แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฝึกงานภาคฤดูร้อน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฝึกงานภาคฤดูร้อน แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เหตุเกิดขณะขับรถกลับจากตรวจฝึกงานระยอง MO Memoir : Saturday 18 May 2556

คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีหรือเปล่า แต่ในที่สุดก็ต้องลงมือเขียนจนได้ จะได้หมดเรื่องคาใจ

ผมต้องขับรถระหว่างชลบุรี-ระยองมาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๓๑ ที่ได้ไปทำงานอยู่ที่ระยอง ตั้งแต่ตอนที่ถนนสาย ๓๖ จากแยกกระทิงลายไประยองยังเป็นถนนสองเลนให้รถวิ่งสวนกัน จะแซงกันได้ก็ตอนขึ้นเนินที่เขาจะทำช่องทางพิเศษให้รถที่วิ่งช้าหลบชิดซ้าย ให้รถที่วิ่งเร็วกว่าแซงขึ้นไปได้ ซึ่งตอนนี้ถนนเส้นนี้ได้กลายเป็นฝั่งด้านขาออกจากแยกกระทิงลายไประยอง ส่วนถนนฝั่งด้านขาเข้าจากระยองมาแยกกระทิงลายนั้นเป็นถนนที่ทำเพิ่มขึ้นมาใหม่ตอนที่เขาขยายสาย ๓๖ ขึ้นเป็นสี่ช่องทางจราจร ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าพบว่าถนนฝั่งจากกระทิงลายไประยองช่วงขึ้นเนินจะมีเลนซ้ายเพิ่มอีกหนึ่งเลน แต่พอช่วงลงเนินจะมีเลนขวาเพิ่มอีกหนึ่งเลน
 
ตอนนั้นถนนสาย ๓๖ นี้กลางคืนจะเปลี่ยวมาก มีโอกาสโดนปล้นได้ง่าย จำได้ว่าช่วงปีพ.ศ. ๒๕๓๒ มีข่าวการปล้นกัน โดยคนร้ายใช้วิธีขับรถขึ้นประกบรถที่ขับมาเดี่ยว ๆ แล้วใช้อาวุธปืนยิงคนขับให้เสียชีวิต พอรถตกลงข้างทางจึงค่อยไปเก็บทรัพย์สิน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีการก่อสร้างโรงงานที่ระยอง มีวิศวกรไปทำงานที่นั่นกันเยอะ (พวกเงินเดือนสูง) แต่ที่ระยองเองไม่มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยามค่ำคืน จึงมักมีคนขับรถมาเที่ยวที่พัทยาแทน อันที่จริงจากระยองมาพัทยายังมีเส้นทางถนนสุขุมวิทที่วิ่งเลียบทะเล 
 
ตอนนั้นสุขุมวิทเส้นนี้สถาพถนนยังไม่ดี ลาดยางเฉพาะผิวจราจรแค่พอรถวิ่งสวนกันได้เท่านั้น ผิวจราจรสู้สาย ๓๖ ไม่ได้ ส่วนไหล่ทางนั้นยังเป็นหินคลุก เส้นนี้เป็นเส้นทางที่ผ่านชุมชนทำให้ไม่เปล่าเปลี่ยว แต่คนที่ชอบขับรถเร็วมักใช้เส้นทางสาย ๓๖ มากกว่าที่จะใช้เส้นสุขุมวิท
 
ถนนอีกเส้นที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนมีการปล้นกันบ่อยคือเส้น ๓๔๔ ที่เริ่มจากชลบุรี ผ่าน อ. บ้านบึง จ. ชลบุรี ไปสุดที่ อ. แกลง จ. ระยอง ถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางสำหรับคนที่จะเดินทางไปจันทบุรีและตราด เพราะมันตัดตรงกว่าเส้นที่วิ่งเข้าระยอง ที่แต่ก่อนมีปล้นกันบ่อยก็เพราะพ่อค้าที่เดินทางไปซื้อพลอยที่จันทบุรีจะหอบเงินสดเดินทางโดยใช้ถนนเส้นนี้ ถนนสายนี้ยังเป็นจุดจบของผู้มีอิทธิพลในภาคตะวันออกหลายราย โดยเฉพาะที่อ. บ้านบึง ถึงกับมีสี่แยกหนึ่งที่เรียกกันว่า "แยกเอ็ม 16" (จุดตัดกับถนนสาย ๓๑๓๘ (ถนนสายบ้านบึง-บ้านค่าย)) ด้วยว่าสมัยหนึ่งมีการฆ่ากันที่แยกนี้ด้วยอาวุธปืนเอ็ม 16 เป็นประจำ เพราะเป็นถนนช่วงที่เปลี่ยว แต่ดันมีสัญญาณไฟจราจรให้รถหยุด

--------------------

กลับจากต่างประเทศพ.ศ. ๒๕๓๗ ก็ได้กลับมาใช้ถนนเส้นนี้อีกครั้ง คราวนี้มีการตัดถนนสาย ๗ เชื่อมระหว่างสายสุขุมวิทเลี่ยงระยอง (ช่วงบ้านสวน) มาบรรจบสาย ๓๖ บริเวณเขาไม้แก้วที่อยู่ระหว่างแยกกระทิงลายและจุดตัดระหว่างสาย ๓๖ กับสาย ๓๓๑ ตอนนั้นมอเตอร์เวย์กรุงเทพ-ชลบุรียังไม่สร้าง) สาย ๓๖ อยู่ในระหว่างการขยาย ส่วนสาย ๓๓๑ ยังเป็นถนนสองเลน มาคราวหลังนี้เนื่องจากรู้จักเส้นทางมากขึ้น ทำให้รู้จักเส้นทางเลี่ยงคือเส้นจาก อ. ศรีราชา ตัดข้ามถนนสาย ๗ ไปออกสาย ๓๓๑ แถวบ้านหุบบอน จากนั้นตรงไปทางอ.ปลวกแดง ต่อไปยัง อ. บ้านค่าย และเข้าตัวจังหวัดระยอง เส้นทางช่วงถนนสาย ๓๓๑ ผ่านปลวกแดง บ้านค่าย ไปยังระยองนั้น เป็นทางหลวง ๓๑๓๘ ที่มีเลขหมายปรากฏในแผนที่ แต่เส้นช่วงสาย ๓๓๑ ไปยังศรีราชานั้นเป็นถนนท้องถิ่น มีบางช่วงที่ตัดอ้อมผ่านภูเขาเตี้ย ๆ ของชลบุรี เป็นเส้นทางที่แต่ก่อนมีเฉพาะคนท้องถิ่นและคนที่รู้จักเส้นทางเท่านั้นที่ใช้กัน เพราะมันไม่มีป้ายบอกว่ามันจะไปทางไหนและไปออกที่ใด
 
แม้ว่าช่วงหลังนี้ถนนสาย ๗ และสาย ๓๖ จะมีรถวิ่งกันมากขึ้นและวิ่งกันตลอดทั้งคืน แต่ก็ยังมีการจี้ปล้นกันอยู่ในช่วงกลางคืน วิธีการหนึ่งที่ใช้กันก็คือใช้วิธีขับรถเฉี่ยวชนให้เกิดอุบัติเหตุ จากนั้นก็หลบเข้าจอดข้างทางเพื่อดูว่าคู่กรณีจะจอดรถลงมาดูความเสียหายหรือไม่ ถ้าคู่กรณีเผลอลงมาจากรถเพื่อที่จะโวยวายหรือดูความเสียหายเมื่อไร คนร้ายที่อยู่ในรถกันหลายคนก็จะยกพวกลงมาปล้นเอารถไป แม้ว่าถนนเส้นนี้จะมีรถวิ่งผ่านไปมาตลอดเวลา แต่ในเวลากลางคืนก็ไม่มีใครคิดจะหยุดดูรถที่เข้าจอดข้างทางว่าเขาเข้าจอดทำไม คนที่เห็นเหตุการณ์รถเฉี่ยวชนก็คงนึกว่าเป็นการลงไปตกลงเรื่องความเสียหาย ส่วนคนที่ขับผ่านมาทีหลังจะเห็นว่าตรงที่รถสองคันจอดอยู่นั้นมีคนยืนคุยกันอยู่หลายคน ทำให้หลงคิดได้ว่าคงเป็นพวกที่มาด้วยกันปรึกษาหารืออะไรกันอยู่
 
แต่ถ้าเป็นถนนเส้นรองที่กว้างพอแค่รถวิ่งสวนกันได้โดยรถเก๋งไม่สามารถลงไปวิ่งในไหล่ทางได้ ก็อาจใช้วิธีการปิดถนน คือให้มีรถนำหน้าคัน ตามหลังคัน พอได้โอกาสพอเหมาะคันหน้าก็จะจอดขวางทางเอาไว้ ส่วนคันหลังก็จะปิดทางไม่ให้ถอยรถหนีไปได้ แต่วิธีการนี้มันไม่ค่อยเนียนเท่าไร เพราะถ้ารถคันที่จะปล้นนั้นคนขับมีอาวุธมาด้วย เขาก็จะรู้ตัวว่ากำลังถูกปล้น คนร้ายก็มีสิทธิ์เจ็บตัวได้เหมือนกัน ไม่เหมือนกับการเฉี่ยวชนที่แม้ว่ารถคันเป้าหมายจะมีอาวุธมาด้วย แต่คนขับที่ลงมาดูความเสียหายรถตัวเองคงไม่ถืออาวุธลงมา และคงคิดว่าถนนที่มีรถวิ่งผ่านไปตลอดเวลาคงไม่มีการปล้นกัน

--------------------

นอกจากนี้ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ชอบแกล้งคนอื่นไปวัน ๆ พวกนี้ถ้าคิดจะแกล้งใครก็จะเร่งความเร็วแซงขึ้นมาอยู่ข้างหน้า จากนั้นก็จะลดความเร็วลงวิ่งช้า ๆ ขวางเอาไว้ ถ้ารถคันที่ถูกแซงพยายามที่จะแซงหน้าขึ้นไปมันก็จะเร่งเครื่องวิ่งขวางเอาไว้ไม่ให้แซง ที่เคยเจอก็เป็นพวกแก๊งค์มอเตอร์ไซค์วัยรุ่น แต่ถ้ามันเห็นเราขับช้า ๆ ตามมันไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดสนใจอะไร มันก็จะหลบไปเอง
 
พฤติกรรมแก๊งค์มอเตอร์ไซค์แบบนี้เคยมีคนมาบ่นกับผมว่าไปเจอมาตอนขับรถกลับช่วงกลางคืน เขามาปรารภกับผมว่าชักอยากจะซื้อปืนติดรถบ้างแล้ว ผมก็เตือนเขาไปว่าถ้าเป็นคนใจร้อนคุมสติไม่ได้อย่างนั้นอย่าคิดมีอาวุธปืนเลยดีกว่า แล้วผมก็ถามเขากลับไปว่าแล้วทำไมไม่ปิดไฟส่องสว่างแล้ววิ่งตามมอเตอร์ไซค์คันนั้นไปล่ะ เขาก็ทำหน้างงแบบไม่เข้าใจ ผมก็เลยอธิบายต่อว่าจะได้มองไม่เห็นป้ายทะเบียนรถเรายังไง พอเข้าที่มืด ๆ ปลอดคนเห็นก็จัดการซะเลย รถเรามันใหญ่กว่ามอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว และรถคุณก็ประกันชั้นหนึ่งด้วย จะไปห่วงอะไร

--------------------
รูปที่ ๑ แผนที่บริเวณจังหวัดระยองและชลบุรีในปีพ.ศ. ๒๕๐๘

เรื่องที่อยากจะเล่าเป็นเรื่องที่เกิดบนถนนเส้นรอง คือถนนที่เชื่อมระหว่างหมู่บ้านต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างถนนเส้นหลัก (ที่เชื่อมระหว่างจังหวัดหรืออำเภอต่าง ๆ) แต่ก่อนถนนเส้นรองนี้ก็ไม่ได้ลาดยางทั้งหมด เป็นลูกรังบ้าง เป็นหินคลุกบ้าง ถ้าเข้าเขตหมู่บ้านก็อาจเป็นถนนลาดยางหรือคอนกรีต แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือน ๆ กันคือมันมักไม่ค่อยมีเส้นตีแนวบนพื้นถนนหรือข้างทาง และก็ไม่มีป้ายบอกด้วยว่าทางข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร ไหล่ทางก็มักจะไม่มีจุดสังเกต และมักอยู่ต่ำกว่าถนนด้วย ถนนเส้นรองที่อยู่ระหว่างสาย ๓๓๑ และสาย ๗ ตัดผ่านบริเวณที่เป็นไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง และไร่สับปะรด มีการปลูกสนหรือยูคาบ้าง บางช่วงก็เป็นต้นไม้อยู่ข้างทาง 
  
คืนนั้นเสร็จจากอาหารเย็นกับนิสิตที่ไปตรวจเยี่ยมที่ระยองก็ค่ำแล้ว ผมเลือกที่จะขับรถกลับบางแสนโดยใช้เส้นทางผ่าน อ.บ้านค่าย ไปยัง อ. ปลวกแดง ตัดข้ามทางหลวงสาย ๓๓๑ เพื่อที่จะผ่านด้านหลังเขาเขียวไปโผล่ทางอ่างเก็บน้ำบางพระ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ตัดตรง แทนที่จะวิ่งอ้อมไปยัง อ. บ้านบึง ก่อนที่จะวกเข้าชลบุรีและลงมาบางแสนอีกที
 
พอข้ามทางหลวงสาย ๓๓๑ มาแล้วก็เป็นถนนรองเชื่อมระหว่างหมู่บ้านโดยตัวถนนเองนั้นไม่มีไฟส่องสว่าง ดูเหมือนว่าจะเป็นรถเพียงคันเดียวที่ขับอยู่บนถนนเส้นนั้นในช่วงเวลานั้น อยู่ดี ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์จากไหนไม่รู้วิ่งแซงหน้าขึ้นมาแล้วก็มาขับช้า ๆ ขวางหน้า พอเจออย่างนี้เข้าผมก็ขับตามมอเตอร์ไซค์คันนั้นไปเรื่อย ๆ สักพักพอถึงโค้ง ๆ หนึ่งมอเตอร์ไซค์คันนั้นก็หลบไปข้างทางส่วนผมก็ขับแซงหน้าขึ้นไป
 
ขับไปสักพักจู่ ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์โผล่ขึ้นมาจากข้างทางมืด ๆ มาขวางอยู่หน้ารถ ผมเดาว่ามันคงติดเครื่องแต่ปิดไฟหน้าเอาไว้ รอจังหวะให้ผมเข้ามาใกล้ ๆ แล้วก็โผล่พรวดขึ้นมา สังเกตดูพบว่าเป็นรถคันเดิมที่เข้ามาขวางหน้าก่อนหน้านี้ ผมเลยสงสัยว่ามันคงรู้ทางลัดเพราะมันเป็นรถเล็ก วิ่งในเส้นทางที่รถยนต์วิ่งไม่ได้ ก็เลยสามารถมาดักรอผมข้างหน้าได้อีก ทีนี้มันแกล้งหยุดรถกระทันหัน ทำให้ผมต้องหยุดรถกระทันหันไปด้วย พอรถผมเข้าใกล้ท้ายรถมัน มันก็เร่งเครื่องหนีไป มันทำอย่างนี้สักสามสี่ครั้งแล้วก็ดับไฟแล้วขับหายไปในความมืดข้างทาง
 
ตอนนั้นรู้สึกสังหรณ์ใจว่าคืนนี้คงเจอดีเข้าให้แล้ว คิดว่ามอเตอร์ไซค์คันนั้นคงมาดูลาดเลาว่าในรถที่ผมขับมานั้นมีใครอยู่ด้วยหรือไม่ ถนนเล็ก ๆ ในที่เปลี่ยว ๆ เช่นนี้สำหรับรถเก๋งแล้วเจอท่อนไม้ขนาดท่อนแขน (พวกไม้สนหรือไม้ยูคาที่ใช้ทำน่งร้านหรือเสาเข็ม) วางขวางถนนก็เสร็จได้เหมือนกัน ยังไม่ทันจะตัดสินใจว่าจะทำยังไงดี ก็มีแสงไฟส่องสว่างจ้ามาจากทางด้านหลัง แล้วก็มีมอเตอร์ไซค์วิ่งแซงขวาปาดหน้ารถผมจากขวามาทางซ้ายอย่างรวดเร็ว ผมตัดสินใจเปิดไฟสูงเร่งเครื่องเข้าจี้ท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นทันทีพร้อมที่จะเบียดออกขวาหรือซ้ายก็ได้เพื่อแซงขึ้นไป ในขณะที่รถผมวิ่งเข้าจี้ท้ายมอเตอร์ไซค์นั้น แสงจากไฟหน้ารถทำให้ผมเห็นว่าผู้ขับรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นต้องการอะไรจากผม เสี้ยววินาทีนั้นผมตัดสินใจ .....

--------------------

ผมขับรถต่อมาจนถึงสามแยกระหว่างทางเข้าหมู่บ้านหมู่สุดท้ายก่อนออกถนนใหญ่ โชคดีที่ตรงสามแยกนั้นมีโคมไฟส่องสว่างและมีตู้แดง (ตู้ที่สถานีตำรวจแขวนไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อให้สายตรวจไปลงชื่อว่าได้ผ่านจุดต่าง ๆ นั้นเมื่อเวลาใด) แขวนอยู่ตรงนั้น บังเอิญว่าตอนที่ผมไปถึง มีตำรวจนายหนึ่งกำลังเดินจากตู้แดงมายังรถปิ๊คอัพที่จอดอยู่ เพื่อจะเปิดประตูขึ้นรถ จากแสงไฟหน้ารถของผมทำให้เห็นว่านายตำรวจผู้นั้นชะงักมือเอาไว้ไม่เปิดประตู แต่จ้องมองดูรถผม ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะขับรถต่อไปยังทิศทางที่ผมขับมา
 
ผมลดความเร็วลดลง ขับรถชิดซ้ายเข้าจอดข้างทางเทียบรถตำรวจ นายตำรวจผู้นั้นก็หันมามองทางรถผม ผมเลยลดกระจกด้านคนขับลง
 
"คุณตำรวจครับ คือว่าเมื่อสักครู่นี้ .... " ผมบอกนายตำรวจ แต่ก็พูดได้แค่ประโยคสั้น ๆ เนื่องจากความตื่นเต้นจากเหตุการณ์ที่เพิ่งประสบมา 
  
"คุณเพิ่งจะขับรถผ่านมาจากทางด้านโน้นใช่ไหม" นายตำรวจผู้นั้นพูดกับผมก่อนที่ผมจะพูดอะไรต่อไป
"คุณโชคดีนะที่รอดมาได้"
 
นายตำรวจผู้นั้นกล่าวต่อ พร้อมกับเดินออกไปกลางถนน เดินย้อนไปในทิศทางที่ผมขับรถมา โดยไม่ถามผมต่อไปว่าผมกำลังจะบอกอะไรต่อไป ผมได้แต่มองตามหลังคุณตำรวจไปโดยอาศัยแสงจากไฟท้ายรถผม 
  
"ไอ้นี่มันออกมาก่อเรื่องกับคนที่ขับรถผ่านแถวนี้ตอนกลางคืนเป็นประจำ มีคนเจอมาหลายรายแล้ว" คุณตำรวจเล่าให้ผมฟัง ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ใช่รายแรกที่เจอเหตุการณ์ดังกล่าว
 
"โค้งตรงนั้นมันมีเนินบังอยู่ แล้วก็หักศอกซ้ายเอาดื้อ ๆ ใครไม่ชำนาญทาง หรือไปหลงโมโหตามที่พวกมันยั่ว เสร็จพวกมันทุกที ขืนวิ่งตรงหรือแซงขวาได้แหกโค้งลงคูข้างทางเป็นประจำ"
 
"ผมเองก็มารอดักจับมันอยู่ตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้ตัวมันสักที ปัญหาหลักก็คือเจ้าทุกข์ไม่กล้ามาชี้ตัว" คุณตำรวจกล่าวต่อไป 
  
"ครั้งนี้เขาทำอะไรกับคุณล่ะ สงสัยผมต้องไปร่วมวงกับมันสักหน่อยแล้ว" คุณตำรวจยังคงพูดต่อไปโดยยังคงยืนหันหลังให้ผม มองไปในทิศทางที่ผมขับรถมา แล้วถามผมว่าด้วยน้ำเสียงที่ฟังนิ่มนวลขึ้นว่า
 
"เขาทำอย่างนี้กับคุณใช่ไหม"

--------------------

หลังเหตุการณ์วันนั้น ทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจอดรถเพื่อแจ้งความอะไรให้กับตำรวจในตอนกลางคืนอีกเลย สิ่งที่นายตำรวจผู้นั้นทำกับผมในคืนนั้นทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก ไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้

แต่ตอนนี้ผมตอบคำถามของเขาได้แล้ว
 
คำตอบของผมสำหรับคำถามของนายตำรวจผู้นั้นในคืนนั้นคือ


รูปที่ ๒ แผนที่ทางหลวงบริเวณจังหวัดชลบุรีและระยองในปีพ.ศ. ๒๕๓๕ (จากหนังสือ "ทางหลวงในประเทศไทย" จัดทำโดยกรมทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕

"ใช่ครับคุณตำรวจ เขาทำเหมือนกับที่คุณตำรวจแสดงให้ผมดูอยู่ตอนนี้แหละครับ
   
คือเขาหันหัวกลับมาข้างหลังได้ ๑๘๐ องศาโดยไม่ต้องหันตัว แล้วยิ้มให้ผม ก่อนจะเลือนหายไปต่อหน้าต่อตา"

--------------------

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที่ ๑๐ สรุปคำถาม MO Memoir : Tuesday 25 May 2553


จากการที่ได้ไปนั่งฟังการนำเสนอผลการทำงานในช่วงฝึกงานของนิสิตวิศวกรรมเคมีทั้ง ๖ กลุ่มในช่วงเช้าเมื่อวานที่ผ่านมา เห็นว่ามีบางคำถามที่น่าสนใจที่ควรนำมาพิจารณาเพิ่มเติมหรืออธิบายเพิ่มเติมถึงประเด็นที่ผู้ถามต้องการทราบ เนื่องจากเวลาในการนำเสนอค่อนข้างสั้นและผมก็ไม่อยากซักถามอะไรผู้นำเสนอ (เห็น ๆ กันอยู่ว่าแค่นี้ก็แทบแย่แล้ว) ก็เลยขอรวบรวมข้อสังเกตและข้อสงสัยต่าง ๆ ไว้ในบันทึกฉบับนี้
อนึ่งเนื่องจากในแต่ละเรื่องนั้นผมไม่ทราบรายละเอียดการทำงานทั้งหมด ดังนั้นข้อสงสัยบางข้อนั้นผู้ที่ทำงานจึงอาจมีคำตอบอยู่เรียบร้อยแล้ว แต่ปัญหาด้านภาษาทำให้การถามตอบนั้นขาดความชัดเจน และเนื่องจากผมไม่ได้เห็นระบบของจริง ความคิดเห็นในบางเรื่องนั้นอาจจะนำไปใช้ในทางปฏิบัติไม่ได้


คำถามที่ ๑ Pay back period ของ heat exchanger

รูปข้างล่างเป็นแผนผังอย่างง่ายของกระบวนการให้ความร้อนแก่น้ำมันก่อนส่งเข้า furnace ในกระบวนการดังกล่าวสายน้ำมันที่ป้อนเข้าเตาเผา (furnace) (สายสีเขียว) จะได้รับความร้อนจากสายน้ำมันร้อนสายอื่น (สายสีแดง) ที่เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (heat exchanger) ทำให้น้ำมันที่ป้อนเข้า furnace มีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งจะไปช่วยลดพลังงานความร้อนที่ต้องจ่ายให้ที่ furnace


แต่มีปัญหาเกิดขึ้นตรงที่ตัว heat exchanger เกิดการ fouling เพิ่มมากขึ้นตามเวลา ทำให้ความสามารถในการแลกเปลี่ยนความร้อนลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นเพื่อที่จะให้สามารถดึงความร้อนจากสายสีแดงได้มากเหมือนเดิม จึงได้มีการเสนอให้มีการทำความสะอาด heat exchanger
ถ้าช่วงเวลาที่จะทำความสะอาด heat exchanger นั้นตรงกับช่วง annual shut down ของโรงงานพอดี ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าเกิดขึ้นระหว่างช่วง annul shut down จะต้องมีการ bypass ตัว heat exchanger ตัวนั้นโดยให้น้ำมันในสายสีเขียวนั้นไหลไปยัง furnace โดยตรง
การให้น้ำมันสายสีเขียวไม่ไหลผ่าน heat exchanger จะทำให้อุณหภูมิของน้ำมันสายสีเขียวก่อนเข้า furnace นั้นต่ำกว่าเมื่อน้ำมันสายสีเขียวไหลผ่าน heat exchanger ดังนั้นเพื่อให้อุณหภูมิของน้ำมันสายสีเขียวที่ออกจาก furnace นั้นคงเดิม จะต้องเพิ่มพลังงาน (ซึ่งก็คือปริมาณเชื้อเพลิงนั่นเอง) ที่ต้องป้อนเข้าที่ furnace
การเพิ่มพลังงานที่ต้องป้อนเข้าที่ furnace จะต้องกระทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะทำความสะอาด heat exchanger เสร็จแล้วนำกลับเข้าระบบใหม่
คำถามที่ถามตอนนั้นคือ พลังงานความร้อนที่จะดึงออกมาได้เพิ่มขึ้นจากสายสีแดงหลังจากที่ทำความสะอาด heat exchanger เรียบร้อยแล้ว (น่าจะคิดในช่วงเวลาหลังจากที่ทำความสะอาดเสร็จจนถึงเวลาที่ทำการ annual shut down) กับพลังงานที่ต้องป้อนเพิ่มเข้าไปที่ furnace ในระหว่างการทำความสะอาด heat exchanger นั้น (คิดในช่วงเวลาที่ต้องทำความสะอาด heat exchanger) ส่วนไหนมีค่ามากกว่ากัน ถ้าหากพลังงานที่ดึงออกมาได้เพิ่มขึ้นจากสายสีแดงนั้นสูงกว่าพลังงานที่ป้อนเข้าเพิ่มเติมที่ furnace ในระหว่างการทำความสะอาด ก็แสดงว่าการทำความสะอาดนั้นจะช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น
pay back period ในกรณีนี้คือต้องใช้เวลาเท่าใดจึงพลังงานที่สามารถประหยัดได้ (คือพลังงานที่ดึงได้เพิ่มขึ้นจากสายสีแดง) จึงจะเท่ากับพลังงานที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมในระหว่างการทำความสะอาด heat exchanger (คือพลังงานที่ต้องป้อนเข้าเพิ่มเติมที่ furnace ในระหว่างการทำความสะอาด heat exchanger)

คำถามที่ ๒ เรื่องของ Equation of state

สิ่งหนึ่งที่ผมมักถามเป็นประจำเวลาที่มีคนมาถามว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้ผล simulation ของหอกลั่นตรงกับผลการวัดจริงของโรงงาน และสิ่งหนึ่งที่ผมถามกลับเป็นประจำคือใช้ Equation of state (EOS) ของใคร
Equation of state นั้นมีอยู่หลายสมการ ที่เห็นใช้กันมากก็ได้แก่สมการ SRK (Soave modification of Redlich-Kwong) Peng-Robinson (PR) และ BWR (ย่อจาก Benedict-Webb-Rubin)
แต่ละ Equation of state นั้นมีความถูกต้องในช่วงอุณหภูมิและความดันที่แตกต่างกัน และเหมาะสมกับสารต่าง ๆ ชนิดกัน เช่นบางชนิดใช้ได้ดีกับสารที่เป็น non-polar แต่ถ้ามีสารที่เป็น polar อยู่ด้วยจะใช้ได้ไม่ดี บางชนิดสามารถใช้ได้ดีกับสารผสมที่เป็นสาร polar และมีอันตรกิริยา (interaction) ระหว่างกัน แต่พอเอามาใช้กับสารที่เป็น non-polar (เช่นไฮโดรคาร์บอน) แล้วอาจจะสู้สมการอื่นในด้านความถูกต้องไม่ได้

คำถามที่ ๓ การลดความดันในหอกลั่น LPG

การลดความดันของหอกลั่นจะทำให้จุดเดือดของสารต่าง ๆ นั้นลดลง ก็จะสามารถลดปริมาณความร้อนที่ต้องให้ที่ reboiler ได้
ในทางกลับกันถ้าเราเพิ่มความดันของหอกลั่นให้สูงขึ้น จุดเดือดของสารต่าง ๆ ก็จะเพิ่มมากขึ้น การกลั่นแยกสารที่มีจุดเดือดต่ำที่อุณหภูมิห้อง (อุณหภูมิจุดเดือดของสารนั้นต่ำกว่าอุณหภูมิของน้ำหล่อเย็น) ถ้าหากเราเพิ่มความดันของการกลั่นให้สูงขึ้น ก็อาจใช้น้ำหล่อเย็น (ซึ่งเป็นตัวระบายความร้อนที่มีราคาถูก) หรือใช้อากาศ เป็นตัวระบายความร้อนจากเครื่องควบแน่นที่ยอดหอได้

คำถามที่ ๔ เมื่อ Control valve มีขนาดเล็กเกินไป

โดยปรกติแล้วเมื่อ control valve มีขนาดเล็กเกินไป (กล่าวคือวาล์วเปิดเต็มที่แล้วก็ยังไม่สามารถให้อัตราการไหลที่สูงดังต้องการได้) วิธีการแก้ไขคือการเปลี่ยนวาล์วให้มีขนาดใหญ่ขึ้น


ในกรณี่ที่ยังไม่สามารถเปลี่ยนวาล์วได้ ก็อาจแก้ขัดไปก่อนด้วยการเปิดวาล์วที่อยู่บน bypass line ของ control valve เพื่อช่วยให้ของไหลไหลผ่านได้มากขึ้น โดยอาจค่อย ๆ เปิดวาล์วที่อยู่บน bypass line มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเห็นว่า control valve ไม่ได้เปิดเต็มที่ (100%) ซึ่งก็พอจะทำให้สามารถใช้ control valve ควบคุมอัตราการไหลได้ในระดับหนึ่ง
แต่การกระทำดังกล่าวก็มีข้อควรระวังคือ แม้ว่า control valve จะปิดตัวลงสนิทแล้ว แต่ก็ยังมีของไหลไหลผ่านอยู่ทางด้าน bypass line

คำถามที่ ๕ Acid dew point

การดึงความร้อนออกจากแก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงนั้น สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือปริมาณของแก๊สกรด (SOx และ NOx) ที่อยู่ในแก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ ยิ่งเราดึงความร้อนออกจากแก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ได้มากเท่าใด (กล่าวคือทำให้อุณหภูมิของแก๊สร้อนนั้นลดลงได้มากเท่าใด) เราก็จะประหยัดพลังงานได้มากเท่านั้น
แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือต้องไม่ให้ไอน้ำที่อยู่ในแก๊สร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้นั้นเกิดการควบแน่น เพราะถ้ามีการควบแน่นของไอน้ำเป็นหยดของเหลวเมื่อใด แก๊ส SOx และ NOx จะละลายเข้าไปในหยดน้ำนั้น กลายเป็นสารละลายที่มีฤทธิ์เป็นกรดและกัดกร่อนโลหะได้
ปริมาณ SOx ที่เกิดขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณสารประกอบกำมะถันที่มีอยู่ในเชื้อเพลิง ยิ่งมีมากก็ยิ่งเกิดมาก ส่วนปริมาณ NOx นั้นไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับปริมาณสารประกอบไนโตรเจนที่มีอยู่ในเชื้อเพลิง แต่ยังขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของการเผาไหม้ด้วย เพราะ NOx สามารถเกิดได้จากปฏิกิริยาระหว่างไนโตรเจนและออกซิเจนในอากาศโดยตรง ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าวจะเกิดได้ดีที่อุณหภูมิการเผาไหม้สูงขึ้น


คำถามที่ ๖ Discharge pressure ของปั๊ม

ความดันด้านขาออก (discharge pressure) ของปั๊มนั้นขึ้นอยู่กับความดันด้านขาเข้าด้วย ตัวอย่างเช่นปั๊มน้ำตัวหนึ่งบอกว่าให้ความดันด้านขาออกได้สูง 5 barg ซึ่งความดันดังกล่าวมักหมายถึงกรณีที่เราสูบน้ำจากความดันบรรยากาศ (0 barg) ปั๊มตัวนี้จะสร้างความดันด้านขาออกได้สูงถึง 5 barg
แต่ถ้าเราสูบน้ำจากถังความดันที่เก็บน้ำไว้ที่ความดัน 3 barg ปั๊มตัวนี้จะสร้างความดันด้านขาออกได้ 8 barg (ได้มาจากผลรวมของความดันเดิมในถังเก็บคือ 3 barg และความดันที่ปั๊มผลิตเพิ่มให้คือ 5 barg)
ดังนั้นจะว่าไปแล้วความดันด้านขาออกของปั๊มควรเป็น ผลรวมของความดันด้านขาเข้า บวกกับความดันที่ปั๊มผลิตเพิ่มให้
แต่ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าตัวปั๊มเองต้องแข็งแรงเพียงพอที่จะรับความดันในช่วงการทำงานดังกล่าวได้

คำถามที่ ๗ ขนาด Suction line ของปั๊ม

ในกรณีนี้ค่า NPSHr (Net positive suction head required) ณ ค่าอัตราการไหลที่ต้องการนั้นมากกว่าค่า NPSHa (Net positive suction head available) ที่ระบบมีอยู่ การแก้ปัญหากระทำได้โดยการเพิ่มขนาดท่อด้าน suction ของปั๊ม
ที่ผมสงสัยคือคำถามที่มีวิศวกรถามว่าทำไมไม่เพิ่มขนาดท่อ suction จาก 2" ไปเป็นเพียงแค่ 3" แต่เล่นเพิ่มไปเป็นขนาด 6" จากนั้นผู้ที่นำเสนอก็ได้นำค่าตัวเลขค่าใช้จ่ายขึ้นมานำเสนอ (ตรงนี้ผมตามไม่ทันว่าเขาคุยกันเรื่องอะไร)
ในมุมมองของผมนั้นความยาวยาวท่อด้านขาเข้าของปั๊ม (suction line) นั้นมักจะสั้นกว่าความยาวท่อด้านขาออก (discharge line) มาก ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนขนาดท่อด้านขาเข้าให้ใหญ่ขึ้นนั้นไม่น่าจะมีนัยสำคัญมากเมื่อเทียบกับการที่ต้องเปลี่ยนขนาดท่อด้านขาออกให้ใหญ่ขึ้น หรือเดินท่อขาออกเพิ่มขึ้น (เดินท่อคู่ขนาน) เพื่อให้สามารถรองรับอัตราการไหลที่เพิ่มขึ้นได้
ในกรณีของท่อด้านขาเข้าที่มาจากถังความดัน (pressure vessel) นั้น ขนาดของท่อที่ต่อออกมาจากถังความดันจะขึ้นอยู่กับขนาดหน้าแปลนที่ติดมากับตัวถัง ดังนั้นการเพิ่มขนาดท่อด้านขาเข้าปั๊มให้ใหญ่ขึ้นนั้นก็ยังอาจแก้ปัญหาได้เพียงแค่ในระดับหนึ่ง เพราะคอขวดของระบบไปอยู่ตรงที่ขนาดหน้าแปลนสำหรับต่อท่อด้านขาเข้าเข้ากับถัง


ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นและข้อสังเกตเท่านั้น ส่วนจะนำไปใช้งานจริงได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าระบบที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร และ Memoir ฉบับนี้คงเป็นฉบับสุดท้ายของชุด "ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓" แล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที่ ๙ ความดันลดกับอัตราการไหล MO Memoir : Thursday 29 April 2553

จากการที่ได้ไปตรวจเยี่ยมนิสิตฝึกงานมาเมื่อวาน (เรียกให้ถูกคือพาไปเลี้ยงข้าวเย็นริมทะเล ในสถานที่ที่มีภูเขาบดบังไม่ให้เห็นดวงอาทิตย์ตกทะเล แต่สามารถเห็นพระจันทร์เต็มดวงคืนวันเพ็ญโผล่ขึ้นมาจากทะเล) ก็มีคำถามหนึ่งเกี่ยวกับการตรวจสอบอัตราการไหลของของไหลในท่อด้วยการวัดความดันลด (pressure drop) ระหว่างตำแหน่งต่าง ๆ ของระบบท่อ ซึ่งเทคนิคดังกล่าวก็เหมือนกับการวัดโดยใช้ orifice ที่เรียนกันมาแล้ว แต่การแปลผลระหว่างความดันลดที่วัดได้กับอัตราการไหลที่แท้จริงนั้นต้องมีการระวังอยู่เหมือนกัน

Memoir ฉบับนี้เลยถือโอกาสเล่าเรื่องเกี่ยวกับอุปกรณ์และหลักการการวัดอัตราการไหล วิธีการวัดอัตราการไหลของของไหลในท่อนั้นมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ในที่นี้จะกล่าวถึง ๒ รูปแบบที่มักจะพบเห็นกันได้อยู่ทั่วไป คือการใช้ Rotameter และ Orifice


Rotameter ทำจากหลอดแก้วหรือพลาสติกใสที่มีรูอยู่ตรงกลาง ขนาดพื้นที่หน้าตัดของรูที่ปลายด้านล่าง (ช่องทางให้ของไหลไหลเข้า) จะเล็กกว่าด้านบน (ด้านที่ของไหลไหลออก) ภายในรูนี้จะบรรจุลูกลอย (float) ที่จะลอยขึ้นลงตามอัตราการไหลของของไหล การทำงานและตัวอย่าง rotameter แสดงไว้ในรูปที่ 1 ข้างล่าง

รูปที่ 1 (ซ้าย) การทำงานของ rotameter และ (ขวา) ตัวอย่าง rotameter

(รูปซ้ายจาก http://www.globalspec.com/reference/9771/349867/Rotameters-Simplicity-Utility

รูปขวาจาก http://www.atspecialties.com/downloads/Color%20VA.GIF)


เมื่อของไหลไหลเข้าทางด้านล่าง rotameter ของไหลนั้นจะไปดันผิวด้านล่างของลูกลอย ทำให้ลูกลอยลอยตัวสูงขึ้น ยิ่งของไหลไหลเร็วเท่าใด แรงที่ดันลูกลอยก็จะสูงตามไปด้วย แต่เนื่องจากรูด้านในนั้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ขยายใหญ่ขึ้น ดังนั้นเมื่อลูกลอยลอยตัวสูงขึ้น พื้นที่การไหลก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วย จนในที่สุดเมื่อแรงที่ของไหลดันลูกลอยให้ลอยตัวสูงขึ้นเท่ากับน้ำหนักของลูกลอยในของไหลนั้น ลูกลอยก็จะอยู่นิ่ง

รูปร่างและวัสดุที่ใช้ทำลูกลอยขึ้นอยู่กับชนิดของไหลและช่วงอัตราการไหลที่ต้องการวัด เช่นถ้าต้องการวัดอัตราการไหลของอากาศที่ค่าต่ำ ๆ ก็อาจใช้ลูกลอยทำจากพลาสติก แต่ถ้านำไปใช้วัดค่าอัตราการไหลของอากาศที่ค่าสูง หรือนำไปใช้วัดอัตราการไหลของน้ำ ก็สามารถเปลี่ยนไปใช้ลูกลอยที่ทำจากโลหะ (เช่น ทองเหลืองหรือสแตนเลส) โดยที่ยังคงใช้ rotameter ตัวเดิมได้

rotameter ที่มากับตัวอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นมักเลือกใช้ลูกลอยและทำการสอบเทียบให้เหมาะสมกับของไหลที่อุปกรณ์ตัวนั้นใช้ ในกรณีที่ของไหลเป็นแก๊สมีสิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือความหนาแน่นของแก๊สนั้นเปลี่ยนไปตามความดันและอุณหภูมิของระบบ เพราะถ้าความดันในระบบสูงขึ้นหรืออุณหภูมิของแก๊สลดลง ความหนาแน่นของแก๊สที่ไหลผ่านลูกลอยจะสูงขึ้น ที่ค่าอัตราการไหลเดียวกัน (ถ้าคิดเทียบที่ความดันบรรยากาศและอุณหภูมิเดียวกัน) ลูกลอยของระบบที่มีความดันสูงกว่า (และ/หรืออุณหภูมิต่ำกว่า) จะลอยต่ำกว่าลูกลอยของระบบที่มีความดันต่ำกว่า (และ/หรืออุณหภูมิสูงกว่า) ส่วนในกรณีของของเหลวนั้น ความดันไม่ส่งผลใดต่อการลอยตัวของลูกลอย แต่อุณหภูมิ (ซึ่งส่งผลต่อความหนาแน่นมากกว่า) จะส่งผลต่อการลอยตัวของลูกลอยมากกว่า

ส่วน rotameter ที่ไม่ได้กำหนดมาว่าจะใช้กับของไหลชนิดใดนั้น ผู้ผลิตมักจะทำสเกลเช่น 0-100 มาให้ (ซึ่งมักหมายถึงช่วงการไหล 0-100% ดังแสดงในรูปที่ 1 ซ้าย) เมื่อผู้ใช้งานต้องการนำ rotameter ดังกล่าวไปใช้งาน จึงจำเป็นต้องมีการสอบเทียบก่อนว่าที่ตำแหน่งความสูงต่าง ๆ กันของลูกลอยนั้น ค่าอัตราการไหลที่แท้จริงเป็นเท่าใด


