ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมามีคนถามถึง
Supported
metal catalyst (ตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะบนตัวรองรับ)
ว่าคืออะไร
ก็เลยขอแถมเรื่องเกี่ยวกับ
Supported
metal oxide catalyst (ตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์บนตัวรองรับ)
เข้ามาด้วยเลย
เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน
โดยจะพยายามใช้คำง่าย ๆ
เพื่อให้คนไม่ค่อยมีพื้นฐานด้านนี้พออ่านรู้เรื่องได้
คำว่า
"Support"
ในทางตัวเร่งปฏิกิริยานั้นมีผู้แปลเป็นไทยเอาไว้ว่าคือ
"ตัวรองรับ"
หรือ
"ตัวพยุง"
ในวงการจะใช้คำไหนก็ได้เพราะมันหมายถึงสิ่งเดียวกัน
เพียงแต่บอกให้ทราบว่าคนนั้นเรียนมาจากค่ายไหน
(ทางค่ายภาควิชาของเราจะใช้คำว่า
"ตัวรองรับ")
ทำนองเดียวกันกับคำว่า
"Transport
phenomena" ที่มีผู้แปลเป็นไปไทยเอาไว้ว่า
"ปรากฏการณ์ถ่ายเท"
กับ
"ปรากฏการณ์ถ่ายโอน"
ซึ่งการเลือกใช้คำไหนก็เป็นการบ่งบอกให้ทราบว่าเรียนมาจากค่ายไหนเช่นเดียวเดียวกัน
(ค่าย
"ตัวรองรับ"
จะใช้คำ
"ปรากฏการณ์ถ่ายเท"
ส่วนค่าย
"ตัวพยุง"
จะใช้คำ
"ปรากฏการณ์ถ่ายโอน")
ในการเกิดปฏิกิริยานั้น
สารตั้งต้นอย่างน้อย 1
ชนิดจะเกิดการดูดซับบนพื้นผิวของตัวเร่งปฏิกิริยา
ซึ่งตัวเร่งปฏิกิริยาอาจเป็นโลหะหรือสารประกอบโลหะออกไซด์ก็ได้
(โลหะในที่นี้หมายถึงธาตุโลหะที่มีเลขออกซิเดชันเป็น
0)
การดูดซับนี้จะเกิดที่ตำแหน่งที่เป็นอะตอมโลหะ
(ในกรณีของตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะ)
หรือไอออน
(ในกรณีของตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์)
ที่อยู่บนพื้นผิว
กลายเป็นสารมัธยันต์
ก่อนที่จะเกิดปฏิกิริยาต่อไปเป็นผลิตภัณฑ์
ในที่นี้ขอยกตัวอย่างกรณีของตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นโลหะก่อน
สมมุติว่าเรามีก้อนโลหะอยู่ก้อนหนึ่ง
(ก้อนสีเหลืองในรูปที่
๑)
เฉพาะอะตอมโลหะที่อยู่บนพื้นผิวบนสุด
(ชั้นนอกสุด)
ของผลึกโลหะดังกล่าวที่สามารถทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยา
(เพราะสารตั้งต้นสามารถเข้าถึงได้)
อะตอมโลหะที่อยู่ชั้นล่างลงไปนั้นไม่ได้ใช้ประโยชน์ใด
ๆ ในการทำปฏิกิริยา
(เพราะสารตั้งต้นซึมผ่านโลหะไม่ได้)
สำหรับผลึกโลหะใด
ๆ แล้ว
จำนวนอะตอมโลหะที่อยู่บนพื้นผิวบนสุดของก้อนโลหะนั้นจัดว่ามีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนอะตอมโลหะทั้งหมดของก้อนโลหะทั้งก้อน
(หรือมีค่า
"พื้นที่ผิวโลหะต่อหน่วยน้ำหนักโลหะ"
ต่ำมาก)
และถ้าโลหะนั้นเป็นโลหะที่มีราคาแพง
(เช่น
Pt,
Pd, Rh ฯลฯ)
ก็จะเป็นการสิ้นเปลืองมาก
เพราะมีอะตอมโลหะเพียงส่วนน้อยมากเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้
ดังนั้นเพื่อที่จะหาทางใช้อะตอมโลหะให้ได้คุ้มค่ามากที่สุด
จึงต้องหาทางเพิ่ม
"พื้นที่ผิวโลหะต่อหน่วยน้ำหนักโลหะ"
ให้มีค่ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ลองดูรูปที่
๑ ที่แสดงตัวอย่างแนวทางการเพิ่มค่า
"พื้นที่ผิวโลหะต่อหน่วยน้ำหนักโลหะ"
แนวทางที่
1
นั้นอาจทำโดยการใช้วัสดุอื่นที่มีราคาถูกมาเป็นแกนกลาง
และหุ้ม (หรือเคลือบ)
โลหะที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเอาไว้รอบนอก
วิธีการนี้ทำให้ลดปริมาณโลหะที่ใช้ลง
แต่ไม่ได้เพิ่มพื้นที่ผิวสำหรับให้สารตั้งต้นทำปฏิกิริยา
แนวทางที่
2
คือการทำให้ก้อนโลหะจากก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียว
กลายเป็นก้อนโลหะที่มีขนาดเล็กลง
ก้อนโลหะขนาดเล็กจะมีค่าพื้นที่ผิวต่อหน่วยปริมาตรสูงกว่าก้อนโลหะขนาดใหญ่กว่า
ยิ่งทำให้ก้อนโลหะมีขนาดเล็กลงได้มากเท่าใด
ก็จะทำให้ได้ค่าพื้นที่ผิวต่อหน่วยปริมาตรเพิ่มมากขึ้น
วิธีการนี้แม้ว่าจะทำให้สามารถเพิ่มพี้นที่ผิวโลหะได้มากขึ้น
แต่ในการใช้งานนั้น
โดยเฉพาะในกรณีของเบดนิ่งหรือ
Fixed-bed
ยิ่งก้อนโลหะขนาดเล็กก็จะทำให้สารตั้งต้น
(ที่เป็นแก๊สหรือของเหลว)
ไหลผ่านชั้นตัวเร่งปฏิกิริยาได้ยากเพราะมีค่าความดันลด
(pressure
drop) ที่สูง
และถ้าเป็นการทำปฏิกิริยาที่อุณหภูมิสูงด้วยแล้ว
ยิ่งก้อนโลหะมีขนาดเล็กมากเท่าใด
โอกาสที่ก้อนโลหะเหล่านั้น
(ถ้าเล็กมากก็เรียกว่าเป็นผงโลหะ)
จะหลอมรวมกันกลายเป็นก้อนโลหะที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะยิ่งง่ายขึ้นไปอีก
แนวทางที่
3
เป็นแนวทางที่ใช้กันทั่วไปในวงการตัวเร่งปฏิกิริยา
คือการใช้ตัวรองรับ (support)
ที่เป็นวัสดุที่มีรูพรุน
ทำให้มีพื้นที่ผิวต่อหน่วยปริมาตรที่สูง
จากนั้นจึงทำให้เกิดก้อนโลหะขนาดเล็ก
เกาะกระจายตัวอยู่บนพื้นผิวของตัวรองรับนั้น
วิธีการนี้สามารถทำให้เกิดก้อนโลหะขนาดเล็ก
(ที่มีขนาดอนุภาคเล็กมากถึงในระดับนาโนเมตรได้)
กระจายตัว
(คือไม่อยู่ติดกัน)
อยู่บนพื้นผิวของตัวรองรับนั้น
การที่ทำให้ก้อนโลหะมีขนาดเล็กได้มากจึงทำให้ค่า
"พื้นที่ผิวของโลหะต่อหน่วยน้ำหนักโลหะ"
ที่ใช้นั้นมีค่าสูงมาก
และการที่ทำให้ก้อนโลหะที่มีขนาดเล็กนี้ไม่อยู่ติดกัน
จึงเป็นการป้องกัน (หรือลดโอกาส)
ไม่ให้ก้อนโลหะเหล่านี้เกิดการหลอมรวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่ขึ้นที่อุณหภูมิสูงได้
ตอนนี้คำถามที่น่าจะเกิดก็คือ
"แล้วเราเตรียมก้อนโลหะขนาดเล็กบนตัวรองรับได้อย่างไร"
รูปที่
๒ เริ่มจากการเผาเกลือโลหะให้กลายเป็นสารประกอบโลหะออกไซด์ก่อน
จากนั้นจึงทำการรีดิวซ์สารประกอบโลหะออกไซด์ใหกลายเป็นผลึกโลหะ
วิธีการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาบนตัวรองรับนั้นมีหลายวิธี
แต่ในที่นี้จะขออธิบายวิธีที่เรียกว่า
"Impregnation"
หรือ
"การเคลือบฝัง"
ซึ่งมันจะให้ภาพที่ตรงกับรูปที่แสดง
ในวิธีการ impregnation
นี้เราเริ่มจากการทำให้ตัวรองรับดูดซับสารละลายเกลือโลหะที่เราต้องการเอาไว้ก่อน
(ขั้นตอนการเคลือบฝังหรือ
impregnate)
ส่วนจะเลือกใช้เกลืออะไรนั้นมีกติกาอยู่ว่าเกลือดังกล่าวต้องละลายในตัวทำละลายที่เราใช้ได้
และเมื่อนำเกลือดังกล่าวไปเผา
เกลือดังกล่าวควรจะต้องสลายตัวเป็นสารประกอบโลหะออกไซด์ได้
ด้วยเหตุนี้เกลือที่นิยมใช้จึงมักเป็นเกลือไนเทรต
(NO3-)
และเกลือของสารอินทรีย์
ส่วนเกลือพวกคลอไรด์ (Cl-)
ซัลเฟต
(SO42-)
ฯลฯ
จึงไม่นำมาใช้กัน
เพราะมันมีส่วนที่เผาไล่ไม่ได้
หลังจากที่ทำให้ตัวรองรับดูดซับสารละลายเกลือโลหะเอาไว้แล้ว
เราก็จะนำเอาตัวรองรับที่ผ่านการเคลือบฝังแล้วมาทำให้แห้ง
(drying)
เมื่อตัวทำละลายระเหยออกไปก็จะเหลือผลึกเกลือกระจายตัวเกาะอยู่บนผิวตัวรองรับ
(ก้อนสีฟ้าในรูปที่
๒ ซ้าย)
จากนั้นจึงนำตัวรองรับที่ผ่านการเคลือบฝังและอบแห้งแล้วไปทำการเผา
(calcination)
เพื่อเปลี่ยนให้เกลือที่ตกผลึกบนพื้นผิวตัวรองรับนั้นสลายตัวกลายเป็นสารประกอบโลหะออกไซด์
ส่วนการเผาจะกระทำที่อุณหภูมิเท่าใดและในบรรยากาศใดนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของเกลือที่เลือกใช้
ถ้าใช้เกลือสารอินทรีย์ก็ต้องเผาในบรรยากาศที่มีออกซิเจน
เพราะจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนในการสลายส่วนที่เป็นสารอินทรีย์ให้กลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้ำ
แต่ถ้าเป็นเกลือไนเทรตก็ไม่จำเป็นต้องมีออกซิเจน
หลังขั้นตอนการเผานี้
เราจะได้ "ตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์บนตัวรองรับ"
หรือ
"Supported
metal oxide catalyst"
ในขั้นตอนนี้ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ได้มักจะอยู่ในรูปที่เป็นผง
ถ้าเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ
เราก็อาจนำตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์บนตัวรองรับในรูปแบบที่เป็นผงนี้ไปใช้งานได้เลย
แต่ถ้าเป็นเครื่องปฏิกรณ์ในระดับอุตสาหกรรม
ถ้าเป็นชนิด fluidised
bed ก็ใช้ในรูปที่เป็นผงนี้ได้
แต่ถ้าเป็นเครื่องปฏิกรณ์แบบเบดนิ่ง
(fixed-bed)
ก็จะนำไปผ่านการขึ้นรูป
(หรือปั้นเป็นก้อน)
ให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นและรูปร่างที่เหมาะสมก่อน
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ความดันลดในเครื่องปฏิกรณ์สูงเกินไป
ส่วนจะมีรูปร่าง (เช่นปั้นเป็นก้อนกลม
ทรงกระบอกตัน ทรงกระบอกกลวง
ล้อเกวียน วงแหวน ฯลฯ)
และขนาดเท่าใดนั้น
(ไม่กี่มิลลิเมตรจนถึงเซนติเมตร)
ขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้งาน
รูปที่
๓
ตัวอย่างรูปร่างตัวเร่งปฏิกิริยาที่ได้จากการขึ้นรูปก่อนนำไปบรรจุเข้าเครื่องปฏิกรณ์
ถ้าตัวเร่งปฏิกิริยาที่เราต้องการใช้คือตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์บนตัวรองรับ
การเตรียมก็จะสิ้นสุดเพียงแค่นี้
เราสามารถนำเอาตัวเร่งปฏิกิริยานี้ไปบรรจุในเครื่องปฏิกรณ์เคมี
(chemical
reactor) แล้วใช้งานได้เลย
แต่ถ้าตัวเร่งปฏิกิริยาที่ต้องการใช้นั้นเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะบนตัวรองรับ
ทางผู้ผลิตก็มักจะสิ้นสุดการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าวในรูปของตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์บนตัวรองรับก่อน
และหลังจากผู้ใช้ทำการบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์นี้เข้าสู่เครื่องปฏิกรณ์แล้ว
จึงค่อยทำการรีดิวซ์ตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์ดังกล่าวให้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะบนตัวรองรับ
เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะบนตัวรองรับนั้นมีพื้นที่ผิวของโลหะต่อหน่วยน้ำหนักของตัวเร่งปฏิกิริยาสูงมาก
