Malayan
emergency
หรือการรบกับพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาของรัฐบาลอังกฤษในประเทศมาเลเซียปัจจุบัน
สงครามเวียดนาม
หรือการรบของกองทัพสหรัฐกับกองทัพเวียดนามเหนือและเวียดกงในเวียดนามใต้
Seveso
อุบัติเหตุของโรงงานเคมีที่นำมาสู่เหตุการณ์หายยะที่เมือง
Seveso
ประเทศอิตาลี
และถังบรรจุสารเคมี
ที่ขุดพบที่ตำบลบ่อฝ้าย อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ในขณะทำการขยายสนามบิน
ต่างมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน
ปฏิกิริยาการเติมฮาโลเจนหรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า
halogenation
นั้นเป็นปฏิกิริยาที่สำคัญปฏิกิริยาหนึ่งทางเคมีอินทรีย์
โดยเฉพาะเมื่อต้องการเปลี่ยนตำแหน่งที่มีอะตอมไฮโดรเจน
-H
เกาะอยู่นั้นให้กลายเป็นหมู่อื่น
ซึ่งทำได้ด้วยการแทนที่อะตอมไฮโดรเจน
-H
ด้วยฮาโลเจน
-X
(ปรกติ
X
ก็มักเป็น
Cl,
Br หรือ
I)
จากนั้นก็ค่อยแทนที่อะตอม
-X
ที่เติมเข้าไปนั้นให้กลายเป็นหมู่อื่นอีกที
การเติมฮาโลเจนเข้าไปที่พันธะคู่
C=C
ของ
alkene
หรือพันธะสาม
C=C
ของ
alkyne
นั้นทำได้ง่าย
เกิดปฏิกิริยาได้เองที่อุณหภูมิห้อง
การแทนที่อะตอม -H
ของพันธะ
C-H
ที่เป็นหมู่
aliphaticนั้นทำได้ยากกว่า
จำเป็นต้องมีการใช้แสงหรือความร้อนช่วยทำให้ปฏิกิริยาเกิด
และที่ยากที่สุดเห็นจะได้แก่การแทนที่อะตอม
-H
ของพันธะ
C-H
ที่อะตอม
C
เป็นส่วนหนึ่งของวงแหวน
aromatic
Benzene
สามารถทำปฏิกิริยากับแก๊ส
Cl2
ได้แต่ต้องมีตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นพวก
Lewis
acid ช่วย
(เช่น
FeCl3)
โดยอะตอม
Cl
จะเข้าไปแทนที่อะตอม
H
ของอะตอม
C
ที่เป็นโครงสร้างของวงแหวน
ถ้าปล่อยให้ปฏิกิริยาดำเนินไปเรื่อย
ๆ ก็จะเกิดการแทนที่อะตอม
H
ได้มากกว่า
1
ตำแหน่ง
ในกรณีของ benzene
กับแก๊ส
Cl2
นั้นเนื่องจากอะตอม
Cl
จัดอยู่ในพวก
ortho-
และ
para-
directing group (เพราะมันสามารถจ่ายอิเล็กตรอนให้วงแหวนได้)
ดังนั้นในกรณีที่มีการแทนที่อะตอม
H
2 อะตอม
ผลิตภัณฑ์ที่ได้ก็จะเป็น
1,2-dichlorobenzene
และ
1,4-dichlorobenzene
(รูปที่
๑)
ถึงแม้ว่าตำแหน่ง
ortho
นั้นจะมีถึง
2
ตำแหน่งในขณะที่ตำแหน่ง
para
นั้นมีเพียงตำแหน่งเดียว
แต่การที่อะตอม Cl
มีขนาดค่อนข้างใหญ่
อะตอม Cl
ตัวที่สองจึงแทรกเข้าไปแทนที่ที่ตำแหน่ง
ortho
ได้ยาก
(เพราะโดนอะตอม
Cl
ตัวแรกที่เข้าไปแทนที่นั้นขวางอยู่
การกีดขวางที่เกิดจากโครงสร้างโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้เรียกว่า
steric
effect) ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าจึงเป็น
1,4-dichlorobenzene
โดยมี