การวัดอัตราการไหลด้วย orifice ใช้การวัดการเปลี่ยนแปลงความดันเมื่อของไหลไหลผ่านบริเวณที่มีพื้นที่หน้าตัดการไหลลดลง (ดูรูปที่ 2 ข้างล่างประกอบ) การทำให้เกิดบริเวณที่มีพื้นที่หน้าตัดการไหลลดลงมักทำโดยการสอดแผ่นกั้นที่มีรูเจาอยู่ตรงกลาง (เรียกว่าแผ่น orifice) เข้าไปขวางทิศทางการไหลเอาไว้ เมื่อทำการวัดความดันของไหลก่อนไหลผ่านและหลังจากที่ไหลผ่านแผ่น orifice นี้ก็สามารถนำค่าผลต่างความดันนี้ไปคำนวณหาอัตราการไหลได้

การทำให้พื้นที่หน้าตัดการไหลลดลงนี้ไม่จำเป็นต้องใช้แผ่น orifice เสมอไป อาจใช้วิธีการลดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางท่อลงก็ได้ (แล้วค่อยขยายขึ้นกลับเป็นขนาดเดิม) แต่การใช้แผ่น orifice ก็มีข้อดีตรงที่ประหยัดพื้นที่ติดตั้ง และด้วยการเปลี่ยนแผ่น orifice ที่มีขนาดรูต่างกันก็ทำให้สามารถวัดอัตราการไหลในช่วงต่าง ๆ ได้

รูปที่ 2 การทำงานของ orifice (รูปจาก http://www.hydrotherms.com/orifice.htm)


การติดตั้งแผ่น orifice จะใช้หน้าแปลนพิเศษแตกต่างไปจากหน้าแปลนที่ใช้เชื่อมต่อท่อทั่วไป กล่าวคือหน้าแปลนที่ใช้สำหรับติดตั้งแผ่น orifice จะมีการเจาะรูสำหรับต่อท่อไปยังอุปกรณ์วัดความดันลดคร่อมแผ่น orifice (ดูรูปที่ 3 ประกอบ)

เนื่องจากข้อกำหนดในการติดตั้ง orifice นั้นจำเป็นต้องให้ของไหลในท่อไหลอย่างราบเรียบก่อนและหลังจากที่ไหลผ่านออกไป จึงมีข้อกำหนดให้ท่อด้านขาเข้าและท่อด้านขาออกจาก orifice ต้องเป็นท่อตรงอย่างน้อยเป็นช่วงระยะหนึ่ง ช่วงระยะที่ต้องเป็นท่อตรงนี้ขึ้นกับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อ ถ้าท่อที่ใช้นั้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ ระยะทางดังกล่าวก็จะยาวเพิ่มขึ้นไปด้วย ซึ่งจะทำให้ต้องใช้พื้นที่มากในการติดตั้ง orifice วิธีการหนึ่งที่สามารถทำให้ลดระยะความยาวท่อดังกล่าวได้คือการทำให้ท่อช่วงที่ติดตั้ง orifice นั้นมีขนาดเล็กลง ตัวอย่างเช่นสมมุติว่าเราต้องการวัดอัตราการไหลในท่อ 12 นิ้ว ดังนั้นท่อช่วงที่ติดตั้ง orifice นั้นอาจใช้ท่อขนาด 8 นิ้วแทน (พอพ้นออกไปแล้วก็ขยายขึ้นเป็นท่อ 12 นิ้วเหมือนเดิม) ซึ่งก็จะทำให้ลดพื้นที่ที่ต้องใช้ในการติดตั้ง orifice ลงไปได้

รูปที่ 3 ชุด orifice ตัว orifice คือแผ่นกลมมีรูตรงกลาง

(รูปจาก http://www.directindustry.com/prod/aplitex-sl/orifice-plate-for-differential-pressure-flow-measurement-50657-361553.html)


ทีนี้กลับมายังคำถามเกี่ยวข้องกับการฝึกงานที่มีคนถามมาเมื่อวาน อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าถ้าของไหลในท่อไหลเร็วขึ้น ผลต่างความดัน (differential pressure) ที่คร่อมระหว่างจุด ๒ จุดบนแนวท่อนั้นก็จะเพิ่มมากขึ้น (เหมือนกับการทำงานของ orifice นั่นแหละ) แต่การแปลค่าผลต่างความดันระหว่างจุด ๒ จุดที่สูงว่าเป็นเพราะมีอัตราการไหลที่สูงก็ต้องระวัง เพราะถ้าหากเกิดกรณี "ท่อตัน" เราก็จะพบว่าผลต่างความดันระหว่างจุด ๒ จุดนั้นสูงได้ทั้ง ๆ ที่ของไหลนั้นไหลด้วยอัตราการไหลที่ต่ำ


ในการคิดนั้นอย่าไปด่วนสรุปว่า "ถ้าเงื่อนไข (ก) ทำให้เกิดเหตุการณ์ (ข) ดังนั้นถ้าตรวจพบเหตุการณ์ (ข) ก็แสดงว่ามีเงื่อนไข (ก) เกิดขึ้น" เพราะมันไม่จำเป็นว่าเหตุการณ์ (ข) เกิดได้จากเงื่อนไข (ก) เพียงอย่างเดียว เหตุการณ์ (ข) อาจเกิดจากเงื่อนไข (ค) (ง) ฯลฯ ก็ได้ หลายปัญหาที่เกิดขึ้นและแก้ไม่ตกหรือทำให้เรื่องมันไปกันใหญ่ก็เพราะแนวความคิดแบบด่วนสรุปเช่นนี้

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที่ ๘ Net Positive Suction Head (NPSH) MO Memoir : Thursday 4 March 2553

มาถึงวันนี้ พวกปี ๔ ก็คงจะส่งรายงาน senior project (ปริญญานิพนธ์) กันเรียบร้อยหมดแล้ว และคงต้องคอยทำใจว่า เช้าวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๓ ตื่นขึ้นมาแล้วจะทำอะไร ก็ไม่มีการบ้านต้องส่ง ไม่มีรายงานต้องทำ ยังไม่ต้องไปทำงาน (ซึ่งอาจเป็นเพราะยังหางานไม่ได้) และไม่ต้องไปเรียนหนังสือ ส่วนพวกปี ๓ ก็คงตื่นเต้นกับการที่จะได้ไปฝึกงานในโรงงานหลังจากที่เรียนภาคทฤษฎีมา ๓ ปีแล้ว บางคนอาจตื่นเต้นมากที่จะได้ทำอาหารเช้ากินเอง พวกพอมีฝีมือหน่อยก็อาจลวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปกิน ส่วนพวกไม่มีฝีมือเลยก็คงกิน corn flake เป็นหลักมั้ง (ผมเห็นว่ามันเป็นอาหารที่คนกินไม่ต้องมีฝีมือทำอะไรเลย เพียงแค่เทจากกล่องและเติมนมลงไปเท่านั้นเอง ไม่ต้องต้มน้ำร้อน และไม่ต้องรอ ๓ นาทีด้วย)

Memoir ฉบับนี้เป็นเรื่องที่ติดค้างมาจาก Memoir ฉบับวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบ piping ของปั๊มหอยโข่ง ซึ่งหวังว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังจะไปทำงานในโรงงาน (ไม่ว่าจะไปฝึกงานหรือไปทำงานจริง) ไม่มากก็น้อย


เวลาที่คุณดูดน้ำโดยใช้หลอดกาแฟ เคยตั้งคำถามไหมว่าคุณจะดูดน้ำขึ้นมาได้สูงเท่าไร

เวลาที่คุณดูดน้ำอัดลมเย็น ๆ จากขวดโดยใช้หลอดกาแฟ เคยสังเกตไหมว่าจะมีฟองแก๊สเกิดขึ้นในหลอด

หรือเคยตั้งคำถามไหมว่าเวลาที่คุณดูดน้ำโดยใช้หลอดกาแฟ น้ำไหลขึ้นมาตามหลอดได้อย่างไร

แล้วเรื่องเหล่านี้มันเกี่ยวอะไรกับ Net Positive Suction Head (NPSH) ของปั๊ม


รูปที่ 1 กลไกการดูดน้ำโดยใช้หลอดดูดกาแฟ


กลไกการดูดน้ำโดยใช้หลอดดูดกาแฟนั้นมีหลักการเดียวกันกับการที่ปั๊มดูดของเหลวเข้ามาสู่ตัวปั๊ม

รูปที่ 1 ข้างบนแสดงกลที่เกิดขึ้นระหว่างที่เราดูดของเหลวโดยใช้หลอดดูดกาแฟ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราดูดเอาอากาศที่อยู่เหนือผิวของเหลวที่อยู่ในหลอดออกจากหลอด ทำให้ความดันเหนือผิวของเหลวส่วนที่อยู่ในหลอดนั้นลดลง ความดันบรรยากาศเหนือผิวของเหลวที่อยู่ข้างนอกหลอดก็จะดันให้ของเหลวในหลอดนั้นเคลื่อนตัวสูงขึ้น ถ้าเราทำให้ความดันเหนือผิวของเหลวส่วนที่อยู่ในหลอดนั้นต่ำมากพอ และระยะจากผิวของเหลวถึงปากของเรานั้นไม่สูงมากเกินไป ของเหลวในหลอดก็จะไหลเข้าสู่ปากเราได้

ถ้าเขียนในรูปของสมการโดยคิดที่ระดับผิวของเหลวที่อยู่นอกหลอดก็จะได้สมการดังต่อไปนี้


P(atm) = P(tube) + ρgh (1)


เมื่อ P(atm) คือ ความดันของอากาศที่อยู่เหนือของเหลวนอกหลอด

P(tube) คือ ความดันเหนือผิวของเหลวที่อยู่ในหลอด

ρgh คือ ความดันเนื่องจากความสูงของของเหลวโดยที่

ρ คือ ความหนาแน่นของของเหลว

g คือ ความเร่งเนื่องจากแรงดึงดูดของโลก (9.81 m/s2)

h คือ ความสูงของลำของเหลวในหลอด


ความดันเหนือผิวของเหลวในหลอด (P(tube)) ที่ต่ำที่สุดที่จะทำได้คือสุญญากาศ (คือดูดอากาศออกจากในหลอดจนหมดและสมมุติว่าของเหลวไม่มีการระเหย) ดังนั้นในกรณีที่ของเหลวเป็นน้ำ ความสูงที่สูงที่สุดตามทฤษฎีที่สามารถดูดของเหลวขึ้นไปได้คือ 9.81 เมตร

แต่ในความเป็นจริงนั้น แม้ว่าของเหลวจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือดของของเหลวนั้น แต่ของเหลวนั้นก็ยังสามารถระเหยกลายเป็นไอได้เล็กน้อยที่เราเรียกว่า "ความดันไอ" ดังนั้นความดันเหนือผิวของเหลวส่วนที่อยู่ในหลอดจึงเป็นผลรวมของความดันอากาศที่อยู่ในหลอดและความดันไอของของเหลว

ในทางปฏิบัตินั้น เมื่อความดันเหนือผิวของเหลวลดลง จนกระทั่งเท่ากับความดันไอของของเหลวที่อุณหภูมิของของเหลวนั้น ของเหลวนั้นจะเดือดกลายเป็นไอ ดังนั้นเทอม P(tube) ในสมการที่ (1) จะต้องมีการแก้ไขเล็กน้อยโดยการเติมความดันไอของของเหลวเข้าไป


P(tube) = P(air) + P(liq vapour pressure) (2)

และ P(atm) = P(air) + P(liq vapour pressure) + ρgh (3)


เมื่อ P(air) คือ ความดันย่อยของอากาศที่อยู่ในหลอด

P(liq vapour pressure) คือ ความดันไอของของเหลวในหลอด ณ อุณหภูมิของของเหลว


ดังนั้นจะว่าไปแล้วเราจะดูดน้ำให้สูงขึ้นมาตามหลอดกาแฟได้ไม่ถึง 9.81 เมตร แต่จะต่ำกว่าระยะนี้เท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับว่าน้ำนั้นมีอุณหภูมิเท่าใด ยิ่งน้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น ความดันไอของน้ำก็จะสูงขึ้น และที่อุณหภูมิจุดเดือดนั้น ความดันไอของน้ำจะเท่ากับความดันบรรยากาศ ดังนั้นเราจะไม่สามารถดูดน้ำที่อุณหภูมิจุดเดือดขึ้นมาตามหลอดได้

สิ่งที่เกิดขึ้นเวลาที่เราใช้ปั๊มดูดน้ำจากระดับที่อยู่ต่ำกว่าตัวปั๊มก็เหมือนกันกับเวลาที่เราดูดน้ำจากแก้วโดยใช้หลอดกาแฟ ตัวปั๊มลูกสูบ (reciprocating pump) นั้นสามารถทำสุญญากาศได้สูง ทำให้น้ำที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตัวปั๊มสามารถเคลื่อนมาถึงตัวปั๊มได้ แต่ปั๊มหอยโข่ง (centrifugal pump) นั้นไม่สามารถทำสุญญากาศได้สูงเหมือนปั๊มลูกสูบ จึงจำเป็นต้องทำการ "ล่อน้ำ" ก่อนที่จะเริ่มเดินเครื่องปั๊ม (ดู memoir ฉบับวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่องฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที่ ๖ ระบบ piping ของปั๊มหอยโข่ง)

แต่ในขณะที่ของเหลวไหลไปตามท่อนั้น จะเกิดความดันลด (pressure drop) เกิดขึ้นด้วย ดังนั้นสมการที่ (3) จะกลายเป็น


P(atm) = P(air) + P(liq vapour pressure) + ρgh + P(drop) (4)


เมื่อ P(drop) คือความดันลดที่เกิดจากการไหลของไหล


ในกรณีของปั๊มนั้นเมื่อน้ำไหลเข้าถึงทางเข้าของปั๊มแล้ว P(air) ก็จะมีค่าเป็นศูนย์ (เพราะไม่มีอากาศอยู่ในท่อแล้ว สมการที่ (4) ก็จะกลายเป็น


P(atm) = P(liq vapour pressure) + ρgh + P(drop) (5)


ความดันลดนั้นจะเพิ่มตามอัตราการไหลของของเหลว ยิ่งของเหลวไหลเร็วขึ้นก็จะทำให้ค่าความดันลดมากตามไปด้วย แต่เนื่องจากความดันบรรยากาศเหนือผิวของเหลวนั้นเท่าเดิม ดังนั้นยิ่งเราสูบของเหลวเร็วขึ้น ความสูง (h) ที่มากที่สุดที่สามารถสูบของเหลวขึ้นไปได้ก็จะลดลง เพื่อที่จะทำให้ผลรวมของความดันทางด้านขวานั้นเท่ากับความดันบรรยากาศ

ดังนั้นปั๊มจะยังคงสูบของเหลวมายังปั๊มได้ก็ต่อเมื่อผลรวมของเทอมทางด้านขวานั้นน้อยกว่า P(air) ผลต่างระหว่าง P(air) กับผลรวมของเทอมทางด้านขวาก็คือ Net positive suction head (NPSH) นั่นเอง หรือ


NPSH = P(air) - (P(liq vapour pressure) + ρgh + P(drop)) (6)


ทีนี้ลองมาพิจารณาการสูบน้ำจากแหล่งน้ำ(อยู่ที่ระดับ H0) ที่อยู่ต่ำกว่าตัวปั๊ม ขึ้นไปเก็บในถังเก็บที่มีระดับน้ำในถังสูงกว่าตัวปั๊ม (ที่ระดับ H1) ดังแสดงในรูปที่ 2


รูปที่ 2 การสูบน้ำจากแหล่งน้ำที่อยู่ต่ำกว่าระดับปั๊มขึ้นไปเก็บไว้ในถังที่มีระดับน้ำสูงกว่าตัวปั๊ม รูปซ้ายเป็นการตั้งปั๊มให้อยู่ใกล้แหล่งน้ำ รูปขวาเป็นการตั้งปั๊มให้อยู่ใกล้ถังเก็บน้ำ


ถ้าเรานำสมการของแบร์นูลลีมาใช้คำนวณ จะพบว่าคำตอบที่ได้นั้นไม่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งปั๊มว่าจะอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ (ภาพซ้าย) หรือจะอยู่ใกล้กับถังเก็บน้ำ (ภาพขวา) แต่จะขึ้นอยู่กับผลต่างของระหว่างระยะความสูง H1-H0 เท่านั้น

แต่ถ้าเรานำความเข้าใจในเรื่อง NPSH มาพิจารณา (สมการที่ 6) เราจะพบว่าทั้งสองกรณีนั้นแตกต่างกัน ที่อุณหภูมิคงที่ ณ อุณหภูมิหนึ่งนั้น P(liq vapour pressure) จะคงที่ P(drop) จะเพิ่มขึ้นตามอัตราการไหลของน้ำ ตราบเท่าที่ระยะจากผิวน้ำถึงทางเข้าปั๊ม (ระยะ H3 หรือ H4 ซึ่งคือค่า h ในสมการที่ (6)) นั้นเมื่อแทนเข้าไปในสมการที่ (6) แล้วยังทำให้ได้ค่า NPSH เป็นบวกอยู่ ปั๊มก็จะยังสามารถทำงานได้ แต่ถ้าเราต้องการสูบน้ำให้เร็วมากขึ้น ค่า P(drop) ก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นค่า h ที่มากที่สุดที่ยังทำให้ค่า NPSH ยังมีค่าไม่เป็นศูนย์ก็จะลดลง ดังนั้นจะเห็นว่าการตั้งปั๊มแบบที่ให้ตัวปั๊มอยู่ใกล้แหล่งน้ำนั้น (รูปด้านซ้ายในรูปที่ 2) จะทำให้สามารถสูบน้ำได้เร็วกว่าการตั้งปั๊มแบบให้ตัวปั๊มอยู่สูงจากแหล่งน้ำมาก (รูปด้านขวาในรูปที่ 2) และถ้าตัวปั๊มอยู่สูงกว่าผิวน้ำ (ระยะ H3 หรือ H4) จนถึงระดับประมาณ 9.81 เมตรเมื่อใด ปั๊มนั้นก็จะไม่สามารถสูบน้ำได้ เพราะความดันอากาศไม่สามารถดันน้ำให้ขึ้นสูงไปได้มากกว่านี้

ในกรณีของปั๊มหอยโข่ง (centrifugal pump) นั้น ของเหลวจะไหลเข้าสู่ปั๊มตรงศูนย์กลางใบพัด (eye) และถูกเหวี่ยงออกไปทางด้านนอกของใบพัด ในขณะที่ของเหลวเริ่มถูกเร่งความเร็วให้สูงขึ้นนั้น ดวามดันของระบบจะลดลง (ดูรูปที่ 3 ประกอบ) และเมื่อของเหลวถูกเหวี่ยงออกไปทางด้านขาออก (discharge) พลังงานจลน์ (ที่เกิดจากการเหวี่ยงของใบพัด) จะเปลี่ยนรูปไปเป็นความดัน ทำให้ความดันด้านขาออกสูงขึ้นกว่าด้านขาเข้า

รูปที่ 3 การเปลี่ยนแปลงความดันในขณะที่ของเหลวไหลผ่านปั๊มหอยโข่ง

(รูปจาก http://www.engineeringtoolbox.com/npsh-net-positive-suction-head-d_634.html)


รูปบนของรูปที่ 3 แสดงให้เห็นว่าถ้าความดันด้านขาเข้า (suction) สูงเพียงพอ แม้ว่าความดันของของเหลวจะลดลงไปบ้างเมื่อไหลเข้าสู่ศูนย์กลางของใบพัด (eye) แต่ความดันที่ลดลงต่ำสุดนั้นยังสูงกว่าความดันไอของของเหลว ณ อุณหภูมิของเหลวที่ไหลเข้าปั๊ม ของเหลวก็จะไม่เดือดกลายเป็นฟอง แต่ถ้าความดันด้านขาเข้าสูงไม่พอ เมื่อของเหลวไหลเข้าสู่ศูนย์กลางใบพัดก็อาจมีความดันลดต่ำลงกว่าความดันไอของของเหลว ณ อุณหภูมิของเหลวที่ไหลเข้าปั๊ม ทำให้ของเหลวบางส่วนเดือดกลายเป็นฟอง (bubble) และเมื่อฟองนั้นเคลื่อนออกไปทางด้านขาออก ความดันของของเหลวจะเพิ่มขึ้นอีกทำให้ฟองแก๊สที่เกิดขึ้นเกิดการยุบตัวลงเป็นของเหลวใหม่ ตำแหน่งที่ฟองแก๊สที่เป็นไอยุบตัวลงเป็นของเหลวนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงความดันกระทันหัน และแรงที่เกิดขึ้นดังกล่าวสามารถทำให้โลหะที่ใช้ทำใบพัดสึกกร่อนได้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่า "cavitation" ส่วนความเสียหายจะรุนแรงแค่ไหนดูตัวอย่างได้ในรูปที่ 4


รูปที่ 4 ความเสียหายของใบพัด (impeller) ของปั๊มหอยโข่งที่เกิดจาก cavitation

(รูปจาก http://commons.wikimedia.org/wiki/File:Usure_par_cavitation_d%27un_impulseur_de_pompe_ centrifuge_01.jpg)


ในโรงงานนั้นมักจะเก็บของเหลวในถัง (vessel หรือ tank) ที่ตั้งอยู่บนพื้น ส่วนตัวปั๊มที่สูบของเหลวนั้นจะอยู่ต่ำกว่าระดับผิวบนสุดของของเหลว (ดูรูปที่ 5 ประกอบ) การวางตำแหน่งปั๊มรูปแบบดังกล่าวทำให้เมื่อเปิดวาล์วด้านขาเข้าก็จะมีของเหลวไหลเข้าสู่ตัวปั๊มเลย (ไม่ต้องทำการล่อน้ำ) และสามารถเดินเครื่องปั๊มได้ทันที ส่วนปั๊มน้ำหล่อเย็นที่สูบน้ำออกจากหอทำน้ำเย็น (cooling tower) นั้นอาจตั้งปั๊มไว้สูงกว่าระดับน้ำ (ซึ่งเป็นเรื่องปรกติถ้าอ่างน้ำใต้ฐานหอทำน้ำหล่อเย็นนั้นสร้างโดยการขุดพื้นดินลงไป) หรืออาจปั๊มตั้งไว้ต่ำกว่าระดับน้ำก็ได้ (ถ้าอ่างน้ำใต้ฐานหอทำน้ำหล่อเย็นนั้นสร้างโดยการก่อขอบขึ้นมาเป็นกำแพง) แต่ถ้าเป็นปั๊มน้ำดับเพลิงก็ควรที่จะให้ตัวปั๊มนั้นอยู่ต่ำกว่าระดับผิวบนสุดของน้ำ เพราะเมื่อเปิดวาล์วด้านขาเข้าแล้วก็จะสามารถเดินเครื่องปั๊มได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาล่อน้ำ


รูปที่ 5 การตั้งปั๊มให้อยู่ต่ำกว่าระดับของเหลว ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาล่อน้ำเมื่อต้องการเริ่มเดินเครื่องปั๊ม

ของเหลวประเภทหนึ่งที่ก่อปัญหาการเกิด cavitation ได้ง่ายคือของเหลวที่ออกมาทางด้านล่างของหอกลั่น ทั้งนี้เป็นเพราะของเหลวดังกล่าวมีอุณหภูมิที่จุดเดือด (หรือใกล้กับจุดเดือด) ดังนั้นเพื่อให้ปั๊มสามารถสูบของเหลวดังกล่าวได้จึงจำเป็นต้องให้ระยะ H5 (ดูรูปที่ 5 ด้านซ้าย) สูงมากพอ (ถ้าวางบนพื้นแล้วยังไม่พอก็ต้องขุดหลุมลงไป เพราะของเหลวที่ไหลเข้าปั๊มนั้นจะมีความดันเนื่องจากความสูงของลำของเหลวช่วยกดเอาไว้ ทำให้ของเหลวไม่เดือดกลายเป็นไอเมื่อไหลเข้าปั๊ม หรือไม่ก็ต้องทำการลดอุณหภูมิของของเหลวลงก่อนที่จะไหลเข้าปั๊ม

NPSH นั้นยังแยกออกเป็น NPSHA (Net positive suction head available) คือ NPSH ของระบบที่มีอยู่จริง และ NPSHR (Net positive suction head required) คือ NPSH ที่ต้องการเพื่อให้ปั๊มทำงานได้ วิธีการหนึ่งที่สามารถใช้เพิ่มค่า NPSHA คือการวางท่อด้านขาเข้าของปั๊มให้มีขนาดใหญ่ เพราะท่อที่มีขนาดใหญ่ขึ้นจะมีความเสียดทานในการไหล (หรือความดันลด) น้อยกว่าท่อที่มีขนาดเล็กกว่า ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าพบว่าท่อด้านขาเข้าของปั๊มมีขนาดใหญ่กว่าท่อด้านขาออกของปั๊ม

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที่ ๗ ที่พักฝึกงาน MO Memoir : Sunday 21 February 2553

ฤดูร้อนปีพ.ศ. ๒๕๓๐ ผมถูกส่งไปฝึกงานที่โรงกลั่นน้ำมันของกรมการพลังงานทหาร ณ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ การเดินทางสมัยนั้นก็คล้ายกับสมัยนี้ คือนั่งรถทัวร์จากกรุงเทพตอนกลางคืนไปถึงเชียงใหม่ในตอนเช้า จากนั้นก็ต่อรถบัสจากท่ารถทัวร์ไปจนถึง อ.ฝาง ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร ก็นั่งรถบัสซะ 4 ชั่วโมง

พวกผมไปฝึกงานกันทั้งหมด 10 คน เป็นจากวิศวเคมีซะ 7 คนและปิโตรเลียม 3 คน ช่วงหนึ่งก็มีพวกสำรวจที่ไปฝึกงานกับเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ที่ทำแผนที่รังวัดด้วยเทคนิค GPS (สมัยนั้นเป็นเรื่องใหม่ทันสมัยเลย เพราะพวกเรียนสำรวจยังต้องเรียนดูดาวกันอยู่เลย ไปอยู่กัน 10 คนก็เหมารถสองแถวได้พอดี 1 คัน พวกผมก็นั่งหลังกันหมด 10 คน ส่วนที่นั่งข้างหน้าที่ว่างอยู่ 2 ที่ (ข้างคนขับ) นั้นก็เป็นที่นั่งของสาวเหนือนิสัยดี 2 คนที่เป็นแม่ค้าขายข้าวแกงอยู่หน้าโรงกลั่น ประเภทว่าต้องออกมากินข้าวเช้าและข้าวเที่ยงร้านนี้ทุกวันทำงาน (เพราะมันไม่มีที่อื่นให้ไป) ก็เลยถือโอกาส "ผูกมิตร" (หรือจะเรียกว่า "จีบ" ก็แล้วแต่) กับแม่ค้าซะเลย พอวันหยุดเสาร์-อาทิตย์คิดจะไปเที่ยวเชียงรายกัน ก็เลยชวนเขาไปด้วยโดยทางเราเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ (เฉลี่ยกัน) วางแผนแบบไปเช้ากลับเย็น

ทางแยกเข้าโรงกลั่นน้ำมันจะอยู่ก่อนถึงตัว อ.ฝาง ประมาณ 10 กิโลเมตร และต้องแยกออกไปจากถนนหลัก (ทางหลวงแผ่นดินสาย 107) ไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร ถนนช่วงแยกนี้เป็นถนนลาดยาง ก็ลาดยางมาแค่ตัวโรงกลั่น ส่วนที่เลยโรงกลั่นออกไปเป็นถนนลูกรัง เส้นทางบนเขา สมัยนั้นเป็นถนนที่รถวิ่งผ่านได้บางฤดูกาล เป็นระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตรก็จะไปบรรจบกับทางหลวงแผ่นดินสาย 109 ที่ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย เส้นทางนี้เป็นทางลัดที่สามารถย่นระยะการเดินทางจาก อ.ฝาง ไป จ.เชียงรายได้มาก สามารถออกจากฝางแต่เช้าไปเที่ยวที่ชายแดนแม่สาย แล้วกลับมานอนที่ฝางตอนเย็นได้ แต่คนขับรถนั้นต้องมีฝีมือและใจถึงหน่อย เท่าที่จำได้คือเส้นทางสายนี้บางช่วงรถไม่สามารถสวนทางกันได้ ข้างทางบางช่วงยังเป็นเหว อีกด้านหนึ่งเป็นภูเขา ไม่มีที่ให้หลบหลีก แต่ที่รถวิ่งไปมากันได้ก็เพราะแทบจะไม่มีรถวิ่งกันเลย แทบไม่มีคนอยู่อาศัย แต่ก่อนบริเวณนั้นมีถนนเชื่อมต่อบริเวณไหนบ้าง และเป็นพื้นผิวจราจรแบบไหนก็ดูเอาเองในรูปที่ 1 แต่ในปัจจุบันเส้นทางดังกล่าวคือทางหลวงแผ่นดินสาย 109 เชื่อมระหว่าง อ.ฝาง กับ อ.แม่สรวย และตัดผ่านอุทยานแห่งชาติดอยเวียงผาและมีรีสอร์ทไปเปิดแล้วด้วย

จากแยกเข้าโรงกลั่นเลยไปทาง อ.ฝาง จะต่อไปยัง อ.แม่อาย สมัยนั้นยังเป็นเขตอิทธิพลของจีนฮ่อเชื้อสายของกองพล 93 ที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ตอนที่พรรคคอมมิวนิสต์ชนะการรบและได้ปกครองประเทศจีน ยังเป็นเขตที่มีการค้ายาเสพติดกันอยู่ พวกผมเป็นคนต่างถิ่นพอไปถึงก็มีการเตือนกันไว้ว่าอย่านึกคะนองไปจีบสาวแถวนั่นเล่น เดี๋ยวจะเกิดเรื่องได้ ช่วงจังหวะสิ้นปีพ.ศ. ๒๕๓๐ ถึงขึ้นปีใหม่พ.ศ. ๒๕๓๑ ได้มีโอกาสไปแข่งกีฬา 8 เกียร์ (ตอนนั้นวิศวมีแค่ 8 สถาบัน) ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ ก็เลยได้กลับไปที่นั่นอีกครั้ง และได้นั่งรถเที่ยวจาก อ.แม่อาย ผ่านเส้นทางถนนลูกรังและทางที่รถเดินได้บางฤดูกาล ไปโผล่ที่ถนนสาย 1089 ใกล้ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ถนนบางช่วงนั้นเป็นทางลงเนินที่ลาดชันชนิดที่เรียกว่าคนขับต้องหยุดรถกระทันหันเพราะมองไม่เห็นพื้นถนนข้างหน้า แบบว่ามองเลยฝากระโปรงหน้าออกไปไม่เห็นพื้นถนน เห็นแต่พื้นดินที่อยู่ต่ำลงไป ขับ ๆ มาดี ๆ เจอแบบนี้เข้าก็ต้องนึกว่าทางขาดเอาไว้ก่อน แต่ตอนนี้เห็นมีรีสอร์ทไปเปิดหลายแหล่งแล้ว ช่วงที่ไปแข่งกีฬานั้นก็ได้ไปเที่ยวดอยอ่างขางด้วย นั่งรถแวน 11 ที่นั่งไปกัน 10 คน จำได้อย่างเดียวว่าไปตามทางลูกรังไปตลอดทาง ไปถึงที่นั่นก็หาที่พักค้างกันคืนหนึ่ง พวกผู้หญิงก็ให้นอนในที่พัก ส่วนพวกผู้ชายส่วนหนึ่งก็อยู่เฝ้าห้องพักให้กับพวกผู้หญิง ส่วนที่เหลืออีก 3 คน (มีผมด้วย) ต้องมานอนในรถเพราะที่พักมีไม่พอ

ช่วงที่ไปแข่งกีฬานั้นก็ได้มีโอกาสไปดูทะเลหมอกที่ห้วยน้ำดังด้วย ตอนนั้นห้วยน้ำดังมันอยู่ไหนก็ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่ารุ่นพี่มาชวนและต้องนั่งรถออกจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตอนตีสองหรือตีสาม ก็นั่งหลับรับลมหนาวอยู่ท้ายรถสองแถวไปตลอดทาง ไปตื่นเอาตอนถึงห้วยน้ำดังแล้ว ดูทะเลหมอกเสร็จก็นั่งรถกลับกัน ก็หลับกันอีก ผมได้ขับรถผ่านห้วยน้ำดังอีกครั้งห่างจากครั้งแรกร่วม 20 ปี กลับไปดูแผนที่สมัยนั้น (พ.ศ. ๒๕๓๐) ก็เห็นว่ามีถนนลาดยางไปแค่ อ.ปาย เท่านั้นเอง ถัดจาก อ.ปาย ไป จ.แม่ฮ่องสอน ยังเป็นถนนที่รถเดินได้บางฤดูกาลเท่านั้น แผนที่ทางหลวงฉบับปีพ.ศ.๒๕๓๙ (จัดทำโดย Esso เช่นเดียวกัน) ก็ระบุแล้วว่าเป็นถนนลาดยางหมดทั้งเส้นแล้ว และครั้งหลังสุดที่ไปนั้นเป็นถนนลาดยางอย่างดีเกือบตลอดเส้นทาง มีการขยายไหล่ทางและมีทางโค้งมากกว่า 2,000 โค้ง แต่ความสะดวกในการเดินทางก็แลกกับธรรมชาติที่หายไป ทำให้นึกถึงถนนเพชรเกษมช่วงที่เชื่อมต่อระหว่าง จ.พัทลุง กับ จ.ตรัง ซึ่งในอดีตนั้นเขาเรียกกันว่าถนนสาย "เขาพับผ้า" เพราะถนนคดเคี้ยวมาก แต่ก็เป็นถนนที่สวยมาก จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เคยนั่งรถผ่านถนนเส้นนี้ ไหล่ทางฝั่งหนึ่งลึกชันลงไปมีลำธารน้ำไหลเลียบ อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นผนังกำแพงภูเขา ตอนนั้นต้นไม้ตามป่าแถวนั้นยังเยอะ เพราะยังมีการรบพุ่งกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอยู่ และบริเวณนั้นก็เป็นพื้นที่สีชมพูหรือไม่ก็สีแดงซะด้วย (พื้นที่สีชมพูคือเขตแทรกซึมของพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ถ้าเป็นพื้นที่สีแดงจะหมายถึงเขตอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์ จะเรียกว่าอยู่นอกเหนืออำนาจรัฐก็ได้) แต่ในปัจจุบันเหลือเป็นแต่เพียงตำนานเล่าขานเท่านั้น

ปัจจุบันเส้นทางการเดินทางในเส้นทางภาคเหนือดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างพวกคุณก็คงค้นดูได้จากแผนที่ต่าง ๆ ทางอินเทอร์เน็ต ผมแนบแผนที่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ และ ๒๕๓๙ มาให้ก็เพื่อให้พวกคุณได้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น


รูปที่ 1 แผนที่ภาคเหนือบริเวณ อ. ฝาง จ. เชียงใหม่ จากแผนที่ทางหลวงจัดทำโดย Esso ปีพ.ศ. 2530


กลับมายังเรื่องฝึกงานอีกครั้ง ตอนที่ไปถึงนั้นได้ไปเช่าบ้านพักอยู่ร่วมกัน 10 คน บ้านพักนั้นอยู่บนทางหลวงหลักก่อนถึงทางแยกเข้าโรงกลั่นน้ำมัน ด้านหน้านั้นเป็นปั๊มน้ำมัน (ดูเหมือนจะเป็นปั๊มเชลล์) ด้านหลังปั๊มเป็นสวนลิ้นจี่หรือสวนลำไยก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าใบดกและแม้แต่เวลากลางวันก็ยังร่มรื่นทั้งวัน บ้านพักนั้นจะอยู่ท้ายสวนดังกล่าวและสุดสวนนั้นจะเป็นทุ่งนา ระดับพื้นของทุ่งนานั้นอยู่ต่ำกว่าระดับสวน ดังนั้นเมื่อเข้าบ้านทางด้านสวน ด้านที่อยู่ทางด้านสวนนั้นจะอยู่ระดับพื้นดิน และจะกลายเป็นชั้นสองเมื่อโผล่ออกไปทางด้านทุ่งนา ห้องนอนนั้นอยู่ชั้นบน ส่วนห้องน้ำนั้นอยู่ชั้นล่าง ตัวบ้านครึ่งล่างเป็นคอนกรีตส่วนชั้นบนเป็นไม้ ทั้งไม้ฝาและไม้พื้นนั้นเป็นไม้แผ่นขนาดใหญ่ กว้างสักประมาณ 2 ฟุตได้ แสดงว่าเจ้าของบ้านต้องมีเงินอยู่เหมือนกันถึงหาไม้อย่างนี้มาสร้างบ้านได้ เวลากลับบ้านก็ต้องเข้าทางปั๊มน้ำมัน เดินตัดสวนไปยังท้ายสวน (น่าจะสักเกือบ 100 เมตรเห็นจะได้) ตอนกลางคืนนี่ต้องใช้ไฟฉายช่วยส่องทางเดิน


รูปที่ 2 แผนที่ภาคเหนือบริเวณ อ. ฝาง จ. เชียงใหม่ จากแผนที่ทางหลวงจัดทำโดย Esso ปีพ.ศ. 2539


ชีวิตการฝึกงานช่วงนั้นตื่นเช้าก็นั่งรถไปกินข้าวเช้าที่หน้าโรงกลั่น เสร็จจากฝึกงานก็เอาของเข้าเก็บในบ้าน และไปเตะฟุตบอลกันที่สนามหน้าวัดกับวัยรุ่นแถวนั้น เตะบอลเสร็จก็มากินข้าวกันที่ร้านอาหารตามสั่งอยู่ใกล้กับปั๊มน้ำมัน เรียกว่าผูกท้องไว้กับเจ๊ร้านนี้เลยก็ได้ เลยปั๊มน้ำนันไปหน่อยจะมีบ้านที่มีโทรศัพท์ที่ใช้โทรทางไกลได้ บางวันคิดจะโทรศัพท์กลับบ้านกันก็จะเดินไปที่บ้านหลังนั้นหลังกินข้าวเสร็จ เวลาจะโทรศัพท์กลับบ้านแต่ละทีก็ต้องไปนั่งต่อคิวรอกันที่นั่น ต้องรอเวลาค่ำ ๆ ด้วยเพราะค่าโทรจะถูกกว่าโทรตอนกลางวัน จะมีคนต่อสายและคอยจับเวลา และชำระค่าโทรตามเวลาที่พูด ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือคุยกันได้ทุกที่ติดต่อกันได้ทั้งประเทศ

เนื่องจากไปอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ และพวกที่ไปฝึกงานด้วยกันนั้นแม้ว่าจะจบมาจากต่างสถาบันกันหรือจะอยู่ต่างภาควิชากัน แต่จากการรับน้องและการทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมกันก็เลยทำให้สนิทกันมาก ก็เลยดูเหมือนว่าอยู่อย่างสนุกกันไปวัน ๆ กินข้าวเย็นแต่ละมื้อก็มีเรื่องคุยกันเฮฮาไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง (ก่อนสงกรานต์) เจ๊เจ้าของร้านข้าวแกงที่เราไปฝากกระเพาะกินข้าวเย็นนั้นคงทนไม่ไหว แกก็เลยเดินมาพวกผมที่โต๊ะโดยตรงว่า

"น้อง น้อง พี่ถามตามตรงเถอะ อยู่บ้านนั้นน่ะไม่เคยเจออะไรบ้างเลยหรือไง"

เท่านั้นเองแหละเสียงคุยเฮฮาทั้งโต๊ะก็เงียบกริบทันที และก็มีคนตอบว่าก็ไม่เห็นมีอะไร แล้วเจ๊แกก็เดินจากไป

พวกผมได้แต่มองหน้ากันและถามกันว่ามันมีเรื่องอะไรหรือ (แต่ก็พอจะเดากันได้ในใจแล้ว) แล้วเพื่อนคนหนึ่ง (ตอนนี้ทำงานอยู่สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ) มันก็พูดขึ้นมาว่า

"กูรู้มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่อยากบอกพวกมึง กลัวพวกมึงขวัญเสีย"

จากนั้นจึงได้รู้ความจริงว่า บ้านที่พวกผมไปอยู่นั้น เจ้าของที่สร้างบ้านหลังนั้นเขารักบ้านหลังนั้นมาก แต่สร้างเสร็จได้ไม่ถึงปีเขาก็ถูกฆ่าตาย ศพก็นำมาทำพิธีที่บ้านนั้น จากนั้นบ้านนั้นก็เปิดให้คนเช่า คนที่เคยเช่าอยู่ก่อนหน้านั้นก็เคยโดนดีเข้าไปแล้ว (ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนอะไรแบบไหน) และหลังจากที่พวกผมฝึกงานเสร็จสิ้นและจากบ้านนั้นมาแล้ว เพื่อนบางคนก็ยังมีการติดต่อกับคนที่นั่นอยู่ ก็ได้ทราบว่าพวกที่เข้าไปพักหลังจากพวกผมก็โดนดีไปเหมือนกัน (ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนอะไรแบบไหน) แต่ช่วงที่พวกผมอยู่ตลอดสองเดือนนั้นไม่พบกับอะไรเลย แต่หลังจากข้าวเย็นมื้อนั้น พวกเราทั้ง 10 คนก็รักกันมาก จะออกจากบ้านไปไหนแต่ละครั้งต้องไปพร้อมกันทุกคน และถ้าจะกลับก็ต้องกลับพร้อมกันทุกคน ไม่มีทิ้งกัน

ตอนวันแรกที่ไปถึงเชียงใหม่นั้น มีเพื่อนคนหนึ่งแวะไปซื้อธูปเทียนก่อนที่จะขึ้นรถต่อไปยัง อ.ฝาง พอคืนแรกก่อนที่เราจะเข้านอนกัน มันก็เรียกทุกคนให้มารวมกันหน้าบ้าน และให้ทุกคนจุดธูปเทียนบอกเจ้าที่เจ้าทางว่าจะมาขออาศัยอยู่ ขอให้ช่วยคุ้มครองด้วย พอเล่าเรื่องนี้ให้อาจารย์ที่ขึ้นไปตรวจนิสิตฝึกงานฟัง แกก็บอกว่านั่นเป็นเพราะสิ่งที่พวกคุณทำในคืนแรกที่เข้าพัก

ช่วงสงกรานต์ก็ยกพวกลงมาเที่ยวกันที่เชียงใหม่ ที่พักก็ไม่ได้มีการจองอะไรกันใช้วิธีเดินถามตามบ้านว่ามีบ้านไหนว่างและเปิดให้พักบ้าง ตอนออกมาเล่นน้ำในตัวเมืองก็มีแค่ขันคนละใบ เห็นคนเขานั่งท้ายรถปิคอัปบรรทุกถังน้ำอยู่ท้ายรถเที่ยวสาดน้ำกันก็อยากเล่นบ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี บังเอิญมีผ่านมาคันหนึ่งมีผู้หญิงนั่งท้ายมาเพียงคนเดียว เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งก็ใช้ความใจกล้าเข้าไปขอร่วมวงนั่งท้ายรถไปด้วย เขาก็ใจดีนะให้พวกเราผู้ชายร่วม 10 คนเข้าไปอยู่สาดน้ำท้ายรถร่วมกับเขา (คนขับรถเป็นพี่ชายเขา) พอตกเย็นก็มีการขอบคุณและแยกย้ายกันไป

อยู่ได้สองคืนผมชักจะมีอาการจะเป็นไข้ชักอยากจะกลับไปพักผ่อนแล้ว แต่เพื่อนในกลุ่มยังอยากสนุกกันต่อและไปต่อกันที่อื่น งานนี้ก็เลยได้เรื่อง กลายเป็นว่าผมขอตัวกลับมายังบ้านพักที่ฝางก่อนคนเดียว (ตอนนั้นนึกยังไงก็ไม่รู้) กลับมาถึงก็รีบกินข้าวเย็นและจัดการธุระต่าง ๆ ให้เสร็จก่อนค่ำ ปิดหน้าต่างหมดแล้วรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเลย กะว่าตื่นอีกทีก็สว่าง ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็คงไม่โผล่ออกมาจากผ้าห่ม

เย็นวันถัดมาเพื่อนฝูงก็กลับมาจากเที่ยงตัวจังหวัดเชียงใหม่กัน มันยังชมผมเลยว่ากล้าจริง ๆ ที่มานอนเฝ้าบ้านนี้คนเดียวได้ (ก็มันไม่มีทางเลือกนี่หว่า)


อีกไม่นานพวกคุณบางส่วนก็คงต้องไปฝึกงาน ไปหาที่พักอยู่ใหม่กัน บางส่วนก็คงจบไปทำงาน ต้องไปอยู่ในที่พักแห่งใหม่ ส่วนใครจะเลือกที่พักแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน หวังว่าคงจะได้ที่พักที่สามารถพักผ่อนได้อย่างสงบกันนะ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ฝึกงานภาคฤดูร้อน ๒๕๕๓ ตอนที่ ๖ ระบบ piping ของปั๊มหอยโข่ง MO Memoir : Thursday 18 February 2553

Memoir ฉบับนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงแค่ให้ความรู้สำหรับผู้ที่กำลังจะไปฝึกงานเท่านั้น แต่ต้องการให้ทุกคนที่กำลังจะไปทำงานหรือหางานได้มีความรู้ความเข้าใจอุปกรณ์ที่สำคัญและมีการใช้งานกันมากที่สุดตัวหนึ่งในโรงงาน ซึ่งก็คือ "ปั๊ม" นั่นเอง ผมไม่ทราบว่าพวกคุณเคยเรียนเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้กันมาในห้องเรียนบ้างหรือเปล่า แต่เรื่องต่าง ๆ ที่จะเล่าต่อไปนี้มาจากเอกสารอ้างอิงใด ๆ อย่ามาถามผม เพราะผมเขียนขึ้นจากความทรงจำของประสบการณ์ที่ผ่านมา ทั้งจากการสัมผัสโดยตรงในการทำงาน การฟังวิศวกรรุ่นพี่สอน และการอ่านหนังสือ และนำความรู้ที่ได้รับมาทั้งหมดมาประมวลเข้าด้วยกัน

ตอนจบมาใหม่ ๆ นั้น ระหว่างที่ได้ไปอบรมการเดินเครื่องโรงงานที่ญี่ปุ่น ต้องไปนั่งฟังรุ่นพี่ที่เป็น วิศวกรไฟฟ้า วิศวกรเคมี และวิศวกรเครื่องกล นั่งเถียงกันว่าเวลาเริ่มเดินเครื่องปั๊มหอยโข่ง (centrifugal pump) นั้นวาล์วด้านขาออก (discharge valve) ควรต้องปิดสนิทหรือเปิดไว้เพียงเล็กน้อย เพราะเวลาที่ช่างเทคนิคญี่ปุ่นสอนเดินเครื่องนั้น ก็บอกว่าสำหรับปั๊มตัวนี้ต้องปิดวาล์วขาออกให้สนิท สำหรับปั๊มตัวนี้ให้เปิดวาล์วขาออกไว้เล็กน้อย และสำหรับปั๊มตัวนี้ให้เปิดท่อไหลวนกลับ (return line หรือ minimum flow line) ให้เต็มที่ ซึ่งช่างเทคนิคนั้นก็ไม่สามารถให้เหตุผลอธิบายได้ ได้แต่จำต่อ ๆ กันมา

แต่ในความเป็นจริงแล้ว วาล์วด้านขาออกจะต้องอยู่ในตำแหน่งใดเมื่อเริ่มเดินเครื่องปั๊มหอยโข่งนั้น มันมีเหตุผลอธิบาย และมันเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิของเหลวที่ไหลเข้าปั๊มและการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า เพียงแต่ว่าเราเข้าใจพื้นฐานมันดีหรือเปล่า

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ไม่รู้ว่าเคยมีเขียนไว้ในตำราเล่มไหนหรือเปล่า เพราะผมเองก็ไม่เคยเห็นว่ามีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรที่ไหน ถ้าหากว่ามันไม่เคยมีการเขียนเปิดเผยไว้ที่ไหน ก็ถือว่าพวกคุณโชคดีก็แล้วกันที่ได้มีคำอธิบายเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นพวกแรก เรื่องที่จะเล่านั้นเป็นกรณีที่สูบของเหลวจากถังเก็บที่ความดันต่ำไปส่งยังถังเก็บอีกระบบซึ่งอาจมีความดันสูงกว่า หรือเป็นเพียงแค่การถ่ายของเหลวจากถังหนึ่งไปยังอีกถังหนึ่ง ไม่ใช่แบบสูบของเหลวจากที่หนึ่งฉีดพ่นออกไปสู่ความดันบรรยากาศ (แบบโรงสูบน้ำที่สูบน้ำจากคลองทิ้งลงสู่แม่น้ำ)


รูปที่ 1 ตัวอย่างระบบ piping ของปั๊มหอยโข่งที่สูบของเหลวจากถังเก็บส่งไปยังหน่วยอื่น (ไม่รวมปั๊มสำรอง)

รูปที่ 1 ข้างบนนั้นเป็นตัวอย่างระบบ piping ของปั๊มหอยโข่งที่สูบของเหลวจากถังเก็บส่งไปยังหน่วยอื่น ซึ่งแต่ละระบบนั้นไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เหมือนกับที่แสดงไว้ในรูปทุกชิ้น แต่ก็มีอุปกรณ์บางชิ้นที่จำเป็นต้องมี การจัดวางลำดับอุปกรณ์ในรูปนั้นเป็นไปตามลำดับที่ควรจะต้องเป็น (ไม่ใช่วางสลับกันอย่างใดก็ได้) ส่วนเหตุผลว่าทำไมจึงต้องจัดวางในตำแหน่งนั้น คำอธิบายอยู่ในช่วงท้าย


เพื่อที่จะทำให้เข้าใจและมองเห็นภาพได้ง่าย จะขอกล่าวถึงเรื่องลำดับการและเหตุผลของการกระทำต่าง ๆ ในการเริ่มเดินเครื่องปั๊มเป็นข้อ ๆ ดังนี้


เริ่มจากสมมุติให้ระบบอยู่ในสภาพดังนี้

- วาล์วด้านขาเข้าปั๊ม (inlet valve) เปิดเต็มที่

- วาล์วของเกจวัดความดันเปิดอยู่ และ

- วาล์วตัวอื่นอยู่ในตำแหน่งปิด


ข้อ ๑ ถ้าคุณให้กระไฟฟ้าแก่มอเตอร์ มอเตอร์ไฟฟ้าก็จะหมุน ในทางกลับกันถ้าคุณทำให้มอเตอร์หมุน (อาจจะโดยการต่อเพลามอเตอร์เข้ากับเครื่องยนต์หรือโดยใช้พลังงานกลอะไรก็ตามแต่) มอเตอร์ก็จะทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจ่ายไฟฟ้าออกมาได้ ยิ่งทำให้มอเตอร์หมุนเร็วมากขึ้นก็จะได้กระแสไฟฟ้าออกมามากขึ้น


ข้อ ๒ ถ้ายังจำกันได้ (น่าจะเป็นจากวิชาฟิสิกส์ม.ปลาย เรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้ากระแสตรง) ทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าที่จ่ายเข้าขดลวดแล้วทำให้ขดลวดหมุน กับทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากการหมุนของขดลวดนั้น เมื่อขดลวดหมุนในทิศทางเดียวกัน ทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าทั้งสองจะสวนทางกัน


ข้อ ๓ โครงสร้างของมอเตอร์ที่ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านนั้น (ระหว่างจุดต่อขั้วไฟฟ้าสองจุดที่คุณต่อสายไฟฟ้าเข้าไป) เป็นเพียงแค่ขดลวดทองแดงที่มีความต้านทานต่ำมาก ดังนั้นเมื่อคุณจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าไปยังมอเตอร์ที่หยุดนิ่ง จะเป็นเสมือนการลัดวงจรไฟฟ้า ในขณะนี้จะมีกระแสไฟฟ้าในปริมาณมากไหลผ่านขดลวดของมอเตอร์


ข้อ ๔ ในระบบไฟฟ้านั้น ปริมาณกระแสที่ไหลผ่านขดลวดนั้นคำนวณได้จากสมการ V = I/R เมื่อ V คือความต่างศักย์ I คือกระแส และ R คือความต้านทาน ส่วนพลังงานไฟฟ้าที่จ่ายเข้าไปคือผลคูณระหว่างกระแสกับความต่างศักย์ (P = IV) แต่พลังงานไฟฟ้าที่สูญเสียไปเป็นความร้อนนั้นเป็นผลคูณระหว่างกระแสไฟฟ้ายกกำลังสองกับความต้านทาน (P = I2R) จะเห็นว่าความร้อนเพิ่มตามปริมาณกระแสไฟฟ้ายกกำลังสอง ยิ่งมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านมากเท่าใด ก็จะเกิดความร้อนมากเท่านั้น

ยังจำได้ไหมในวิชาไฟฟ้ากำลัง (คิดว่าคงเคยเรียนกันมานะ) ที่เวลาเริ่มเดินเครื่องมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ไฟ 3 เฟส นั้นต้องเริ่มด้วยการต่อวงจรแบบวาย (Y) ก่อน จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนมาเป็นแบบเดลต้า (สามเหลี่ยมนั่นแหละ) เพราะในช่วงที่ต่อวงจรแบบ Y จะมีความต่างศักย์คร่อมขดลวดเพียงแค่ 220 V (แรงดันสายที่วัดเทียบกับกราวน์) แต่ถ้าต่อวงจรแบบเดลต้าจะมีความต่างศักย์คร่อมขดลวดถึง 380 V (แรงดันเฟส) ดังนั้นการต่อแบบ Y เมื่อเริ่มเดินมอเตอร์จะทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลเข้ามอเตอร์น้อยกว่าการต่อแบบเดลต้า โอกาสที่มอเตอร์จะไหม้ก็ต่ำกว่าด้วย


ข้อ ๕ แต่เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวด จะทำให้มอเตอร์เริ่มหมุนและเริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าย้อนออกมา ทำให้ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่จ่ายเข้ามอเตอร์เมื่อมอเตอร์เริ่มหมุนนั้นลดน้อยลง


ข้อ ๖ กระแสไฟฟ้าที่มอเตอร์ดึงเข้าเพื่อทำให้มันหมุนได้นั้น ยังขึ้นอยู่กับโหลด (load) หรือภาระงานที่มอเตอร์ต้องทำงานด้วย ถ้ามอเตอร์มีโหลดมาก ก็จะดึงกระแสไฟฟ้าให้ไหลเข้ามากด้วย ดังนั้นเพื่อให้การเริ่มเดินเครื่องมอเตอร์เป็นไปอย่างปลอดภัย (ต่อตัวมอเตอร์) จึงควรเริ่มเดินเครื่องมอเตอร์ในภาวะที่มอเตอร์มีโหลดต่ำสุด


ข้อ ๗ สำหรับปั๊มหอยโข่งที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้านั้น มอเตอร์จะมีโหลดต่ำสุดเมื่ออัตราการไหลออกมีค่าเป็น "ศูนย์" (ดู memoir ฉบับวันจันทร์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เรื่อง pump curve รูปที่ ๑ กราฟเส้น motor input) ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อท่อด้านขาออกนั้นถูกปิดเอาไว้หมด


