วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เหตุผลก็เพราะรัก MO Memoir : Wednesday 4 December 2556

"แล้วสรุปว่า .... มันเป็นนิยายหรือชีวิตจริง ?" เขาขอความเห็นผมหลังจากเล่าเรื่องให้ผมฟัง

ผมก็ตอบเขาไม่ได้เหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องปรกติที่นิยายจะเอาชีวิตจริงมาเขียน และนิยายก็มีการต่อเติมเสริมแต่งจากเรื่องราวในชีวิตจริง
 
และอีกเหตุผลหนึ่งคือ คำตอบที่ผมคิดอยู่ในใจนั้นผมคิดว่า "มันไม่เหมาะที่จะพูดต่อหน้าเขา" เพราะคำตอบนั้นไม่ว่าจะถูกหรือผิด มันไม่เกิดผลดีทั้งนั้น
 
แต่จะว่าไปแล้วที่ผมคิดอยู่ในใจนั้นมันก็ไม่ใช่ "คำตอบ" แต่มันเป็น "คำถาม" ที่เขาควรต้องตอบ และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าผมตั้งคำถามได้ถูกหรือเปล่า แม้ว่าจะเคยผ่านเรื่องราวคล้ายกันมาบ้างกับคนรอบข้าง แต่ก็ยังเกรงว่าจะตั้งคำถามผิด 
  
คำถามนั้นก็คือ

"คุณจะทำอย่างไรต่อคนที่คุณรัก ถ้าคุณรู้ว่า (หรือคิดว่า) คุณจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน"

ปรกติก็ไม่ค่อยชอบอ่านเรื่องทำนองนี้อยู่แล้ว แต่ระหว่างที่ขับรถกลับบ้านผมก็ระลึกได้ว่าเคยอ่านทั้งการ์ตูนและนิยายที่มีเนื้อหาทำนองนี้หลายเรื่องอยู่เหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่าพวกคุณจะรู้จักกันบ้างหรือเปล่า


"คงไม่อยากให้คุณคาโอริฆ่าคนสินะ" มิกิถามเรียว
  
"คุณอยากให้มือของคุณคาโอริสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากคาวเลือดใช่ไหม.."

"City Hunter" เป็นการ์ตูนที่อ่านมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม การ์ตูนเรื่องนี้เป็นเรื่องของ "ซาเอบะ เรียว" มือปืนรับจ้างแห่งย่านชินจูกุที่ต้องรับภาระดูแล "มากิมูระ คาโอริ" น้องสาวคนละพ่อต่างแม่ของเพื่อนตำรวจที่เสียชีวิตไปที่ได้รับปากไว้ อาวุธชนิดเดียวที่เรียวมอบให้คาโอริคือปืนพกของเพื่อนคู่หูที่เสียชีวิต ความสามารถของคาโอริในการใช้ปืนกระบอกนี้จัดว่าแย่มากเพราะไม่สามารถยิงโดนเป้าใด ๆ ที่ต้องการ แต่ผู้เขียนเรื่องก็มาเฉลยในตอนท้าย ๆ ถึงสาเหตุก็คือปืนกระบอกดังกล่าวถูกนำไปดัดแปลงให้ยิงได้ไม่แม่นยำ ทั้งนี้เพราะซาเอบะ เรียวไม่ต้องการให้คาโอริมือเปื้อนเลือดจากการฆ่าคน และต้องการให้กลับไปใช้ชีวิตอย่างคนปรกติธรรมดา เพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องตายเมื่อใด (อยู่ในตอนที่พ่อของเรียวจ้าง มิค แองเจิล มือปืนรับจ้างจากอเมริกาเพื่อเก่าของเรียวให้มากำจัดเรียว)
  
ถ้า "City Hunter" ซึ่งจบได้ (แบบที่ผมคิดว่า) สวยไปเมื่อกว่ายี่สิบปีที่แล้ว ตอนต่อในชื่อเรื่อง "Angle Heart" ก็เริ่มได้เศร้า