1,2-chlorobenzene
เกิดขึ้นน้อยกว่า
สำหรับการแทนที่ด้วยอะตอม
Cl
ตัวที่สาม
จากผลของ steric
effect จึงทำให้ในกรณีของ
1,2-dichlorobenzene
อะตอม
Cl
ตัวที่
3
ยากที่จะเข้าไปเกาะอยู่เคียงข้างอะตอม
Cl
อะตอมใดอะตอมหนึ่งที่เกาะอยู่ก่อน
(ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์
1,2,3-trichlorobenzene)
การเข้าไปยังอะตอม
C
ที่อยู่ตรงข้ามอะตอม
Cl
อะตอมใดอะตอมหนึ่งที่เกาะอยู่ก่อนนั้นจะง่ายกว่า
ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์เป็น
1,2,4-trichlorobenzene
ส่วนในกรณีของ
1,4-dichlorobenzene
ไม่ว่าอะตอม
Cl
ตัวที่สามจะเข้าไปเกาะที่ตำแหน่งไหนก็จะให้ผลเหมือนกัน
คือได้ผลิตภัณฑ์เป็น
1,2,4-trichlorobenzene
(ดูรูปที่
๒ ประกอบ)
รูปที่ ๒ ในกรณีของ 1,2-dichlorobenzene (ซ้าย) การอะตอม Cl ตัวที่สามจะเข้าไปยังตำแหน่ง a หรือ d นั้นจะเข้าได้ยากเนื่องจากอะตอม Cl เองก็มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และยังถูกกีดกันจากอะตอม Cl ที่เข้าไปแทนที่ก่อนหน้าที่อยู่ด้านข้าง ดังนั้นการแทนที่ครั้งที่สามที่ตำแหน่ง b หรือ c จะเกิดได้ง่ายกว่า ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์เป็น 1,2,4-trichlorobenzene ส่วนในกรณีของ 1,4-dichlorobenzene (ขวา) นั้น การแทนที่ไม่ว่าจะเป็นที่ตำแหน่ง a, b, c และ d ด้วยอะตอม Cl ตัวที่สามนั้นจะให้ผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกันหมดคือ 1,2,4-trichlorobenzene
ด้วยการที่อะตอม
halogen
นั้นเป็น
ring
deactivating group (ทำให้การแทนที่ครั้งต่อไปเกิดได้ยากขึ้น)
ดังนั้นหลังการแทนที่ด้วยอะตอม
Cl
แต่ละครั้งจึงทำให้การแทนที่ด้วยอะตอม
Cl
ตัวถัดไปเกิดได้ยากขึ้น
ตัวเร่งปฏิกิริยาที่สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาการแทนที่ในตำแหน่งแรก
ๆ
ได้อาจจะไม่สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาการแทนที่ในตำแหน่งที่มากขึ้นไปอีกได้
ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกหากการแทนที่เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนการแทนที่มากหลายตำแหน่งนั้นจำเป็นต้องใช้กระบวนการที่มีมากกว่าหนึ่งขึ้นตอน
เพราะจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้
การเตรียม
tetrachlorobenzene
จาก
tri-chlorobenzene
ก็เป็นเช่นนี้
การพิจารณาตำแหน่งที่จะเกิดการแทนที่ตำแหน่งที่สี่ของ
1,2,4-trichlorobenzene
จำเป็นต้องพิจารณาผลของความเป็น
ortho-
และ
para-
direction group และผลของ
steric
effect ของอะตอม
Cl
ไปด้วยกัน
แม้ว่าตำแหน่ง
a
ของ
1,2,4-trichlorobenzene
(ดูรูปที่
๓ ประกอบ)
จะเป็นตำแหน่ง
ortho
กับอะตอม
Cl
ถึงสองอะตอม
แต่การที่มีอะตอม Cl
ขนาดใหญ่อยู่ทั้งซ้ายและขวาของตำแหน่ง
a
จึงทำให้อะตอม
Cl
ตัวที่สี่เข้าแทนที่ที่ตำแหน่ง
a
ได้ยาก
(เกิดผลิตภัณฑ์เป็น
1,2,3,4-tetrachlorobenzene
ได้ยาก)
ส่วนที่ตำแหน่ง
b
และ
c
นั้นแม้ว่าทั้งสองตำแหน่งจะมีอะตอม
Cl
อยู่เคียงข้างเพียงอะตอมเดียวเหมือนกัน
แต่ตำแหน่ง c
นั้นเป็นตำแหน่ง
meta
กับอะตอม
Cl
ถึงสองอะตอมในขณะที่เป็นตำแหน่ง
ortho
กับอะตอม
Cl
เพียงอะตอมเดียว
จึงทำให้การแทนที่ด้วยอะตอม
Cl
ตัวที่สี่ที่ตำแหน่ง
c
เกิดได้ยาก
(เกิดผลิตภัณฑ์เป็น
1,2,3,5-tetrachlorobenzene
ได้ยากเช่นกัน)
ตำแหน่ง
b
นั้นเป็นตำแหน่งที่ง่ายกว่าในการเกิดการแทนที่ด้วยอะตอม
Cl
ตัวที่สี่
เพราะเป็นตำแหน่ง ortho
กับ
para
ของอะตอม
Cl
รวมกันสองอะตอม
โดยเป็นตำแหน่ง meta
เมื่อเทียบกับอะตอม
Cl
เพียงอะตอมเดียว
จึงทำให้ได้ผลิตภัณฑ์หลักของการแทนที่ตำแหน่งที่สี่เป็น
1,2,4,5-tetrachlorobenzene
รูปที่
๓ ผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเกิดได้จากการแทนที่ด้วยอะตอม
Cl
ตัวที่สี่เข้าไปยังโมเลกุล
1,2,4-trichlorobenzene
ในกรณีนี้
1,2,4,5-tetrachlorobenzene
จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเกิดมากที่สุด
โดย 1,2,3,5-tetrachlorobenzene
และ
1,2,3,4-tetrachlorobenzene
มีโอกาสเกิดได้กว่า
Aryl
halide นั้นจัดว่าเป็นสารประกอบที่เฉื่อยต่อการทำปฏิกิริยา
การแทนที่อะตอม halogen
ด้วยหมู่อื่นนั้นจำเป็นต้องใช้ภาวะการทำปฏิกิริยาที่รุนแรง
ตัวอย่างเช่นการแทนที่อะตอม
Cl
ของ
chlorobenzene
ด้วยอะตอม
O
เพื่อเปลี่ยนจากสารประกอบ
aryl
halide เป็น
phenoxide
นั้นจำเป็นต้องใช้อุณหภูมิและความดันที่สูงเข้าช่วย
จากนั้นจึงเปลี่ยน phenoxide
ที่ได้ให้กลายเป็น
phenol
อีกที
ดังสมการที่แสดงในรูปที่
๔ ข้างล่าง
รูปที่ ๔ ปฏิกิริยาการแทนที่อะตอม Cl ที่เกาะอยู่กับวงแหวนเบนซีนด้วยหมู่ -OH พึงสังเกตว่าใช้ภาวะการทำปฏิกิริยาที่ค่อนข้างจะรุนแรง สำหรับปฏิกิริยาที่เกิดในเฟสของเหลวถ้าต้องการทำปฏิกิริยาที่อุณหภูมิสูงขึ้นก็มักต้องใช้ความดันที่สูงขึ้นไปด้วย เพื่อที่จะคงสภาพสารตั้งต้นให้ยังคงเป็นเฟสของเหลวอยู่ ในที่นี้ NaOH นั้นไม่สามารถทำให้กลายเป็นแก๊สได้ ดังนั้นถ้าต้องการเพิ่มอุณหภูมิการทำปฏิกิริยา ก็จำเป็นต้องเพิ่มความดันของระบบให้สูงขึ้นไปด้วย เพื่อทำให้ chlorobenzene ยังคงสภาพเป็นของเหลวอยู่
การสังเคราะห์
2,4,5-trichlorophenol
จาก
1,2,4,5-tetrachlorobenzene
และ
2,4-dichlorophenol
จาก
1,2,4-trichlorobenzene
(รูปที่
๕)
ก็สามารถใช้วิธีการที่ได้แสดงไว้ในรูปที่
