนคือประมาณ
110ºC)
ดังนั้นถ้าโทลูอีนที่รั่วออกมานั้นมีอุณหภูมิห้อง
แม้ว่าความดันไอของโทลูอีน
ณ อุณหภูมิห้องจะมากพอที่จะทำให้เกิดการลุกติดไฟได้
แต่การลุกติดไฟนั้นน่าจะเป็นลักษณะ
flash
fire
เว้นแต่ว่าโทลูอีนที่รั่วออกมานั้นมีอุณหภูมิที่สูงกว่าอุณหภูมิห้อง
ทำให้โทลูอีนที่รั่วออกมานั้นเกิดไอจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว
(ผมคิดว่าน่าจะยังมีบางส่วนที่เป็นของเหลวอยู่ด้วย)
กลายเป็นส่วนผสมที่สามารถระเบิดได้ง่ายขึ้น
แต่สิ่งสำคัญที่ต้องระบุให้ได้ก็คือ
"รั่วออกมาได้อย่างไร"
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีโอกาสได้รับรู้หรือเปล่า