และปฏิกิริยาระหว่างโลหะกับออกซิเจนก็เป็นปฏิกิริยาคายความร้อนสูง
ดังนั้นแม้ว่าตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะบนตัวรองรับจะมีปริมาณโลหะอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับน้ำหนักทั้งหมด
แต่การที่มีพื้นที่ผิวโลหะที่สูงมาก
อัตราการเกิดปฏิกิริยา
(ระหว่างโลหะกับออกซิเจน)
ต่อหน่วยน้ำหนักตัวเร่งปฏิกิริยา
(หรือปริมาตรตัวเร่งปฏิกิริยา)
จึงสูงมากจนทำให้เกิดการลุกไหม้ได้
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องปรกติที่ผู้ผลิตจะจัดส่งตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะบนตัวรองรับในรูปของโลหะออกไซด์
โดยผู้ใช้ต้องทำการรีดิวซ์ให้กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะเองในระบบ
หรืออาจทำการรีดิวซ์ให้ก่อนแล้วจึงทำการออกซิไดซ์กลับบางส่วน
เพื่อให้เฉพาะส่วนพื้นผิวบนของผลึกโลหะนั้นกลายเป็นโลหะออกไซด์
(ข้างใต้ยังเป็นโลหะอยู่)
และเมื่อบรรจุตัวเร่งปฏิกิริยาเสร็จแล้วผู้ใช้จึงค่อยทำการรีดิวซ์กลับให้กลายเป็นโลหะใหม่
ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดเวลาที่ต้องใช้ในการรีดิวซ์ได้
ตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะบนตัวรองรับนี้
เมื่อจะทำการเปลี่ยน
(ซึ่งต้องมีการเปิดเครื่องปฏิกรณ์)
ก็จำเป็นต้องทำการทำลายก่อน
ด้วยการค่อย ๆ ผ่านแก๊สที่มีสารออกซิไดซ์
(เช่นไนโตรเจนผสมอากาศเพื่อไม่ให้ความเข้มข้นออกซิเจนสูงเกินไป)
ให้ไหลผ่านตัวเร่งปฏิกิริยา
ในระหว่างกระบวนการนี้ถ้ายังมีส่วนที่เป็นผลึกโลหะอยู่ก็จะมีความร้อนเกิดขึ้น
และถ้าเห็นอุณหภูมิลดลงก็อาจค่อย
ๆ เพิ่มความเข้มข้นออกซิเจนให้สูงขึ้นก็ได้
และเมื่อพบว่าอุณหภูมิไม่เพิ่มขึ้นแล้ว
(แสดงว่าโลหะถูกออกซิไดซ์กลายเป็นโลหะออกไซด์หมดแล้ว)
ก็จะสามารถเปิดเครื่องปฏิกรณ์เพื่อนำเอาตัวเร่งปฏิกิริยาเก่าออกมาได้
บ่อยครั้งเช่นกันที่หลังจากทำการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์บนตัวรองรับที่เป็นผงได้แล้ว
แทนที่จะนำผงตัวเร่งปฏิกิริยาที่ได้นี้ไปขึ้นรูปให้มีรูปร่างและขนาดดังต้องการ
กลับใช้วิธีการนำผงตัวเร่งปฏิกิริยาที่ได้นี้ไปเคลือบลงบนวัสดุอื่นที่มีรูปร่างและขนาดดังต้องการแทน
เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ก็มีอยู่หลายข้อด้วยกัน
เช่น
-
ไม่สามารถขึ้นรูปผงตัวเร่งปฏิกิริยาให้มีรูปร่างและขนาดดังต้องการได้
-
ตัวเร่งปฏิกิริยาที่ได้จากการขึ้นรูปผงตัวเร่งปฏิกิริยานั้นไม่มีความแข็งแรงเพียงพอ
เช่นในกรณีของเบดนิ่งที่ตัวเร่งปฏิกิริยาที่อยู่ด้านล่างต้องสามารถรับน้ำหนักของตัวเร่งปฏิกิริยาที่ซ้อนทับกันในดิ่งของเบดได้
ไม่เช่นนั้นจะถูกบดอัดแตก
-
วัสดุที่นำมาใช้เป็นแกนนั้นมีค่าการนำความร้อนที่ดีกว่า
ทำให้สามารถช่วยระบายความร้อนออกจากเบดได้เร็วกว่า
หรือใช้ทำหน้าที่เป็นแหล่งรับความร้อนเพื่อไม่ให้ตัวเร่งปฏิกิริยาร้อนจัดเกินไป
-
ฯลฯ
เมื่อวันจันทร์ผมตอบเขากลับไปว่าเอาไว้กลับกรุงเทพก่อนแล้วจะเขียนตอบเพราะเรื่องมันยาว
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเนื้อหาในนี้จะช่วยให้เขาเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น