แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เต้ารับ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เต้ารับ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2563

การออกแบบที่ดีต้องไม่เปิดช่องให้ทำผิดได้ในขณะใช้งาน MO Memoir : Sunday 12 January 2563

ผมเคยซื้อน้ำยาลบคำผิดแบบที่เป็นปากกามาใช้ พอใช้จนหมดก็เลยนึกอยากเอาแบบขวดที่มันถูกกว่าเติมเข้าไปเพื่อจะใช้งานต่อได้ แต่พอพยายามจะหมุนเปิดหัวปากกาเพื่อเติมน้ำยาก็หมุนไม่ออก จนพบว่าถ้าอยากหมุนออกก็ต้องหมุนไปอีกทาง เพราะว่ามันเป็น "เกลียวเวียนซ้าย"
  
ในชีวิตประจำวันเราเห็นเกลียวเวียนซ้ายกันไม่บ่อยครั้ง ที่ใกล้ตัวที่สุดเห็นจะได้แก่เกลียวยึดใบพัดพัดลมเข้ากับแกนมอเตอร์ แต่นั้นก็เป็นตัวด้วยความจำเป็นทางเทคนิค เพราะไม่ต้องการให้ตัวนอตตัวเมียที่ยึดใบพัดมันคลายตัวเนื่องจากแรงเหวี่ยวที่เกิดขณะหมุน เขาก็เลยต้องกำหนดทิศทางเกลียวให้แรงเหวี่ยงนั้นทำให้นอตมันขันอัดแน่นเข้าไปแทนที่จะคลายตัวออก อุปกรณ์ห้องแลปบางชนิดก็ใช้เกลียวเวียนซ้าย หัวถังแก๊สไฮโดรเจนและแก๊สอันตรายหลายตัวจะใช้เกลียวเวียนซ้าย ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เอา pressure regulator ที่ใช้กับแก๊สธรรมดามาขันต่อเข้าไปได้ หัวสกรูบางตัวที่ใช้สำหรับการปรับแต่งการทำงานของอุปกรณ์ก็จะต้องใช้ไขควงรูปร่างพิเศษในการหมุน กล่าวคือถ้าไม่มีสกรูแบบพิเศษก็ยากที่จะหมุนมันได้ ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะไม่ต้องการให้ใครไปหมุนเล่น หรือบางทีก็เอาไปซ่อนไว้หลังฝาปิดตัวเครื่องเลย 
   
Memoir ฉบับนี้เป็นบันทึกบางเรื่องราวทั้งที่เคยประสบมากับตัวเองและเคยอ่านพบมาเล่าให้ฟังสัก ๓ เรื่อง เพื่อให้เห็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการป้องกันการทำงานผิดพลาดดังกล่าว

เรื่องที่ ๑ เพราะปลั๊กมันเสียบแทนกันได้

เมื่อเกือบ ๒๐ ปีที่แล้วทางภาควิชามีการจัดซื้อครุภัณฑ์เพื่อการวิจัยชุดใหญ่ เวลาออกข้อกำหนดอุปกรณ์เหล่านี้จำเป็นต้องกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจน ปัญหาหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือเรื่องของไฟฟ้า ที่ต้องกำหนดว่าอุปกรณ์ดังกล่าวต้องทำงานได้กับระบบไฟฟ้า 200-240 V 50 Hz ที่เป็นระบบไฟฟ้าของบ้านเรา ทั้งนี้เพราะอุปกรณ์ที่มาจากทางญี่ปุ่นหรืออเมริกานั้นจะเป็นระบบไฟฟ้า 100-120 V 60 Hz ซึ่งอุปกรณ์บางชนิดของเขานั้นก็มีการทำทั้งสำหรับระบบไฟฟ้าทั้งสองแบบ แต่อุปกรณ์บางชนิดเขาก็จะมีเฉพาะรุ่นที่ใช้กับไฟ 100-120 V เท่านั้น ถ้าต้องการใช้กับระบบไฟ 200-240 V ก็จะมีการส่งหม้อแปลงไฟมาให้เพิ่มเติม
  
ตอนนั้นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ได้มาก็คือ air compressor ที่ใช้งานกับเครื่อง gas chromatograph ได้มาหลายเครื่องเลย แต่เป็นชนิดที่ใช้กับไฟฟ้า 100-120 V ของญี่ปุ่น พอจัดส่งมาบ้านเราเขาก็ส่งหม้อแปลงไฟมาให้ด้วย สายไฟของตัวเครื่องอัดอากาศนั้นไม่ได้ต่อปลั๊กตัวผู้มาให้ แต่ตัวหม้อแปลงที่ให้มานั้นมีปลั๊กตัวผู้แถมมาให้ ๑ ตัว เสียบคามากับตัวหม้อแปลงเลย คือตัวที่อยู่ที่มุมขวาล่างของรูปที่ ๑
การต่อสายไฟ ๓ สายที่เป็นสายดิน ๑ สายนี่ก็ต้องระวังให้ดี คืออย่าเอาสายดินไปต่อกับขา live เพราะมันถึงตายได้ ทางผมเองผมก็เอาปลั๊กที่เขาแถมมานั้นมาใช้เป็นปลั๊กตัวผู้สำหรับตัวเครื่องอัดอากาศ ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะในแลปนั้นปลั๊กตัวเมียที่ใช้กับปลั๊กตัวผู้แบบนี้มันไม่มีใช้กับไฟ 220 V จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการเผลอเอาไปเสียบกับไฟ 220 V
รูปที่ ๑ หม้อแปลงไฟจาก 220 V เหลือ 110 V ตัวนี้มีปลั๊กตัวเมียด้านขาออกมาให้ ๓ ช่อง สองช่องทางซ้ายเป็นแบบ ๓ ขาที่ใช้ปลั๊กตัวผู้แบบขาแบนเสียบได้ ส่วนตัวซ้ายเป็นปลั๊กแบบพิเศษคือมันเป็น ๓ ขาแบบที่เห็นมุมล่าง เวลาใช้งานต้องเสียบปลั๊กตัวผู้เข้าไปและบิดหมุน มันจึงจะใช้งานได้  
  
แต่ก็มีบางกลุ่มที่เขาไปเอาปลั๊ก ๓ ขาที่ใช้กับปลั๊กตัวเมียทางด้านขวาในรูปที่ ๑ (แบบปลั๊กคอมพิวเตอร์ ๓ ขาที่เป็นขาแบน ๒ ขา) ตอนแรกมันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอมีการปรับเปลี่ยนขนย้ายอุปกรณ์มันก็เกิดเรื่อง เพราะคนที่มาทีหลังนั้นไม่รู้ว่ามันต้องเสียบเข้ากับหม้อแปลงไฟ 220 V เป็น 110 V เขาคงคิดว่าของเดิมที่มันเสียบอยู่นั้นเป็น voltage stabilizer ก็เลยเอามันไปเสียบกับไฟ 220 V (ด้านหลังของเครื่อง voltage stabilizer ที่ใช้กับไฟ 220 V ในบ้านเรามันก็มีปลั๊กตัวเมียแบบ ๓ ขาที่เป็นขาแบน 2 ขาเช่นกัน) ผลก็คือเครื่องอัดอากาศก็พัง
  
