วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ใช่ว่าชีวิตมหาวิทยาลัยจะไม่มีเรื่องร้าย MO Memoir : Saturday 2 May 2558

เมื่อวานก็ถือว่าเป็นวันสุดท้ายของการเรียนการสอนของปีการศึกษา ๒๕๕๗ ที่ได้มีการเปลี่ยนเวลาเริ่มต้นการศึกษาเป็นปีแรก คือย้ายจากเดือนมิถุนายนมาเป็นเดือนสิงหาคม ด้วยเหตุผลที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังในขณะที่เดินทางไปรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า "มองแต่จะให้นักเรียนแลกเปลี่ยน (จากต่างประเทศ) มาเรียนได้สะดวก" ปัญหาที่ตามมาก็คือความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนไทยเอง ไม่ว่าจะเป็นการสมัครงาน การเข้าเป็นนักศึกษาวิชาทหาร (ที่เรียกว่าเรียน รด. ซึ่งพวกที่สอบเทียบขึ้นมาต้องมาเรียนต่อตอนเรียนปี ๑ ในมหาวิทยาลัย) การเกณฑ์ทหาร การออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ฯลฯ)
 
และสำหรับนิสิตปริญญาตรีผู้ที่เรียนอยู่ในปีสุดท้ายของหลักสูตร ก็ถือได้ว่าเป็นวันสุดท้ายของชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่เชื่อว่าแต่ละคนจะมีเรื่องราวต่าง ๆ ให้จดจำตลอดไป แม้ว่าจะมีหลายรายกลับเข้ามาเรียนใหม่ในระดับปริญญาที่สูงขึ้นไปอีก แต่สภาพการเรียนนั้นจะแตกต่างไปจากการเรียนในระดับปริญญาตรีมาก

แต่ว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยนั้นใช่ว่าจะมีแต่เรื่องที่ดีเสมอไป บางจังหวะของช่วงเวลา บางจังหวะของสภาพสังคม ก็ผลักดันให้เกิดเรื่องร้าย ๆ ขึ้นในมหาวิทยาลัยได้ อย่างเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วที่เกิดต่อเนื่องติดต่อกัน จนหนังสือพิมพ์เขาไปเขียนเป็นคอลัมน์ว่า ๔ ปี ๔ ศพ ซึ่งเป็นเรื่องของนิสิตของมหาวิทยาลัยของเราเองที่กำลังศึกษาอยู่นั้นเลือกที่จะจบชีวิตด้วยการทำอัตวินิบาตกรรมด้วยวิธีการเดียวกัน โดย ๓ รายเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย และอีก ๑ รายเกิดขึ้นภายนอกมหาวิทยาลัย
  
รายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นก็ขอให้ลองอ่านเอาเองจากภาพข่าวที่แนบมา ส่วนที่ว่าทำไปจึงนำเอาเรื่องนี้มาลง ก็เพราะเห็นว่ามันเป็นประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัย ที่ทางมหาวิทยาลัยคงจะไม่บันทึกลงในประวัติที่เป็นทางการ แต่ยังคงอยู่ในความทรงจำสำหรับผู้ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น

แม้ว่าหลังจากช่วงเวลาดังกล่าวจะมีผู้ที่เพิ่งจะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยไปไม่นานจะทำการอัตวินิบาตกรรมด้วยเหตุผลที่คนภายนอกมหาวิทยาลัยจะเห็นเป็นเรื่องตลกหรือดูไร้สาระ แต่สำหรับผู้ที่เคยได้มีโอกาสสัมผัสกับผู้ที่มีปัญหาดังกล่าวแล้วจะทราบดีว่าการตัดสินใจที่ใครต่อใครเห็นว่าเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบนั้น เป็นปัญหาที่สะสมมาเป็นเวลานานที่อาจมีการแสดงหรือไม่แสดงออกมา เพียงแต่คนรอบข้างจะรู้สึกหรือไม่ 
   
เคยมีอาจารย์วิศวผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเปรียบเปรยชีวิตคนให้ผมฟังว่า "การใช้ชีวิตก็เหมือนกับการตีเหล็ก เหล็กยิ่งโดนทุบก็ยิ่งแข็งแกร่ง" คำกล่าวนี้คงไม่ต่างไปจากที่มีคนกล่าวว่า "ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยาชูกำลัง"

Memoir ฉบับนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่เอาไฟล์ข้อมูลที่บันทึกเอาไว้เมื่อกว่า ๔ ปีที่แล้วมาเขียนเป็นบันทึกให้เป็นเรื่องเป็นราว เพราะมันก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผมทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัย เวลาจะเอาไปเล่าต่อให้คนรุ่นหลังฟังจะได้มีหลักฐานเป็นเรื่องเป็นราวแค่นั้นเอง การศึกษาความผิดพลาดของเหตุการณ์ในอดีตนั้นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อที่จะได้ไม่ทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีกในอนาคต คนที่ไม่เรียนรู้อดีตก็ย่อมมีสิทธิที่จะทำผิดซ้ำเดิมกับในอดีตได้อีก

ข่าวจาก www.manager.co.th  
  
 
ภาพข่าวหลังนี้ไม่สามารถหาลิงค์กลับไปยังต้นตอได้ ในบทความดังกล่าวมีตอนท้ายที่บอกว่าเว็บดังกล่าวนำข่าวนี้มาจากหนังสือพิมพ์ข่าวสดอีกที

ไม่มีความคิดเห็น: