แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชลบุรี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชลบุรี แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

สถานีรถไฟแสนสุข MO Memoir : Sunday 7 February 2564

อันที่จริงถ้าจะเรียกให้ถูกก็ควรต้องเรียกว่าป้ายหยุดรถแสนสุข เพราะมันไม่มีตัวอาคารที่เป็นตัวสถานีและมีนายสถานีประจำ ผมเคยเข้าไปถ่ายรูปที่นี่ครั้งแรกก็ปี ๒๕๕๐ ก็ ๑๔ ปีที่แล้ว ตอนนั้นในซอยนี้ยังไม่ค่อยมีอะไรเลย แต่ตอนนี้มีหมู่บ้านจัดสรรขึ้นหลายหมู่บ้านแล้ว

จะว่าไปเส้นทางสายรถไฟสายนี้ก็ไม่ใช่เส้นที่เพิ่งวางแผนกันช่วงที่มีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีภาคตะวันออก แต่มีการวางแผนกันมาตั้งแต่ช่วงสงครามเวียดนามแล้ว ที่ตอนนั้นมีการตัดถนนสายยุทธศาสตร์ บางคล้า-สัตหีบ ที่ปัจจุบันคือทางหลวงสาย ๓๓๑ (รูปที่ ๒) เพื่อขนสิ่งของต่าง ๆ จากทางเรือสัตหีบไปยังฐานทัพสหรัฐในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ข้อเสียหลักของเส้นทางรถไฟสายนี้น่าจะเป็นมันไม่ค่อยจะผ่านหรือเฉียดเข้าใกล้ชุมชนที่มีคนอยู่มาก สถานีต่าง ๆ จึงไม่ได้อยู่ใกล้กับแหล่งที่มีผู้คนอาศัยมาก ประกอบกับสร้างขึ้นหลังจากที่มีการตัดถนนและการเดินทางด้วยรถยนต์กันอย่างแพร่หลายแล้ว แถมเส้นทางการเดินทางจากกรุงเทพยังอ้อมกว่าการเดินทางด้วยรถยนต์อีก ทำให้ไม่ค่อยมีผู้คนใช้บริการเดินทางกันเท่าใดนัก จะมีก็แต่รถสินค้าเป็นหลัก แต่สำหรับใครที่มีเวลาว่างทั้งวันและอยากนั่งรถไฟที่ไม่ค่อยมีคนนั่ง คิดว่าเส้นทางสายนี้ช่วงฉะเชิงเทรา-พลูตาหลวง ก็น่าจะเหมาะที่จะเป็นเส้นทางนั่งรถไฟเล่นฆ่าเวลาอยู่เหมือนกัน แต่ต้องนั่งจากฉะเชิงเทรามาพลูตาหลวงนะ แล้วค่อยนั่งขบวนเดิมกลับ เพราะมันมีแค่เที่ยวนี้เที่ยวเดียวเท่านั้น ยกเว้นช่วงวันหยุดอาจมีเที่ยวพิเศษที่เป็นรถท่องเที่ยวเสริมเพิ่มเข้ามา

รูปที่ ๑ สถานที่ตั้งของสถานี อยู่ในซอยโรงเรียนสารพัดช่าง เดี๋ยวนี้ด้านหน้าจะมีตลาดนัดจตุจักรชลบุรีอยู่ก่อนถึงทางเข้า

วันนี้ถือว่าดูรูปสถานที่ธรรมดาแห่งหนึ่งเล่น ๆ ก็แล้วกัน ไม่รู้ว่าต่อไปมันจะหายไปหรือจะได้รับการพัฒนาให้เติบโตขึ้นมา แต่วันนี้ (รวมทั้งก่อนหน้านี้อย่างน้อยก็ ๑๐ กว่าปีแล้ว) มันก็ยังเงียบ ๆ อยู่เหมือนเดิม

  

รูปที่ ๒ แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางรถไฟไปสัตหีบ พ.ศ. ๒๕๑๒ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแผนการสร้างทางรถไฟสายนี้มีนานานแล้ว บ้านแสนสุขอยู่ในวงรีสีแดง 

รูปที่ ๓ สถานีมีแต่ชานชาลา (น่าจะยาวพอแค่รถตู้เดียว) กับป้าย รูปนี้มองไปยังทางที่มาจากสถานีชลบุรี

รูปที่ ๔ โค้งที่มาจากสถานีชลบุรี

รูปที่ ๕ มองไปอีกทางหนึ่ง เส้นทางที่มุ่งหน้าไปสถานีบางพระ มีจุดถนนข้ามทางรถไฟอยู่ใกล้ ๆ

รูปที่ ๖ โค้งที่มุ่งไปยังสถานีบางพระ

วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2564

สถานีรถไฟชลบุรี MO Memoir : Sunday 3 January 2564

สถานีนี้เคยแวะมาถ่ายรูปเอาไว้เมื่อต้นปี ๒๕๕๕ นี่ก็ผ่านไปเกือบ ๙ ปีแล้วก็เลยแวะเข้ามาถ่ายรูปบันทึกเอาไว้หน่อยว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง แต่โดยภาพรวมวันที่แวะเข้าไปถ่ายรูปนั้นก็จัดว่าเป็นวันที่เงียบสงบวันหนึ่ง อาจเป็นเพราะว่าโรงงานส่วนใหญ่แถวนั้นหยุดงานไปก่อนหน้านั้นเพื่อให้พนักงานได้พักยาวช่วงปีใหม่ อากาศในบ่ายวันนั้นเรียกว่าแดดดีแต่ไม่ร้อน ลมพัดเย็นสบายแม้ไม่หนาวมากเหมือนในกรุงเทพที่ลมหนาวเริ่มเข้ามา

ตอนนี้เส้นทางนี้มีรถไฟขนสินค้าวิ่งเป็นหลัก ส่วนรถโดยสารก็มีแค่วิ่งไปกลับวันละขบวน อาจมียกเว้นช่วงวันหยุดที่มีรถไฟนำเที่ยววิ่งเสริม แต่ต่อไปถ้ามีทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบินตัดผ่าน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบรรยากาศเงียบสงบแบบเดิมนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างหรือเปล่า (ถ้าทางรถไฟที่จะตัดใหม่นั้นยังคงยึดแนวเส้นทางเดิมเป็นหลัก) ดังนั้น Memoir ฉบับต้อนรับปีใหม่นี้ก็ถือว่าเป็นการบันทึกภาพสถานที่ธรรมดา ๆ แห่งหนึ่งเอาไว้ก็แล้วกัน ว่าช่วงเวลาหนึ่งนั้นสถานที่นี้และบริเวณรอบข้างมีบรรยากาศอย่างไร

เนื่องด้วยในปี ๒๕๖๓ ทาง blogspot มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้สถิติบางอย่างที่ทาง blogspot เคยรวบรวมไว้ไม่มีอีกต่อไป (เช่น เว็บไซด์ที่แนะนำ ประเทศของผู้อ่าน ระบบปฏิบัติการที่ใช้) เหลือแต่เพียงแค่จำนวนครั้งที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม จากบทความที่เขียนไปในปี ๒๕๖๓ จำนวน ๙๙ บทความ ๔๘๙ หน้า มีการเข้ามาอ่านทั้งสิ้น ๒๕๔๐๙๐ ครั้งหรือเฉลี่ย ๖๙๖.๑๔ ครั้งต่อวัน นับว่าลดลงจากปี ๒๕๖๒ ที่อยู่ที่ ๗๑๖.๘๕ ครั้งต่อวัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นผลจาก COVID-19 หรือว่ามีเว็บไซด์ที่เผยแพร่เรื่องราวทำนองเดียวกันมากขึ้น หรือว่ามีผู้อ่านสนในเรื่องราวที่เขียนน้อยลง แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็คงต้องขอขอบคุณผู้อ่านที่ท่านที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชม สวัสดีปีใหม่ครับ

รูปที่ ๑ ภาพถ่ายดาวเทียมจาก google map แสดงที่ตั้งสถานีรถไฟชลบุรี (ในวงสีเหลือง)

รูปที่ ๒ สถานีจะอยู่แยกออกมาจากถนนสายเลี่ยงเมืองชลบุรี ระหว่างแยกไปบ้านบึงกับบ้านสวน

รูปที่ ๓ มองไปทางทิศใต้มุ่งหน้าไปสถานีบางพระ อันที่จริงจะมีป้ายหยุดรถแสนสุขอยู่ระหว่างทางก่อนถึงบางพระ

รูปที่ ๔ เดินมาจนสุดชานชาลาแล้วมองย้อนไปทางทางทิศตะวันออกจะเห็นภูเขาที่เป็นส่วนของเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเขาเขียว-เขาชมภู่

รูปที่ ๕ มองย้อนไปทางทิศเหนือกลับไปยังตัวสถานี

รูปที่ ๖ เดินเลยป้ายสถานีมาหน่อยแล้วมองไปทางทิศใต้มุ่งหน้าไปบางพระ จะเห็นว่าสถานีนี้มีรางให้จอดรถไฟหลายรางอยู่เหมือนกัน

รูปที่ ๗ ในตัวสถานีมีจุดให้คนเช็คอินอยู่ที่หน้าห้องน้ำด้วย

รูปที่ ๘ เดินมาสุดตัวสถานีด้านทิศเหนือ มองไปยังทิศทางมุ่งหน้าไปพานทอง

รูปที่ ๙ จากทิศเหนือของสถานี มองย้อนกลับมายังตัวสถานี อาคารด้านขวาสุดคือห้องน้ำที่มีจุดเช็คอินอยู่

รูปที่ ๑๐ บนชานชาลาฝั่งตรงข้ามตัวสถานีมีการทำหลังคาบังแดดบังฝนให้ รูปนี้เป็นการมองไปยังด้านทิศใต้

รูปที่ ๑๑ เลยตัวสถานีมาทางด้านทิศใต้หน่อย ยังมีการใช้การสับรางแบบเจ้าหน้าที่ต้องมาสับประแจที่นี่อยู่

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

น้ำตกเขาเจ้าบ่อทอง MO Memoir : Monday 29 October 2561

"เมื่อหลายเดือนที่แล้วมีน้ำป่าหลากลงมา โชคดีว่าหนีกันทัน" พี่ที่ปูเสื่อนั่งรอครอบครัวของเขาที่เดินขึ้นไปบนยอดน้ำตกเล่าให้ผมฟัง พร้อมกับชี้บอกทางเดินขึ้นไปชมน้ำตกข้างบน
 
วันอาทิตย์ที่ผ่านมามีโอกาสได้ไปกินโต๊ะจีนงานบวชแถวบ้านหนองผักหนาม ที่อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี ระหว่างที่ขับรถวนเวียนหาบ้านงานอยู่นั้นก็ได้เป็นป้ายบอกทางไปวนอุทยานน้ำตกเขาเจ้าบ่อทองที่อยู่ทางอีกฟากหนึ่งของภูเขา ก็เลยกะว่าพอเสร็จงานเลี้ยงก็จะแวะเข้าไปเยี่ยมชมดูหน่อย วนอุทยานแห่งนี้ถ้านับจากแยกถนนสาย ๓๓๑ ที่บ้านเนินโมก ก็จะใช้เส้นทางสาย ๓๔๐๑ ขับมาเรื่อย ๆ ก็จะพบทางเข้าอุทยานอยู่ทางด้านขวามือ เปิดให้เข้าฟรี ไม่เก็บเงิน ดูจากทำเลที่ตั้งแล้วผู้ที่มาพักผ่อนส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นคนในท้องถิ่นมากกว่า หรือไม่ก็คงเป็นผู้ที่ไปไหว้บรรพบุรุษแถวนั้นในช่วงเทศกาล

รูปที่ ๑ ที่ตั้งของวนอุทยานน้ำตกเขาเจ้าบ่อทอง ในเขตอ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี

พฤติกรรมอย่างหนึ่งของคนบ้านเราจำนวนไม่น้อยเวลาไปท่องเที่ยวตามธรรมชาติคือต้องหอบของกินไปกิน ถ้าไปทะเลก็ต้องไปนั่งกินบนหาด ถ้าไปน้ำตกก็ต้องไปหาที่นั่งกินกลางน้ำตกให้ได้ ถ้ากลางน้ำตกไม่มีที่ให้นั่งกินก็ขอเป็นริมน้ำตกก็แล้วกัน แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือมักจะไม่เก็บเศษขยะลงมาด้วย ทำให้มีเศษขยะซุกอยู่ตามซอกหินต่าง ๆ ของน้ำตก และตลอดทางเดินขึ้นไปยังน้ำตกชั้นบน ซึ่งที่นี่ก็เป็นเช่นนั้น

รูปที่ ๒ บนเส้นทาง ๓๔๐๑ มุ่งหน้าไปทางบ่อทอง จะเห็นทางเข้าอยู่ขวามือ บอกว่าเข้าไปลึกประมาณกิโลครึ่ง ถนนเส้นนี้เป็นถนนลาดยางตลอดทาง มีบางช่วงเป็นหลุมบ่อนิดหน่อย

รูปที่ ๓ ถนนลาดยางมาสุดทางที่หน้าทางเข้าอุทยาน ถ้าวิ่งเลยไปจะเป็นทางลูกรังที่ไม่รู้เหมือนกันว่าไปได้ถึงไหน

จะเป็นการดีกว่าไหมถ้าจะมีการรณรงค์กันไม่ให้นำอาหารขึ้นไปกินบนน้ำตก จัดสถานที่ไว้บริเวณลานทางเข้าอุทยานก็พอ ใครจะเดินขึ้นไปถ้าอยากพกน้ำขึ้นไปกินก็อนุญาตให้เฉพาะกระติกน้ำที่ต้องนำกลับออกมาด้วย ไม่ใช่น้ำขวดพลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง แบบที่อุทยานบางแห่งปฏิบัติอยู่ ซึ่งมันก็ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวนั้นแลดูสะอาดตาดี
 
วันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก หลังจากจัดเรื่องวิชาการหนัก ๆ ติดต่อกันหลายเรื่อง ก็ขอพักด้วยเรื่องไม่มีสาระมาก ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปภาพก็แล้วกัน

รูปที่ ๔ ป้ายสำหรับให้นักท่องเที่ยวมาเช็คอิน จะเห็นน้ำตกชั้นล่างสุดอยู่ข้างหลัง

รูปที่ ๕ ภาพน้ำตกชั้นล่างสุดเมื่อมองจากทางด้านหลังป้ายสำหรับเช็คอิน

รูปที่ ๖ น้ำตกชั้นล่างสุดเมื่อมองจากด้านล่างตรงขึ้นไป ตอนนี้ไม่ค่อยมีน้ำเท่าไรนัก แต่พอขึ้นไปดูข้างบนก็เห็นร่องรอยเหมือนกันว่าช่วงน้ำหลากสายน้ำคงกว้างกว่านี้

รูปที่ ๗ ปีนขึ้นมาชมวิวแล้วถ่ายรูปลงไปลานด้านหน้าอุทยาน

รูปที่ ๘ จากลานจอดรถ ถ้าเดินข้ามลำธาร จะมีทางเดินสำหรับขึ้นไปยังชั้นบนและศาลเจ้า รูปนี้เป็นตรงปากทางขึ้น

รูปที่ ๙ ขึ้นมาได้หน่อยก็ขอถ่ายรูปเส้นทางที่ขึ้นมาไว้เป็นที่ระลึกหน่อย สาวสวยในรูปคือภรรยาผมเอง :) :) :)

รูปที่ ๑๐ จุดแรกที่มาถึงคือทางแยกที่ชื่อร่มไทรทอง เดินตรงขึ้นไปทางขวาจะไปศาลเจ้าแปะกง ถ้าแยกลงซ้ายจะลงสู่ลานน้ำตกที่มีชื่อว่าร่มไทรเงิน

รูปที่ ๑๑ ลานน้ำตกที่มีชื่อว่าร่มไทรเงิน

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

แวะริมทางรถไฟภาคตะวันออก (๑) ชลบุรี-แสนสุข-บางพระ-เขาพระบาท MO Memoir : Saturday 15 September 2561

ว่าจะนำเอารูปสถานีรถไฟต่าง ๆ มาเขียนเป็นบันทึกการเดินทางว่าเคยผ่านไปที่ไหนมาบ้าง ถือว่าเป็นการเก็บภาพบรรยากาศก่อนที่จะมีรถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่านแถวนี้ก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าสถานีต่าง ๆ ที่นำรูปมาบันทึกไว้ในที่นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
 
รถไฟภาคตะวันออกจากฉะเชิงเทรามายังแหลมฉบัง สัตหีบ และมาบตาพุด จะใช้ขนสินค้าเป็นหลัก ช่วงหนึ่งก็เคยเห็นมีรถไฟโดยสารสายหัวลำโพง-พลูตาหลวง (อยู่แถว ๆ สัตหีบ กม. ๑๐) ที่ออกจากกรุงเทพเช้า ถึงพลูตาหลวงเที่ยง พอบ่ายก็ออกจากพลูตาหลวงเพื่อวิ่งเข้ากรุงเทพ รถไฟขบวนนี้เคยขึ้นอยู่เหมือนกันเมื่อกว่า ๒๐ ปีที่แล้ว ตอนนั้นต้องไปช่วยสอนหนังสือที่เทคโนลาดกระบังอยู่หลายปี ปีที่สอนเช้าก็เคยได้อาศัยขบวนนี้นั่งไปลาดกระบัง ปีที่สอนบ่ายก็เคยได้อาศัยขบวนนี้นนั่งเข้ากรุงเทพ แต่ตอนหลังนี้ดูเหมือนว่าจะเลิกวิ่งไปแล้ว ทำให้ทางรถไฟสายนี้เหลือแต่รถสินค้าวิ่งเป็นหลักเพียงอย่างเดียว
 
จุดเด่นของเส้นทางสายนี้น่าจะอยู่ตรงที่ปลายทางด้านทิศใต้นั้นบรรจบกับท่าเรือที่สำคัญ ๓ ท่าด้วยกัน คือแหลมฉบัง สัตหีบ และมาบตาพุด และเป็นเส้นทางที่ต่อตรงไปยังภาคอีกสานโดยไม่ต้องวิ่งอ้อมเข้าภาคกลางก่อน ทำให้สามารถขนสินค้าระหว่างทางเรือทางภาคตะวันออกกับพรมแดนติดประเทศลาวที่หนองคายได้สะดวก และคงเป็นด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประเทศจีนสนใจที่จะมีทางรถไฟเชื่อมจีนตอนใต้กับท่าเรือน้ำลึกในประเทศไทย เพราะเส้นทางทางทะเลจากมหาสมุทรอินเดียไปยังจีนนั้นต่างต้องผ่านประเทศที่มีปัญหาข้อพิพาททางทะเลกับจีนทั้งสิ้น ดังนั้นเส้นทางรถไฟนี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

รูปที่ ๑ ป้ายชื่อสถานีรถไฟชลบุรี ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๕
 
Memoir วันนี้ก็คงไม่มีสาระอะไรเช่นเดิม ถือว่าเป็นบันทึกความทรงจำส่วนตัวว่าเคยผ่านไปที่ไหนมาบ้าง กะว่าพอออกบันทึกนี้อีกตอนก็จะทำเป็นรวมเล่ม "รถไฟ ปู๊น ปู๊น" เล่มที่ ๒ ดังนั้นวันนี้ถือว่าเป็นการดูรูปเล่น ๆ ก็แล้วกันครับ :) :) :)

รูปที่ ๒ ป้ายบอกชื่อสถานีถัดไป ภาพนี้ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๕ เช่นกัน สถานีชลบุรีอยู่บนถนนเส้นเลี่ยงตัวเมืองชลบุรี ถ้ามาจากแยกไปบ้านบึงจะมีแยกออกซ้ายมือก่อนถึงแยกต่างระดับไปมอเตอร์เวย์และบรรจบสุขุมวิท

รูปที่ ๓ บรรยากาศตัวชานชาลาสถานี เมื่อมองย้อนไปทางทิศทางที่มาจาก อ.พานทอง ภาพนี้ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๕

รูปที่ ๔ ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๕ รูปนี้เป็นการมองไปยังเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังสถานีบางพระ

รูปที่ ๕ รูปประแจสับราง ถ่ายไว้เล่น ๆ ไม่มีอะไร รางรถไฟสายนี้จะดูหนักแน่นหน่อย คงเป็นเพราะเอาไว้บรรทุกสินค้าหนัก ถ่ายไว้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๕ เช่นกัน

รูปที่ ๖ สถานี (ถ้าเรียกเป็นทางการหน่อยก็คงต้องเรียกว่าป้ายหยุดรถ) แสนสุข รูปนี้ถ่ายเอาไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๐ หรือเมื่อ ๑๑ ปีที่แล้ว

รูปที่ ๗ ป้ายสถานนีรถไฟแสนสุข ถ่ายไว้เมื่อวันอังคารที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ภาพนี้มองไปยังเส้นทางที่มาจากชลบุรี สถานีนี้อยู่ในซอยแยกจากถนนสุขุมวิท ถ้ามุ่งหน้ามาจากแยกขวาเข้าอ่างศิลา ก่อนถึงแยกถนนข้าวหลาม จะมีซอยห้วยกะปิ ๑๗ ที่ถ้าเลี้ยวเข้าไปจนเจอทางรถไฟ ก็จะเป็นตัวสถานีอยู่ทางขวามือ

รูปที่ ๘ ป้ายสถานนีรถไฟแสนสุข ถ่ายไว้เมื่อวันอังคารที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ภาพนี้มองไปยังเส้นทางที่ไปยังสถานีบางพระ ที่เห็นอาคารหลังคาแดง ๆ คือจุดถนนข้ามทางรถไฟ ซอยนี้ใช้เป็นทางลัดไปออกมอเตอร์เวย์ได้ แต่ตอนนี้มีถนนข้าวหลามแล้วคงก็เลยไปใช้ถนนเส้นนั้นกันมากกว่า

รูปที่ ๙ จุดข้ามทางรถไฟของถนนเลียบทางรถไฟ ช่วงระหว่างสถานีรถไฟบางพระกับทางหลวงสาย ๓๑๔๔ รูปนี้ถ่ายเอาไว้เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ระหว่างพาลูกขับรถผจญภัยในถนนเส้นรอง มาเจอจังหวะที่เครื่องกั้นอัตโนมัติปิดกั้นพอดี

รูปที่ ๑๐ ลงจากรถไปถ่ายรูปเล่นหน่อย ถนนช่วงนี้ต่ำกว่าทางรถไฟอยู่มากเหมือนกัน และดูเหมือนไม่ค่อยมีใครใช้ ก็เลยมีการราดยางเพียงแค่พื้นราบ จุดช่วงปีนขึ้นมายังรางรถไฟและข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามก็เป็นลูกรังอยู่ ตอนนี้ไม่รู้ว่าสภาพปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง (ถ่ายเอาไว้เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕)

รูปที่ ๑๑ ถ่ายรถตัวเองเสร็จรถไฟก็มาพอดี เป็นขบวนรถสินค้า (ถ่ายเอาไว้เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕)

รูปที่ ๑๒ สถานีรถไฟบางพระ เมื่อมองไปยังเส้นที่มาจากชลบุรี เสียดายที่ภาพมันมัวไปหน่อย (ถ่ายไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒)

รูปที่ ๑๓ สถานีรถไฟบางพระ เมื่อมองไปยังเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังศรีราชา (ถ่ายไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒) สถานีนี้อยู่แถว ๆ ด้านหลังมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคตะวันออก

รูปที่ ๑๔ ถ้ดจากบางพระมาไม่ไกลก็เป็นสถานีเขาพระบาท รูปนี้มองไปยังเส้นทางที่มาจากตัวตลาดบางพระ เป็นสถานีที่อยู่ริมถนนสุขุมวิท ถ้ามาจากบางแสนพอผ่านแยกไฟแดงที่ตัวตลาดมาได้หน่อย จะมีแยกซ้ายที่เป็นถนนรอบอ่างเก็บน้ำ เลยแยกนี้มาหน่อยก็จะเป็นสถานีเขาพระบาทนี้ (ถ่ายไว้เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗) 

รูปที่ ๑๕ รูปนี้ถ่ายไว้เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เช่นกัน เป็นภาพที่มองไปยังเส้นมุ่งไปยังศรีราชา ทางด้ายซ้ายของภาพจะเป็นถนนสุขุมวิท ช่วงนั้นไปช่วยงานก่อสร้างโรงงานแถว ๆ นั้นก็เลยมีโอกาสแวะไปถ่ายรูปที่นี้

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2561

วัดเขาพระพุทธบาทบางทราย ชลบุรี MO Memoir : Saturday 11 August 2561

"ประมาณสัก ๓ กิโลเมตรก่อนจะถึงศาลากลางจังหวัดชลบุรี มีภูเขาลูกหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของตำบลบางทราย เชิงเขาลาดลงมาเกือบจดถนนสุขุมวิทย์ ภูเขาลูกนี้มีชื่อเรียกกันเป็นสามัญว่า เขาพระพุทธบาทสามยอด ที่เชิงเขามีวัดโบราณอยู่วัดหนึ่ง กล่าวกันว่าพระเจ้าแผ่นดินที่ครอบครองกรุงศรีอยุธยาพระองค์หนึ่งเสด็จประพาสทางเรือมาพักแรมที่ตำบลนี้ ทรงทอดพระเนตรเห็นภูมิประเทศงดงาม จึงโปรดให้สร้างวัดขึ้นที่เชิงเขา แต่โบราณสถานซึ่งสร้างแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยานั้นในปัจจุบันไม่มีเหลืออยู่แล้ว สิ่งก่อสร้างที่เหลืออยู่ในเวลานี้เป็นของสร้างและซ่อมใหม่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งสิ้น
 
(จากหน้า ๒๐ ของหนังสือ "ทัศนาสารไทย จังหวัดชลบุรี" ฉบับของสำนักงานวัฒนธรรมทางศิลปกรรม สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๙๙ โดย นายตรี อมาตยกุล กรรมการสำนักวัฒนธรรมทางศิลปกรรม สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ) ปัจจุบันวัดนี้คือวัดเขาพระพุทธบาทบางทราย


รูปที่ ๑ ที่ตั้งวัดเขาพระพุทธบาทบางทรายในปัจจุบัน (จาก google map) ตำแหน่งที่ (1) ในรูปคือที่ตั้งมณฑปบนเขาพระพุทธบาทบางทรายที่ขึ้นไปถ่ายรูป ส่วนตำแหน่งที่ (2) คือพระเจดีย์บนเขาพระพุทธบาทบางทรายที่ปัจจุบันเป็นองค์สีทองมองเห็นได้จากถนนสุขุมวิท แต่วันที่แวะไปนั้นผมมีเวลาจำกัด และหาทางขึ้นไม่เจอ

เป็นเวลาร่วม ๓๐ ปีที่ผมเดินทางผ่านทั้งถนนสุขุมวิทและถนนเลี่ยงเมืองชลบุรีเป็นประจำ สนามยิงปืนของค่ายทหารที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ กันก็เคยลองแวะเข้าไปใช้บริการ แต่ไม่เคยคิดจะแวะเข้าไปที่วัดนั้นซักที เพราะจะคิดจะไปก็ตอนที่ไปเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัดนี้ในหนังสืออายุกว่า ๖๐ ปีในห้องสมุด ที่มีภาพถ่ายวิหาร (รูปที่ ๒) และพระเจดีย์ (รูปที่ ๓) ที่อยู่บนเขาลูกนั้น ก็เลยอยากแวะขึ้นไปดูหน่อยว่าผ่านไปกว่า ๖๐ ปีแล้วมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง และเมืองชลบุรีเมื่อมองจากยอดเขานั้นจะเป็นเช่นไร เสียดายที่หนังสือไม่มีภาพเมืองชลบุรีที่มองจากเขาลูกนี้

รูปที่ ๒ ภาพวิหารบนเขาพระพุทธบาทบางทรายจากหนังสือทัศนาสารไทย จังหวัดชลบุรี รูปนี้น่าจะเป็นวิหารบนภูเขาลูกต้นที่มีการกล่าวเอาไว้ในหนังสือ


รูปที่ ๓ พระเจดีย์บนเขาพระพุทธบาทบางทราย มองเห็นทะเลอยูทางด้านซ้ายมือ เสียดายที่ภาพไม่ได้ระบุว่าเป็นภาพถ่ายจากเขาลูกไหน

ในหนังสือยังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวัดนี้ต่อไปว่า
 
" ... ในบริเวณวัดนี้มีต้นไม้ร่มรื่นและเงียบสงัดดีมาก ปูชนียสถานก็สร้างไว้บนภูเขาซึ่งทอดเป็นทิวไปตามถนนสุขุมวิทย์ ภูเขาลูกนี้มีวิหารหลัง ๑ ข้างในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป ๓ องค์ และมีพระสถูปเจดีย์องค์ ๑ ภูเขาลูกที่ ๒ มีวิหารหลัง ๑ มีพระพุทธรูปยืน ๒ องค์และพระพุทธรูปนั่ง ๕ องค์ ประดิษฐานอยู่ข้างใน มีเจดีย์องค์ ๑ กับหอระฆังหอ ๑ บนภูเขาลูกที่ ๓ มีมณฑปหลัง ๑ ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง พระพุทธไสยาศน์องค์ ๑ กับพระพุทธรูปนั่ง ๒ องค์ ต่อขึ้นไปบนยอดเขามีศิลารูปคล้ายศิลาธรรมจักรจมอยู่ในดิน คงโผล่ขึ้นมาให้เห็นเพียงซีกเดียว จึงเรียกกันว่าพระจันทร์ครึ่งซีก และต่อจากพระจันทร์ครึ่งซีกไปเป็นยอดเขาสูงสุด มีพระสถูปเจดีย์องค์ใหญ่องค์ ๑ สูงประมาณ ๒๐ เมตร ตรงกลางเจดีย์นี้เป็นโพรง สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นี้เป็นฝีมือช่างครั้งรัชกาลที่ ๔ ซึ่งว่ากันว่าเจ้าพระยาทิพกรวงค์มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) เป็นผู้สร้างขึ้น" (จากหน้า ๒๑)
 
ถ้าว่าตามรายละเอียดนี้ สถานที่ที่ผมขึ้นไปเยี่ยมชมก็คือภูเขาลูกที่ ๓ เพราะเป็นยอดที่มีองค์พระพุทธไสยาศน์ประดิษฐานอยู่ ส่วนที่ว่าขึ้นไปแล้วได้เห็นอะไรบ้างเมื่อมองลงมา ก็ลองไล่ดูจากรูปต่าง ๆ เอาเองก็แล้วกันนะครับ

"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จพระราชดำเนินมาทรงทอดกฐินที่วัดเขาพระพุทธบาทบางทรายนี้ครั้งหนึ่ง เมื่อพ.. ๒๔๓๐ และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อยังทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ ก็เคยเสด็จประพาสพระอารามหลวงที่เชิงเขานี้ครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.. ๒๔๔๗ ในรัชกาลที่ ๕ ทางราชการเคยใช้วัดนี้เป็นที่ทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒสัตยาเรื่อยมาจนตลอดรัชกาล เพราะฉะนั้นวัดเขาพระพุทธบาทบางทรายนี้จึงนับว่าเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรี" (จากหน้า ๒๒)
 
จากการที่มีปูชนียสถานที่ต่าง ๆ บนยอดเขาสามยอด น้ำที่ไหลจากยอดเขาทั้งสามที่ลงมารวมกันในสระที่อยู่ทางล่างจึงมีความเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งน้ำในสระนี้นอกเหนือไปจากเป็นแหล่งน้ำจืดให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์ ยังได้ถูกนำมาใช้ในการถือน้ำพิพัฒสัตยาด้วย (รูปที่ ๑๙ - ๒๐)

หลังจากแวะไปพบแพทย์ตามนัด ขากลับเห็นยังพอมีเวลาก็เลยถือโอกาสหาทางขึ้นไปถ่ายรูปที่มณฑปที่อยู่บนยอดเขา ทางขึ้นมณฑปนั้นสามารถจอดรถได้ที่ลานวัดด้านล่างแล้วเดินขึ้นไป แต่ตอนที่ผมไปนั้นผมขับตามแผนที่ google map ไปเรื่อย ๆ ถนนขึ้นไปถึงมณฑปนั้นเป็นถนนแคบ รถสวนทางกันไม่ได้ บางช่วงค่อนข้างชัน (ตามคลิปวิดิโอที่แนบมา) พอลงมาจากเขาลูกที่ ๓ นี้ก็จำเป็นต้องเดินทางต่อ เลยไม่ได้หาทางขึ้นไปบนเขาลูกที่ ๑ และลูกที่ ๒ อันที่จริงก็แวะขับตามแผนที่ที่บอกว่าเป็นเส้นทางไปยังเจดีย์ (ตำแหน่ง 2 ในรูปที่ ๑) แต่เห็นทางขึ้นมันดูรกแบบมีหญ้าขึ้นกลางถนน ก็เลยตัดสินใจไม่ขึ้นไป คิดว่าคราวหน้าถ้ามีโอกาสอีกคงจะหาทางขึ้นไปเยี่ยมชมอีก ๒ ยอดที่เหลือ Memoir ฉบับนี้ยาวหน่อยแต่ก็เป็นรูปถ่ายเสียเกือบทั้งหมด ถือว่าเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปภาพก็แล้วกัน

รูปที่ ๔ สุดทางทางด้านหลังมณฑป

รูปที่ ๕ ตัวมณฑปเมื่อมองจากทางด้านหลัง

รูปที่ ๖ บันไดสำหรับเดินขึ้นมาจากทางด้านล่าง

รูปที่ ๗ อาคารหลังคาสูงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่ง ส่วนอาคารด้านขวาเป็นที่ประดิษฐ์พระพุทธไสยาศน์

รูปที่ ๘ อีกด้านหนึ่งของมณฑป 

รูปที่ ๙ ทางด้านหน้าก็มีทางเดินขึ้นมาเหมือนกัน 

รูปที่ ๑๐ ลองเดินลงไปสำรวจดูหน่อยก็เห็นสภาพทางดังภาพ

รูปที่ ๑๑ มองย้อนขึ้นมายังมณฑป 

รูปที่ ๑๒ รูปนี้ไปจนถึงรูปที่ ๑๘ เป็นภาพตัวเมืองชลบุรีเมื่อมองลงมาก ผมถ่ายภาพไล่จากทางด้านทิศใต้ (คือตัวจังหวัดชลบุรี) ไปจนถึงทางด้านทิศเหนือ 

รูปที่ ๑๓ รูปนี้จะเห็นถนนเลี่ยงตัวเมืองที่ตัดอ้อมออกไปในทะเล 

รูปที่ ๑๔ เป็นช่วงจังหวะเวลาที่น้ำทะเลลงต่ำสุดพอดี

รูปที่ ๑๕ อาคารที่เห็นข้างล่างคือโรงเรียนชลบุรีสุขบท

รูปที่ ๑๖ อาคารที่เห็นข้างล่างคือโรงเรียนชลบุรีสุขบทเช่นกัน

รูปที่ ๑๗ ป่าชายเลนที่ยังพอหลงเหลืออยู่

รูปที่ ๑๘ ซูมภาพเข้าไปยังบริเวณป่าชายเลนที่ยังพอหลงเหลืออยู่

รูปที่ ๑๙ ป้ายเล่าประวัติความเป็นมาของสระเจ้าคุณเฒ่า

รูปที่ ๒๐ สภาพของสระเจ้าคุณเฒ่า

คลิปวิดิโอเส้นทางถนนขึ้นมณฑป