สำหรับผู้ที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ตำแหน่งทางวิชาการยังไม่ขึ้นไปจนถึงตำแหน่งสูงสุดนั้น
ความก้าวหน้าในการเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญดังนี้คือ
(ก)
การมีผลงานทางวิชาการเผยแพร่
และ
(ข)
สัดส่วนงานของตัวเองในผลงานที่มีการเผยแพร่ไปนั้น
ปี
พ.ศ.
๒๕๔๖
มีหนังสือตอบกลับจากสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา
(หน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการทำงานของสถาบันการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย
ที่เกิดจากการยุบรวมทบวงมหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยของกระทรวงศึกษาธิการเข้าด้วยกัน)
โดยอ้างไปถึงหนังสือหนังสือทบวงมหาวิทยาลัยในปีพ.ศ.
๒๕๔๓
(เรียกว่าถามไป
๓ ปีกว่าถึงได้คำตอบ)
เรื่องการแบ่งสัดส่วนผลงานทางวิชาการระหว่างอาจารย์และนิสิตผู้มีชื่อปรากฏในผลงานนั้น
รายละเอียดของเรื่องราวเป็นอย่างไรก็ลองอ่านเองในรูปที่แนบมาให้ดูก็แล้วกัน
ซึ่งเป็นตัวอย่างกรณีของ
"ชื่อหาย"
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี
เคยมีนักวิจัยอาวุโสท่านหนึ่งกระซิบถามผมถึงเรื่องการทำงานของนักวิจัยอาวุโสอีกท่านหนึ่ง
ว่าทำงานเองหรือเปล่า
หรือจ้างให้คนอื่นทำให้
เพราะเวลาให้นำเสนอผลงานวิจัยที่รับทุนไป
ถามอะไรก็ตอบไม่ได้
หรือให้บรรยายเรื่องหนึ่งก็ไปบรรยายในอีกหัวข้อหนึ่งแทน
ผมก็ตอบกลับไปตามที่ผมทราบมาก็คือ
"เป็นอย่างที่อาจารย์คิดนั่นแหละครับ"
เมื่อกลางปีที่แล้วผมมีโอกาสได้อ่านวิทยานิพนธ์ของนิสิตปริญญาเอกรายหนึ่งก่อนเขาสอบ
ซึ่งตามเกณฑ์การสำเร็จการศึกษาแล้วเขาต้องมีผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติอย่างน้อย
๑ เรื่อง ซึ่งนิสิตคนนี้ก็ผ่านตามเกณฑ์ดังกล่าว
และยังมีผลงานที่นำไปนำเสนอในที่ประชุมวิขาการตามที่ต่าง
ๆ (ทั้งในและต่างประเทศ)
อีก
๕-๖
แห่ง
แต่ที่สะดุดตาผมมากก็คือ
"ชื่อ"
ชื่อหนึ่งของผู้ที่มีส่วนร่วมในผลงานวิชาการที่เป็นผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ
เพราะเมื่อเทียบชื่อบทความที่เอาไปนำเสนอและตีพิมพ์
และชื่อผู้มีส่วนร่วมที่ปรากฏในบทความที่เอาไปนำเสนอและตีพิมพ์นั้น
ต่างสอดคล้องกันเป็นอย่างดี
แสดงให้เห็นการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
เว้นแต่บทความตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาตินั้นมีรายชื่อหนึ่งปรากฏโผล่ขึ้นมา
โดยเท่าที่ผมทราบก็คือบุคคลในรายชื่อนั้นไม่ได้ทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องใด
ๆ กับบทความนั้น
ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเป็นที่ปรึกษาร่วมในงานวิจัยของนิสิต
และชื่อบุคคลดังกล่าวก็ยังไม่มีปรากฏในกิตติกรรมประกาศของวิทยานิพนธ์ของเขาด้วย
ก่อนสอบวันหนึ่งผมมีโอกาสได้พบกับนิสิตรายนั้น
