แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทางหลวง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ทางหลวง แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

แผนที่ทางหลวงประเทศไทย ๒๔๙๙ MO Memoir : Friday 20 July 2561

" ... รถไปวิ่งตั้งต้นตี ๒ ครึ่งที่สะพานพุทธยอดฟ้า ผ่านจังหวัดที่ต้องผ่านหัวหิน ประจวบฯ ศาลเจ้าพ่อเขาช้าง จุดประทัดกันแล้วก็ผ่านชุมพรไประนอง รถหยุดที่ด่าน มานีลุกเข้าห้องน้ำแล้วก็ไปกินข้าวกลางวันกันที่ระนอง จากนั้นก็ผ่านกระเปอร์ถึงตะกั่วป่าก็ ๑๕.๐๐ น. เห็นจะได้ เลี้ยวขึ้นเขาไปบ้านดอน ก่อนถึงพุนพินยางแตกเปลี่ยนยางแล้ววิ่งเข้าบ้านดอนเวลา ๑๘.๐๐ น. พอดิบพอดี ... " (จากเรื่อง "ผีหลอกที่บ้านดอน" ในหนังสือ "ผีกระสือที่บางกระสอ" โดย สง่า อารัมภีร พิมพ์ครั้งที่สาม โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙)
 
ข้อความข้างบนนั้นผู้เขียนไม่ได้ระบุว่าเป็นเหตุการณ์ในปีพ.ศ. ใด แต่เดาว่าน่าจะหลังปีพ.ศ. ๒๔๙๙ เพราะดูจากเวลาที่รถเดินทางได้นั้นทำให้คาดเดาได้ว่าถนนช่วง ระนอง-ตะกั่วป่า และช่วงข้ามเขา ตะกั่วป่า-บ้านดอน นั้นสร้างเสร็จแล้ว เพราะแผนที่ทางหลวงประเทศไทยที่นำมาให้ดูกันในวันนี้ ไม่ได้ระบุว่าเป็นแผนที่ที่จัดทำในปีพ.ศ. ใด แต่ไปปรากฏอยู่ในหนังสือ "ทัศนาสารไทย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา" ที่จัดพิมพ์ในปีพ.ศ. ๒๔๙๙ แสดงว่าตัวแผนที่นั้นต้องได้รับการจัดทำเอาไว้ในปีพ.ศ. ๒๔๙๙ หรือก่อนหน้านั้น
  
รูปที่ ๑ แผนที่ที่นำมาแสดงมาจากหนังสือ ทัศนาสารไทย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉบับของสำนักวัฒนธรรมทางศิลปกรรม สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ หน้าหลังของหนังสือมีตราประทับระบุไว้ว่า (นายเฉลิม พันธุ์ภักดี ผู้พิมพ์และผู้โฆษณา เลขที่ ๒๐ โทร 20715 พ.ศ. ๒๔๙๙ (หมายเลขโทรศัพท์สะกดด้วยเลขอารบิก นอกนั้นเป็นเลขไทย) โรงพิมพ์ภักดีประเสริฐ พ.ศ. ๒๔๘๐ ถนนหลังวังบูรพา พระนคร) ส่วนฉบับของจังหวัดฃลบุรีไม่ได้รายละเอียดปีที่พิมพ์ระบุไว้ แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน

รูปที่ ๒ แผนที่ตอนบนของประเทศ

บทประพันธ์เก่า ๆ จำนวนไม่น้อย ถือได้ว่าเป็นบันทึกบรรยากาศของบ้านเราและการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยทั่วไปในอดีต อย่างเช่นการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ นั้นทำได้อย่างไร ใช้เวลาเท่าใด ได้พบเจอกับอะไรบ้าง อย่างเช่นในเรื่อง "อภินิหารเจ้าพ่อกรมหลวงชุมพรฯ" ที่อยู่ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ สง่า อารัมภีร ได้บันทึกการเดินทางจากกรุงเทพไปยังชุมพรในช่วงปีพ.ศ. ๒๕๐๒ - ๒๕๐๓ เอาไว้ดังนี้
 
