ในช่วงเดือนที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะมีหลายคนในกลุ่มของเรา
(พูดให้ถูกก็น่าจะเป็นทุกคนมากกว่านะ)
ค่อนข้างสับสนในหลายเรื่อง
แม้ว่าจะอธิบายด้วยวาจาให้ฟังแล้วก็ดูเหมือนยังทำหน้างง
ๆ กันอยู่
วันนี้ก็เลยถือโอกาสเขียนให้อ่านกันก็แล้วกัน
โดยจะว่ากันไปทีละเรื่องเลย
โดยจะขอเริ่มจากเรื่อง
"Monolayer"
หรือความหนาเพียงชั้นอะตอม/โมเลกุลเดียวก่อน
ลองนึกภาพเวลาที่คุณหยดน้ำลงไปบนพื้นผิวของแข็ง
หยดน้ำบนพื้นผิวของแข็งนั้นมีลักษณะเช่นใดครับ
รูปร่างของหยดน้ำบนพื้นผิวของแข็งนั้นขึ้นอยู่กับแรงกระทำ
(ที่เรียกว่าอันตรกิริยาหรือ
interaction)
ระหว่างโมเลกุลน้ำและโมเลกุล/อะตอม/ไอออน
บนพื้นผิวของแข็งนั้น
และแรงกระทำระหว่างโมเลกุลน้ำด้วยกันเอง
(ดูรูปที่
๑ ข้างล่างประกอบ)
ถ้าแรงกระทำระหว่างโมเลกุลน้ำด้วยกันเองนั้นสูงกว่าแรงกระทำระหว่างโมเลกุลน้ำกับพื้นผิวของแข็ง
หยดน้ำนั้นก็จะมีแนวโน้มที่จะรวมกันกันเป็นหยด
ถ้าพื้นผิวนั้นไม่ได้วางตัวในแนวราบ
เราก็จะเห็นหยดน้ำนั้นไหลลงไปยังตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่าได้ง่าย
ทำนองเดียวกับหยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบไม้บางชนิดเช่นใบบอน
(ว่าแต่รู้จักต้นบอนหรือเปล่าครับ)
แต่ถ้าแรงกระทำระหว่างโมเลกุลของน้ำกับพื้นผิวของแข็งนั้นสูงกว่าแรงกระทำระหว่างโมเลกุลของน้ำด้วยกันเอง
น้ำที่หยดลงไปนั้นจะมีลักษณะแผ่กระจายกว้างออกไป
ส่วนจะกว้างออกไปแค่นั้นก็ขึ้นอยู่กับขนาดแรงที่กระทำระหว่างกันนั้น
ถ้าแรงที่กระทำระหว่างกันนั้นมีค่ามาก
น้ำที่หยดลงไปก็จะมีการแผ่กว้างออกไปมากจนอาจถือได้ว่าความหนาของชั้นน้ำบนพื้นผิวของแข็งนั้นมีความหนาเพียงแค่ชั้นโมเลกุลเดียว
ที่เรียกว่า "Monolayer"
รูปที่
๑
รูปร่างของหยดของเหลวบนพื้นผิวของแข็งขึ้นอยู่กับแรงกระทำระหว่างโมเลกุลของเหลวกับพื้นผิวของแข็ง
เทียบกับแรงกระทำระหว่างโมเลกุลของเหลวด้วยกันเอง
ถ้าแรงกระทำระหว่างโมเลกุลของเหลวกับพื้นผิวของแข็งมีขนาดต่ำเมื่อเทียบกับแรงกระทำระหว่างโมเลกุลของเหลวด้วยกันเอง
ของเหลวก็มีแนวโน้มที่จะจับรวมเป็นหยดโดยไม่ค่อยเปียกผิวของแข็ง
(รูปซ้าย)
แต่ถ้าแรงกระทำระหว่างโมเลกุลของเหลวกับพื้นผิวของแข็งมีค่ามากกว่าแรงกระทำระหว่างโมเลกุลของเหลวด้วยกันเอง
หยดของเหลวมีแนวโน้มที่จะแผ่กว้างออกไป
(รูปขวา)
ในการเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยานั้น
เราเริ่มด้วยการ impregnate
(เคลือบฝัง)
เกลือของสารประกอบโลหะที่ต้องการลงไปบนผิวของโลหะออกไซด์ที่ใช้เป็น
catalyst
support (ต่อไปจะเรียกสั้น
ๆ ว่า support)
จากนั้นจึงทำการเผา
(calcination)
เพื่อให้เกลือสารประกอบโลหะนั้นสลายตัวกลายเป็นสารประกอบออกไซด์
ในช่วงเวลานี้เองที่จะมีการเกิดอันตรกิริยาระหว่างสารประกอบโลหะออกไซด์ที่กำลังก่อตัวและพื้นผิวของ
support
ถ้าอันตรกิริยาดังกล่าวมีความแรงมาก
(ที่เรียกว่า
strong
interaction)
สารประกอบโลหะออกไซด์ที่ก่อตัวนั้นจะไม่รวมตัวกันเป็นผลึกสารประกอบโลหะออกไซด์
แต่จะแผ่กว้างออกไปบนพื้นผิว
support
กลายเป็นชั้นบาง
ๆ ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นชั้น
"Monolayer"
หรือหนาเพียงชั้นอะตอมเดียว
อันตรกิริยาที่แรงระหว่างโลหะออกไซด์สองชนิดนี้ทำให้สามารถเตรียมตัวเร่งปฏิกิริยาด้วยการผสมสารประกอบโลหะออกไซด์สองชนิดเข้าด้วยกัน
(mechanical
mixing) จากนั้นก็ให้ความร้อนแก่สารผสมนั้น
สารประกอบโลหะออกไซด์ตัวที่มีจุดหลอมเหลวต่ำกว่า
(คือตัวที่เป็น
active
species)
จะแผ่กระจายออกไปบนพื้นผิวของสารประกอบโลหะออกไซด์ที่มีจุดหลอมเหลวสูงกว่า
(ตัวที่เป็น
catalyst
support)
ตัวเร่งปฏิกิริยาโลหะออกไซด์แรก
ๆ เลยที่พบว่าสามารถเกิดอันตรกิริยาที่แรงกับ
support
เห็นจะได้แก่
V2O5
ที่สังเกตพบกันมาตั้งแต่การศึกษาปฏิกิริยาการผลิต
phthalic
anhydride จาก
naphthalene
และ
o-xylene
โดยได้มีการสังเกตว่าในกรณีที่ใช้
naphthalene
เป็นสารตั้งต้นการนำ
V2O5
ไปเคลือบบน
SiO2
Al2O3 หรือ
TiO2
(ไม่ว่าจะเป็น
anatase
หรือ
rutile)
นั้น
ไม่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการทำปฏิกิริยาของ
V2O5
แต่ในกรณีที่ใช้
o-xylene
เป็นสารตั้งต้นกลับพบว่า
V2O5
ที่เคลือบบน
TiO2
(anatase) มีพฤติกรรมการทำปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไป
โดยมีความสามารถในการทำปฏิกิริยาที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับการใช้
support
ตัวอื่น
ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นผลของ
support
ที่มีต่อความสามารถในการทำปฏิกิริยาของ
active
species
ปรากฏการณ์นี้ทำให้แนวความคิดเดิมที่มองว่า
support
เป็นเพียงแค่
inert
species ช่วยในการกระจายตัวของ
active
species ที่ไม่ส่งผลต่อการทำงานของ
active
species นั้นเปลี่ยนแปลงไป
โดยการเลือกชนิด support
ที่เหมาะสมจะสามารถเพิ่มความสามารถในการทำงานของ
active
species ได้
ในการเกิดปฏิกิริยาเคมีบนพื้นผิวของแข็งที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์นั้น
การเกิดปฏิกิริยาเริ่มจากการที่มีโมเลกุลสารตั้งต้นอย่างน้อย
๑ ชนิดถูกดูดซับเอาไว้บนพื้นผิวของแข็งนั้น
ความสามารถของอะออม/ไอออนที่อยู่บนพื้นผิวชั้นบนสุด
ในการดูดซับโมเลกุลสาร
ขึ้นอยู่กับความไม่สมดุลของแรงที่กระทำต่ออะตอม/ไอออนที่อยู่บนพื้นผิวนั้น
ความไม่สมดุลนี้เปลี่ยนแปลงไปตาม
"จำนวน"
และ
"ชนิด"
ของอะตอม/ไอออนที่อยู่เคียงข้าง
ตัวอย่างเช่นในกรณีของผลึกโลหะหรือผลึกสารประกอบโลหะออกไซด์
อะตอม/ไอออนที่อยู่
"บนระนาบ"
พื้นผิวของผลึกจะมีจำนวนอะตอม/ไอออนข้างเคียงที่มากกว่าอะตอม/ไอออนที่อยู่ตรงตำแหน่ง
"ขอบ"
ของผลึก
อะตอม/ไอออนที่อยู่ตรงตำแหน่ง
"ขอบ"
ของผลึกจะมีจำนวนอะตอม/ไอออนข้างเคียงที่มากกว่าอะตอม/ไอออนที่อยู่ตรงตำแหน่ง
"มุม"
ของผลึก
(รูปที่
๒)
ทำให้ความสามารถในการดูดซับและ/หรือความแรงของการดูดซับโมเลกุลสารตั้งต้นเดียวกันของอะตอม/ไอออนที่อยู่ตรงตำแหน่งต่าง
ๆ ของผลึกนั้นแตกต่างไปด้วย
และสามารถทำให้โมเลกุลสารตั้งต้นเดียวกันเกิดปฏิกิริยาที่แตกต่างกันได้
และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตัวเร่งปฏิกิริยาวิวิธพันธ์ที่เป็นของแข็งนั้นมักจะให้ค่าการเลือกเกิด
(selectivity)
ไม่ถึง
100%
และในกรณีของการเกิดโครงสร้างที่เป็น
monolayer
นั้น
อะตอม/ไอออนที่อยู่ข้างใต้อะตอม/ไอออนบนพื้นผิวนั้นเป็นอะตอม/ไอออนที่ต่างชนิดกัน
ทำให้อะตอม/ไอออนของ
active
species
ที่วางซ้อนทับลงไปบนโครงสร้างผลึกของสารประกอบไอออนิกต่างชนิดกันที่ใช้เป็น
catalyst
support นั้น
สามารถมีความสามารถในการทำปฏิกิริยาทีแตกต่างไปจากกรณีที่มันวางซ้อนทับลงไปบนโครงร่างผลึกของตัวมันเองได้
รูปที่
๒ (ซ้าย)
อะตอมที่อยู่
ณ ตำแหน่งแตกต่างกันของผลึก
มีจำนวนอะตอมเคียงข้างที่แตกต่างกัน
ทำให้ความไม่สมดุลของแรงที่กระทำนั้นแตกต่างกัน
ความสามารถในการดูดซับจึงแตกต่างไปด้วย
(ขวา)
ในกรณีของ
monolayer
ชั้นข้างใต้นั้นเป็นสารประกอบต่างชนิดกัน
แรงกระทำจึงแตกต่างไปจากกรณีที่วางซ้อนลงไปบนสารประกอบชนิดเดียวกัน
เทคนิคหนึ่งที่สามารถใช้ในการตรวจสอบว่ามีโอกาสเกิด
monolayer
หรือไม่คือ
XRD
(x-ray diffraction) ในกรณีที่ไม่มีการเกิด
monolayer
ระหว่างพื้นผิว
support
กับสารประกอบโลหะออกไซด์ที่เป็น
active
species นั้น
จะตรวจพบพีคของสารประกอบโลหะออกไซด์ที่เติมลงไปนั้นได้ง่าย
แม้ว่าจะเติมลงไปในปริมาณไม่มากก็ตาม
แต่ถ้ามีการเกิดอันตรกิริยาที่แรงจนทำให้เกิดเป็น
monolayer
ได้
ก็จะพบว่าเมื่อเทียบกับ
support
ตัวอื่นแล้ว
support
ตัวที่ทำให้เกิด
monolayer
ไดนั้นต้องมีการเติมสารประกอบโลหะออกไซด์ในปริมาณที่สูงกว่า
support
ตัวอื่นที่ไม่ทำให้เกิด
monlayer
จึงจะสามารถมองเห็นพีคสารประกอบโลหะออกไซด์ที่เติมเข้าไปได้
ทั้งนี้เพราะสารประกอบโลหะออกไซด์ที่เติมเข้าไปนั้นจะต้องลงไปปกคลุมพื้นผิวของ
support
เอาไว้จนหมดหรือเกือบหมดเสียก่อน
พอพื้นผิวไม่มีเหลือให้ปกคลุมแล้วจึงค่อยเรียงซ้อนลงบนพวกเดียวกันเอง
ทำให้เกิดเป็นผลึกที่มีขนาดที่ตรวจวัดได้ด้วยเทคนิค
XRD
เทคนิคพวก
H2-TPR
(hydrogen temperature programmed reduction) นั้น
บอกได้ว่าสารประกอบโลหะออกไซด์ที่เกิดขึ้นบนพื้นผิว
support
ต่างชนิดกันนั้นมีความแตกต่างกันหรือไม่
โดยดูจากอุณหภูมิการีดิวซ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
แต่ไม่สามารถใช้ยืนยันได้โดยตรงว่ามีการเกิด
monlayer
เพราะความแตกต่างนั้นอาจเกิดจากการที่โลหะออกไซด์ที่เติมลงไปและตัว
support
นั้นมีการหลอมรวมกันกลายเป็นสารประกอบโลหะออกไซด์ผสมตัวใหม่ขึ้นมาได้
XPS
(x-ray photoelectron spectroscopy)
นั้นแม้ว่าจะเป็นเทคนิคการวิเคราะห์พื้นผิว
แต่ก็วัดลงไปได้ถึงระดับประมาณ
10
ชั้นอะตอม
ผลการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคนี้สามารถใช้ประกอบการพิจารณาว่ามีโอกาสที่จะเกิดอันตรกิริยาที่แรงระหว่างสารประกอบโลหะออกไซด์กับพื้นผิว
support
หรือไม่โดยดูจากขนาดพีค
photo
electron ของโลหะที่ทำการเติมลงไป
กล่าวคือบอกได้ว่ามีสัดส่วนอยู่บนพื้นผิวมากหรือน้อยได้
แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าถ้าเห็นสัดส่วนบนพื้นผิวมาก
ต้องเป็นการเกิด monolayer
เสมอไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น