"แล้วสรุปว่า
....
มันเป็นนิยายหรือชีวิตจริง
?"
เขาขอความเห็นผมหลังจากเล่าเรื่องให้ผมฟัง
ผมก็ตอบเขาไม่ได้เหมือนกัน
เพราะเป็นเรื่องปรกติที่นิยายจะเอาชีวิตจริงมาเขียน
และนิยายก็มีการต่อเติมเสริมแต่งจากเรื่องราวในชีวิตจริง
และอีกเหตุผลหนึ่งคือ
คำตอบที่ผมคิดอยู่ในใจนั้นผมคิดว่า
"มันไม่เหมาะที่จะพูดต่อหน้าเขา"
เพราะคำตอบนั้นไม่ว่าจะถูกหรือผิด
มันไม่เกิดผลดีทั้งนั้น
แต่จะว่าไปแล้วที่ผมคิดอยู่ในใจนั้นมันก็ไม่ใช่
"คำตอบ"
แต่มันเป็น
"คำถาม"
ที่เขาควรต้องตอบ
และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าผมตั้งคำถามได้ถูกหรือเปล่า
แม้ว่าจะเคยผ่านเรื่องราวคล้ายกันมาบ้างกับคนรอบข้าง
แต่ก็ยังเกรงว่าจะตั้งคำถามผิด
คำถามนั้นก็คือ
"คุณจะทำอย่างไรต่อคนที่คุณรัก
ถ้าคุณรู้ว่า (หรือคิดว่า)
คุณจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน"
ปรกติก็ไม่ค่อยชอบอ่านเรื่องทำนองนี้อยู่แล้ว
แต่ระหว่างที่ขับรถกลับบ้านผมก็ระลึกได้ว่าเคยอ่านทั้งการ์ตูนและนิยายที่มีเนื้อหาทำนองนี้หลายเรื่องอยู่เหมือนกัน
ก็ไม่รู้ว่าพวกคุณจะรู้จักกันบ้างหรือเปล่า
"คงไม่อยากให้คุณคาโอริฆ่าคนสินะ"
มิกิถามเรียว
"คุณอยากให้มือของคุณคาโอริสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากคาวเลือดใช่ไหม.."
"City
Hunter" เป็นการ์ตูนที่อ่านมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
การ์ตูนเรื่องนี้เป็นเรื่องของ
"ซาเอบะ
เรียว"
มือปืนรับจ้างแห่งย่านชินจูกุที่ต้องรับภาระดูแล
"มากิมูระ
คาโอริ"
น้องสาวคนละพ่อต่างแม่ของเพื่อนตำรวจที่เสียชีวิตไปที่ได้รับปากไว้
อาวุธชนิดเดียวที่เรียวมอบให้คาโอริคือปืนพกของเพื่อนคู่หูที่เสียชีวิต
ความสามารถของคาโอริในการใช้ปืนกระบอกนี้จัดว่าแย่มากเพราะไม่สามารถยิงโดนเป้าใด
ๆ ที่ต้องการ
แต่ผู้เขียนเรื่องก็มาเฉลยในตอนท้าย
ๆ ถึงสาเหตุก็คือปืนกระบอกดังกล่าวถูกนำไปดัดแปลงให้ยิงได้ไม่แม่นยำ
ทั้งนี้เพราะซาเอบะ
เรียวไม่ต้องการให้คาโอริมือเปื้อนเลือดจากการฆ่าคน
และต้องการให้กลับไปใช้ชีวิตอย่างคนปรกติธรรมดา
เพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องตายเมื่อใด
(อยู่ในตอนที่พ่อของเรียวจ้าง
มิค แองเจิล
มือปืนรับจ้างจากอเมริกาเพื่อเก่าของเรียวให้มากำจัดเรียว)
ถ้า
"City
Hunter" ซึ่งจบได้
(แบบที่ผมคิดว่า)
สวยไปเมื่อกว่ายี่สิบปีที่แล้ว
ตอนต่อในชื่อเรื่อง "Angle
Heart" ก็เริ่มได้เศร้า
----------*****----------
"ถ้าผมจะรักใครสักคน
ทำไมคนอื่นต้องคิดว่าผมจะต้องมีเหตุผลนอกเหนือไปกว่านี้เสมอไป
ชั่วชีวิตผมที่ผ่านมา...ไม่ว่าใครก็คงรู้ว่าผมไม่ใช่คนดี
แต่ก็ทำไมผมจะต้องเลวตลอดไป
จะมีอยู่สักครั้งไม่ได้หรือที่ผมอาจจะเป็นคนดีขึ้นมาบ้าง...ผมรักผู้หญิงคนนั้น
รักจริง
ๆ...รักเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่มึความหมายของคำว่า
"ผู้หญิง"
อย่างเพียบพร้อม
อายุผมมากแล้ว
มากพอที่จะคิดตั้งหลักแหล่งของชีวิตเสียที
หลักจากที่เหน็ดเหนื่อยดิ้นรนตลอดมา
เมื่อแรกที่ผมคิดจะรักเจริญขวัญ
ผมยอมรับว่าเพราะผมหวังเพียงแต่ส่วนแบ่งของมรดกคุณย่าที่เธอได้ไป
แต่ยิ่งนานวันเข้า
ผมก็รู้ว่าในความรัก...อย่างอื่นไม่สำคัญสักนิดเดียว"
ปลายนิ้วที่คีบบุหรี่อยู่สั่นน้อย
ๆ อย่างเห็นได้ชัด
"ความสำคัญมีอยู่เพียงว่า
ผมรักเธอและเธอก็รักผม...ทั้ง
ๆ ที่ผมรู้ดีว่า
เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันไม่นานนัก
!"