อีกสิ่งที่ควรจะทำเพิ่มเติม (แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการทำ) ก็คือ ควรมีการทำเครื่องหมายถาวรที่เห็นได้ชัดบนตัวเครื่องอัดอากาศ เพื่อบอกให้รู้ว่ามันใช้กับไฟ 220 V เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่มาทีหลังที่พอเห็นปลั๊กตัวผู้แล้วหาที่เสียบไม่ได้ ก็เลยคิดจะเปลี่ยนปลั๊กตัวผู้เป็นชนิดที่เสียบกับปลั๊กตัวเมียที่ใช้กับไฟ 220 V ได้

เรื่องที่ ๒ เพราะท่อมันสลับกันได้

การระเบิดที่โรงงานผลิต HDPE ของบริษัท Phillips ระเบิดที่เมือง Pasadena รัฐ Texas ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ (ค.ศ. ๑๙๘๙) ที่มีผู้เสียชีวิตถึง ๒๓ รายจากการระเบิดที่เกิดจากการรั่วไหลของแก๊สขณะที่ถอดท่อออกเพื่อกำจัดสิ่งอุดตันนั้น เรียกว่าสามารถป้องกันได้ถ้าหากตัวอุปกรณ์นั้นได้รับการออกแบบไม่ให้ต่อท่อสลับกันได้
  
วาล์วที่เกิดการรั่วไหลเป็น ball valve ที่ใช้ actuator เป็นตัวเปิด-ปิดวาล์ว โดยตัว actuator นี้มีจุดสำหรับต่อท่ออากาศอัดความดันเข้า ๒ จุด จุดหนึ่งนั้นเป็นจุดต่อท่ออากาศอัดความดันที่ใช้สำหรับปิดวาล์ว ส่วนอีกจุดหนึ่งนั้นเป็นจุดต่อท่ออากาศอัดความดันสำหรับเปิดวาล์ว และจุดต่อท่ออากาศทั้งสองนั้นใช้ fitting แบบเดียวกันและขนาดเดียวกัน และความผิดพลาดมันเกิดจากการที่มีการต่อท่ออากาศสลับกัน ทำให้เมื่อโอเปอร์เรเตอร์สั่งปิดวาล์วนั้น (เพื่อจะทำการซ่อมบำรุง) กลับกลายเป็นว่าเป็นการเปิดวาล์ว หลังเหตุการณ์ดังกล่าวจึงมีคำแนะนำว่า (อันที่จริงมันก็มีมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว) ในกรณีเช่นนี้ตัวข้อต่อนั้นควรเป็นคนละชนิดกัน และ/หรือ ต่างขนาดกัน เพื่อไม่ให้ต่อสลับกันได้
  
เรื่องนี้เคยเล่าไว้ใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๖๗๒ วันอังคารที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๖ เรื่อง "โรงงาน HDPE ระเบิดที่ Pasadena เมื่อ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๒"
 
เรื่องที่ ๓ เพราะมันจะยกหรือจะดึงก็ได้

เมื่อ Captain และ First Officer (นักบินผู้ช่วย) ยึดถือแนวปฏิบัติในการนำเครื่องร่อนลงที่ไม่เหมือนกัน และต่างก็ไม่ยอมกัน จึงนำมาสู่การประนีประนอมที่ว่าถ้าฉันเป็นคนขับเครื่องร่อนลง ให้เธอ (ในฐานะผู้ช่วย) ทำตามวิธีฉัน ถ้าเธอเป็นคนนำเครื่องร่อนลง ฉัน (ในฐานะผู้ช่วย) ก็จะทำตามวิธีเธอ แต่เมื่อฉันเป็นผู้นำเครื่องร่อนลง เธอกลับไม่ทำตามวิธีฉัน กลับไปทำตามวิธีของเธอ ผลก็คือตายยกลำ ๑๐๙ ศพ
   
เรื่องนี้นำมาจากผลการสอบสวนกรณีการตกของเครื่องบิน DC-8-63 สายการบิน Air Canada เที่ยวบินที่ ๖๒๑ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ปีค.ศ. ๑๙๗๐ (พ.ศ.๒๕๑๓) ที่สนามบิน Toronto International Airport รูปและข้อความต่าง ๆ ในที่นี้นำมาจากรายงานการสอบสวนฉบับดังกล่าว
   
สำหรับผู้ที่เคยโดยสารเครื่องบินและมีโอกาสนั่งริมหน้าต่างใกล้กับปีกเครื่องบิน เคยสังเกตบ้างไหมครับจังหวะเวลาที่ล้อเครื่องบินลงแตะพื้น จะมีแผงบางชิ้นบนปีกยกขึ้นตั้งเพื่อความการไหลของอากาศ แผงนี้คือ "Ground Spoiler" ที่ทำหน้าที่ทำลายแรงยกของปีก (รูปที่ ๒) เพื่อทำให้เครื่องบินลงจอดได้ง่ายขึ้น เพราะในช่วงเวลาที่เครื่องบินร่อนลงจอดนั้น ยังจำเป็นที่ต้องรักษาแรงยกเอาไว้เพื่อไม่ให้เครื่องบินร่วงหล่น แต่เมื่อล้อแตะพื้นแล้วก็ต้องลดแรงยกตัวที่ปีกเพื่อให้เครื่องบินลงจอดได้ การลดแรงยกตัวก็ทำได้ทั้งการลดความเร็ว และการทำลายรูปแบบการไหลของอากาศผ่านปีกที่ทำให้เกิดแรงยก ซึ่งวิธีหลังทำได้ด้วยการใช้ Ground Spoiler
   
รูปที่ ๒ โครงสร้างปีกเครื่องบิน Ground Spoilers คือแผงที่จะยกตัวตั้งขวางทิศทางการไหลของอากาศ เพื่อทำลายแรงยกที่ปีกเครื่องบิน เพื่อช่วยในการลงจอด แผงนี้ควรจะต้องทำงานเมื่อเครื่องบินลงแตะพื้นแล้วเท่านั้น
   
เหตุการณ์นี้เกิดกับเครื่องบินโดยสาร DC-8-63 (จะหมายความว่าเป็นเครื่อง DC-8 ซีรีย์ 63 ก็น่าจะได้) การควบคุมการทำงานของ Ground Spoiler ของเครื่องบินรุ่นนี้ใช้การควบคุมผ่านการทำงานของ Spoiler Lever (รูปที่ ๓) ที่ติดตั้งอยู่ทางด้านหน้าระหว่างกลางของนักบิน ๒ คน (นักบิน ๒ คนในที่นี้ก็คือ Captain ที่เป็นหัวหน้าหลัก และ First Officer หรือนักบินผู้ช่วย) การควบคุมการทำงานผ่านทาง Spoiler Lever นี้ทำได้ด้วยกันสองวิธี (ดูรูปที่ ๔ ประกอบ) 
    
