แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปลั๊ก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปลั๊ก แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

รางปลั๊กไฟ สายไฟ อุปกรณ์ตัดกระแสเกิน MO Memoir : Monday 18 May 2563

เมื่อราว ๆ สองสัปดาห์ที่แล้ว เห็นมีการแชร์กันเรื่องการนำเอาปลั๊กพ่วงหลายตัวมาต่ออนุกรมกัน ว่าจะเกิดอันตรายอย่างไร ซึ่งผมอ่านดูแล้วเห็นว่าเหตุผลที่เขาอธิบายนั้นมันดูเผิน ๆ ก็น่าจะดี แต่เอาเข้าจริง ๆ มันอาจจะไม่ถูกก็ได้
  
เรื่องการเอาปลั๊กพ่วงหลายตัวมาต่ออนุกรมกันนั้น จะว่าไปแล้วไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ คือถ้าจำเป็นก็ทำได้ แต่ต้องเข้าใจข้อพึงระวังในการใช้ด้วย เพราะปลั๊กพ่วงบ้านเรามีหลากหลายแบบ แต่ละแบบรับกระแสได้ไม่เท่ากัน ดังนั้นถ้าต่อพ่วงไม่ดีก็อาจเกิดเรื่องได้ง่าย หรือแม้แต่ไม่ได้มีการต่อพ่วงกันหลายตัว ปลั๊กพ่วงเพียงตัวเดียวแต่ใช้ผิดวิธี ก็ทำให้ไฟไหม้ได้ง่ายเหมือนกัน หรือแม้แต่ไม่ต้องใช้ปลั๊กพ่วงเลย แค่เสียบปลั๊กไม่แน่น ก็ทำให้ไฟไหม้ได้เช่นกัน
  
แต่ก่อนอื่นเราลองมาดูการเดินสายไฟกันหน่อย (อาศัยความรู้พื้นฐานไฟฟ้าที่พอจะเคยเรียนมาบ้าง และประสบการณ์ที่ต้องทำงานกับช่างไฟฟ้าตอนที่เขามาเดินสายไฟให้กับห้องปฏิบัติการ)
  
สายไฟที่เข้าบ้าน (หรือที่แยกออกมาจาก Bus Bar เข้าไปยังแต่ละชั้นของอาคาร) จะต้องเข้ายัง Circuit Breaker หลักก่อนที่ทำหน้าที่ตัดไฟหรือเปิดให้ไฟเข้าบ้านได้ (แต่ก่อนจะใช้ฟิวส์กระปุก แต่ปัจจุบันจะไม่เห็นกันแล้ว) จากนั้นไฟจะแยกจาก Circuit Breaker (หรือบางทีก็เรียกว่า Safety Breaker) เข้าไปยัง Circuit Breaker (ต่อไปขอย่อว่า CB) ย่อยแต่ละตัวที่ควบคุมการจ่ายไฟไปยังส่วนต่าง ๆ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้าน เช่น เครื่องปรับอากาศ ไฟแสงสว่างชั้นบน ไฟแสงสว่างชั้นล่าง เต้ารับชั้นบน เต้ารับชั้นล่าง เครื่องทำน้ำอุ่น ฯลฯ
  
สายที่เดินไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็มักจะเดินตรงไปยังอุปกรณ์ตัวนั้นเลย แต่สายที่เดินไปยังเต้ารับต่าง ๆ ในบ้านหรือในอาคารนั้น ที่เคยเห็นในบ้านเราก็เห็นอยู่สองรูปแบบด้วยกัน (รูปที่ ๑ ข้างล่าง) โดยรูปแบบแรกนั้นจาก CB ย่อยจะเดินสายไปยังเต้ารับ ๑ ก่อน (เช่น CB1 ในรูปที่ ๑) จากนั้นก็จะต่อไปจากจุดต่อที่อยู่ทางด้านหลังเต้ารับ ๑ ไปยังเต้ารับ ๒ และทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ที่เคยเห็นแบบนี้ก็เป็นกรณีของเต้ารับที่อยู่ฟากเดียวกันของผนัง คือเดินสายจากเพดานลงมาเพียงแค่ตำแหน่งเดียว จากนั้นก็ค่อยเดินสายในแนวระดับไปยังตำแหน่งต่าง ๆ ที่ต้องการติดตั้งเต้ารับ ส่วนรูปแบบที่สองนั้น (CB2 ในรูปที่ ๑) จะเดินสายไปยังกล่องแยกสายไฟ (Junction box) จากนั้นจึงค่อยแยกสายจากกล่องนี้ไปยังเต้ารับที่ตำแหน่งต่าง ๆ เช่นสายไฟที่เดินมาตามเพดานแล้วแยกลงเต้ารับที่อยู่คนละฟากของผนัง
  
รูปที่ ๑ ตัวอย่างการเดินสายไฟสำหรับเต้ารับที่แยกออกมาจาก Main Circuit Breaker

ทีนี้ถ้าเราไปดูที่สายไฟ เราจะไม่เห็นข้อความระบุว่าสายไฟเส้นนี้รับกระแสได้กี่ "แอมแปร์" (แต่เรามันจะเรียกอย่างย่อ ๆ ว่า "แอมป์" หรือ A) แต่จะระบุพื้นที่หน้าตัดของสายทองแดง (หน่วยเป็นตารางมิลลิเมตร) เอาไว้ เหตุผลก็เพราะความสามารถของสายไฟฟ้าในการรับกระแสขึ้นอยู่กับวิธีเดินสายไฟ เวลาที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวทำจะเกิดความร้อนในปริมาณ I2R เมื่อ I คือกระแสไฟฟ้าและ R คือความต้านทาน (Ohm) ความร้อนที่เกิดขึ้นนี้จะระบายผ่านฉนวนหุ้มแกนทองแดงออกไป
  
ถ้าความร้อนระบายออกไปได้ไม่ดี ฉนวนหุ้มสายไฟก็อาจร้อนจนหลอมละลายได้ ส่วนความร้อนจะระบายออกได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าเดินสายไฟเส้นนั้นอย่างไร สายไฟที่เดินแบบตีกิ๊ฟ เดินลอย หรือเดินเปลือย ความร้อนที่เกิดขึ้นจะระบายออกสู่อากาศล้อมรอบได้โดยตรง ในขณะที่การเดินร้อยท่อนั้นการระบายความร้อนจะแย่กว่า และยิ่งท่อนั้นมีสายไฟร้อยอยู่หลายเส้นด้วย ความร้อนที่สะสมภายในท่อก็จะมากขึ้นด้วย สายไฟขนาดเดียวกันที่กระแสไหลผ่านเท่ากัน สายไฟที่เดินลอยหรือเดินเปลือยจะร้อนน้อยกว่า กล่าวอีกอย่างก็คือที่อุณหภูมิสูงสุดที่ฉนวนสายไฟรับได้ สายไฟที่เดินลอยหรือเดินเปลือยจะรับกระแสได้มากกว่า ซึ่งเรื่องนี้ช่างไฟฟ้าที่มีความรู้เขาจะคำนึงถึงอยู่แล้วเวลาออกแบบ เวลาที่เขาเลือกขนาด CB เขาก็จะเลือกขนาด CB ให้ตัดกระแสไฟก่อนที่สายไฟจะไหม้
  