----------*****----------



"ถ้าผมจะรักใครสักคน ทำไมคนอื่นต้องคิดว่าผมจะต้องมีเหตุผลนอกเหนือไปกว่านี้เสมอไป ชั่วชีวิตผมที่ผ่านมา...ไม่ว่าใครก็คงรู้ว่าผมไม่ใช่คนดี แต่ก็ทำไมผมจะต้องเลวตลอดไป จะมีอยู่สักครั้งไม่ได้หรือที่ผมอาจจะเป็นคนดีขึ้นมาบ้าง...ผมรักผู้หญิงคนนั้น รักจริง ๆ...รักเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่มึความหมายของคำว่า "ผู้หญิง" อย่างเพียบพร้อม อายุผมมากแล้ว มากพอที่จะคิดตั้งหลักแหล่งของชีวิตเสียที หลักจากที่เหน็ดเหนื่อยดิ้นรนตลอดมา เมื่อแรกที่ผมคิดจะรักเจริญขวัญ ผมยอมรับว่าเพราะผมหวังเพียงแต่ส่วนแบ่งของมรดกคุณย่าที่เธอได้ไป แต่ยิ่งนานวันเข้า ผมก็รู้ว่าในความรัก...อย่างอื่นไม่สำคัญสักนิดเดียว"
ปลายนิ้วที่คีบบุหรี่อยู่สั่นน้อย ๆ อย่างเห็นได้ชัด
  
"ความสำคัญมีอยู่เพียงว่า ผมรักเธอและเธอก็รักผม...ทั้ง ๆ ที่ผมรู้ดีว่า เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันไม่นานนัก !"

ย่อหน้าข้างบนผมนำมาจากนิยายเรื่อง "เงา" เขียนโดย "โรสลาเรน" ซึ่งเป็นอีกนามปากกาหนึ่งของนักเขียนที่ใช้นามปากกาว่า "ทมยันตี" บทสนทนานี้เป็นตอนใกล้จบของเรื่องเป็น ในฉากที่ "อิศรา" บุกไปหา "ชาลินี" ถึงบ้าน ว่าทำไมถึงไปกล่าวกระทบเทียบตัวเขาให้ "เจริญขวัญ" หญิงที่อิศราหลงรักแต่ป่วยเป็นโรคหัวใจให้ได้ยิน ทำให้อาการของเจริญขวัญทรุดหนัก และกำลังจะเสียชีวิต
  
เรื่องนี้อาจเป็นคำถามที่ตรงข้ามกับที่ผมกล่าวไว้ตอนแรกคือ

"คุณจะทำอย่างไร ถ้ารู้ว่าคนที่คุณรักนั้นอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน"



----------*****----------




"จะเรียกเขายังไงก็ช่าง แต่ฉันก็รักเขา คุณเคยไหมที่จะต้องวิ่งหัวซุกหัวซนหนึจรวดที่มันตกลงมาใส่หัวคุณพร้อมกับเขา คุณเคยไหมที่ต้องหลงป่า ไม่มีอะไรจะกินพร้อมกับเขา..."
  
"โฮ้ย ! ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าผมรักกับไอ้ภูริต เจ้าสิงห์ เพราะผมกับทหารทั้งกองร้อยเคยทำอย่างนั้นเสมอแหละ โธ่เอ๊ย !"
  
อีกฝ่ายตะเบ็งแข่งกับเธอ เพราะไม่ต้องกลัวแล้วว่าใครจะได้ยิน ไม่ต้องระวังอิสริยยศแห่งเจ้าหลวง แถมยังหมิ่นประมาทซ้ำ
 
"แต่คำว่ารักยังแปลไม่ถูก !"
 
"ถูกซิถูก ฉันไม่ใช่คนโง่ คนงี่เง่า คน..."
  
มิราลิ้นแข็ง ตัวแข็งในบัดดล เธอ "รู้" เธอตกหลุมคนยืนอยู่ตรงหน้าท่วงท่าสบายอารมณ์ยิ่งเสียแล้ว
  
"นั่นแหละ..." กระแสรับสั่งนุ่มนวล อ่อนหวานเสียยิ่งนัก
  
"ผมรักคุณอย่างนั้น !"
  
ไม่มีคำตอบจากหญิงสาว น่าแปลก...คนพูดก็ดูจะไม่ปราถนาคำตอบ แค่ "บอก" กลับกลายเป็นสิ่งเพียงพอ

ถ้าความรักระหว่างภูริตกับเจ้านางรอยคำหรือเจ้าจ้อยแห่งเวียงสรองใน "โสมส่องแสง" จบลงได้สวย รักระหว่างมิรากับเจ้าหลวงรอยอินทร์ใน "รอยอินทร์" ที่เป็นภาคต่อก็จบลงได้เศร้า
  
นิยายเรื่องนี้นำสร้างเป็นละครเมื่อยี่สิบปีที่แล้วโดยใช้ชื่อ "โสมส่องแสง" (แต่หนังสือแยกเป็น "โสมส่องแสง" กับ "รอยอินทร์") เขียนโดยโรสลาเรนเช่นเดียวกัน เป็นละครโทรทัศน์เรื่องสุดท้ายที่ผมติดตามชม เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้เน้นฉากผู้หญิงตัวร้ายด่ากันไฟแลป แต่ตัวโป๊ ๆ หรือแย่งผู้ชายกันออกนอกหน้า ไม่ใช่เรื่องของนางเอกที่ไร้เดียงสาทำอะไรไม่เป็น จำได้ว่าตอนนั้นผู้ชมเรียกร้องให้ผู้สร้างละครเปลี่ยนแปลงตอนจบ แต่ผู้สร้างก็ยืนยันว่าจะยืนตามเรื่องที่เขียนไว้ในหนังสือ ดาราที่เล่นตอนนั้นก็มี พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง รับบทเป็นผู้พันภูริต ศิริลักษณ์ ผ่องโชค (ยังเป็นนักเรียนม.ปลายผมยาวถึงเอวอยู่) รับบทเป็นเจ้าจ้อย ฉัตรชัย เปล่าพานิช รับบทเป็นเจ้าหลวงรอยอินทร์ และมาช่า วัฒนาพานิช รับบทเป็นมิรา
  
อีกตอนหนึ่งที่ผมชอบในเรื่องนี้คือตอนที่คณะเจ้ารอยอินทร์เดินทางกลับด้วยเครื่องบินทหาร

เจ้ารอยอินทร์ หันพระพักตร์มาพอดี
  
มิรา ซื่อตรงต่อตนเอง จึงมิได้แปรสายตา แม้แต่กระแสอ่อนโยนก็มิจาง ด้วยเหตุนี้หลังจากนั้นแค่อึดใจ วรองค์โปร่ง ๆ จึงเคลื่อนมาประทับใกล้โดยเงียบ ๆ เช่นกัน หัตถ์นวลแบออก มิรามอง...นิ่งนิดเดียว...วางมือลง !
  
มือทั้งสองเกาะกุมกันเงียบ ๆ
  
เจ้านางน้อยน้ำพระเนตรคลอ
  
สีพระพักตร์เจ้ารอยอินทร์ สงบสุข มิได้ตื่นเต้น ลิงโลด
  
"คุณแน่ใจได้..." ความดังของเครื่องยนต์ทำให้พอได้ยินกันเฉพาะสองคน "สิ่งใดที่ผมกำไว้ในมือ ไม่เคยยอมปล่อย"
  
"และสิ่งใดที่ฉันไว้วางใจ ก็จะให้ความไว้วางใจไว้ตลอดไป"



----------*****----------




ขอปิดท้ายด้วยข้อความในจดหมายลาที่รพินทร์ ไพรวัลย์ เขียนถึงม.ร.ว.ดาริน วราฤทธิ์ ในเพชรพระอุมาภาคสอง เมื่อรพินทร์ผู้เป็นตัวเอกของเรื่องต้องรับภาระในการเดินทางที่ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาอีกหรือไม่

"สิ่งที่ผมจะขอร้องเฉพาะคุณหญิง ก็มีอยู่เพียง 4 ประการเท่านั้น
  
1) ทำใจทำกายให้เป็นสุข และปลงเสียเถิด มนุษย์ทุกรูปทุกนามฝากชีวิตไว้กับดวงชะตา ไม่มีใครจะสามารถลิขิตชีวิตของตนเองได้ อะไรมันจะเป็นไป มันก็ต้องเป็นไป
  
2) คุณแม่ผมชรามากแล้ว และท่านไม่มีใครอื่นอีก นอกจากผม ผู้ซึ่งไม่มีโอกาสกลับไปสนองพระคุณท่านได้อีก ขอฝากคุณแม่ไว้ในความเมตตาของคุณหญิงด้วย อย่าได้แพร่งพรายให้ท่านรู้เป็นอันขาดว่าผมจำเป็นต้องเดินทางอย่างไม่รู้อนาคต
.....
....
สำหรับคุณหญิง...ลาก่อนครับ! ผมจะกลับมาถ้ายังไม่ตาย..."



----------*****----------

ไม่มีความคิดเห็น: