มันเป็นของเล่นที่แต่ก่อนจะเห็นกันทั่วไปตามบ้านเรือนต่าง
ๆ ในยุคสมัยที่ย้งสร้างบ้านกันด้วยไม้
ในยุคสมัยที่การสร้างบ้านนั้นจะมีที่เหลือให้ปลูกไม้ใหญ่
แต่ในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะในตัวเมืองดูเหมือนจะไม่ค่อยจะมีเหลือให้กันตามบ้านแล้ว
อาจเป็นเพราะรูปแบบการก่อสร้างที่เปลี่ยนไป
ที่เปลี่ยนจากการใช้ไม้มาเป็นคอนกรีต
จากหลังคาโปร่ง ๆ มาเป็นตีฝ้าให้เรียบ
และการพยายามปลูกบ้านให้เต็มพื้นที่ที่ดินให้มากที่สุด
สิ่งนั้นก็คือ
"ชิงช้า"
ที่แต่ก่อนมักจะทำขึ้นกันเอง
เอาไว้ให้คนในบ้านนั่งเล่นกัน
ชิงช้ากับเด็ก
ๆ ดูเหมือนจะเป็นของคู่กัน
และดูเหมือนจะเป็นของเล่นในสนามเด็กเล่นที่ผู้ใหญ่เองก็ชอบเข้าไปแย่งเด็กเล่น
ชิงช้าแกว่งไกวอันแรกนั้นทำขึ้นมาเมื่อราว
ๆ ๑๕ ปีที่แล้ว (ตัวบน)
ตอนที่ลูกคนโตเพิ่งจะหัดเดิน
เก็บเอาเศษไม้มาทำเป็นที่นั่ง
เศษสายไฟเส้นใหญ่มามัดเป็นราวล้อมด้านข้างและด้านหลัง
และมีไม้ไผ่เป็นราวให้จับทางด้านหน้า
สิ่งที่ซื้อมามีเพียงเชือกไนลอนเส้นยาว
ชิงช้านี้พาดไว้กับคานของโรงจอดรถ
(ที่ตอนกลางวันไม่มีรถจอด)
เอายางปูพื้นรถเก่ามารองไว้ระหว่างเชือกกับคานเพื่อไม่ให้ไม้สึก
อาจเป็นเพราะมันอยู่ในร่มและมีเชือกรับน้ำหนักหลายเส้น
ก็เลยยังคงสภาพดีอยู่
พอเขาโตขึ้นมาหน่อยก็ทำตัวที่สองให้
(รูปล่าง)
ตัวนี้อยู่ที่สนามหน้าบ้าน
ก็ไม่มีอะไรมาก มีเพียงแค่เชือกไนลอนยาว
๑๐ เมตรพาดไว้กับกิ่งต้นมะม่วง
ส่วนที่นั่งก็ใช้เศษไม้ฉำฉาที่เก็บมาจากลังส่งของ
กิ่งมะม่วงนี้สูงจากพื้นประมาณ
๕ เมตร พอเอาเชือกพาดกิ่งและผูกไม้เรียบร้อย
ก็จะได้ชิงช้าที่มีเชือกยาวประมาณ
๔ เมตรให้แกว่งไกว
มันเป็นของเล่นที่ดูธรรมดาก็จริง
แต่ถ้าใครได้ลองเล่นก็จะรู้ว่ามันสามารถให้ความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาที่แตกต่างไปจากชิงช้าสำเร็จรูปที่ขายกันทั่วไป
ตัวที่สองนั้นมันอยู่กลางแจ้ง
ก็เลยเจอทั้งแดดและฝน
แถมมีเชือกเพียงแค่สองเส้นรับน้ำหนัก
มันก็เลยหมดสภาพเร็วหน่อย
ลูกคนเล็กขอให้ซ่อมให้ตั้งนานแล้ว
เชือกที่จะเปลี่ยนให้ก็ซื้อมาตั้งนานแล้ว
แต่ไม่ได้ลงมือซ่อมให้สักที
เพิ่งจะมีโอกาสตอนเช้าเมื่อวาน
ทดลองดึงเชือกเส้นเก่าดูก่อนด้วยน้ำหนักของตัวเอง
(เกือบ
๗๐ กิโล)
ก็ปรากฏว่ามันขาดให้เห็น
ส่วนท่อนไม้ก็ทดลองเอาปลายทั้งสองข้างวางพาดกับขอบปูน
และลองโดดกระทืบดู
ปรากฏว่ามันทนได้ไม่เป็นอะไร
สรุปว่าเปลี่ยนเพียงแค่เชือกเส้นเดียว
ผ่านไปหลายปี
จากสนามหญ้าโล่ง ๆ
เป็นมีแปลงผักและนั่นร้างของผักสวนครัวขึ้นอยู่ข้าง
ๆ ก็เลยต้องมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งแขวนเชือกสักหน่อย
เพื่อไม่ให้แกว่งไปโดดนั่งร้านสำหรับให้ผักสวนครัวเลื้อยขึ้นไป
เริ่มด้วยการนำเอาบันไดไม้ไผ่มาพาดกับกิ่งมะม่วงก่อน
(ตอนที่หนักก็คือตอนที่รื้อบันไดออกมาจากที่เก็บ
และยกขึ้นพาดกิ่ง)
จากนั้นก็ปีนขึ้นเอาเชือกพาด
ปรับระยะให้ปลายที่ห้อยลงมาสองข้างนั้นเท่ากัน
จากนั้นก็ผูกท่อนไม้เข้ากับปลายเชือกด้านล่าง
แล้วปีนขึ้นไปปรับเชือกส่วนที่พาดอยู่บนกิ่งมะม่วงอีกที
เพื่อให้เชือกทั้งสองเส้นนั้นตึงพอ
ๆ กัน เท่านั้นก็เป็นการเสร็จการซ่อมแซม
มะม่วงต้นนี้ก่อนจะปีนขึ้นไปก็ต้องเล็งแล้วเล็งอีกว่าไม่มีตัวอะไรอยู่ข้างบน
เพราะเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งจะมีงูเหลือมมาเลื้อยเล่นอยู่บนต้น
ขั้นตอนถัดไปก็เป็นการทดสอบความแข็งแรง
โดยทดลองนั่งเองดูก่อน
ที่เป็นห่วงนั้นไม่ใช่เรื่องความสามารถในการรับน้ำหนักของเชือก
แต่เป็นความสามารถในการรับน้ำหนักของกิ่งมะม่วงต่างหาก
จากนั้นก็ลองห้อยโหนไปมา
พอเห็นว่ากิ่งมะม่วงไม่สะเทือนก็ไปบอกลูกว่าซ่อมให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
เรียกว่าผ่านการทดสอบความแข็งแรงด้วย
safety
factor มากกว่า
๓ เท่า (เพราะพ่อหนักกว่าลูกกว่า
๓ เท่า)
ตอนที่จัดระยะเชือกนั้นก็กะว่าท่อนไม้ลอยสูงจากพื้นสูงกว่าหัวเข่า
แต่พอนั่งลงไปแล้วปรากฏว่าเชือกมันยืดตัวจนรู้สึกว่าชิงช้ามันเตี้ยเกินไป
แต่ตอนที่ลูกขึ้นไปเล่นนั้นกลับบอกว่าชิงช้ามันสูงไปหน่อย
อันที่จริงชิงช้าแบบนี้จะใช้ยางรถยนต์ก็ได้
แต่ยางรถยนต์มันหนักหน่อย
และต้องเจาะรูยางด้วยเพื่อไม่ให้น้ำขัง
ไม่เช่นนั้นมีหวังเป็นที่เพาะยุงและอาจมีตัวอะไรต่อมิอะไรมาอาศัยอยู่
สำหรับคนที่อยู่ในเมืองแล้ว
ชิงช้าแบบนี้คงจะหาเล่นได้ยากขึ้นทุกที
เพราะแต่ละบ้านนั้นไม่ค่อยจะมีไม้ใหญ่ให้เห็นแล้ว
หวังว่าทุกคนยังจำความสุขตอนเด็ก
ๆ ที่ได้นั่งเล่นชิงช้าแกว่งไกวได้อยู่นะครับ
:)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น