ทีนี้เราลองกลับไปพิจารณารูปที่ ๑ กรณีของการต่อเต้ารับจากตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่ง (แถวบน) ที่มีการติดตั้ง CB1 ขนาด 10 A สมมุติว่าที่เต้ารับ ๓ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟ 5 A และเต้ารับ ๒ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟ 5 A ดังนั้นสายไฟ C จะมีกระแสไหลผ่าน 5 A ในขณะที่สายไฟ A และ B มีกระแสไหลผ่าน 10 A ทีนี้พอมีการเสียบเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟ 5 A ที่เต้ารับ ๑ (หรือ ๒ หรือ ๓ ก็ได้) สิ่งที่เกิดก็คือ CB1 จะตรวจพบกระแสไหลผ่านสูงเกินค่ากำหนด ก็จะทำการตัดไฟ แต่ถ้าพบว่าสายไฟไหม้โดยที่ CB1 ไม่ตัดกระแส ก็แสดงว่าตัว CB1 มีปัญหา หรือสายไฟมีปัญหา ก็ต้องหาสาเหตุกันต่อไป ในกรณีของแถวล่าง (ที่มีการติดตั้ง CB2) ก็จะเป็นแบบเดียวกัน
  
ต่อไปเรามาลองพิจารณากรณีของการต่อปลั๊กพ่วงหรือรางปลั๊กไฟหลายตัวอนุกรมกันบ้าง ดังแสดงในรูปที่ ๒ ข้างล่าง โดยสมมุติให้ปลั๊กพ่วงแต่ละตัวนั้นสามารถรับกระแสไฟฟ้าได้ 10 A โดยปลั๊กพ่วง ๑ นั้นต่อเข้ากับเต้ารับ ๗ ที่มี CB3 ขนาด 10 A ที่จำกัดปริมาณกระแสสูงสุดอยู่

รูปที่ ๒ แผนผังการต่อปลั๊กพ่วงหลายตัวอนุกรมกัน

การต่อตามรูปที่ ๒ นี้มัน "คล้าย" กับแถวบนในรูปที่ ๑ เพียงแต่ว่าการต่อระหว่างเต้ารับนั้นใช้การเสียบเต้าเสียบ (ก็คือปลั๊กตัวผู้นั่นแหละ) เข้ากับเต้ารับ (ซึ่งก็คือปลั๊กตัวเมียนั่นแหละ) แทนที่จะเป็นการต่อสายไฟจากจุดต่อที่อยู่ทางด้านหลังของเต้ารับ ในกรณีตามรูปที่ ๒ นี้ สมมุติว่าปลั๊กพ่วง ๒ และ ๓ แต่ละมีอุปกรณ์ดึงกระแสไฟรวมกันตัวละ 5 A ดังนั้นสายไฟช่วง (3) ก็จะมีกระแสไฟไหลผ่าน 5 A ในขณะที่สายไฟช่วง (1) (2) และ (4) จะมีกระแสไฟไหลผ่าน (10 A)
  
และถ้ามีการเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินกระแสไฟฟ้า 5 A เข้ากับปลั๊กพ่วง ๑ สิ่งที่เกิดนั้นไม่ใช่ว่าสาย (1) และ (4) จะมีกระแสไหลผ่าน 15 A ซึ่งจะทำให้ร้อนจัดจนไหม้ แต่ตัว CB3 ต่างหากที่ควรทำงานโดยตัดการจ่ายกระแสไฟไปยังเต้ารับ ๗
  
ที่บอกว่าการต่อตามรูปที่ ๒ นี้มันเพียงแค่ "คล้าย" กับแถวบนในรูปที่ ๑ นั่นก็เพราะการต่อตามรูปที่ ๑ นั้นมักจะใช้สายไฟที่เป็นลวด "ทองแดง" แข็ง (ไม่ใช่แบบเส้นเล็ก ๆ มาตีเกลียว) และการสัมผัสระหว่างสายไฟกับขั้วต่อนั้นจะแนบแน่นดี (ถ้าต่อถูกวิธี) และเมื่อมันแนบสนิทดีแล้วมันก็จะเป็นอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ ตราบที่ไม่มีใครไปยุ่ง แต่การเอาเต้าเสียบไปเสียบเข้าไปในรูปของเต้ารับ การนำไฟฟ้าเกิดผ่าน "พื้นที่สัมผัส" ระหว่างขาของเต้าเสียบและขั้วโลหะของเต้ารับ ซึ่งตรงนี้มันมีเรื่องของวัสดุที่ใช้ทำขาเต้าเสียบและขั้วโลหะเต้ารับ ขนาดของพื้นที่สัมผัส และรูปร่างของขาของเต้าเสียบเข้ามาเกี่ยวข้อง วัสดุที่ใช้ทำขาเต้าเสียบและขั้วโลหะเต้ารับนั้นทำจาก "ทองเหลือง" หรือโลหะอื่นที่มีความต้านทานไฟฟ้าสูงกว่าทองแดง และในกรณีของเต้าเสียบที่เป็นชนิดขาแบนด้วย พื้นที่ผิวสัมผัสนั้นจะต่ำกว่าชนิดขากลม และในกรณีของเต้ารับที่มีการใช้เสียบใช้งานและถอดออกไปเรื่อย ๆ ตัวขั้วโลหะก็จะเกิดการหลวม สิ่งเหล่านี้ทำให้ความต้านทานไฟฟ้าตรงบริเวณจุดต่อระหว่างเต้าเสียบกับเต้ารับนี้สูงมากขึ้น และถ้ามันมากพอ ความร้อนที่เกิดขึ้นก็สามารถทำให้ปลั๊กตรงจุดนี้ไหม้ได้โดยที่สายไฟนั้นยังไม่ไหม้
  
ปัญหาเรื่องการไหม้ที่ตัวเต้ารับเนื่องจากการสัมผัสกันไม่ดีนั้น ไม่จำเป็นต้องมีปลั๊กพ่วงเข้ามาเกี่ยวข้อง เวลาผมคุมนิสิตทำแลปเคมี เมื่อใดก็ตามที่มีการใช้ hot plate หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าใด ๆ ก็ตาม จะต้องเดินตรวจและย้ำนิสิตอยู่เสมอว่าเวลาเสียบปลั๊กต้องเสียบให้แน่นสนิท ไม่ใช่ยังเห็นขาโลหะโผล่อยู่ เพราะถ้าเสียบไม่แน่นสนิท ความร้อนที่เกิดตรงจุดนี้สามารถทำให้ตัวเต้ารับนั้นไหม้ได้ง่าย ๆ เช่นกัน เรื่องนี้เคยเขียนเอาไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ในเรื่อง "นานาสาระเรื่องไฟฟ้ากำลัง : วางเพลิงแลปไม่ใช่เรื่องยาก"
  
เรื่องความต้านทานที่จุดสัมผัสนี้ผมทำการทดลองเล่น ๆ เองที่บ้านด้วยการใช้อุปกรณ์ตามรูปที่ ๓ ข้างล่าง โดยเริ่มจากวัดความต้านทานจากขาเต้าเสียบ 1 กับรูที่เต้ารับ 2 ก่อน วัดได้ 0.6 โอห์ม จากนั้นก็เสียบเต้าเสียบลงในรางปลั๊กตัวซ้ายและวัดความต้านทานระหว่างจุด 3 กับจุด 2 พบว่าทำได้ต่ำสุดคือ 1.2 โอห์ม (คือถ้าเสียบปลั๊กไม่ดีค่ามันก็จะสูงกว่านี้) นั่นแสดงว่าความต้านทานที่จุดสัมผัสในกรณีนี้นั้นอยู่ที่ประมาณ 0.6 โอห์ม ซึ่งถ้ามีกระแสไหลผ่านเต็มที่ (10 A) ความร้อนที่เกิดขึ้นตรงนี้ก็จะมีค่าประมาณ 60 Watt
  
รูปที่ ๓ ชุดการทดลองวัดความต้านทานที่จุดสัมผัส

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การต่อปลั๊กพ่วงหลายตัวต่อกันตามรูปที่ ๒ นั้นก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ก็เป็นเพราะใช้ปลั๊กพ่วงที่รับกระแสได้ต่ำกว่ากระแสที่ CB3 จะตัด มาใช้เป็นปลั๊กพ่วง ๑ และปลั๊กพ่วงตัวนั้นไม่มีระบบฟิวส์หรือ CB ป้องกัน
  
กล่าวคือสมมุติว่าสายไฟของปลั๊กพ่วง ๑ นั้นรับกระแสได้เพียง 5 A ในขณะที่ปลั๊กพ่วง ๒ และ ๓ นั้นรับกระแสไฟได้ 10 A ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีการดึงไฟออกจากปลั๊กพ่วง ๒ และ ๓ รวมกัน 10 A สายไฟช่วง (2) จะไม่มีปัญหา เพราะมันทนได้อยู่แล้ว แต่สายไฟช่วง (1) จะไหม้ เพราะมันทนไม่ได้ และ CB3 ก็จะไม่ทำงานด้วย เพราะกระแสไฟฟ้าไม่เกิน 10A แต่ถ้าปลั๊กพ่วง ๑ นั้นมีฟิวส์หรือ CB ป้องกัน สิ่งที่เราควรจะเห็นก็คือฟิวส์ที่ปลั๊กพ่วง ๑ จะขาดหรือ CB ทำงาน นั่นแสดงว่ามีปัญหาเรื่องการดึงกระแสมากเกินไป เรื่องแบบนี้มีโอกาสเกิดในกรณีที่มีการใช้ปลั๊กพ่วงหลากหลายชนิดโดยที่ไม่รู้ขีดจำกัดของปลั๊กพ่วงแต่ละตัว
  
ปลั๊กพ่วงอีกแบบที่ทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่ายแม้ว่าจะใช้งานที่กระแสต่ำกว่าที่ผู้ผลิตระบุได้ก็คือพวกที่ม้วนเก็บได้แบบในรูปที่ ๔ ข้างล่าง ปลั๊กพ่วงแบบนี้แต่ก่อนจะเห็นขายกันเกลื่อนแต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นแล้ว ความยาวสายไฟมีให้เลือก (ถ้าจำไม่ผิดนะ) ขนาด 3, 5 และ 10 เมตร ที่นี้ราคาขายมันไม่ได้แปรผันตามความยาวสายไฟ คือไม่ใช่ชนิดสายไฟยาว 10 เมตรจะมีราคา 3 เท่าของชนิดสายไฟยาว 3 เมตรหรือ 2 เท่าของชนิดสายไฟยาว 5 เมตร แต่มันแพงกว่ากันนิดหน่อย ดังนั้นเมื่อผู้ซื้อมาเห็นเข้าก็จะเห็นว่าเพิ่มตังค์อีกนิดก็ได้สายไฟเพิ่มขึ้นเท่าตัว ก็เลยมีการซื้อชนิดสายไฟที่ยาว ๆ เอาไว้ก่อน
  
รูปที่ ๔ ปลั๊กพ่วงแบบนี้ เวลาใช้งานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินกระแสสูง "จำเป็น" ที่ต้องดึงสายไฟออกจากม้วนให้หมด เพื่อป้องกันไม่ให้สายไฟร้อนจัดจนฉนวนหลอมไหม้ได้

สายไฟที่ใช้กับปลั๊กแบบในรูปที่ ๔ นี้มันเป็นสายอ่อน (แบบสายไฟพัดลม ตู้เย็น ทีวี) ที่เหมาะสำหรับการเดินเปลือย แต่เวลามันถูกม้วนเก็บอยู่นั้นมันจะพันทับตัวมันเอง อันที่จริงผู้ผลิตก็มักจะระบุเอาไว้ที่ตัวปลั๊กแล้วว่าเวลาที่ใช้กับเครื่องไฟฟ้าที่กินกระแสไฟสูง ให้คลี่สายไฟออกจากม้วนให้หมด ซึ่งถ้าทำตามที่เขาบอกมันก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือบางทีใช้ชนิดสายยาว 5 เมตรหรือ 10 เมตรโดยคลี่สายออกมาเพียงแต่เมตรเดียวหรือสั้นกว่านั้น พอใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินกระแสไฟสูง (แม้ว่าจะต่ำกว่าที่ตัวปลั๊กไฟระบุไว้ก็ตาม) สายไฟที่ยังคงม้วนอยู่ข้างในจะไม่สามารถระบายความร้อนออกมาได้ เพราะมันถูกตัวมันเองที่ระบายความร้อนออกมาเช่นกันนั้นพันทับอยู่ ทำให้ฉนวนสายไฟหลอม เกิดไฟฟ้าลัดวงจรและตามด้วยการเกิดไฟไหม้

เมื่อ ๒๐ กว่าปีที่แล้ว ระหว่างเดินตรวจแลปวิจัย พบนิสิตรายหนึ่งใช้ปลั๊กพ่วงแบบนี้ในการต่อ hot plate โดยไม่มีการคลี่สายออกให้หมด ก็เลยรีบจัดการถอดปลั๊กทันที พอทดลองดึงสายไฟออกจากม้วนก็ไม่สามารถดึงได้ เพราะฉนวนสายไฟเริ่มหลอมติดกันแล้ว เรียกว่าถ้าไม่มีใครไปเห็นหรือไปเห็นช้ากว่านี้ ก็คงเกิดเรื่องแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2563

การออกแบบที่ดีต้องไม่เปิดช่องให้ทำผิดได้ในขณะใช้งาน MO Memoir : Sunday 12 January 2563

ผมเคยซื้อน้ำยาลบคำผิดแบบที่เป็นปากกามาใช้ พอใช้จนหมดก็เลยนึกอยากเอาแบบขวดที่มันถูกกว่าเติมเข้าไปเพื่อจะใช้งานต่อได้ แต่พอพยายามจะหมุนเปิดหัวปากกาเพื่อเติมน้ำยาก็หมุนไม่ออก จนพบว่าถ้าอยากหมุนออกก็ต้องหมุนไปอีกทาง เพราะว่ามันเป็น "เกลียวเวียนซ้าย"
  
ในชีวิตประจำวันเราเห็นเกลียวเวียนซ้ายกันไม่บ่อยครั้ง ที่ใกล้ตัวที่สุดเห็นจะได้แก่เกลียวยึดใบพัดพัดลมเข้ากับแกนมอเตอร์ แต่นั้นก็เป็นตัวด้วยความจำเป็นทางเทคนิค เพราะไม่ต้องการให้ตัวนอตตัวเมียที่ยึดใบพัดมันคลายตัวเนื่องจากแรงเหวี่ยวที่เกิดขณะหมุน เขาก็เลยต้องกำหนดทิศทางเกลียวให้แรงเหวี่ยงนั้นทำให้นอตมันขันอัดแน่นเข้าไปแทนที่จะคลายตัวออก อุปกรณ์ห้องแลปบางชนิดก็ใช้เกลียวเวียนซ้าย หัวถังแก๊สไฮโดรเจนและแก๊สอันตรายหลายตัวจะใช้เกลียวเวียนซ้าย ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เอา pressure regulator ที่ใช้กับแก๊สธรรมดามาขันต่อเข้าไปได้ หัวสกรูบางตัวที่ใช้สำหรับการปรับแต่งการทำงานของอุปกรณ์ก็จะต้องใช้ไขควงรูปร่างพิเศษในการหมุน กล่าวคือถ้าไม่มีสกรูแบบพิเศษก็ยากที่จะหมุนมันได้ ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะไม่ต้องการให้ใครไปหมุนเล่น หรือบางทีก็เอาไปซ่อนไว้หลังฝาปิดตัวเครื่องเลย 
   
Memoir ฉบับนี้เป็นบันทึกบางเรื่องราวทั้งที่เคยประสบมากับตัวเองและเคยอ่านพบมาเล่าให้ฟังสัก ๓ เรื่อง เพื่อให้เห็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการป้องกันการทำงานผิดพลาดดังกล่าว

เรื่องที่ ๑ เพราะปลั๊กมันเสียบแทนกันได้

เมื่อเกือบ ๒๐ ปีที่แล้วทางภาควิชามีการจัดซื้อครุภัณฑ์เพื่อการวิจัยชุดใหญ่ เวลาออกข้อกำหนดอุปกรณ์เหล่านี้จำเป็นต้องกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจน ปัญหาหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือเรื่องของไฟฟ้า ที่ต้องกำหนดว่าอุปกรณ์ดังกล่าวต้องทำงานได้กับระบบไฟฟ้า 200-240 V 50 Hz ที่เป็นระบบไฟฟ้าของบ้านเรา ทั้งนี้เพราะอุปกรณ์ที่มาจากทางญี่ปุ่นหรืออเมริกานั้นจะเป็นระบบไฟฟ้า 100-120 V 60 Hz ซึ่งอุปกรณ์บางชนิดของเขานั้นก็มีการทำทั้งสำหรับระบบไฟฟ้าทั้งสองแบบ แต่อุปกรณ์บางชนิดเขาก็จะมีเฉพาะรุ่นที่ใช้กับไฟ 100-120 V เท่านั้น ถ้าต้องการใช้กับระบบไฟ 200-240 V ก็จะมีการส่งหม้อแปลงไฟมาให้เพิ่มเติม
  
ตอนนั้นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ได้มาก็คือ air compressor ที่ใช้งานกับเครื่อง gas chromatograph ได้มาหลายเครื่องเลย แต่เป็นชนิดที่ใช้กับไฟฟ้า 100-120 V ของญี่ปุ่น พอจัดส่งมาบ้านเราเขาก็ส่งหม้อแปลงไฟมาให้ด้วย สายไฟของตัวเครื่องอัดอากาศนั้นไม่ได้ต่อปลั๊กตัวผู้มาให้ แต่ตัวหม้อแปลงที่ให้มานั้นมีปลั๊กตัวผู้แถมมาให้ ๑ ตัว เสียบคามากับตัวหม้อแปลงเลย คือตัวที่อยู่ที่มุมขวาล่างของรูปที่ ๑
การต่อสายไฟ ๓ สายที่เป็นสายดิน ๑ สายนี่ก็ต้องระวังให้ดี คืออย่าเอาสายดินไปต่อกับขา live เพราะมันถึงตายได้ ทางผมเองผมก็เอาปลั๊กที่เขาแถมมานั้นมาใช้เป็นปลั๊กตัวผู้สำหรับตัวเครื่องอัดอากาศ ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะในแลปนั้นปลั๊กตัวเมียที่ใช้กับปลั๊กตัวผู้แบบนี้มันไม่มีใช้กับไฟ 220 V จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการเผลอเอาไปเสียบกับไฟ 220 V
รูปที่ ๑ หม้อแปลงไฟจาก 220 V เหลือ 110 V ตัวนี้มีปลั๊กตัวเมียด้านขาออกมาให้ ๓ ช่อง สองช่องทางซ้ายเป็นแบบ ๓ ขาที่ใช้ปลั๊กตัวผู้แบบขาแบนเสียบได้ ส่วนตัวซ้ายเป็นปลั๊กแบบพิเศษคือมันเป็น ๓ ขาแบบที่เห็นมุมล่าง เวลาใช้งานต้องเสียบปลั๊กตัวผู้เข้าไปและบิดหมุน มันจึงจะใช้งานได้  
  
แต่ก็มีบางกลุ่มที่เขาไปเอาปลั๊ก ๓ ขาที่ใช้กับปลั๊กตัวเมียทางด้านขวาในรูปที่ ๑ (แบบปลั๊กคอมพิวเตอร์ ๓ ขาที่เป็นขาแบน ๒ ขา) ตอนแรกมันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอมีการปรับเปลี่ยนขนย้ายอุปกรณ์มันก็เกิดเรื่อง เพราะคนที่มาทีหลังนั้นไม่รู้ว่ามันต้องเสียบเข้ากับหม้อแปลงไฟ 220 V เป็น 110 V เขาคงคิดว่าของเดิมที่มันเสียบอยู่นั้นเป็น voltage stabilizer ก็เลยเอามันไปเสียบกับไฟ 220 V (ด้านหลังของเครื่อง voltage stabilizer ที่ใช้กับไฟ 220 V ในบ้านเรามันก็มีปลั๊กตัวเมียแบบ ๓ ขาที่เป็นขาแบน 2 ขาเช่นกัน) ผลก็คือเครื่องอัดอากาศก็พัง
  
อีกสิ่งที่ควรจะทำเพิ่มเติม (แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการทำ) ก็คือ ควรมีการทำเครื่องหมายถาวรที่เห็นได้ชัดบนตัวเครื่องอัดอากาศ เพื่อบอกให้รู้ว่ามันใช้กับไฟ 220 V เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่มาทีหลังที่พอเห็นปลั๊กตัวผู้แล้วหาที่เสียบไม่ได้ ก็เลยคิดจะเปลี่ยนปลั๊กตัวผู้เป็นชนิดที่เสียบกับปลั๊กตัวเมียที่ใช้กับไฟ 220 V ได้

เรื่องที่ ๒ เพราะท่อมันสลับกันได้

การระเบิดที่โรงงานผลิต HDPE ของบริษัท Phillips ระเบิดที่เมือง Pasadena รัฐ Texas ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ (ค.ศ. ๑๙๘๙) ที่มีผู้เสียชีวิตถึง ๒๓ รายจากการระเบิดที่เกิดจากการรั่วไหลของแก๊สขณะที่ถอดท่อออกเพื่อกำจัดสิ่งอุดตันนั้น เรียกว่าสามารถป้องกันได้ถ้าหากตัวอุปกรณ์นั้นได้รับการออกแบบไม่ให้ต่อท่อสลับกันได้
  
วาล์วที่เกิดการรั่วไหลเป็น ball valve ที่ใช้ actuator เป็นตัวเปิด-ปิดวาล์ว โดยตัว actuator นี้มีจุดสำหรับต่อท่ออากาศอัดความดันเข้า ๒ จุด จุดหนึ่งนั้นเป็นจุดต่อท่ออากาศอัดความดันที่ใช้สำหรับปิดวาล์ว ส่วนอีกจุดหนึ่งนั้นเป็นจุดต่อท่ออากาศอัดความดันสำหรับเปิดวาล์ว และจุดต่อท่ออากาศทั้งสองนั้นใช้ fitting แบบเดียวกันและขนาดเดียวกัน และความผิดพลาดมันเกิดจากการที่มีการต่อท่ออากาศสลับกัน ทำให้เมื่อโอเปอร์เรเตอร์สั่งปิดวาล์วนั้น (เพื่อจะทำการซ่อมบำรุง) กลับกลายเป็นว่าเป็นการเปิดวาล์ว หลังเหตุการณ์ดังกล่าวจึงมีคำแนะนำว่า (อันที่จริงมันก็มีมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว) ในกรณีเช่นนี้ตัวข้อต่อนั้นควรเป็นคนละชนิดกัน และ/หรือ ต่างขนาดกัน เพื่อไม่ให้ต่อสลับกันได้
  
เรื่องนี้เคยเล่าไว้ใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๖๗๒ วันอังคารที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๖ เรื่อง "โรงงาน HDPE ระเบิดที่ Pasadena เมื่อ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๒"
 
เรื่องที่ ๓ เพราะมันจะยกหรือจะดึงก็ได้

เมื่อ Captain และ First Officer (นักบินผู้ช่วย) ยึดถือแนวปฏิบัติในการนำเครื่องร่อนลงที่ไม่เหมือนกัน และต่างก็ไม่ยอมกัน จึงนำมาสู่การประนีประนอมที่ว่าถ้าฉันเป็นคนขับเครื่องร่อนลง ให้เธอ (ในฐานะผู้ช่วย) ทำตามวิธีฉัน ถ้าเธอเป็นคนนำเครื่องร่อนลง ฉัน (ในฐานะผู้ช่วย) ก็จะทำตามวิธีเธอ แต่เมื่อฉันเป็นผู้นำเครื่องร่อนลง เธอกลับไม่ทำตามวิธีฉัน กลับไปทำตามวิธีของเธอ ผลก็คือตายยกลำ ๑๐๙ ศพ
   
เรื่องนี้นำมาจากผลการสอบสวนกรณีการตกของเครื่องบิน DC-8-63 สายการบิน Air Canada เที่ยวบินที่ ๖๒๑ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ปีค.ศ. ๑๙๗๐ (พ.ศ.๒๕๑๓) ที่สนามบิน Toronto International Airport รูปและข้อความต่าง ๆ ในที่นี้นำมาจากรายงานการสอบสวนฉบับดังกล่าว
   
สำหรับผู้ที่เคยโดยสารเครื่องบินและมีโอกาสนั่งริมหน้าต่างใกล้กับปีกเครื่องบิน เคยสังเกตบ้างไหมครับจังหวะเวลาที่ล้อเครื่องบินลงแตะพื้น จะมีแผงบางชิ้นบนปีกยกขึ้นตั้งเพื่อความการไหลของอากาศ แผงนี้คือ "Ground Spoiler" ที่ทำหน้าที่ทำลายแรงยกของปีก (รูปที่ ๒) เพื่อทำให้เครื่องบินลงจอดได้ง่ายขึ้น เพราะในช่วงเวลาที่เครื่องบินร่อนลงจอดนั้น ยังจำเป็นที่ต้องรักษาแรงยกเอาไว้เพื่อไม่ให้เครื่องบินร่วงหล่น แต่เมื่อล้อแตะพื้นแล้วก็ต้องลดแรงยกตัวที่ปีกเพื่อให้เครื่องบินลงจอดได้ การลดแรงยกตัวก็ทำได้ทั้งการลดความเร็ว และการทำลายรูปแบบการไหลของอากาศผ่านปีกที่ทำให้เกิดแรงยก ซึ่งวิธีหลังทำได้ด้วยการใช้ Ground Spoiler
   
รูปที่ ๒ โครงสร้างปีกเครื่องบิน Ground Spoilers คือแผงที่จะยกตัวตั้งขวางทิศทางการไหลของอากาศ เพื่อทำลายแรงยกที่ปีกเครื่องบิน เพื่อช่วยในการลงจอด แผงนี้ควรจะต้องทำงานเมื่อเครื่องบินลงแตะพื้นแล้วเท่านั้น
   
เหตุการณ์นี้เกิดกับเครื่องบินโดยสาร DC-8-63 (จะหมายความว่าเป็นเครื่อง DC-8 ซีรีย์ 63 ก็น่าจะได้) การควบคุมการทำงานของ Ground Spoiler ของเครื่องบินรุ่นนี้ใช้การควบคุมผ่านการทำงานของ Spoiler Lever (รูปที่ ๓) ที่ติดตั้งอยู่ทางด้านหน้าระหว่างกลางของนักบิน ๒ คน (นักบิน ๒ คนในที่นี้ก็คือ Captain ที่เป็นหัวหน้าหลัก และ First Officer หรือนักบินผู้ช่วย) การควบคุมการทำงานผ่านทาง Spoiler Lever นี้ทำได้ด้วยกันสองวิธี (ดูรูปที่ ๔ ประกอบ) 
    
วิธีแรกนั้นให้ทำการ "Lift" (ขอแปลว่า "ยก") lever ดังกล่าวขึ้นด้านบน วิธีการนี้ให้ทำในขณะที่เครื่องกำลังร่อนลงสนามบิน (ในรายงานใช้คำว่า "on the flare") คือเครื่องบินกำลังบินอยู่เหนือพื้น การยก lever นี้ขึ้นบนจะยังไม่ทำให้ Ground Spoiler ทำงาน แต่เป็นการ "armed" คือมันจะทำงานทันทีที่ล้อเครื่องบินแตะพื้น
    
วิธีการที่สองนั้นให้ทำการ "Pull" (ขอแปลว่า "ดึง") lever ดังกล่าวถอยมาข้างหลัง (หรือเข้าหาตัวนักบิน) วิธีการนี้จะทำให้ Ground Spoiler ทำงานทันทีไม่ว่าเครื่องบินกำลังบินอยู่หรือไม่ ดังนั้นการใช้วิธีการนี้จะต้องทำก็ต่อเมื่อ "หลังจาก" ที่ล้อเครื่องบินแตะพื้นแล้วเท่านั้น
  
รูปที่ ๓ ตำแหน่งติดตั้งของ Spoiler Lever ที่ใช้ควบคุมการทำงานของ Ground Spoiler ในห้องนักบิน ภาพนี้ไม่ค่อยชัดนัก ลักษณะเป็นเหมือนกับคันโยกรูปตัว T โดยในสภาพที่ยังไม่ทำงานจะเอนไปด้านหน้าดังรูป

แต่ที่สำคัญก็คือ
๑. ตัวเครื่องบินเองนั้นไม่มีระบบป้องกันใด ๆ ที่จะทำให้นักบินไม่สามารถดึง lever ดังกล่าวในขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่ได้ และ
๒. คู่มือของผู้ผลิตเครื่องบินและคู่มือฝึกนักบินของสายการบินเอง (ซึ่งก็คงจะอิงจากคู่มือของผู้ผลิตเครื่องบินเป็นหลัก) กล่าวไว้อย่างผิด ๆ ว่า ตัว lever ดังกล่าวได้รับการป้องกันไม่ให้ถูก "ดึง" ได้ด้วยระบบกลไก (mechanism system) ในขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่
   
รูปที่ ๔ แผนผังโครงสร้างการทำงานของ Spoiler Lever รูปซ้ายคือสภาพปรกติก่อนการใช้งาน รูปกลางเป็นสภาพที่อยู่ในสถานะ "armed" ด้วยการยก (Lift) ตัว lever ตามทิศทางลูกศรจะทำให้ตัวหมุด (pin) เข้าไปอยู่ในขอเกี่ยว (hook) การทำแบบนี้จะทำในขณะที่เครื่องกำลังร่อนลง (ล้อยังไม่แตะพื้น) ตัว Ground Spoiler จะทำงานก็ต่อเมื่อล้อเครื่องบินแตะพื้น ส่วนรูปขวาเป็นการดึง (pull) ตัว lever เข้าหาตัวนักบิน ซึ่งจะทำให้ตัว Ground Spoiler ทำงานทันทีไม่ว่าเครื่องบินกำลังบินอยู่หรือล้อแตะพื้นแล้ว ดังนั้นการใช้วิธีดึงนี้จะต้องทำเมื่อล้อเครื่องบินแตะพื้นแล้วเท่านั้น

คู่มือปฏิบัติงานสำหรับนักบินของสายการบิน Air Canada กำหนดให้นักบินทำการ "armed" (คือยกตัว lever ขึ้น) เมื่อทำการร่อนลง เพื่อที่ Ground Spoiler จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อล้อแตะพื้น แต่จากคำให้การของ Captain รายหนึ่งของสายการบิน Air Canada (รูปที่ ๕) ดูเหมือนวิธีการเช่นนี้จะไม่นิยมกระทำกัน โดยบรรดา Captain ของสายการบินชอบที่จะใช้การดึงเมื่อล้อกำลังจะแตะพื้น (เช่นอยู่สูงจากพื้นไม่กี่ฟุต) หรือแตะพื้นมากกว่า ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย (เข้าใจว่าทำให้เครื่องหยุดได้เร็วขึ้น ลดโอกาสวิ่งเลยรันเวย์) และยังช่วยลดการเกิด bad landing ด้วยเหตุนี้แม้ว่าในการร่อนลงจะไม่มีการปฏิบัติตามคู่มือ แต่ก็ไม่มีรายงานการกระทำดังกล่าว และที่สำคัญก็คือแม้แต่ในการฝึกทบทวนความรู้นักบินนั้น ก็ยังสอนกันว่าตัว Spoiler lever ถูกล็อคเอาไว้ด้วยกลไกป้องกันในขณะบิน (ทั้งที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น)
   
เมื่อ Captain ผู้มากประสบการณ์ (และเป็นใหญ่สุดในห้องนักบิน) มีแนวโน้มที่จะทำอะไรที่แตกต่างไปจากที่คู่มือเขียนเอาไว้ ในขณะที่ตัว First Officer ที่เป็นผู้ช่วยและต้องคอยรับฟังคำสั่ง มีแนวโน้มที่จะทำตามคู่มือที่ถูกฝึกมา ต่างต้องมานั่งทำงานด้วยกันในห้องทำงานเดียวกัน ก็เลยต้องมีการหาข้อยุติ ในกรณีของเครื่องที่ตกนี้ข้อยุติก็คือ ถ้าหาก Captain เป็นคนนำเครื่องร่อนลง First Officer จะทำการดึง Spoiler lever เมื่อเครื่องแตะพื้น (หรือ on the ground) แต่ถ้า First Officer เป็นผู้นำเครื่องร่อนลง Captain จะทำการยก (หรือ armed ตัว Spoiler lever) ขณะที่เครื่องกำลังร่อนลง (หรือ on the flare)
    
รูปที่ ๕ ส่วนหนึ่งของคำให้การของ Captain Wyman ว่าทำไม Captain จึงชอบที่จะ "ดึง" มากกว่าที่จะ "ยก"

ในเหตุการณ์นี้ First Officer นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวขวา ในขณะที่ Captain นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวซ้าย ข้อมูลประสบการณ์การบินของนักบินทั้งสองรายงานว่า Captain มีประสบการณ์การบินกับสายการบินนี้ ๑๘,๙๙๐ ชั่วโมง (ไม่รวมอีก ๒,๐๐๐ ชั่วโมงในช่วงที่เป็นนักบินในสงครามโลกครั้งที่สอง) โดยเป็นชั่วโมงบินกับเครื่อง DC-8 ๒,๘๙๙ ชั่วโมง และกับเครื่อง DC-8-63 (รุ่นที่ตก) ๑๙๗ ชั่วโมง ในขณะที่ First Officer นั้นมีประสบการณ์การบินกับสายการบินนี้ ๗,๑๐๓ ชั่วโมง (ไม่รวมอีก ๒,๒๑๙ ชั่วโมงในช่วงที่ทำงานอยู่กับกองทัพอากาศ) โดยเป็นชั่วโมงบินกับเครื่อง DC-8 ๕,๖๒๖ ชั่วโมง และกับเครื่อง DC-8-63 (รุ่นที่ตก) ๑๑๕ ชั่วโมง จะเห็นว่าชั่วโมงบินรวมและกับเครื่อง DC-8-63 ของ Captain นั้นมากกว่าของ First Officer แต่ชั่วโมงบินกับเครื่อง DC-8 ของ First Officer นั้นมากกว่าของ Captain
ในวันที่เกิดเหตุนั้น Captain เป็นผู้นำเครื่องร่อนลง ดังนั้นตามข้อตกลง First Officer ควรจะต้องดึง Spoiler lever เมื่อเครื่องแตะพื้น แต่ปรากฏว่า Firt Officer กลับทำการดึง Spoiler lever ในขณะที่เครื่องยังสูงจากพื้น ๖๐ ฟุต
  
รูปที่ ๖ ส่วนหนึ่งของข้อความที่ถอดจากเทปบันทึกเสียงในห้องนักบิน F คือ First Officer ส่วน C คือ Captain 
     
ตรงจุดนี้จะว่าไปก็มีเรื่องที่น่านำมาพิจารณาคือ First Officer นั้นฝึกมาเพื่อทำตามคู่มือ คือต้องเข้าไปทำการ Lift ตัว Spoiler lever ในขณะที่เครื่องกำลังร่อนลง ดังนั้นความเคยชินของเขาก็น่าจะเป็นการ Lift ในขณะที่เครื่องกำลังลดระดับ แต่ตัว Captain นั้นต้องการให้ทำการ Pull เมื่อล้อแตะพื้น ดังนั้นตัว First Officer เองจึงเหมือนกับได้รับคำสั่งให้ทำงานสองงานที่ขัดแย้งกัน อย่างแรกก็คืออย่างเพิ่งไปยุ่งอะไรกับ Spoiler lever ในขณะที่เครื่องกำลังร่อนลง (ซึ่งมันขัดกับคู่มือที่เขาเรียนมา) และให้ทำการ Pull แทนที่จะทำการ Lift (ซึ่งมันก็ขัดกับคู่มือที่เขาเรียนมาเช่นกัน) มองในแง่นี้ในทางกลับกันถ้า First Officer เป็นผู้นำเครื่องลงโดย Captain เป็นผู้ช่วย มันก็มีสิทธิพลาดได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะพลาดก่อน
    
รูปที่ ๖ เป็นส่วนหนึ่งของข้อความที่เกิดขึ้นหลังจากที่ First Officer ทำการดึง Spoiler lever ในขณะที่เครื่องยังสูงจากพื้นประมาณ ๖๐ ฟุต ส่งผลให้เครื่องลดระดับลงอย่างรวดเร็ว (First Officer กล่าวของโทษ Captain ที่เวลา 29:39 นาที) Captain จึงรีบแก้ปัญหาด้วยการเร่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มความเร็วจะได้มีแรงยก (เวลา 29:40 นาที) แต่นั่นก็ไม่ทันการ เพราะในวินาทีถัดมามีเสียงเครื่องกระแทกพื้น (เครื่องยนต์ที่ ๔ ที่ปีกด้านขวา) ทำให้เครื่องยนต์ที่ ๔ หลุดออก แต่นักบินทั้งสองยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ตัว Captain เองพยายามนำเครื่องเชิดขึ้นไต่ขึ้นถึงระดับ ๓,๑๐๐ ฟุตเพื่อจะบินวนกลับลงใหม่ แต่ระหว่างนั้นเกิดการระเบิดจนทำให้ปีกขวาหลุดจากตัวเครื่อง ทำให้เครื่องตกลงกระแทกพื้นจนทำให้ทุกคนบนเครื่องเสียชีวิต
   
รูปที่ ๗ ส่วนหนึ่งของข้อสรุปที่ได้จากการสอบสวน

เมื่อสิ่งที่ผู้ผลิตเครื่องบินคิดว่ามันไม่สามารถทำได้ และก็สอนต่อ ๆ กันมาว่ามันไม่สามารถทำได้ กลับปรากกว่ามันเกิดทำได้จริงขึ้นมาในขณะใช้งาน หายนะก็เลยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

ปลั๊กและเต้ารับแบบเยอรมัน (การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๗๘) MO Memoir : Monday 18 January 2559

อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีจำหน่ายในบ้านเราจำนวนไม่น้อยที่มาพร้อมกับปลั๊กตัวผู้แบบเยอรมัน แต่เต้ารับ (ปลั๊กตัวเมีย) แบบเยอรมันกลับหายาก ทำให้เกิดปัญหาในการใช้งานกับอุปกรณ์บางชนิด โดยเฉพาะพวกที่รวมปลั๊กตัวผู้กับตัวหม้อแปลงเข้าไว้ด้วยกัน (ตัวขวาบนในรูปที่ ๑) เพราะพอเสียบลงไปแล้ว น้ำหนักของหม้อแปลงมันจะกดให้ปลั๊กเอียง และส่งผลถึงขั้วโลหะในตัวเต้ารับทำให้เสียรูปทรง พอเวลาผ่านไปก็จะหลวม อุปกรณ์หนึ่งของกลุ่มเราที่มีปัญหาเรื่องนี้คือ mass flow controller ของระบบ SCR
 
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็เลยถือโอกาสไปเดินหาเต้ารับแบบเยอรมัน ได้มา ๔ ตัว (เพราะทั้งร้านเหลืออยู่แค่นั้น) แล้วนำมาประกอบเป็นชุด (โดยใช้เศษไม้อัดที่หาได้ในบ้านและสายไฟฟ้าที่มีอยู่) มาประกอบเป็นชุดเต้ารับแบบเยอรมันสำหรับใชกับ mass flow controller
 
ส่วนที่เหลือก็ดูรูปเองกันเองก็แล้วกัน วันนี้ขอเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปอีกเช่นเคย
 
รูปที่ ๑ แถวบนเป็นปลั๊กตัวผู้ที่ใช้กับเต้ารับแบบเยอรมัน ตัวซ้าย (ที่รวมหม้อแปลงเอาไว้ด้วย) และตัวขวาเป็นแบบที่ไม่มีสายดิน ส่วนตัวกลางนั้นเป็นแบบมีสายดิน โดยสายดินที่ตัวปลั๊กตัวผู้เป็นแถบโลหะที่อยู่ข้างปลั๊ก (ในกรอบสี่เหลี่ยม) ส่วนที่เต้ารับนั้นจะมีสปริงโลหะยื่นออกมา (ตรงลูกศรชี้)

รูปที่ ๒ ถ้าเอามาเสียบกับเต้ารับแบบธรรมดา จะเห็นว่าปลั๊กตัวที่รวมหม้อแปลงอยู่จะมีปัญหา


รูปที่ ๓ แต่ถ้าใช้เต้ารับแบบเยอรมัน จะเข้ากันได้พอดี

รูปที่ ๔ ถ้าดูทางด้านข้างจะเห็นว่าขาที่ยื่นออกมาของปลั๊กที่มีหม้อแปลงนั้น ก็เพื่อทำให้สามารถเสียบลงไปในเต้ารับได้ และตัวหม้อแปลงจะวางลงไปบนตัวเต้ารับพอดี
 
รูปที่ ๕ ปลั๊กแบนแบบ ๒ ขากลมก็เสียบเข้าได้พอดี


รูปที่ ๖ ถ้าเป็นแบบมีสายดิน ขากราวน์ของปลั๊กตัวผู้ก็จะสัมผัสกับขากราวน์ของเต้ารับ (ในกรอบที่เหลี่ยม)


รูปที่ ๗ เอามาใช้กับ mass flow controller และ magnetic sitrrer ของระบบ SCR แล้วในเช้าวันนี้

รูปที่ ๘ อันนี้เป็นรูปตอนประกอบ ใช้มัลติมิเตอร์วัดความต้านทานเพื่อให้มั่นใจว่าต่อสายไม่ผิดขั้ว (โดยเฉพาะตัวสายดิน)


รูปที่ ๙ พอต่อสายเสร็จก็วางครอบพลาสติกลงไป ก็ออกมาเป็นรูปร่างแบบนี้

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ปลั๊กพ่วงจำเป็น MO Memoir : Monday 25 May 2558

พื้นที่ส่วนนี้ของภาควิชาแยกออกมาอยู่ในอีกอาคารหนึ่งที่ไม่ค่อยจะได้รับความสนใจจากทางส่วนกลางเท่าใดนักแม้ว่าจะมีนิสิตปริญญาโท-เอกทำวิจัยอยู่จำนวนไม่น้อย เครื่องทำน้ำเย็นสำหรับดื่มเครื่องเก่านั้นติดตั้งมานานเท่าใดก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าหลังติดตั้งก็แทบจะไม่มีการล้าง-เปลี่ยนเรซินเลย จนกระทั่งท้ายสุดมันก็ถึงเวลาอันควรที่ต้องจากไป
  
เนื่องจากอาคารเดิมไม่ได้มีการเตรียมพื้นที่สำหรับเครื่องทำน้ำเย็น ตอนติดตั้งเครื่องเดิมนั้นก็ไปได้ทำเลอยู่ทางเข้าห้องน้ำหญิง เพราะอีกด้านหนึ่งของกำแพงที่อยู่ในห้องน้ำหญิงนั้นมีเต้าเสียบและก๊อกน้ำ การติดตั้งก็ทำเพียงแค่เจาะผนังฝังท่อลอดสำหรับสอดสายยางและสายไฟเครื่องทำน้ำเย็น เนื่องจากปลั๊กไฟเดิมนั้นมันมีขนาดเล็ก (แบบสองขา เป็นยุคก่อนประเทศไทยจะมีมาตรฐานปลั๊กตัวผู้) มันก็เลยสามารถสอดผ่านรูท่อที่เจาะเอาไว้ได้
  
แต่เครื่องทำน้ำเย็นเครื่องใหม่มันมาพร้อมกับปลั๊กตัวผู้ตามมาตรฐานใหม่ของประเทศไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่จนไม่สามารถสอดผ่านรูที่กำแพงที่ทำไว้เดิมได้ หลังการติดตั้งเสร็จจึงมีเพียงแค่การต่อท่อน้ำเข้าเครื่องเท่านั้น
  
ในที่สุดก็มีผู้ใจดี (ใครก็ไม่รู้) ช่วยมาเชื่อมต่อไฟฟ้าให้กับเครื่องทำน้ำเย็น โดยเดินสายไฟมาจ่ายให้กับปลั๊กตัวผู้ของเครื่องทำน้ำเย็น แต่วิธีการที่เขาใช้น่ะซิ แม้ว่ามันจะใช้งานได้จริง แต่ก็หวังว่ามันคงเป็นเพียงแค่ชั่วคราว แล้วมันเป็นยังไงน่ะเหรอ ก็ขอให้พิจารณาเอาเองจากรูปที่ ๑ และ ๒ ที่ถ่ายมาให้ดู
  
รูปที่ ๑ ผู้ใจดีคนไหนก็ไม่รู้ หาทางเดินสายไฟมาให้กับเครื่องทำน้ำเย็น ทำให้ผู้คนในชั้น ๕ มีน้ำเย็นสำหรับดื่ม
  
รูปที่ ๒ แต่หวังว่าคงเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้นนะ

การไม่ปฏิบัติงานตามขั้นตอนความปลอดภัยในบางครั้ง (ย้ำนะครับว่าแค่บางครั้ง) อาจจะยอมให้ทำได้ แต่ต้องกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวดและเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าจะนำมาปฏิบัติเป็นประจำ การไม่ปฏิบัติงานตามขั้นตอนความปลอดภัยนั้นอาจเป็น การละเว้นการปฏิบัติในบางขั้นตอน การละเว้นการใช้อุปกรณ์บางอุปกรณ์ และการดัดแปลง/สร้างอุปกรณ์ใช้ชั่วคราวเพื่อให้งานดำเนินไปได้ อย่างเช่นในกรณีหลังสุดนี้อาจยอมให้ทำได้ถ้ามีความจำเป็นเร่งด่วนและไม่ได้มีความประสงค์ที่จะใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ทางที่ดีแล้วถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายผมเห็นว่าก็ไม่ควรเสี่ยง
  
ภาพที่ถ่ายมาให้ดูนั้นบังเอิญว่าวันนี้ไปเห็นเข้าในตอนเย็นแล้ว เลยยังไม่มีเวลาหาเต้ารับให้ ถ้าไม่มีใครไปจัดการให้ก่อน ก็จะไปทำให้เอง