วิธีแรกนั้นให้ทำการ "Lift" (ขอแปลว่า "ยก") lever ดังกล่าวขึ้นด้านบน วิธีการนี้ให้ทำในขณะที่เครื่องกำลังร่อนลงสนามบิน (ในรายงานใช้คำว่า "on the flare") คือเครื่องบินกำลังบินอยู่เหนือพื้น การยก lever นี้ขึ้นบนจะยังไม่ทำให้ Ground Spoiler ทำงาน แต่เป็นการ "armed" คือมันจะทำงานทันทีที่ล้อเครื่องบินแตะพื้น
    
วิธีการที่สองนั้นให้ทำการ "Pull" (ขอแปลว่า "ดึง") lever ดังกล่าวถอยมาข้างหลัง (หรือเข้าหาตัวนักบิน) วิธีการนี้จะทำให้ Ground Spoiler ทำงานทันทีไม่ว่าเครื่องบินกำลังบินอยู่หรือไม่ ดังนั้นการใช้วิธีการนี้จะต้องทำก็ต่อเมื่อ "หลังจาก" ที่ล้อเครื่องบินแตะพื้นแล้วเท่านั้น
  
รูปที่ ๓ ตำแหน่งติดตั้งของ Spoiler Lever ที่ใช้ควบคุมการทำงานของ Ground Spoiler ในห้องนักบิน ภาพนี้ไม่ค่อยชัดนัก ลักษณะเป็นเหมือนกับคันโยกรูปตัว T โดยในสภาพที่ยังไม่ทำงานจะเอนไปด้านหน้าดังรูป

แต่ที่สำคัญก็คือ
๑. ตัวเครื่องบินเองนั้นไม่มีระบบป้องกันใด ๆ ที่จะทำให้นักบินไม่สามารถดึง lever ดังกล่าวในขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่ได้ และ
๒. คู่มือของผู้ผลิตเครื่องบินและคู่มือฝึกนักบินของสายการบินเอง (ซึ่งก็คงจะอิงจากคู่มือของผู้ผลิตเครื่องบินเป็นหลัก) กล่าวไว้อย่างผิด ๆ ว่า ตัว lever ดังกล่าวได้รับการป้องกันไม่ให้ถูก "ดึง" ได้ด้วยระบบกลไก (mechanism system) ในขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่
   
รูปที่ ๔ แผนผังโครงสร้างการทำงานของ Spoiler Lever รูปซ้ายคือสภาพปรกติก่อนการใช้งาน รูปกลางเป็นสภาพที่อยู่ในสถานะ "armed" ด้วยการยก (Lift) ตัว lever ตามทิศทางลูกศรจะทำให้ตัวหมุด (pin) เข้าไปอยู่ในขอเกี่ยว (hook) การทำแบบนี้จะทำในขณะที่เครื่องกำลังร่อนลง (ล้อยังไม่แตะพื้น) ตัว Ground Spoiler จะทำงานก็ต่อเมื่อล้อเครื่องบินแตะพื้น ส่วนรูปขวาเป็นการดึง (pull) ตัว lever เข้าหาตัวนักบิน ซึ่งจะทำให้ตัว Ground Spoiler ทำงานทันทีไม่ว่าเครื่องบินกำลังบินอยู่หรือล้อแตะพื้นแล้ว ดังนั้นการใช้วิธีดึงนี้จะต้องทำเมื่อล้อเครื่องบินแตะพื้นแล้วเท่านั้น

คู่มือปฏิบัติงานสำหรับนักบินของสายการบิน Air Canada กำหนดให้นักบินทำการ "armed" (คือยกตัว lever ขึ้น) เมื่อทำการร่อนลง เพื่อที่ Ground Spoiler จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อล้อแตะพื้น แต่จากคำให้การของ Captain รายหนึ่งของสายการบิน Air Canada (รูปที่ ๕) ดูเหมือนวิธีการเช่นนี้จะไม่นิยมกระทำกัน โดยบรรดา Captain ของสายการบินชอบที่จะใช้การดึงเมื่อล้อกำลังจะแตะพื้น (เช่นอยู่สูงจากพื้นไม่กี่ฟุต) หรือแตะพื้นมากกว่า ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัย (เข้าใจว่าทำให้เครื่องหยุดได้เร็วขึ้น ลดโอกาสวิ่งเลยรันเวย์) และยังช่วยลดการเกิด bad landing ด้วยเหตุนี้แม้ว่าในการร่อนลงจะไม่มีการปฏิบัติตามคู่มือ แต่ก็ไม่มีรายงานการกระทำดังกล่าว และที่สำคัญก็คือแม้แต่ในการฝึกทบทวนความรู้นักบินนั้น ก็ยังสอนกันว่าตัว Spoiler lever ถูกล็อคเอาไว้ด้วยกลไกป้องกันในขณะบิน (ทั้งที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น)
   
เมื่อ Captain ผู้มากประสบการณ์ (และเป็นใหญ่สุดในห้องนักบิน) มีแนวโน้มที่จะทำอะไรที่แตกต่างไปจากที่คู่มือเขียนเอาไว้ ในขณะที่ตัว First Officer ที่เป็นผู้ช่วยและต้องคอยรับฟังคำสั่ง มีแนวโน้มที่จะทำตามคู่มือที่ถูกฝึกมา ต่างต้องมานั่งทำงานด้วยกันในห้องทำงานเดียวกัน ก็เลยต้องมีการหาข้อยุติ ในกรณีของเครื่องที่ตกนี้ข้อยุติก็คือ ถ้าหาก Captain เป็นคนนำเครื่องร่อนลง First Officer จะทำการดึง Spoiler lever เมื่อเครื่องแตะพื้น (หรือ on the ground) แต่ถ้า First Officer เป็นผู้นำเครื่องร่อนลง Captain จะทำการยก (หรือ armed ตัว Spoiler lever) ขณะที่เครื่องกำลังร่อนลง (หรือ on the flare)
    
รูปที่ ๕ ส่วนหนึ่งของคำให้การของ Captain Wyman ว่าทำไม Captain จึงชอบที่จะ "ดึง" มากกว่าที่จะ "ยก"

ในเหตุการณ์นี้ First Officer นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวขวา ในขณะที่ Captain นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวซ้าย ข้อมูลประสบการณ์การบินของนักบินทั้งสองรายงานว่า Captain มีประสบการณ์การบินกับสายการบินนี้ ๑๘,๙๙๐ ชั่วโมง (ไม่รวมอีก ๒,๐๐๐ ชั่วโมงในช่วงที่เป็นนักบินในสงครามโลกครั้งที่สอง) โดยเป็นชั่วโมงบินกับเครื่อง DC-8 ๒,๘๙๙ ชั่วโมง และกับเครื่อง DC-8-63 (รุ่นที่ตก) ๑๙๗ ชั่วโมง ในขณะที่ First Officer นั้นมีประสบการณ์การบินกับสายการบินนี้ ๗,๑๐๓ ชั่วโมง (ไม่รวมอีก ๒,๒๑๙ ชั่วโมงในช่วงที่ทำงานอยู่กับกองทัพอากาศ) โดยเป็นชั่วโมงบินกับเครื่อง DC-8 ๕,๖๒๖ ชั่วโมง และกับเครื่อง DC-8-63 (รุ่นที่ตก) ๑๑๕ ชั่วโมง จะเห็นว่าชั่วโมงบินรวมและกับเครื่อง DC-8-63 ของ Captain นั้นมากกว่าของ First Officer แต่ชั่วโมงบินกับเครื่อง DC-8 ของ First Officer นั้นมากกว่าของ Captain
ในวันที่เกิดเหตุนั้น Captain เป็นผู้นำเครื่องร่อนลง ดังนั้นตามข้อตกลง First Officer ควรจะต้องดึง Spoiler lever เมื่อเครื่องแตะพื้น แต่ปรากฏว่า Firt Officer กลับทำการดึง Spoiler lever ในขณะที่เครื่องยังสูงจากพื้น ๖๐ ฟุต
  
รูปที่ ๖ ส่วนหนึ่งของข้อความที่ถอดจากเทปบันทึกเสียงในห้องนักบิน F คือ First Officer ส่วน C คือ Captain 
     
ตรงจุดนี้จะว่าไปก็มีเรื่องที่น่านำมาพิจารณาคือ First Officer นั้นฝึกมาเพื่อทำตามคู่มือ คือต้องเข้าไปทำการ Lift ตัว Spoiler lever ในขณะที่เครื่องกำลังร่อนลง ดังนั้นความเคยชินของเขาก็น่าจะเป็นการ Lift ในขณะที่เครื่องกำลังลดระดับ แต่ตัว Captain นั้นต้องการให้ทำการ Pull เมื่อล้อแตะพื้น ดังนั้นตัว First Officer เองจึงเหมือนกับได้รับคำสั่งให้ทำงานสองงานที่ขัดแย้งกัน อย่างแรกก็คืออย่างเพิ่งไปยุ่งอะไรกับ Spoiler lever ในขณะที่เครื่องกำลังร่อนลง (ซึ่งมันขัดกับคู่มือที่เขาเรียนมา) และให้ทำการ Pull แทนที่จะทำการ Lift (ซึ่งมันก็ขัดกับคู่มือที่เขาเรียนมาเช่นกัน) มองในแง่นี้ในทางกลับกันถ้า First Officer เป็นผู้นำเครื่องลงโดย Captain เป็นผู้ช่วย มันก็มีสิทธิพลาดได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะพลาดก่อน
    
รูปที่ ๖ เป็นส่วนหนึ่งของข้อความที่เกิดขึ้นหลังจากที่ First Officer ทำการดึง Spoiler lever ในขณะที่เครื่องยังสูงจากพื้นประมาณ ๖๐ ฟุต ส่งผลให้เครื่องลดระดับลงอย่างรวดเร็ว (First Officer กล่าวของโทษ Captain ที่เวลา 29:39 นาที) Captain จึงรีบแก้ปัญหาด้วยการเร่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มความเร็วจะได้มีแรงยก (เวลา 29:40 นาที) แต่นั่นก็ไม่ทันการ เพราะในวินาทีถัดมามีเสียงเครื่องกระแทกพื้น (เครื่องยนต์ที่ ๔ ที่ปีกด้านขวา) ทำให้เครื่องยนต์ที่ ๔ หลุดออก แต่นักบินทั้งสองยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ตัว Captain เองพยายามนำเครื่องเชิดขึ้นไต่ขึ้นถึงระดับ ๓,๑๐๐ ฟุตเพื่อจะบินวนกลับลงใหม่ แต่ระหว่างนั้นเกิดการระเบิดจนทำให้ปีกขวาหลุดจากตัวเครื่อง ทำให้เครื่องตกลงกระแทกพื้นจนทำให้ทุกคนบนเครื่องเสียชีวิต
   
รูปที่ ๗ ส่วนหนึ่งของข้อสรุปที่ได้จากการสอบสวน

เมื่อสิ่งที่ผู้ผลิตเครื่องบินคิดว่ามันไม่สามารถทำได้ และก็สอนต่อ ๆ กันมาว่ามันไม่สามารถทำได้ กลับปรากกว่ามันเกิดทำได้จริงขึ้นมาในขณะใช้งาน หายนะก็เลยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560

มาตรฐานปลั๊กพ่วงของช่างไทย MO Memoir : Sunday 4 June 2560

เช้าวันนี้ระหว่างยืนดูช่างกำลังติดตั้งเมทัลชีทบนโครงหลังคาที่วัดโสมนัสราชวรวิหาร ก็เหลือบไปเห็นการต่อปลั๊กพ่วงที่ช่างนำมาใช้งาน อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใจอะไรที่เห็นช่างเขาทำแบบนี้ เพราะจะว่าไปแล้วมักจะเห็นช่างบ้านเราทำกันอย่างนี้เป็นประจำ ทำอย่างไรหรือครับ ก็ตามรูปข้างล่างนั่นแหละ คือปลายสายมักจะไม่มี "ปลั๊กตัวผู้" เป็นสายไฟปอกปลายสองเส้น เวลาใช้ทีก็เสียบเข้าเต้ารับเลย
  

ผมก็ไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงเหมือนกันว่าทำไปเขาจึงนิยมทำกันอย่างนี้ เดาว่าคงเป็นเพราะต้องการเผื่อเอาไว้ในกรณีที่ไปทำงานในสถานที่ที่ไม่มีปลั๊กตัวเมีย ต้องใช้วิธีต่อตรงเข้ากับมิเตอร์ไฟฟ้า (ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็เป็นวิธีการที่ไม่ค่อยจะถูกต้องนัก เพราะการไฟฟ้าเองก็ไม่ต้องการให้ใครไปยุ่งอะไรกับมิเตอร์ไฟฟ้า เพราะเกรงว่าจะมีการต่อไฟตรงไปใช้โดยไม่ผ่านมิเตอร์)
  
อันนี้ยังดีนะครับ ที่เคยเดินในสถานที่ก่อสร้างบางแห่ง ยังได้เห็นช่างเชื่อมเหล็กใช้เหล็กข้ออ้อยหรือเหล็กเส้นที่วางพาดไปตามพื้นในการต่อวรจรไฟฟ้าเชื่อมโลหะให้ครบวงจรด้วยซ้ำไป

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

ปลั๊กและเต้ารับแบบเยอรมัน (การทำวิทยานิพนธ์ภาคปฏิบัติ ตอนที่ ๗๘) MO Memoir : Monday 18 January 2559

อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีจำหน่ายในบ้านเราจำนวนไม่น้อยที่มาพร้อมกับปลั๊กตัวผู้แบบเยอรมัน แต่เต้ารับ (ปลั๊กตัวเมีย) แบบเยอรมันกลับหายาก ทำให้เกิดปัญหาในการใช้งานกับอุปกรณ์บางชนิด โดยเฉพาะพวกที่รวมปลั๊กตัวผู้กับตัวหม้อแปลงเข้าไว้ด้วยกัน (ตัวขวาบนในรูปที่ ๑) เพราะพอเสียบลงไปแล้ว น้ำหนักของหม้อแปลงมันจะกดให้ปลั๊กเอียง และส่งผลถึงขั้วโลหะในตัวเต้ารับทำให้เสียรูปทรง พอเวลาผ่านไปก็จะหลวม อุปกรณ์หนึ่งของกลุ่มเราที่มีปัญหาเรื่องนี้คือ mass flow controller ของระบบ SCR
 
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็เลยถือโอกาสไปเดินหาเต้ารับแบบเยอรมัน ได้มา ๔ ตัว (เพราะทั้งร้านเหลืออยู่แค่นั้น) แล้วนำมาประกอบเป็นชุด (โดยใช้เศษไม้อัดที่หาได้ในบ้านและสายไฟฟ้าที่มีอยู่) มาประกอบเป็นชุดเต้ารับแบบเยอรมันสำหรับใชกับ mass flow controller
 
ส่วนที่เหลือก็ดูรูปเองกันเองก็แล้วกัน วันนี้ขอเป็นการเล่าเรื่องด้วยรูปอีกเช่นเคย
 
รูปที่ ๑ แถวบนเป็นปลั๊กตัวผู้ที่ใช้กับเต้ารับแบบเยอรมัน ตัวซ้าย (ที่รวมหม้อแปลงเอาไว้ด้วย) และตัวขวาเป็นแบบที่ไม่มีสายดิน ส่วนตัวกลางนั้นเป็นแบบมีสายดิน โดยสายดินที่ตัวปลั๊กตัวผู้เป็นแถบโลหะที่อยู่ข้างปลั๊ก (ในกรอบสี่เหลี่ยม) ส่วนที่เต้ารับนั้นจะมีสปริงโลหะยื่นออกมา (ตรงลูกศรชี้)

รูปที่ ๒ ถ้าเอามาเสียบกับเต้ารับแบบธรรมดา จะเห็นว่าปลั๊กตัวที่รวมหม้อแปลงอยู่จะมีปัญหา


รูปที่ ๓ แต่ถ้าใช้เต้ารับแบบเยอรมัน จะเข้ากันได้พอดี

รูปที่ ๔ ถ้าดูทางด้านข้างจะเห็นว่าขาที่ยื่นออกมาของปลั๊กที่มีหม้อแปลงนั้น ก็เพื่อทำให้สามารถเสียบลงไปในเต้ารับได้ และตัวหม้อแปลงจะวางลงไปบนตัวเต้ารับพอดี
 
รูปที่ ๕ ปลั๊กแบนแบบ ๒ ขากลมก็เสียบเข้าได้พอดี


รูปที่ ๖ ถ้าเป็นแบบมีสายดิน ขากราวน์ของปลั๊กตัวผู้ก็จะสัมผัสกับขากราวน์ของเต้ารับ (ในกรอบที่เหลี่ยม)


รูปที่ ๗ เอามาใช้กับ mass flow controller และ magnetic sitrrer ของระบบ SCR แล้วในเช้าวันนี้

รูปที่ ๘ อันนี้เป็นรูปตอนประกอบ ใช้มัลติมิเตอร์วัดความต้านทานเพื่อให้มั่นใจว่าต่อสายไม่ผิดขั้ว (โดยเฉพาะตัวสายดิน)


รูปที่ ๙ พอต่อสายเสร็จก็วางครอบพลาสติกลงไป ก็ออกมาเป็นรูปร่างแบบนี้

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ปลั๊กพ่วงจำเป็น MO Memoir : Monday 25 May 2558

พื้นที่ส่วนนี้ของภาควิชาแยกออกมาอยู่ในอีกอาคารหนึ่งที่ไม่ค่อยจะได้รับความสนใจจากทางส่วนกลางเท่าใดนักแม้ว่าจะมีนิสิตปริญญาโท-เอกทำวิจัยอยู่จำนวนไม่น้อย เครื่องทำน้ำเย็นสำหรับดื่มเครื่องเก่านั้นติดตั้งมานานเท่าใดก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าหลังติดตั้งก็แทบจะไม่มีการล้าง-เปลี่ยนเรซินเลย จนกระทั่งท้ายสุดมันก็ถึงเวลาอันควรที่ต้องจากไป
  
เนื่องจากอาคารเดิมไม่ได้มีการเตรียมพื้นที่สำหรับเครื่องทำน้ำเย็น ตอนติดตั้งเครื่องเดิมนั้นก็ไปได้ทำเลอยู่ทางเข้าห้องน้ำหญิง เพราะอีกด้านหนึ่งของกำแพงที่อยู่ในห้องน้ำหญิงนั้นมีเต้าเสียบและก๊อกน้ำ การติดตั้งก็ทำเพียงแค่เจาะผนังฝังท่อลอดสำหรับสอดสายยางและสายไฟเครื่องทำน้ำเย็น เนื่องจากปลั๊กไฟเดิมนั้นมันมีขนาดเล็ก (แบบสองขา เป็นยุคก่อนประเทศไทยจะมีมาตรฐานปลั๊กตัวผู้) มันก็เลยสามารถสอดผ่านรูท่อที่เจาะเอาไว้ได้
  
แต่เครื่องทำน้ำเย็นเครื่องใหม่มันมาพร้อมกับปลั๊กตัวผู้ตามมาตรฐานใหม่ของประเทศไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่จนไม่สามารถสอดผ่านรูที่กำแพงที่ทำไว้เดิมได้ หลังการติดตั้งเสร็จจึงมีเพียงแค่การต่อท่อน้ำเข้าเครื่องเท่านั้น
  
ในที่สุดก็มีผู้ใจดี (ใครก็ไม่รู้) ช่วยมาเชื่อมต่อไฟฟ้าให้กับเครื่องทำน้ำเย็น โดยเดินสายไฟมาจ่ายให้กับปลั๊กตัวผู้ของเครื่องทำน้ำเย็น แต่วิธีการที่เขาใช้น่ะซิ แม้ว่ามันจะใช้งานได้จริง แต่ก็หวังว่ามันคงเป็นเพียงแค่ชั่วคราว แล้วมันเป็นยังไงน่ะเหรอ ก็ขอให้พิจารณาเอาเองจากรูปที่ ๑ และ ๒ ที่ถ่ายมาให้ดู
  
รูปที่ ๑ ผู้ใจดีคนไหนก็ไม่รู้ หาทางเดินสายไฟมาให้กับเครื่องทำน้ำเย็น ทำให้ผู้คนในชั้น ๕ มีน้ำเย็นสำหรับดื่ม
  
รูปที่ ๒ แต่หวังว่าคงเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้นนะ

การไม่ปฏิบัติงานตามขั้นตอนความปลอดภัยในบางครั้ง (ย้ำนะครับว่าแค่บางครั้ง) อาจจะยอมให้ทำได้ แต่ต้องกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวดและเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าจะนำมาปฏิบัติเป็นประจำ การไม่ปฏิบัติงานตามขั้นตอนความปลอดภัยนั้นอาจเป็น การละเว้นการปฏิบัติในบางขั้นตอน การละเว้นการใช้อุปกรณ์บางอุปกรณ์ และการดัดแปลง/สร้างอุปกรณ์ใช้ชั่วคราวเพื่อให้งานดำเนินไปได้ อย่างเช่นในกรณีหลังสุดนี้อาจยอมให้ทำได้ถ้ามีความจำเป็นเร่งด่วนและไม่ได้มีความประสงค์ที่จะใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่ทางที่ดีแล้วถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายผมเห็นว่าก็ไม่ควรเสี่ยง
  
ภาพที่ถ่ายมาให้ดูนั้นบังเอิญว่าวันนี้ไปเห็นเข้าในตอนเย็นแล้ว เลยยังไม่มีเวลาหาเต้ารับให้ ถ้าไม่มีใครไปจัดการให้ก่อน ก็จะไปทำให้เอง

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปลั๊กและเต้ารับชนิด Explosion proof MO Memoir 2557 Mar 26 Wed

สัปดาห์ที่แล้วไปรื้อตู้เก็บอุปกรณ์ไฟฟ้า เห็นมีปลั๊กไฟและเต้ารับชนิด Explosion proof แอบหลบซ่อนอยู่ในตู้ ก็เลยถือโอกาสเอามาแกะเล่นดูว่าข้างในมันประกอบด้วยอะไรบ้าง ปลั๊กและเต้ารับชนิดนี้เป็นชนิดที่ติดตั้งมากับตัวอาคารเมื่อสร้างอาคารเสร็จ (รวมทั้งโคมไฟแสงสว่างด้วย) ส่วนที่ว่ามันมาได้อย่างไรนั้นตอนที่ได้รับฟังเหตุผลเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้วผมถึงกับส่ายหัว
  
อุปกรณ์ไฟฟ้าที่เรียกว่า "Explosion proof" นั้นคืออะไร ใช้เมื่อใดนั้น เคยเล่าเอาไว้เมื่อ ๔ ปีที่แล้วใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๔๐ วันพุธที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่อง "Electricalsafety for chemical processes
   
คำว่า "Explosion proof" ที่เราแปลออกมาว่า "กันระเบิด" นั้นทำให้คนจำนวนไม่น้อย (ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ในมหาวิทยาลัยเอง) เกิดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของอุปกรณ์ประเภทนี้ เพราะว่าไปแล้วคำว่า "proof" นั้นแปลเป็นไทยได้เป็น "ผ่านการตรวจสอบ" หรือ "ซึ่งต้านทานได้" มันไม่ได้แปลว่า "ไม่"
  
ปลั๊กและเต้ารับชนิด Explosion proof จะมีหน้าตาอย่างไรนั้นมันขึ้นอยู่กับแต่ละยี่ห้อ ที่เอามาให้ดูเป็นยี่ห้อที่ติดตั้งมากับอาคารที่เราใช้เป็นห้องปฏิบัติการ การใช้งานปลั๊กพวกนี้มันมีความแตกต่างไปจากปลั๊กทั่วไปที่เราใช้กันอยู่เล็กน้อย เพราะเคยมีคนเอาปลั๊กสามขาแบบธรรมดา (สายดินที่เป็นขากลม ส่วนอีกสองขาเป็นชนิดขาแบน) ไปเสียบมันก็เสียบได้ เพราะรูขาด้านหนึ่งนั้นมันออกแบบให้รับได้ทั้งขาแบนที่วางนอนและขาแบนที่วางตั้ง (รูปที่ ๒) แต่ไม่มีการจ่ายกระแสไฟฟ้าเพราะเมื่อเสียบปลั๊กตัวผู้แล้วต้องมีการบิดเล็กน้อย (ดูรูปที่ ๑)
   
รูปที่ ๑ ซ้ายคือตัวเต้ารับ ส่วนตัวกลางและขวาคือตัวปลั๊ก เวลาใช้งานเมื่อเสียบปลั๊กเข้าไปแล้วก็ต้องมีการบิดตัวปลั๊กไปตามทิศทางที่ลูกศรชี้ด้วย ไม่งั้นมันไม่จ่ายไฟฟ้า และเวลาจะถอดปลั๊กก็ต้องบิดกลับด้วย ไม่งั้นมันดึงไม่ออก พึงสังเกตนะว่าทั้งเต้ารับและปลั๊กต่างมีหมายเลขประจำเฉพาะแต่ละอัน
   
รูปที่ ๒ รูปร่างของรูของเต้ารับและขาของปลั๊ก จะเห็นว่ามีการใช้รูปร่างที่แตกต่างกัน
     
รูปที่ ๓ ขา ground ไม่ได้ต่อกับสายดิน แต่ต่อเข้ากับลำตัวเต้ารับ ซึ่งต้องต่อลงดินผ่านระบบท่อร้อยสายไฟ

รูปที่ ๔ รื้อปลั๊กออกมาดูเล่น ว่าข้างในมีอะไรพิเศษไหม ก็ไม่เห็นมีอะไร
  
รูปที่ ๕ รูปขณะใช้งาน

ปลั๊กตัวผู้ภาษาอังกฤษเรียกว่า "Plug" ส่วนปลั๊กตัวเมียเรียกว่า "Socket" หรือ "Receptacle" ของบ้านเราเองมันไม่มีมาตรฐานอยู่นานว่าปลั๊กตัวผู้และปลั๊กตัวเมียควรจะเป็นรูปแบบไหน ผลก็คืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่จำหน่ายในบ้านเราและนำเข้าจากต่างประเทศเต็มไปด้วยปลั๊กตัวผู้หน้าตาต่าง ๆ เต็มไปหมด แถมเราก็มีปลั๊กตัวเมียแบบมีรูที่ปลั๊กตัวผู้ไม่ว่าจะมีรูปทางไหนเสียบได้เกือบหมด (จะยกเว้นก็พวกขาแบนแบบเฉียง) ประเทศเราเองเพิ่งจะมีมาตรฐานกำหนดรูปร่างหน้าตาปลั๊กตัวผู้ได้ไม่นานนี้เอง

วันนี้นำเสนอเรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงต่ำก่อน คราวถัดไปจะนำเสนอเรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูงบ้าง