" ... ตอนแรกว่าจะไปรถไฟ แต่มนัสเขาบอกว่าไปรถ ร... ดีกว่า ทหารก็ครึ่งราคาเหมือนรถไฟ เย็น ๆ ก็ถึง ที่ประชุม ๔ คนจึงตกลงไปชุมพรด้วย ร... ด้วยความดีใจที่ได้เที่ยวไกล ๆ เรา ๔ คนจึงกินเหล้ากันจนดึกดื่น สันต์กินเสียจนเป็นไข้ พอขึ้นรถก็หลับเรื่อยไปทีเดียว รถสมัยก่อนไม่มีเบอร์ที่นั่ง เราไปช้าจึงต้องนั่งข้างหลัง รถกระแทกเสียจนสร่างเมาเชียวครับ ถนนสมัยโน้นดีแค่ถึงหัวหินเท่านั้นเอง ส่วนหัวหินไปประจวบฯ ยังเป็นลูกรัง ประจวบฯ ไปทับสะแกและบางสะพานเป็นหลานรัง คือแย่ยิ่งกว่าลูกรัง เมื่อถึงบางสะพานก็หยุดนาน ข้าวของบนหลังคาลงที่ทับสะแกเสียครึ่งหนึ่ง ลงที่บางสะพานหมดเลย คนโดยสารก็เหลือน้อยมาก .... "
" ... เรานอนไปได้จากบางสะพานถึงชุมพร เพราะรถทั้งคนมีคนโดยสารไม่ถึง ๑๐ คน ถึงชุมพรก็บ่ายโข ... "

รูปที่ ๓ แผนที่ตอนล่างของประเทศ

แผนการเชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกลกันด้วยการคมนาคมทางบกของไทยนั้น เดิมจะใช้เส้นทางรถไฟเป็นหลัก จากนั้นจึงค่อยใช้เส้นทางถนนแยกย่อยออกไปจากตัวสถานีรถไฟ ดังจะเห็นได้จากการพัฒนาถนนที่ปรากฏในแผนที่ กล่าวคือจะมีการพัฒนาถนนจากสถานีรถไฟหลักไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่ไม่มีรถไฟผ่านก่อน เช่นทางเหนือก็จะมีถนนจากแพร่ไปยังน่าน ถนนจากลำปางไปเชียงราย และถนนจากเชียงใหม่ไปยังอำเภอต่าง ๆ ของจังหวัด แต่ไม่ยักมีถนนเชื่อมระหว่าง แพร่-ลำปาง-เชียงใหม่ (รูปที่ ๔) การเดินทางไปภูเก็ตก็น่าจะเป็นนั่งรถไฟไปที่ตรังก่อน จากนั้นจึงค่อยเดินทางด้วยรถยนต์ย้อนขึ้นไปทางกระบี่ หรือไม่ก็คงลงเรือเพื่อเดินทางไปยังภูเก็ตเลย (รูปที่ ๖) ส่วนทางภาคอีสานก็ทำนองเดียวกัน เส้นทางถนนที่เชื่อมต่อระหว่างภาคกลางกับภาคอีสานก็จะเป็นทางด้านลพบุรี ชัยบาดาล ที่เชื่อมต่อไปยังชัยภูมิ (รูปที่ ๔) ซึ่งถ้าเทียบกับแผนที่ปัจจุบันก็น่าจะเป็นทางหลวงหมายเลข ๒๐๕ การที่เลือกสร้างถนนเส้นนี้ก่อนก็น่าจะเป็นเพราะเป็นช่วงที่ตัดผ่านภูเขาที่สั้นที่สุด และยังมีค่ายทหารอยู่ที่ลพบุรีด้วย ดังนั้นถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นทางภาคอีสาน ก็สามารถที่จะเคลื่อนย้ายกำลังจากภาคกลางไปได้รวดเร็ว นอกเหนือไปจากเส้นทางรถไฟที่อาจถูกปิดกั้นได้ง่าย ดังที่เคยเกิดขึ้นในกรณีที่เรียกว่า "กบฎบวรเดช" ที่มีการต่อสู้กันตามทางรถไฟ โดยเฉพาะในช่วงสถานีหินลับ-ทับกวาง-ปากช่อง ที่มีการทำลายทั้งสะพานรถไฟและเส้นทาง

รูปที่ ๔ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคเหนือและภาคกลาง

รูปที่ ๕ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

รูปที่ ๖ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคใต้

รูปที่ ๗ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคใต้และภาคตะวันออกตอนล่าง

รูปที่ ๘ แผนที่ส่วนขยายบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออก

Memoir ฉบับนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพียงแค่เอาข้อมูลที่พบในหนังสือเล่มหนึ่งที่ยืมมาจากห้องสมุดมาบันทึกไว้ เพื่อที่จะได้ใช้ทำความเข้าใจในการอ่านหนังสือเล่มอื่น

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แม่สอด-แม่สะเรียง เรื่องของเส้นทางสาย ๑๐๕ MO Memoir : Sunday 24 May 2558

สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์เดินทางไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ เวลาที่คุณเดินทางคุณเคยตั้งคำถามไหมครับว่า เส้นทางที่คุณใช้เดินทางนั้นเดิมมันเป็นอย่างไร แต่ตรงนี้ผมคิดว่าคงขึ้นอยู่กับนิยามของคำว่า "ไปเที่ยว" ของแต่ละคน คือมุ่งมันไปที่ "จุดหมายปลายทาง" เพียงอย่างเดียว หรือมีการรวม "เส้นทางการเดินทาง" เข้าไปด้วย
  
เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมาก็ได้มีโอกาสทำในสิ่งที่อยากจะทำอีกครั้ง คือการได้ขับรถท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะเส้นทางที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ใช้ในการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง ครั้งนี้เส้นทางที่เลือกเอาไว้ก็คือเส้นทางจาก อ.แม่สอด จังหวัดตาก ไปตามทางหลวงแผ่นดินสาย ๑๐๕ ไปสิ้นสุดที่ อ.แม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
  
แผนที่ที่ใช้ในการเดินทางครั้งนี้ผมใช้แผนที่สองฉบับ ฉบับแรกเป็นแผนที่ขยายเฉพาะจังหวัดตาก-แม่สอด ส่วนแผนที่ฉบับที่สองเป็นฉบับที่ใหม่กว่าคือแผ่นที่ภาคเหนือ มาตราส่วน ๑:๗๕๐,๐๐๐ ทั้งสองฉบับจัดทำโดยศูนย์แผนที่พรานนกวิทยา ที่ผมเลือกแผนที่ของสำนักพิมพ์นี้ก็เพราะมันเป็นแผนที่ที่แสดงภูมิประเทศประกอบ เพราะจากประสบการณ์นั้นมันสอนให้รู้ว่าเวลาการเดินทางจะใช้เท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศด้วย เส้นทางที่ขึ้น-ลงเขานั้นจะใช้เวลามากกว่าเส้นทางบนพื้นราบอยู่ประมาณ ๓-๔ เท่า (แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นทางบนเขาและประสบการณ์การขับรถ) และยังช่วยในการวางแผนการเติมน้ำมันก่อนการเดินทางด้วย (ปรกติผมจะประมาณว่ากินน้ำมันมากกว่าขับพื้นราบประมาณเท่าตัวหรือกว่านั้น)
  
จะว่าไปแล้วเส้นทางถนนเลียบชายแดนของบ้านเราก็เพิ่งจะมีการพัฒนากันไม่นานนี้ เรียกว่าเป็นช่วงหลังสงครามการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ยุติลงก็ได้ (หลังปีพ.ศ. ๒๕๓๐) เพราะก่อนหน้านั้นการตัดถนนยังมุ่งเน้นไปที่การเชื่อมตัวจังหวัดและอำเภอที่สำคัญเข้าด้วยกัน บางเส้นทางที่มีการสู้รบนั้นก็เป็นการตัดถนนเพื่อความมั่นคงหรือส่งกำลังบำรุง (ที่มักเรียกกันว่าถนนสายยุทธศาสตร์) และพอการสู้รบยุติก็มีการปรับปรุงให้เป็นเส้นทางการเดินทางหลัก
  
สำหรับเส้นทางสาย ๑๐๕ ช่วงจาก แม่สอด-แม่สะเรียง นี้ ผมได้นำเอาข้อมูลจากแผนที่ฉบับที่เก่าสุดที่ผมมี คือแผ่นที่ทหารรหัส L509 ที่จัดทำขึ้นโดยใช้ข้อมูลราว ๆ ปีพ.ศ. ๒๕๐๐ (รูปที่ ๑) ตามด้วยแผนที่ที่จัดพิมพ์เผยแพร่ในปีพ.ศ. ๒๕๐๘ (รูปที่ ๒ และ ๓) แผนที่ทางหลวงประเทศไทยที่จัดทำขึ้นประมาณช่วงปีพ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๓๕ (รูปที่ ๔ และ ๕) และแผนที่ที่จัดทำขึ้นในช่วงประมาณปีพ.ศ. ๒๕๕๐ (รูปที่ ๖) มาให้ดูเปรียบเทียบกัน 
   
รูปที่ ๗-๑๐ เป็นภาพบรรยากาศบางส่วนของเส้นทางสาย ๑๐๕ จากบ้านท่าสองยางไปยัง อ.สบเมย (ถ่ายเอาไว้เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ช่วงเวลาหลังเที่ยง บ้านท่าสองยางกับตัวอำเภอท่าสองยางอยู่คนละที่กันนะครับ บ้านท่าสองยางอยู่เลยตัวอำเภอมาอีกประมาณ ๕๐ กิโลเมตร ใกลักับเขตแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่วนตัวอำเภอท่าสองยางนั้นอยู่ที่บ้านแม่ต้านใกล้กับอ.แม่ระมาด) ในวันที่เดินทางนั้นถนนเส้นนี้พอเลยจากบ้านท่าสองยางไปไม่มากนักก็จะพบกับการก่อสร้างเพื่อขยายเส้นทางเป็นช่วง ๆ บางช่วงของเส้นทางยังคงสภาพเดิม ๆ อยู่เช่นที่ถ่ายมาให้ดูในรูปที่ ๗ และ ๘ แต่บริเวณผ่านหมู่บ้านมักจะมีการปรับปรุงสภาพเส้นทางให้บ้างแล้วเช่นที่บ้านแม่อมกิในรูปที่ ๙ แต่ถนนบางช่วง เช่นช่วงก่อนถึงบ้านสบเงาก็ยังคงสภาพแบบเดิม ๆ อยู่ แต่ดีหน่อยตรงนี้เป็นเส้นทางบนพื้นราบ ไม่ใช่เส้นทางบนเขา (ออกจากบ้านท่าสองยางได้ไม่นาน เส้นทางก็จะเริ่มไต่ขึ้นเขา และมาลงเขาก็แถวอุทยานแห่งชาติสบเงา)
  
เส้นทางสายนี้ออกจากแม่สอดแล้วก็มีปั๊มน้ำมันที่ อ.แม่ระมาด ที่ อ.ท่าสองยางนั้นก็มีปั๊มชาวบ้านอยู่ริมถนนก่อนถึงทางเข้าตัวอำเภอ (ถ้าขับขึ้นมาจากแม่ระมาด) มีแก๊สโซฮอล์ 95 และดีเซลให้เติม พอเลยตัวอำเภอไปหน่อยแห่งมีปั๊มน้ำมันบางจากอยูระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าน่าจะเปิดใช้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พ้นจากนี้ไปแล้วก็ต้องไปเติมที่แม่สะเรียง (ถ้าไม่รังเกียจปั๊มหลอดของชาวบ้าน ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ยังพอหาเติมแก้ขัดได้)
  
ตามเส้นทางนี้มีจุดหนึ่งที่ผมแวะไปก็คือบ้านแม่สามแลบ ที่เป็นพรมแดนไทยด้านแม่น้ำสาละวิน (เรียกว่าไปสุดพายับที่สาละวินก็ได้) ขับรถชมวิวเข้าไปเรื่อง ๆ พักกินข้าวกันสักชั่วโมง แล้วก็ขับกลับ
  
อันที่จริงตอนขากลับก็ขับกลับทางเส้นทางเดิม และได้ถ่ายคลิปวิดิโอ (ใช้กล้องโทรศัพท์มือถือ) ถ่ายเอาไว้ด้วย โดยเลือกถ่ายเอาไว้เฉพาะเส้นทางตอนที่มันโหด ๆ เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก ถ้ามีโอกาสก็อาจจะนำมาเผยแพร่ให้ดูกัน
   

รูปที่ ๑ แผนที่ทหารรหัส L509 จัดทำขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างกองทัพสหรัฐกับกรมแผนที่ทหารของไทย ข้อมูลในแผนที่คาดว่าเป็นในปีค.ศ. ๑๙๕๗ (พ.ศ. ๒๕๐๐) ตามแผนที่นี้ เส้นทางถนนพหลโยธินที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือมายังจังหวัดตากนั้น บอกว่าผิวจราจรไม่ได้เป็นแบบพื้นผิวแข็ง (hard surface) เดาว่าคงยังเป็นลูกรังอยู่ และถนนไปยังอ.แม่สอดก็ยังไม่มี
  
รูปที่ ๒ แผนที่จังหวัดตาก จากหนังสือแผนที่ ๗๑ จังหวัดของประเทศไทย โดยเจษฎา โลหะอุ่นจิตร พ.ศ. ๒๕๐๘
   
รูปที่ ๓ แผนที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตัดมาเฉพาะช่วงที่ต่อเนื่องกับจังหวัดตาก นำจากหนังสือแผนที่ ๗๑ จังหวัดของประเทศไทย โดยเจษฎา โลหะอุ่นจิตร พ.ศ. ๒๕๐๘ เช่นกัน ตามแผนที่นี้จะเห็นว่าถนนมายังแม่สะเรียงจากทางเชียงใหม่นั้นยังอยู่ระหว่างการสร้าง และเส้นทางเชื่อมระหว่าง ในแผนที่นี้ที่ระบุว่าเป็นแม่น้ำแม่เมย (Maemeay river) ทางมุมซ้ายบนของภาพ ที่ถูกควรจะเป็นแม่น้ำสาละวิน การใช้ลำน้ำเป็นเส้นทางเดินทางจากแม่สะเรียงมายังท่าแม่สอด ตามแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำเมย (แต่จากสภาพแม่น้ำที่เห็นคิดว่าคงได้เฉพาะบางช่วงฤดูกาลเท่านั้น)
   
รูปที่ ๔ แผนที่ประเทศไทย จัดทำโดยศูนย์แผนที่พรานนกวิทยา ต้นฉบับได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมปี ๒๕๕๔ ฉบับนี้น่าจะเป็นหลังปีพ.ศ. ๒๕๓๐ เพราะมีการวางแนวการก่อสร้างเส้นทางมอเตอร์เวย์ (ทางหลวงสาย ๗) ในแผนที่แล้ว
   
รูปที่ ๕ แผนที่ส่วนนี้นำมาจากหนังสือแผนที่ทางหลวงฉบับปีพ.ศ. ๒๕๓๕ จัดทำโดยกรมทางหลวง เดาว่าเป็นแผนที่ยุคเดียวกับแผนที่ในรูปที่ ๓ พึงสังเกตว่าเส้นทางจาก (1) อ.แม่สอด ผ่าน (2) อ. แม่ระมาด (3) อ.ท่าสองยาง (4) กิ่งอ.สบเมย ไปยัง (5) อ.แม่สะเรียง นั้นยังมีชื่อเป็นทางหลวงสาย ๑๐๘๕ อยู่ และถนนนั้นเป็นทางลาดยางไปแค่ บ้านท่าสองยาง เลยบ้านท่าสองยางไปยังสบเมยและแม่สะเรียงนั้นยังเป็นทางลูกรัง ส่วน (6) คือบ้านแม่สามแลบ ที่เป็นหมู่บ้านชายแดนของไทยที่ตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน
  
รูปที่ ๖ แผนที่ทางหลวงภาคเหนือ จัดทำโดยศูนย์แผนที่พรานนกวิทยา (ประมาณปีพ.ศ. ๒๕๕๐)
  





วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๒๑ ทางหลวงล่องใต้ MO Memoir : Wednesday 11 July 2555


ฉบับแรกของปีที่ ๕ นี้ออกล่าช้าไปหน่อยเพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับปัญหาพีค NO ของ GC-2014 ECD & PDD ซึ่งตอนนี้หลังจากโทรคุยโทรศัพท์กับสาวน้อยหน้าบาน (คนใหม่) เมื่อสักชั่วโมงที่ผ่านมาก็คิดว่าปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่เครื่อง GC แล้ว แต่น่าจะอยู่ที่ระบบ tubing ของอุปกรณ์ทดลอง (ปัญหาเดิมกลับมาใหม่อีกครั้ง)

นอกจากนี้ยังโดยไข้หวัดเล่นงานเสียอีก ติดจากลูกมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว จนป่านนี้ก็ยังไม่หายดี อยู่ได้ด้วยการกินยาพาราเซตามอลทีละ ๒ เม็ดทุก ๖ ชั่วโมง

วันศุกร์ที่แล้วต้องเข้าไปประชุมในห้องสำนักงานของหัวหน้าใหญ่ ห้องประชุมนี้นาน ๆ จะโดนเรียกเข้าไปที (ไม่จำเป็นไม่อยากจะเข้าไป เพราะถ้าต้องไปทีไรแสดงว่ามีเรื่องปวดหัวให้ต้องทำ) ในห้องนั้นจะมีแผนที่ทางหลวงประเทศไทยเก่า ๆ ใส่กรอบแขวนไว้ข้างฝาอยู่ฉบับหนึ่ง ผมเห็นมานานแล้ว ตอนเดินออกจากห้องนั้นทีไรก็มักจะแวะหยุดดูทุกที

แผนที่ทางหลวงเก่า ๆ นั้นผมว่ามันบอกให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรในประเทศของเราหลายอย่าง จากบริเวณที่เคยเป็นพื้นที่ที่ไม่มีคนอยู่หรือมีอยู่บางตา กลับกลายเป็นชุมชนใหญ่เมื่อมีถนนตัดผ่าน

การตัดถนนแต่ก่อนนั้นเข้าใจว่าจะตัดไปยังชุมชนต่าง ๆ ตอนเด็ก ๆ ไปเยี่ยมญาติทางใต้ ผู้ใหญ่ก็เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนพอชาวบ้านรู้ว่าจะมีโครงการตัดถนน ก็จะยกที่ตัวเองให้ เพื่อที่จะได้มีถนนผ่านแถวบ้านตัวเอง ถนนเส้นเดิมก็เลยคดไปคดมา ถนนตามแนวเดิมนั้นจะวางแนวไปบนพื้นผิวภูมิประเทศ ตรงไหนลงต่ำก็ต่ำตาม ตรงไหนขึ้นสูงก็ขึ้นสูงตาม ดังนั้นจะเห็นว่าความสูงของระดับถนนกับระดับพื้นข้างถนนนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงมาก

ในช่วงหลังการตัดถนนเปลี่ยนแปลงไป ใช้วิธีการวางแนวให้ตรงที่สุดเท่าที่จะตรงได้ จะหลบโค้งเมื่อจำเป็น ตรงไหนเป็นเนินดินสูงก็จะใช้วิธีตัดผ่านกลางให้มันเตี้ยลง ตรงไหนเป็นที่ต่ำก็ใช้การถมให้มันสูงขึ้น ผลออกมาก็คือใครมีบ้านที่อยู่ตรงที่เป็นเนินดินก็จะเห็นระดับพื้นดินบ้านตัวเองนั้นอยู่สูงเหนือพื้นถนนหรือไม่ก็สูงกว่าหลังคารถที่วิ่งผ่านเสียอีก แต่ถ้าใครมีบ้านอยู่ตรงที่ต่ำก็อาจจะได้เห็นว่ารถดับพื้นถนนอยู่ระดับเดียวกับหลังคาบ้านตัวเอง

ผมมีโอกาสได้ขับรถไปเที่ยวทางใต้หลายครั้ง ปรกติก็จะขับลงทางฝั่งอ่าวไทยและกลับทางฝั่งอันดามัน ตอนขับลงก็จะลงไปตามถนนเพชรเกษม (ทางหลวงสาย ๔) ถึงแยกปฐมพรที่จังหวัดชุมพร ก็ขับต่อไปตามทางหลวงสาย ๔๑ ลงไปทางสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ซึ่งเป็นจุดที่ทางหลวงสาย ๔๑ มาบรรจบถนนเพชรเกษมใหม่ และต่อลงไปยังสงขลา พอตอนกลับก็จะออกจากจังหวัดพัทลุงไปทางจังหวัดตรังตามทางถนนเพชรเกษม จำความได้ตอนเด็ก ๆ เคยนั่งรถจากพัทลุงไปทางตรัง ตรงรอยต่อระหว่างสองจังหวัดนี้ถนนเพชรเกษมต้องข้ามเขาบรรทัด เส้นทางช่วงนี้คดเคี้ยวมากจนชาวบ้านเรียกว่าถนนช่วงนี้ว่าเป็นช่วงขึ้น "เขาพับผ้า" (มันคดเหมือนผ้าที่เขาพับทบเอาไว้) ด้านหนึ่งของถนนเป็นภูเขา อีกด้านลึกต่ำลงไปมีลำธารน้ำไหลผ่าน แต่นั่นเป็นอดีตไปแล้ว เพราะมีการตัดแนวถนนดังกล่าวใหม่ แต่ถ้าใครสังเกตดูข้างทางให้ดี ๆ ก็จะพอเห็นร่องรอยของถนนเส้นเดิมหลงเหลืออยู่ (เช่นแนวถนนหรือสะพานเก่า ถ้าไม่โดนต้นไม้ขึ้นปกคลุมจนหมดเสียก่อน)

ช่วงที่ยังให้บรรยากาศเก่า ๆ ใกล้เคียงบรรยากาศเขาพับผ้าเดิมเห็นจะเป็นทางหลวงหมายเลข ๔ ช่วงอ.ทับปุด ถึง อ.เมือง จ.พังงา ถนนเส้นดังกล่าวมีคนใช้น้อยมาก คงเพราะเป็นเส้นทางขึ้นเขาและคดเคี้ยวมาก หาช่วงที่เป็นทางตรงแทบไม่ได้เลย รถใหญ่จะผ่านไปลำบาก คนก็เลยไปใช้เส้น ๔๑๕ ที่ตัดผ่านป่าชายเลนกันมากกว่า

ขับรถมาหลายถนนแล้ว (ขาดแต่ภาคอีสาน) เส้นทางที่ชอบมากเส้นทางหนึ่งคือถนนเพชรเกษมช่วงระหว่างจังหวัดระนอง ต่อไปยัง พังงา กระบี่ และตรัง เพราะให้บรรยากาศที่ไม่ทำให้รู้สึกแห้งแล้ง มีอะไรต่อมิอะไรให้ชมตลอดสองข้างทาง ถนนไม่ตรงดิ่งเป็นทางยาวที่ทำให้ขับแล้วน่าเบื่อ แต่สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องเมารถและพวกที่ชอบขับรถเร็วแล้ว คงจะไม่ชอบเส้นทางนี้แน่ เพราะส่วนใหญ่ยังเป็นถนนสองเลนอยู่ (แต่ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ายังเป็นสองเลนเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ถ้าถูกขยายขึ้นเป็น ๔ เลนเมื่อใดจะรู้สึกเสียดายบรรยากาศสองข้างทางมาก

เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไปถนนเพชรเกษมถึงได้ตัดอ้อมไปมา จากกรุงเทพพอมาถึงชุมพรที่อยู่ฝั่งอ่าวไทยก็เลี้ยวขวาไปยังจังหวัดระนอง ไปวิ่งเลียบฝั่งอันดามันจนถึงจังหวัดตรัง จากนั้นจึงค่อยวกกลับมาฝั่งอ่าวไทยที่จังหวัดพัทลุงใหม่อีกครั้ง แต่พอได้เห็นแผนที่ฉบับนี้แล้ว (รูปที่ ๑) ก็คิดว่าที่คำตอบที่เคยคิดไว้น่าจะถูกต้อง

จังหวัดที่อยู่ริมด้านอ่าวไทยนั้นมี "ทางรถไฟ" วิ่งผ่านอยู่แล้ว นอกจากนี้ถ้าไม่ใช้รถไฟก็ยังใช้เรือเดินทางมายังกรุงเทพได้ แต่จังหวัดด้านทะเลอันดามันนั้นไม่มีรถไฟวิ่งผ่าน ถ้าจะมาเรือก็ต้องไปอ้อมที่สิงคโปร์ ดังนั้นจุดนี้จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เมื่อตัดถนนเพชรเกษมนั้นพอตัดไปถึงชุมพรก็ให้เลี้ยวไปทางจังหวัดที่อยู่ทางด้านฝั่งทะเลอันดามัน ส่วนเส้นทางจากชุมพรตรงไปยังสุราษฎ์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง ซึ่งก็คือทางหลวงสาย ๔๑ นั้นก็เก็บเอาไว้ก่อน ในแผนที่จะเห็นว่าทางหลวงสาย ๔๑ ทำเสร็จสมบูรณ์มาแค่ปากน้ำหลังสวน ชุมพร จากนั้นก็เป็นแค่จุดประ ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าความหมายคือถนนในโครงการหรือเป็นทางลูกรัง (แต่คิดว่าน่าจะเป็นทางลูกรังมากกว่า เพราะบ้านเกิดของคุณแม่ของผมนั้นอยู่ริมถนนเส้นดังกล่าว ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก ๆ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองยังได้เห็นทหารญี่ปุ่นนั่งรถผ่านถนนหน้าบ้าน)

ดังนั้นแต่ก่อนถ้าใครจะเดินทางไปสุราษฎร์ธานีหรือนครศรีธรรมราชทางรถยนต์ก็ต้องเดินทางกว่าพันกิโลเมตร เพราะต้องขับรถไปทางชุมพร ระนอง ลงไปถึงอ.ตะกั่วป่า จ.พังงา จากนั้นจึงค่อยเลี้ยวเข้าทางหลวงแผ่นดินสาย ๔๐๑ (ที่ปัจจุบันมีเขื่อนเชี่ยวหลานหรือเขื่อนรัชชประภาอยู่) ผ่านคีรีรัฐนิคม แล้วค่อยไปโผล่ที่อ.พุนพิน และเข้าตัวจังหวัดสุราษฎร์ธานีอีกที

ถ้าจะไปนครศรีธรรมราช ก็ต้องขับลงต่อไปยังจังหวัดพังงา จังหวัดกระบี่ ไปถึงอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง จากนั้นจึงค่อย้อนขึ้นตามทางหลวงสาย ๔๐๓ ไปยังอำเภอทุ่งสง อำเภอร่อนพิบูลย์ แล้วค่อยเข้าจังหวัดนครศรีธรรมราช

นั่นเป็นอดีตที่เคยได้ยินผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟัง เลยเอามาบันทึกไว้กันลืม

รูปที่ ๑ แผนที่ทางหลวงสายใต้ไม่ทราบปีพ.. รู้แต่ว่าตอนนั้นทางหลวงสาย ๔๑ จากชุมพรไปยังพัทลุงพึ่งสร้างไปได้แค่อำเภอหลังสวน ดังนั้นถ้าใครจะเดินทางโดยรถยนต์ไปยังสุราษฎร์ธานีหรือนครศรีธรรมราช ต้องนั่งรถกันร่วมพันกิโลเมตรหรือมากกว่า