ย่อหน้าข้างบนผมนำมาจากนิยายเรื่อง
"เงา"
เขียนโดย
"โรสลาเรน"
ซึ่งเป็นอีกนามปากกาหนึ่งของนักเขียนที่ใช้นามปากกาว่า
"ทมยันตี"
บทสนทนานี้เป็นตอนใกล้จบของเรื่องเป็น
ในฉากที่ "อิศรา"
บุกไปหา
"ชาลินี"
ถึงบ้าน
ว่าทำไมถึงไปกล่าวกระทบเทียบตัวเขาให้
"เจริญขวัญ"
หญิงที่อิศราหลงรักแต่ป่วยเป็นโรคหัวใจให้ได้ยิน
ทำให้อาการของเจริญขวัญทรุดหนัก
และกำลังจะเสียชีวิต
เรื่องนี้อาจเป็นคำถามที่ตรงข้ามกับที่ผมกล่าวไว้ตอนแรกคือ
"คุณจะทำอย่างไร
ถ้ารู้ว่าคนที่คุณรักนั้นอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน"
----------*****----------
"จะเรียกเขายังไงก็ช่าง
แต่ฉันก็รักเขา
คุณเคยไหมที่จะต้องวิ่งหัวซุกหัวซนหนึจรวดที่มันตกลงมาใส่หัวคุณพร้อมกับเขา
คุณเคยไหมที่ต้องหลงป่า
ไม่มีอะไรจะกินพร้อมกับเขา..."
"โฮ้ย
!
ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าผมรักกับไอ้ภูริต
เจ้าสิงห์
เพราะผมกับทหารทั้งกองร้อยเคยทำอย่างนั้นเสมอแหละ
โธ่เอ๊ย !"
อีกฝ่ายตะเบ็งแข่งกับเธอ
เพราะไม่ต้องกลัวแล้วว่าใครจะได้ยิน
ไม่ต้องระวังอิสริยยศแห่งเจ้าหลวง
แถมยังหมิ่นประมาทซ้ำ
"แต่คำว่ารักยังแปลไม่ถูก
!"
"ถูกซิถูก
ฉันไม่ใช่คนโง่ คนงี่เง่า
คน..."
มิราลิ้นแข็ง
ตัวแข็งในบัดดล เธอ "รู้"
เธอตกหลุมคนยืนอยู่ตรงหน้าท่วงท่าสบายอารมณ์ยิ่งเสียแล้ว
"นั่นแหละ..."
กระแสรับสั่งนุ่มนวล
อ่อนหวานเสียยิ่งนัก
"ผมรักคุณอย่างนั้น
!"