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

นานาสาระเรื่องไฟฟ้ากำลัง : วางเพลิงแลปไม่ใช่เรื่องยาก MO Memoir : วันศุกร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มีหลายครั้งด้วยกันที่เกือบจะเกิดไฟไหม้ขึ้นในแลป โชคดีที่มีการพบเห็นทันเวลา วันนี้เลยขอยกตัวอย่างสัก 3 ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างไม่ถูกวิธีที่สามารถทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ ส่วนการกระทำดังกล่าวจะเกิดจากการ จงใจ มักง่าย ไม่ตั้งใจ ไม่สนใจ ไม่รู้ไม่ชี้ ตระหนี่ เห็นแก่ได้ ไม่อ่านวิธีใช้งาน ไม่เคยมีใครสอนหรือเรียนแล้วแต่ไม่จำ เห็นรุ่นพี่เขาทำอย่างนี้ก็เลยต้องทำตาม ไม่เคยใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ามาก่อน ฯลฯ ก็ไม่ทราบเหมือนกัน

1. เสียบปลั๊กไม่แน่น

รูปที่ 1 ข้างล่างเป็นตัวอย่างความเสียหายที่เกิดจากการเสียบปลั๊กไม่แน่น เหตุการณ์นี้มักเกิดกับการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินกระแสไฟฟ้าสูง (เช่น เตาไฟฟ้า เตาเผา เตารีด เครื่องเป่าลมร้อน ฯลฯ) ถ้าหากปลั๊กหลวมจะทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไม่สะดวก จะเกิดความร้อนจำนวนมากบริเวณผิวสัมผัสของขาปลั๊กตัวผู้และโลหะของเต้ารับ ส่วนที่เป็นโลหะนำไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นส่วนของปลั๊กตัวผู้หรือเต้ารับจะทนความร้อนที่เกิดขึ้นได้มากกว่าโครงสร้างส่วนที่เป็นพลาสติก (ตัวเต้ารับ ปลั๊กตัวผู้ ฉนวนหุ้มสายไฟ) ถ้าความร้อนที่เกิดขึ้นสูงมากพอก็จะทำให้ชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติกเกิดการหลอมหรือไหม้ได้ (ดังเช่นรอยไหม้ 1 ที่แสดงในภาพ)


รูปที่ 1 เต้ารับชนิด 3 ขา (มีสายดิน) (1) รอยไหม้ที่เกิดจากการเสียบปลั๊กไม่แน่น (2) (3) รูสำหรับเสียบปลั๊กชนิดขาแบน พึงสังเกตว่าความยาวของรู 2 และ 3 ไม่เท่ากัน

ไหน ๆ ยกตัวอย่างปลั๊กแบบนี้มาแล้วก็ขอเพิ่มเติมอีกเรื่องคือขนาดของรู ในบ้างเรามีการใช้ปลั๊กชนิด 2 ขาแบนเป็นปรกติ ทีนี้ในบางครั้งอาจพบปัญหาว่าเวลานำปลั๊กสองขาแบนมาเสียบเข้ากับเต้ารับแล้วเสียบไม่ลง แต่พอสลับข้างก็เสียบได้ (หรือบางครั้งก็ไม่ได้อีก) สาเหตุดังกล่าวเป็นเพราะปลั๊กแบบ 2 ขาแบนบางชนิดมีขาสองข้างที่มีขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน ให้พิจารณารูปที่ 1 จะเห็นได้ว่ารูแบน 2 จะมีความยาวที่มากกว่ารูแบน 3 ส่วนขาข้างไหนจะเป็นสาย live หรือ neutral ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะในบ้านเราเห็นต่อกันมั่วไปหมด แม้แต่ในอาคารเดียวกันก็ยังเดินสายไฟไม่เหมือนกันเลย เอาเป็นว่าไม่มีการสลับระหว่างสาย live กับ ground ก็บุญแล้ว (เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว ไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง เอาเป็นว่าโชคดีที่ทันทีที่เสียบปลั๊ก circuit breaker ตัดไฟทันที ไม่เช่นนั้นคนแรกที่ไปสัมผัสอุปกรณ์ก็คงโดนไฟดูดตายไปแล้ว)

2. เก็บสายไฟที่มันยาวเกะกะแบบไม่คิดอะไร

อุปกรณ์ไฟฟ้าบางชิ้นจะมีสายไฟที่คนใช้รู้สึกว่ามันยาวเกะกะ เรื่องนี้มักเกิดกับกรณีที่ตำแหน่งที่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าและตำแหน่งของเต้ารับอยู่ใกล้กัน ในกรณีที่เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่กับที่ ไม่ได้มีการยกเคลื่อนย้ายไปไหนเป็นประจำ (เช่นตู้อบ) ก็มักใช้วิธีม้วนทบสายไฟและหาอะไรมามัดไว้ แต่ในกรณีของอุปกรณ์ที่ไม่ได้มีการใช้งานประจำที่ แต่มีการเคลื่อนย้ายไปไหนมาไหนอยู่เป็นประจำ ถ้านำไปใช้ใน ณ จุดที่อยู่ห่างจากเต้ารับ ผู้ใช้ก็คงไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรกับสายไฟ แต่ถ้านำมาใช้ในบริเวณที่มีเต้ารับอยู่ใกล้ ๆ ก็มักจะรู้สึกว่าสายไฟมันยาวเกะกะเกินไป เลยต้องหาวิธีเก็บสายไฟไม่ให้มันเกะกะที่ทำงาน

รูปที่ 2 ข้างล่างเป็นรูปจำลองเหตุการณ์ (ในความจริงเจอแบบนี้อยู่หลายครั้งแล้ว) เหตุเกิดกับ Hot plate ชนิดที่ให้ความร้อนได้อย่างเดียวหรือ Hot plate ที่เป็น Magnetic stirrer ด้วย (ทั้งให้ความร้อนและกวนได้ด้วย) กล่าวคือบ่อยครั้งที่อุปกรณ์ประเภทนี้เมื่อไม่ได้ใช้งานมักจะถูกเก็บโดยเอาสายไฟฟ้ามาพันไว้รอบตัวมันเอง เพื่อที่จะได้ไม่เกะกะในการเก็บและสะดวกในการหยิบมาใช้ ทีนี้ปัญหามันเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ไม่ได้คลี่สายไฟออกจนหมดเพราะเห็นว่ามีเต้ารับอยู่ใกล้ ๆ กับที่ใช้งาน สิ่งที่เกิดขึ้นเวลาที่เปิด heater ใช้งานคือความร้อนจากตัว heater ทำให้ฉนวนสายไฟหลอม และถ้าฉนวนสายไฟเส้นในหลอมเมื่อไรก็จะเกิดไฟฟ้าลัดวงจรทันที (สายไฟฟ้าที่เห็นมีฉนวนอยู่สองชั้น คือฉนวนหุ้มสายทองแดงที่เป็นสาย live สาย neutral และ สาย ground แต่ละเส้น และฉนวนหุ้มด้านนอกที่ห่อหุ้มสาย live สาย neutral และ สาย ground เข้าไว้ด้วยกัน