๔
รูปที่ ๕ การเปลี่ยนหมู่ Cl ของ 1,2,4,5-tetrachlorobenzene และของ 1,2,4-trichlorobenzene ให้กลายเป็นหมู่ -OH ทำให้ได้สารประกอบ 2,4,5-trichlorophenol (บน) และ 2,4-dichlorophenol (ล่าง) ตามลำดับ
Williamson
ether synthesis เป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการเตรียมสารประกอบether
R-O-R' ที่หมู่
R
กับ
R'
นั้นเหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้
การทำปฏิกิริยาดังกล่าวจะใช้เบสเปลี่ยน
alcohol
หรือ
phenol
ให้กลายเป็นสารประกอบ
alkoxide
หรือ
phenoxide
(ดูรูปที่
๖)
ปฏิกิริยานี้ใช้งานได้ดีในกรณีที่
R-X
เป็น
primary
หรือ
secondary
halide แต่ใช้ไม่ได้ในกรณีที่
R-X
เป็น
aryl
halide (อะตอม
halogen
เกาะกับอะตอม
C
ของวงแหวน)
หรือ
vinyl
halide (อะตอม
halogen
เกาะอยู่กับอะตอม
C
ที่มีพันธะคู่)
เพราะสารสองชนิดหลังนี้เฉื่อยต่อการทำปฏิกิริยามากเกินไป
รูปที่ ๖ การสังเคราะห์โครงสร้าง ether (R-O-R') ด้วยปฏิกิริยา Williamson synthesis ระหว่างสารประกอบที่มีหมู่ R-OH กับ R-X โดยหมู่ -OH ของแอลกอฮอล์และฟีนอลสามารถแสดงคุณสมบัติที่เป็นกรดด้วยการจ่าย H+ ออกมา โดยหมู่ -OH ของฟีนอลจะแสดงฤทธิ์เป็นกรดที่แรงกว่าหมู่ -OH ของแอลกอฮอล์
Defoliant
หรือ
Defoliating
agent เป็นสารเคมีที่ใช้ในการทำให้ใบไม้ร่วง
สารนี้แตกต่างไปจาก Herbicide
หรือยาปราบวัชพืชตรงที่
ยาปราบวัชพืชนั้นเน้นไปตรงที่ไปทำให้พืชที่ไม่ต้องการนั้นตายลง
ส่วน Defoliant
จะไปทำให้ใบของพืช
(โดยเฉพาะพืชใบกว้าง
หรือใบเลี้ยงคู่)
นั้นร่วงหล่น
(ไม่ได้ไปฆ่าพืชให้ตาย)
ในขณะที่
Herbicide
ใช้ในการกำจัดพืชที่ไม่ต้องการก่อนทำการเพาะปลูกที่ต้องการ
(เช่นฆ่าหญ้าก่อนปลูกข้าว)
Defoliant มีการนำมาใช้ในการกำจัดใบเพื่อช่วยในการเก็บเกี่ยวผลิตภัณฑ์
(เช่นกำจัดใบฝ้ายก่อนทำการเก็บฝ้าย)
แนวความคิดในการนำสารเคมีทั้งสองชนิดมาใช้ในสงครามมีมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่
๒
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาสารเคมีที่จะทำลายแหล่งผลิตอาหารของฝ่ายศัตรู
แต่ที่นำมาใช้กันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกเห็นจะได้แก่การที่รัฐบาลอังกฤษใช้ในการปราบปรามกองกำลังที่มีฃื่อว่า
Malayan
National Liberation Army (MNLA)
ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา
(Malayan
Communist Party (MCP)) ในช่วงปีค.ศ.
๑๙๔๘-๑๙๖๐
(พ.ศ.
๒๔๙๑-๒๕๐๓)
ซึ่งเป็นช่วงที่อังกฤษยังปกครองมาเลเซียในฐานะเป็นอาณานิคมอยู่
(มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษในปีค.ศ.
๑๙๕๗
(พ.ศ.