ผมก็เลยมีโอกาสได้ถามเขาเรื่องนี้
คำตอบที่เขาให้มาก็คือ
"อาจารย์ที่ปรึกษาบอกให้ใส่เข้าไป"
"ในฐานะอะไรเหรอ"
ผมถามต่อ
"อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่าในฐานะผู้ให้ทุน"
ทันทีที่ผมถาม
นิสิตก็ตอบกลับได้ทันที
แสดงว่าเขาก็ตั้งข้อสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
และได้มีการซักถามตัวอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำไมต้องใส่ชื่อบุคคลดังกล่าว
และใส่ในฐานะอะไร
แต่เมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาบอกให้ใส่เข้าไป
นิสิตก็เลยจำเป็นต้องใส่
(กลัวว่าจะไม่จบ)
นิสิตผู้นั้นได้รับทุนวิจัยจากแหล่งอื่น
และระหว่างการทำวิจัยก็ไม่ได้มีการติดต่ออะไรกับอาจารย์ผู้นั้นเลย
และจะว่าไปแล้วถ้าอยู่ในฐานะ
"ผู้ให้ทุน"
(ซึ่งนิสิตก็ไม่รู้ว่าทุนนั้นไปที่ไหน
แต่ไม่ได้มาที่เขาแน่)
มันก็ควรไปปรากฏอยู่ในส่วนของ
"กิตติกรรมประกาศ"
ไม่ใช่ในส่วนผู้เขียนบทความ
หรือแม้แต่ผู้ที่ให้คำปรึกษาแนะนำ
ข้อคิดเห็นต่าง ๆ ในการทำวิจัย
โดยบุคคลผู้นั้นไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในงานวิจัยดังกล่าวโดยตรง
ก็มักจะไปมีชื่อปรากฏแค่ส่วนของ
"กิตติกรรมประกาศ"
แค่นั้นเช่นกัน
ไม่ใช่มาปรากฏเป็นชื่อเข้าของบทความ
สาเหตุนั้นเกิดจากผู้ที่มีชื่อปรากฏ
"เกิน"
มานั้นไปขอรับทุนวิจัย
โดยทุนดังกล่าวมีเงื่อนไขว่าต้องมีการพัฒนานักวิจัยรุ่นใหม่ขึ้นมา
และต้องมีบทความวิชาการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ
และเพื่อจะให้ผู้ให้ทุนพิจารณา
ก็เลยมีการสัญญาจำนวนบทความวิจัยที่จะทำ
(ซึ่งแน่นอนว่าจะใส่ตัวเลขเยอะ
ๆ เอาไว้ก่อน)
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือไม่สามารถหาผู้ที่ทำวิจัยในสาขาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาร่วมในคณะนักวิจัยได้
ก็เลยใช้วิธีการทำนองว่าไปดึงใครต่อใครให้เข้ามาร่วม
(โดยไม่สนว่าจะทำงานในสาขาที่แตกต่างกันมากแค่ไหน)
โดยมีข้อแม้ว่าถ้าหากอาจารย์ผู้มาร่วมงานนั้นมีการตีพิมพ์ผลงานในรูปแบบวารสารวิชาการระดับนานาชาติที่มีชื่อของเขาปรากฏด้วยเมื่อใด
ก็มารับเงิน (ที่ตั้งอยู่ในงบประมาณทุนที่ขอ)
ไปจากเขา
ส่วนระหว่างนั้นอาจารย์คนดังกล่าวจะไปทำอะไรเรื่องอะไรเขาไม่สน
และนั่นก็เป็นที่มาตรงที่ว่าทำไปชื่อบุคคลที่
"เกิน"
มานั้นไม่มีปรากฏในผลงานที่เอาไปนำเสนอในที่ประชุมวิชาการ
หรือถูกกล่าวถึงในวิทยานิพนธ์ของนิสิตผู้ทำงานวิจัยดังกล่าวเลย
งานนี้ก็คงได้แต่รอดูว่า
ถ้าอาจารย์ที่ปรึกษาของเขานำเอาผลงานฉบับดังกล่าวไปยื่นขอเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ
นิสิตคนดังกล่าว
(ซึ่งสำเร็จการศึกษาไปแล้ว)
จะทำอย่างไร
อาจจะมีกรณีแปลก ๆ
เกิดขึ้นใหม่อีกก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น