รูปที่ 2 วิธีเก็บสายไฟที่ยาวเกินไปผิดวิธี

อีกกรณีหนึ่งที่พบก็คือเวลาที่ใช้ hot plate หลาย ๆ ตัวร่วมกัน เวลาใช้งานก็เสียบปลั๊กเลยโดยไม่ดูว่าสายไฟพาดผ่านอะไรบ้าง บางรายเสียบปลั๊กไฟโดยที่สายไฟนั้นไปพาดผ่าน hot plate อีกตัวหนึ่ง (อุตสาห์คลี่สายไฟออกมาหมดแล้ว แต่ยังไม่วายทำพลาดอีก)

บางรายที่ใช้เครื่องที่ทำหน้าที่กวนได้อย่างเดียว หรือใช้เครื่องที่ทำหน้าที่เป็นทั้งให้ความร้อนและกวนได้ แต่ใช้หน้าที่การทำงานเพียงแค่การกวนเท่านั้นโดยไม่ได้เปิดขดลวดความร้อนใช้งาน เวลาใช้งานก็เลยไม่ได้คลี่สายออกมาจนหมด วิธีการนี้จะว่าไปก็ไม่ถูกต้อง เหตุผลแรกจะอธิบายในเรื่องถัดไป ส่วนเหตุผลที่สองคือควรจะฝึกให้เคยชิน เพราะเมื่อต้องไปใช้เครื่องที่ทำได้ทั้งให้ความร้อนและกวนได้เมื่อไรจะได้ไม่เผลอลืม หรือคนที่ใช้ทั้งเครื่องที่ทำได้ทั้งให้ความร้อนและการกวนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีใครมายุ่งกับปุ่มเปิดให้ความร้อน (ถ้าคุณไม่ได้นั่งเฝ้ามันอยู่ตลอดเวลา)

3. มันถูกดี คุ้มค่าเงินที่จ่าย

ปลั๊กต่อพ่วงที่แสดงในรูปที่ 3 เป็นแบบที่มีราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย แถมยังเก็บสายไฟได้อย่างเป็นระเบียบไม่เกะกะด้วย สายไฟที่ใช้กับปลั๊กชนิดนี้มักเป็นสายไฟชนิดอ่อนที่ใช้กับเครื่องไฟฟ้าทั่วไป โดยเป็นสายไฟที่ใช้ต่อจากอุปกรณ์ไฟฟ้าไปยังเต้ารับ โดยทั่วไปที่เห็นขายกันอยู่ก็จะบอกว่าใช้กับเครื่องไฟฟ้ารวมกันไม่เกิน 1000 วัตต์ โดยแปะเป็นฉลากติดไว้ทางด้านหลังหรือบางรายก็ทำไว้บนตัวพลาสติกเลย โดยมีข้อแม้ว่า "ต้องคลี่สายออกมาให้หมด" ว่าแต่ว่ามีผู้ใช้รายใดได้อ่านคำเตือนนี้หรือเปล่า หรืออ่านแล้วแต่ไม่สนใจและไม่จำ


รูปที่ 3 เต้ารับที่ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการใช้งานกับอุปกรณ์ที่กินกระแสสูง

ถ้าเราสังเกตดูสายไฟฟ้าที่เราใช้กันนั้น เขาจะระบุความต่างศักย์ที่สายรองรับได้ กับขนาดพื้นที่หน้าตัดของลวดทองแดง (บอกเป็นตารางมิลลิเมตรหรือบอกเป็นเบอร์) แต่เขาจะไม่บอกว่าสายไฟเส้นนี้รับกระแสได้กี่แอมแปร์ เพราะขนาดกระแสที่สายไฟจะรับได้จะขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน (สายเดินอิสระ หรือร้อยท่อร้อยสายไฟเพียงเส้นเดียว หรือร้อยท่อร้อยสายไฟรวมกันหลายเส้น ฯลฯ) เพราะในขณะที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านสายไฟฟ้านั้นจะเกิดความร้อนเนื่องจากความต้านทานของสายไฟฟ้า ถ้ากระแสไฟฟ้าสูงขึ้น ความร้อนก็จะเกิดขึ้นมากตามไปด้วยโดยจะแปรผันกับกระแสไฟฟ้ายกกำลัง 2 (ตามสมการ I2R เมื่อ I คือกระแส และ R คือความต้านทาน) กล่าวคือถ้ากระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2 เท่าก็จะเกิดความร้อนเพิ่มขึ้น 4 เท่า เอาเป็นว่าถ้าสายไฟระบายความร้อนได้ดีก็จะรับกระแสไฟฟ้าได้สูง (แต่ไม่ได้หมายความว่าควรเอาสายไฟฟ้าไปแช่น้ำนะ)

ในกรณีที่สายไฟถูกวางพาดไปอย่างอิสระในที่โล่งนั้น สายไฟจะระบายความร้อนได้เต็มที่ ทำให้สามารถรับกระแสไฟฟ้าได้มากก่อนที่ฉนวนจะร้อนจนหลอมละลาย แต่ในกรณีของสายไฟที่เดินทับกันหลายเส้นหรือพันทบกันนั้น ความร้อนที่เกิดจากสายไฟที่อยู่ที่แกนในจะไม่สามารถระบายออกมาได้ ทำให้ฉนวนหุ้มสายไฟร้อนจนหลอมและเกิดการลัดวงจรตามมาได้ ครั้งหนึ่งที่พบคือนำสายไฟไปใช้กับ Hot plate ปรากฎว่าตอนที่ไปพบนั้นตัวปลั๊กต่อพ่วงร้อนจนสายไฟที่พันทับกันอยู่ภายในเริ่มหลอมติดกันแล้ว

ปลั๊กต่อพ่วงประเภทนี้มีความยาวสายไฟให้เลือกหลายขนาด เช่น 3 เมตร 5 เมตร และ 10 เมตร ซึ่งราคาไม่ได้แตกต่างกันมาก (ชนิดสายยาว 10 เมตรไม่ได้มีราคาเป็น 2 เท่าของชนิดสายยาว 5 เมตร) ทำให้บางคนเลือกซื้อชนิดที่มีสายต่อพ่วงยาว ๆ เอาไว้ก่อน ทีนี้พอมาใช้ในสถานที่ที่ไม่กว้างขวาง (มีโอกาสสักเท่าไรในห้องแลปที่ตำแหน่งของเต้ารับที่อยู่ใกล้ที่สุดกับจุดที่ต้องการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ามีระยะห่างกันถึง 10 เมตร) ก็เลยไม่ได้คลี่สายไฟออกมาจนหมดเพราะกลัวว่ามันจะรกรุงรัง พอนำไปใช้กับอุปกรณ์ที่กินกระแสสูงก็ทำให้เกิดปัญหาข้างต้น สายไฟที่ร้อนขนาดนี้แล้วควรทิ้งไปเลยอย่าไปมัวเสียดาย เพราะฉนวนข้างนอกอาจดูดี แต่เราไม่รู้ว่าฉนวนข้างในเสียหายแค่ไหน ณ ตำแหน่งไหน