๒๕๐๐))
เหตุการณ์ในตอนนั้นทางอังกฤษเรียกว่า
"Malayan
Emergency" หรือ
"สถานการณ์ฉุกเฉิน"
(ผู้สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://en.wikipedia.org/wiki/Malayan_Emergency)
ทั้ง ๆ ที่จะว่าไปแล้วการรบระหว่างทหารของรัฐบาลอังกฤษกับพรรคคอมมิวนิสต์มาลายามันจัดได้ว่าป็นการรบในรูปแบบ "สงคราม" ระหว่างกองกำลังรัฐบาลกับกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์มาลายา เช่นเดียวกับสงครามเวียดนามที่สหรัฐเข้าร่วมรบ แต่อังกฤษก็หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่าสงคราม ตรงนี้หนังสือเรื่อง "the war of the running dogs" เขียนโดย Noel Barber (ผมไปได้มาเล่มหนึ่งเมื่อปี ๒๕๕๒ ในราคา ๒๙๓ บาท จากร้าน Kinokuniya) อธิบายไว้ว่าทางอังกฤษต้องการหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า "สงคราม" เพราะจะทำให้บริษัทประกันมีข้ออ้างในการที่จะไม่จ่ายค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าหนังสือเล่มยังสะท้อนให้เห็นภาพการเข้ามาเอาผลประโยชน์ของอังกฤษจากดินแดนที่อังกฤษเข้าไปยึดครองเพื่อส่งกลับประเทศตนเอง และการทำให้เกิดปัญหาความแตกแยกในสังคมด้วยการอพยพผู้คนให้ย้ายถิ่นฐานจากดินแดนอื่นเพื่อนำมาใช้เป็นแรงงาน (อังกฤษไม่ค่อยจะไว้ใจคนท้องถิ่นให้ทำงานให้ แต่จะใช้คนชาติอื่นมาทำงานในหลาย ๆ ด้านให้แทน โดยเฉพาะจากอินเดียและจีน)
2,4,5-trichlorophenoxy acetic acid และ 2,4-dichlorophenoxy acetic acid สังเคราะห์ได้จากการนำเอา 2,4,5-trichlorophenol หรือ 2,4-dichlorophenol มาทำปฏิกิริยากับ chloroacetic acid เกิดการเชื่อมต่อโมเลกุลเข้าด้วยกัน (แบบปฏิกิริยา Williamson ether synthesis) กลายเป็นผลิตภัณฑ์ดังสมการที่แสดงในรูปที่ ๗
รูปที่
๗ ปฏิกิริยา Williamson
ether synthesis (บน)
ระหว่าง
2,4,5-trichlorophenol
กับ
chloroacetic
acid เพื่อสังเคราะห์เป็น
2,4,5-trichlorophenoxy
acetic acid (บางที่จะเขียนย่อว่า
2,4,5-T)
และ
(ล่าง)
ปฏิกิริยาระหว่าง
2,4-dichlorophenol
กับ
chloroacetic
acid เพื่อสังเคราะห์เป็น
2,4-dichlorophenoxy
acetic acid (บางที่จะเขียนย่อว่า
2,4-D)
ที่เป็น
defoliating
agent
สิ่งที่กองทัพอังกฤษทำก็คือเอาสารทั้ง
herbicide
และ
defoliant
นี้ไปฉีดโปรยในป่ามาเลเซียเพื่อให้ใบไม้ร่วงและต้นไม้ตาย
เพื่อเป็นการตัดเสบียงอาหารกองกำลังฝ่ายตรงข้าม
และยังทำให้ง่ายต่อการตรวจการณ์ทางอากาศ
หนึ่งในสาร defoliant
ที่อังกฤษนำไปใช้คือ
2,4,5-trichlorophenoxy
acetic acid และ
2,4-dichlorophenoxy
acetic acid
พึงระลึกว่าหมู่
-OH
ของแอลกอฮอล์นั้นเกิดปฏิกิริยา
esterification
กับหมู่
-COOH
ของกรดอินทรีย์ได้ง่าย
แต่หมู่ -OH
ของฟีนอลจะเกิดได้ยากกว่า
ดังนั้นในกรณีนี้แทนที่หมู่
-OH
จะทำปฏิกิริยากับหมู่
-COOH
ของ
chloroacetic
acid แต่จะทำปฏิกิริยากับหมู่
Cl-CH2-
แทน
ถ้าต้องการจะให้หมู่ -OH
ที่เกาะอยู่โดยตรงกับวงแหวนเบนซีนทำปฏิกิริยา
esterification
การใช้สารประกอบ
anhydride
จะง่ายกว่า
(anhydride
คือสารประกอบที่เกิดจากการที่หมู่
-COOH
สองหมู่หลอมรวมเข้าด้วยกันและคายน้ำออกมา
โดยหมู่ -COOH
นั้นอาจอยู่ในโมเลกุลเดียวกันแต่อยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กัน
หรือมาจากต่างโมเลกุลกัน)
มาถึงตรงนี้ถ้าย้อนกลับไปอ่าน
Memoir
ปีที่
๒ ฉบับที่ ๗๙ วันศุกร์ที่ ๒๐
พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เรื่อง
"Reactions of hydroxyl group" ก็จะเห็นว่าทำไปการเปลี่ยน
morphine
ไปเป็น
heroin
นั้นไม่สามารถใช้กรด
acetic
(CH3COOH)
ได้
ก็เพราะหมู่ -OH
หนึ่งในสองหมู่ของโมเลกุล
morphine
ที่ต้องการทำให้ปฏิกิริยานั้น
เกาะอยู่โดยตรงกับวงแหวนเบนซีน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ต้องใช้
acetic
anhydride (H3C(CO)-O-(CO)CH3)
ในการสังเคราะห์แทน
ความสำเร็จของอังกฤษในการใช้สารนี้ทำให้ทางกองทัพสหรัฐสนใจเอามาใช้บ้าง
โดยนำสารผสมระหว่าง
2,4,5-trichlorophenoxy
acetic acid และ
2,4-dichlorophenoxy
acetic acid (อัตราส่วนผสมประมาณ
50:50)
มาใช้ในสงครามเวียดนามในชื่อ
"Agent
orange" โดยใช้ฉีดพ่นไปบนพื้นที่ป่าให้ใบไม้ร่วง
จะได้ง่ายต่อการตรวจการเคลื่อนไหวภาคพื้นจากทางอากาศ
ประมาณกันว่ากองทัพสหรัฐนำใช้ถึง
๕๐ ล้านลิตรในระหว่างสงคราม
ในระหว่างการสังเคราะห์
2,4,5-trichlorophenoxy
acetic acid นั้น
อะตอม Cl
ของ
2,4,5-trichlorophenol
ก็สามารถเข้าทำปฏิกิริยากับหมู่
-OH
ของ
2,4,5-trichlorophenol
อีกโมเลกุลหนึ่งได้
ทำให้เกิดการหลอมรวมกันของโมเลกุล
2,4,5-trichlorophenol
สองโมเลกุลเป็นสารประกอบ
"dioxin"
ดังแสดงในรูปที่
๘ ข้างล่าง (dioxin
หรือไดออกซิน
เป็นสารประกอบ heterocyclic
ที่เป็นวง
๖ อะตอม โดยอะตอม C
สองอะตอมถูกแทนที่ด้วยอะตอม
O
ถ้าอะตอม
O
สองอะตอมนั้นอยู่เคียงข้างกันก็จะเรียกว่าเป็นสารประกอบ
o-dioxin
หรือ
1,2-dioxin
แต่ถ้าอะตอม
O
สองอะตอมนั้นอยู่ตรงข้ามกันดังตัวอย่างที่แสดงในรูปที่
๘ ก็จะเป็นสารประกอบที่เรียกว่า
1,4-dioxin
หรือ
p-dioxin)
รูปที่ ๘ ปฏิกิริยาระหว่างโมเลกุล 2,4,5-trichlorophenol สองโมเลกุลหลอมรวมเข้าด้วยกัน (ตามแบบ Williamson ether synthesis) ที่สามารถเกิดขึ้นระหว่างการสังเคราะห์ trichlorophenoxy acetic acid นำไปสู่การเกิดสารประกอบ 2,3,7,8-tetrachlorodibenzoparadioxin ที่เป็นสารพิษที่มีความเป็นพิษร้ายแรงในอันดับต้น ๆ ที่มนุษย์รู้จัก
2,3,7,8-tetrachlorodibenzoparadioxin
นี้เป็นสารพิษที่มีความเป็นพิษร้ายแรงในอันดับต้น
ๆ ที่มนุษย์รู้จัก
มีการประมาณการกันว่าจากจำนวน
Agent
orange ที่กองทัพสหรัฐอเมริกานำไปฉีดพ่นในเวียดนามใต้นั้นอาจมีสารประกอบ
dioxin
มากถึง
๑๗๐ กิโลกรัมที่ถูกฉีดพ่นกระจายไปพร้อมกับ
Agent
orange
๑๗๐
กิโลกรัมนี้มากแค่ไหน
คงเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย
แต่ถ้าพิจารณาว่าปริมาณที่สารนี้สามารถทำให้สัตว์เสียชีวิตได้คือ
"หนึ่งในพันล้านเท่าของน้ำหนักตัว"
หรือ
(10-9
x น้ำหนักตัว)
ก็คงจะมองเห็นภาพอันตรายของสารนี้ชัดขึ้น
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้สารไดออกซินนี้เป็นข่าวใหญ่เกรียวกราวไปทั่วโลก
จนมีการนำมาบรรจุไว้ในบทเรียนของนิสิตวิศวกรรมเคมีในวิชาด้านความปลอดภัยของอุตสาหกรรมเคมี
คืออุบัติเหตุที่เมือง
Seveso
ประเทศอิตาลี
ในปีค.ศ.
๑๙๗๖
(พ.ศ.
๒๕๑๙)
เรื่องนี้เคยเล่าเอาไว้แล้วใน
Memoir
ปีที่
๖ ฉบับที่ ๖๖๔ วันจันทร์ที่
๙ กันยายน ๒๕๕๖ เรื่อง
"การรั่วไหลของDioxinที่เมืองSevesoประเทศอิตาลี"
และในปีพ.ศ.
๒๕๔๒
(ค.ศ.
๑๙๙๙)
สารประกอบไดออกซินนี้ก็กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง
โดยครั้งนี้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยเอง
ที่สนามบินบ่อฝ้าย อ.บ่อฝ้าย
จ.ประจวบคีรีขันธ์
ที่มีการขุดค้นพบถังสารเคมีที่กองทัพสหรัฐอเมริกาฝังเอาไว้ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม
รายละเอียดเหตุการณ์เป็นอย่างไรก็ลองอ่านตาม
link
ที่ให้ไว้หรือรูปที่
๙ ก็แล้วกัน
รูปที่ ๙ รายละเอียดการค้นพบถังบรรจุ Agent orange ที่นำมาใช้ในสมัยสงครามเวียดนาม และกองทัพสหรัฐอเมริกาฝังทิ้งเอาไว้ที่สนามบิน ภาพข่าวนำมาจากบทความเรื่อง "เหตุเกิดที่บ่อฝ้าย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ - ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา" เขียนโดย ดร.สุมล ปวิตรานนท์ http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_21_002c.asp?info_id=322
เหตุผลหนึ่งที่ผมสนใจอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาตร์ เพราะมันบอกให้รู้ถึงความต้องการที่จะเอาชนะของมนุษย์ เครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในความพยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติและคู่แข่งคือวิทยาศาสตร์
และเหตุผลที่ทำให้ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะอยากให้ผู้ที่คิดว่าเคมีอินทรีย์เป็นเรื่องน่าเบื่อ
เรียนไปแล้วไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร
จะได้มีตัวอย่างให้มองเห็นภาพบ้างว่าความรู้จากวิชานี้
ในอดีตได้เคยมีการนำไปใช้เพื่อที่จะเอาชนะทางการทหารและการเมืองอย่างไรบ้าง
Alexander
William Williamson (1842-1904)
ภาพจากหนังสือ
Ray
Q. Brewster and William E. McEwen, "Organic Chemistry",
3rd., Prentice-Hall, Inc. 1961. โดยมีคำบรรยายภาพว่า
English
chemist, was a student of Liebig at Giessen. In 1849 he was
appointed professor of "practical chemistry" at University
College, London, and was connected with that institution until his
retirement in 1887.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น