ไม่มีคำตอบจากหญิงสาว
น่าแปลก...คนพูดก็ดูจะไม่ปราถนาคำตอบ
แค่ "บอก"
กลับกลายเป็นสิ่งเพียงพอ
ถ้าความรักระหว่างภูริตกับเจ้านางรอยคำหรือเจ้าจ้อยแห่งเวียงสรองใน
"โสมส่องแสง"
จบลงได้สวย
รักระหว่างมิรากับเจ้าหลวงรอยอินทร์ใน
"รอยอินทร์"
ที่เป็นภาคต่อก็จบลงได้เศร้า
นิยายเรื่องนี้นำสร้างเป็นละครเมื่อยี่สิบปีที่แล้วโดยใช้ชื่อ
"โสมส่องแสง"
(แต่หนังสือแยกเป็น
"โสมส่องแสง"
กับ
"รอยอินทร์")
เขียนโดยโรสลาเรนเช่นเดียวกัน
เป็นละครโทรทัศน์เรื่องสุดท้ายที่ผมติดตามชม
เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ได้เน้นฉากผู้หญิงตัวร้ายด่ากันไฟแลป
แต่ตัวโป๊ ๆ หรือแย่งผู้ชายกันออกนอกหน้า
ไม่ใช่เรื่องของนางเอกที่ไร้เดียงสาทำอะไรไม่เป็น
จำได้ว่าตอนนั้นผู้ชมเรียกร้องให้ผู้สร้างละครเปลี่ยนแปลงตอนจบ
แต่ผู้สร้างก็ยืนยันว่าจะยืนตามเรื่องที่เขียนไว้ในหนังสือ
ดาราที่เล่นตอนนั้นก็มี
พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
รับบทเป็นผู้พันภูริต
ศิริลักษณ์ ผ่องโชค
(ยังเป็นนักเรียนม.ปลายผมยาวถึงเอวอยู่)
รับบทเป็นเจ้าจ้อย
ฉัตรชัย เปล่าพานิช
รับบทเป็นเจ้าหลวงรอยอินทร์
และมาช่า วัฒนาพานิช
รับบทเป็นมิรา
อีกตอนหนึ่งที่ผมชอบในเรื่องนี้คือตอนที่คณะเจ้ารอยอินทร์เดินทางกลับด้วยเครื่องบินทหาร
เจ้ารอยอินทร์
หันพระพักตร์มาพอดี
มิรา
ซื่อตรงต่อตนเอง จึงมิได้แปรสายตา
แม้แต่กระแสอ่อนโยนก็มิจาง
ด้วยเหตุนี้หลังจากนั้นแค่อึดใจ
วรองค์โปร่ง ๆ จึงเคลื่อนมาประทับใกล้โดยเงียบ
ๆ เช่นกัน หัตถ์นวลแบออก
มิรามอง...นิ่งนิดเดียว...วางมือลง
!
มือทั้งสองเกาะกุมกันเงียบ
ๆ
เจ้านางน้อยน้ำพระเนตรคลอ
สีพระพักตร์เจ้ารอยอินทร์
สงบสุข มิได้ตื่นเต้น ลิงโลด
"คุณแน่ใจได้..."
ความดังของเครื่องยนต์ทำให้พอได้ยินกันเฉพาะสองคน
"สิ่งใดที่ผมกำไว้ในมือ
ไม่เคยยอมปล่อย"
"และสิ่งใดที่ฉันไว้วางใจ
ก็จะให้ความไว้วางใจไว้ตลอดไป"
----------*****----------
ขอปิดท้ายด้วยข้อความในจดหมายลาที่รพินทร์
ไพรวัลย์ เขียนถึงม.ร.ว.ดาริน
วราฤทธิ์ ในเพชรพระอุมาภาคสอง
เมื่อรพินทร์ผู้เป็นตัวเอกของเรื่องต้องรับภาระในการเดินทางที่ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาอีกหรือไม่
"สิ่งที่ผมจะขอร้องเฉพาะคุณหญิง
ก็มีอยู่เพียง 4
ประการเท่านั้น
1)
ทำใจทำกายให้เป็นสุข
และปลงเสียเถิด
มนุษย์ทุกรูปทุกนามฝากชีวิตไว้กับดวงชะตา
ไม่มีใครจะสามารถลิขิตชีวิตของตนเองได้
อะไรมันจะเป็นไป มันก็ต้องเป็นไป
2)
คุณแม่ผมชรามากแล้ว
และท่านไม่มีใครอื่นอีก
นอกจากผม ผู้ซึ่งไม่มีโอกาสกลับไปสนองพระคุณท่านได้อีก
ขอฝากคุณแม่ไว้ในความเมตตาของคุณหญิงด้วย
อย่าได้แพร่งพรายให้ท่านรู้เป็นอันขาดว่าผมจำเป็นต้องเดินทางอย่างไม่รู้อนาคต
.....
....
สำหรับคุณหญิง...ลาก่อนครับ!
ผมจะกลับมาถ้ายังไม่ตาย..."
----------*****----------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น