ข้อ ๘ แต่เนื่องจากพลังงานจลน์สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนได้ ดังนั้นถ้าไม่มีของเหลวไหลผ่านปั๊ม ของเหลวที่อยู่ในตัวปั๊มที่ถูกใบพัดของปั๊มหมุนปั่นกวนตลอดเวลาก็จะร้อนจนเดือดเป็นไอได้


ข้อ ๙ ไอที่เกิดขึ้นจากการเดือดของของเหลวในตัวเรือนปั๊ม เมื่อมีความดันสูงขึ้นก็จะควบแน่นกลายเป็นของเหลวใหม่ (ปริมาตรหดลดลงทันที) การควบแน่นของไอกลายเป็นของเหลวใหม่นั้นเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า cavitation ซึ่งจะทำให้เกิดแรงกระแทก ณ บริเวณที่ไอนั้นควบแน่น แรงกระแทกดังกล่าวรุนแรงพอที่จะทำให้เนื้อโลหะบริเวณนั้นสึกกร่อนได้


ข้อ ๑๐ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปรากฏการณ์ cavitation ดังกล่าว ดังนั้นเมื่อเริ่มเดินเครื่องปั๊มแล้ว จะต้องไปเปิดวาล์วด้านขาออก (discharge valve) เพื่อให้ของเหลวร้อนที่เกิดจากการปั่นกวนของใบพัดที่อยู่ในปั๊มนั้นไหลออกไป และของเหลวเย็นจากถังเก็บไหลเข้ามาแทนที่

สำหรับกรณีที่ของเหลวที่ทำการปั๊มนั้นมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือดของของเหลวนั้นมาก (อย่างเช่นการปั๊มน้ำที่อุณหภูมิห้อง) ระยะเวลาที่ต้องใช้ระหว่างที่เริ่มเดินเครื่องปั๊มไปจนถึงเวลาที่เปิดวาล์วด้านขาออกเพื่อให้ของเหลวไหลผ่านไปนั้น (เปิดปั๊มเสร็จแล้วเดินไปเปิดวาล์วเลยนะ ไม่ใช่แวะไปทำธุระอย่างอื่นก่อนแล้วค่อยมาเปิดวาล์ว) ไม่นานเพียงพอที่จะทำให้ของเหลวในปั๊มเดือดได้ ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มเดินเครื่องปั๊ม เราก็สามารถปิดวาล์วด้านขาออกไว้ก่อน เพื่อป้องกันความเสียหายแก่มอเตอร์ และเมื่อกดปุ่มเดินเครื่องมอเตอร์แล้วก็ค่อยเดินมาเปิดวาล์วด้านขาออกก็ยังทัน


ข้อ ๑๑ แต่ถ้าเป็นการปั๊มของเหลวที่อุณหภูมิของเหลวนั้นสูงใกล้กับจุดเดือด (เช่นปั๊มของเหลวที่มีอุณหภูมิสูง หรือปั๊มของเหลวที่อุณหภูมิห้องแต่เป็นของเหลวที่มีจุดเดือดต่ำ) การกดปุ่มเดินเครื่องปั๊มแล้วค่อยไปเปิดวาล์วด้านขาออกอาจจะไม่ทันการ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิด cavitation ขึ้นในตัวปั๊ม ก่อนที่จะกดปุ่มเดินเครื่องปั๊มจึงต้อง

(ก) เปิดวาล์วด้านขาออกไว้เล็กน้อย (ในกรณีที่ระบบไม่มีท่อไหลย้อนกลับหรือ minimum flow line) เพื่อให้ของเหลวเย็นไหลเข้ามาแทนที่ของเหลวที่ร้อนจากการปั่นกวนของใบพัดในตัวเรือนปั๊ม หรือ

(ข) ถ้าระบบมีท่อไหลย้อนกลับ (minimum flow line) ก็สามารถปิดวาล์วด้านขาออก (discharge valve) ให้สนิท และเปิดวาล์วของท่อไหลย้อนกลับ เพื่อให้มีของเหลวเย็นจากถังเก็บไหลผ่านตัวปั๊มและกลับคืนไปยังถังเก็บใหม่


ข้อ ๑๒ เมื่อมอเตอร์ของปั๊มเดินเครื่องเต็มที่แล้ว ก็ให้เปิดวาล์วด้านขาออกจนสุดได้


ทีนี้เราลองมาดูว่า ระบบท่อแต่ละท่อ อุปกรณ์แต่ละชิ้นนั้นจำเป็นต้องมีหรือไม่ และทำหน้าที่อะไรบ้าง


ส่วนที่ ๑ ท่อจากถังเก็บของเหลวมาจนถึงวาล์วด้านขาเข้าปั๊ม

ท่อส่วนนี้เป็นท่อนำของเหลวจากถังเก็บมายังปั๊ม ถ้าระบบนั้นมีปั๊มสำรอง ก็จะมีท่อแยกเพื่อแยกการไหลไปยังปั๊มสำรองได้ แต่ถ้าระบบนั้นไม่มีปั๊มสำรองก็จะเป็นท่อเดียวตรงมายังวาล์วด้านขาเข้าปั๊มเลย

ปรกติท่อนี้มักจะมีขนาดใหญ่กว่าท่อด้านทางออกและใหญ่กว่าท่อทางเข้าปั๊ม ทั้งนี้เพื่อลด NPSHR (net positive suction head required) เรื่อง NPSH (net positive suction head) นี้กะว่าจะเขียนเป็นเรื่องพิเศษต่างหาก (ติดค้างอีกแล้ว)


ส่วนที่ ๒ วาล์วด้านขาเข้าปั๊ม (inlet valve)

วาล์วตัวนี้ทำหน้าที่เพียงแค่เปิด-ปิด "เปิด" ในที่นี้หมายถึงเปิดเต็มที่ และ "ปิด" ในที่นี้หมายถึงปิดสนิท ใช้ประโยขน์ในการตัด (isolate) ตัวปั๊มออกจากระบบเมื่อต้องการซ่อมแซมปั๊มหรืออุปกรณ์อื่น เช่น ตัวกรอง (strainer) หรือวาล์วป้องกันการไหลย้อนกลับ (check valve) วาล์วที่ใช้ทำหน้าที่นี้จะเป็นวาล์วที่เมื่อเปิดแล้วจะมีความต้านทานการไหลที่ต่ำ ซึ่งได้แก่ gate valve ball valve และ butterfly valve ส่วนจะเลือกใช้แบบไหนนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละระบบ


ส่วนที่ ๓ ตัวกรอง (strainer)

ตัวกรองนี้จะอยู่หลังวาล์วด้านขาเข้าปั๊ม ตัวกรองทำหน้าที่กรองของแข็งที่อาจมีปนอยู่ในของเหลว ถ้าหากมั่นใจว่าของเหลวที่จะทำการสูบนั้นสะอาด ไม่มีของแข็งปนเปื้อน ก็ไม่ต้องติดตั้งตัวกรองนี้ก็ได้

เมื่อใช้งานไปเรื่อย ๆ ตัวกรองจะเกิดการอุดตัน ต้องมีการถอดออกมาทำความสะอาด ทำให้ต้องมีการหยุดเดินเครื่องปั๊มและไปใช้ปั๊มสำรองแทน ดังนั้นการติดตั้งตัวกรองจึงต้องอยู่ถัดจากวาล์วด้านขาเข้าดังแสดงในรูป


ส่วนที่ ๔ เกจวัดความดัน (pressure gauge)

เกจวัดความดันจะอยู่ทางท่อด้านขาออกจากปั๊ม โดยจะอยู่ก่อนถึงตำแหน่งวาวล์กันการไหลย้อนกลับ เกจวัดความดันเป็นอุปกรณ์บอกความดันด้านขาออก ถ้าเป็นการสูบน้ำทิ้งแบบสูบน้ำจากคลองออกแม่น้ำเวลาฝนตกน้ำท่วม ก็ไม่จำเป็นต้องมีเกจวัดความดัน เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าในกรณีนี้จะมีไว้เพื่ออะไร


ส่วนที่ ๕ วาล์วกันการไหลย้อนกลับ

วาล์วกันการไหลย้อนกลับ (อเมริกาเรียก check valve ส่วนอังกฤษเรียก non return valve) ติดตั้งอยู่ก่อนถึงวาล์ด้านขาออก (discharge valve) และอยู่ถัดจากทางแยกของท่อไหลย้อนกลับ (return line หรือ minimum flow line) ที่มันต้องติดตั้งอยู่ระหว่างปั๊มกับวาล์วด้านขาออกก็เพื่อให้สามารถถอดมันออกมาซ่อมแซมได้ และการที่ต้องติดตั้งมันอยู่ถัดจากทางแยกของท่อไหลย้อนกลับก็เผื่อเกิดเหตุการณ์ที่แรงดันด้านขาออกสูงมาก จนปั๊มไม่สามารถปั๊มไปข้างหน้าได้ ในกรณีนี้วาล์วป้องกันการไหลย้อนกลับจะปิด แต่ของเหลวจะยังมีช่องทางไหลจากปั๊มผ่านทางท่อไหลย้อนกลับ กลับไปยังถังเก็บ ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ของเหลวในตัวเรือนปั๊มเดือด

หน้าที่ของวาล์วป้องกันการไหลย้อนกลับคือไม่ให้ของเหลวด้านความดันสูงไหลย้อนกลับสู่ถังเก็บผ่านตัวปั๊มหรือท่อไหลย้อนกลับเมื่อปั๊มหยุดทำงาน (เช่นตอนปิดปั๊ม) เพราะระบบต่าง ๆ ด้านขาเข้าปั๊มนั้นอาจไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับความดันสูง และถ้าหากของเหลวไหลผ่านปั๊มก็จะทำให้ใบพัดของปั๊มหมุนกลับทิศจนใบพัดอาจเกิดความเสียหายได้ (ชิ้นส่วนที่มีรูปทรงที่ออกแบบให้หมุนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งนั้น โครงสร้างมันจะมีความแข็งแรงที่จะรองรับความเค้นที่เกิดขึ้นในระหว่างการหมุนในทิศทางที่ออกแบบได้ แต่ถ้าหมุนกลับทิศเมื่อใด แม้ว่าจะด้วยความเร็วรอบเดียวกันก็ตาม โครงสร้างนั้นก็อาจไม่สามารถรับความเค้นที่เกิดขึ้นได้)

วาล์วกันการไหลย้อนกลับนี้ "ไม่ได้" ออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ป้องกันการไหลย้อนกลับอย่างสมบูรณ์ มันทำเพียงแค่ป้องกันการไหลย้อนกลับทิศในปริมาณมากเท่านั้น (อาจมีการรั่วซึมได้) ดังนั้นเมื่อปิดเครื่องปั๊มหรือปั๊มหยุดทำงาน จึงจำเป็นต้องไปปิดวาล์วด้านขาออกด้วย อย่าไว้วางใจว่าวาล์วกันการไหลย้อนกลับจะทำหน้าที่ป้องกันการรั่วไหลย้อนกลับได้อย่างสมบูรณ์ เคยอ่านบันทึกในหนังสือของต่างประเทศว่า เคยมีกรณีที่ผู้ปฏิบัติงานไม่ยอมไปปิดวาล์วด้านขาออก ทำให้ของเหลวด้านความดันสูงไหลผ่านตัวปั๊มจนกระทั่งใบพัดของตัวปั๊มหมุนกลับทิศอย่างรวดเร็วจนแตกออกเป็นชิ้น ๆ

ส่วนที่ ๖ วาล์วด้านขาออก

วาล์วด้านขาออกมักจะเป็นวาล์วที่ทำหน้าที่เปิด-ปิดเช่นเดียวกันกับวาล์วด้านขาเข้า หน้าที่ของวาล์วตัวนี้ใช้เมื่อต้องการหยุดเดินเครื่องปั๊ม ป้องกันไม่ให้ของเหลวด้านความดันสูงไหลย้อนกลับทาง และใช้เมื่อต้องการถอดชิ้นส่วนต่าง ๆ ของตัวปั๊มไปซ่อมแซม แต่ในบางกรณีอาจใช้ globe valve ทำน้าที่เป็นวาล์วปิด-เปิดด้านขาออกก็ได้ การใช้ globe valve ก็เพื่อเอาไว้ปรับอัตราการไหลออก หรือในกรณีที่ความดันด้านขาออกนั้นสูงมาก globe valve จะเปิดได้ง่ายกว่า gate valve (เคยเล่าไว้แล้วใน memoir ฉบับ จันทร์ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๒ เรื่องวาล์วและการเลือกใช้ (ตอนที่ ๑)

ถ้าหากมีการติดตั้งปั๊มสำรอง (spare pump) ท่อขาออกของแต่ละปั๊มจะมาบรรจบกันในช่วงหลังวาล์วด้านขาออกไปแล้ว (ดังรูปที่ 1)


ส่วนที่ ๗ วาล์วควบคุมการไหล

การปรับอัตราการไหลนั้นทำได้โดย (ก) ปรับความเร็วรอบการหมุนของใบพัดของปั๊ม และ (ข) ใช้การเปิด-ปิดวาล์วเพื่อควบคุมขนาดช่องว่างให้ของเหลวไหลผ่าน

การปรับความเร็วรอบการหมุนนั้นค่อนข้างยุ่งยาก เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ขับเคลื่อนปั๊มนั้นมักเป็นมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ ซึ่งความเร็วรอบการหมุนขึ้นอยู่กับความถี่ของกระแสไฟฟ้า ถ้าคุณต้องการปรับความเร็วรอบก็ต้องหาทางปรับความถี่ หรือไม่ก็ต้องไปใช้ระบบเฟืองทดรอบ

ดังนั้นการปรับอัตราการไหลจึงมักใช้วิธีการติดตั้งวาล์วควบคุมอัตราการไหล (ซึ่งโครงสร้างอาจเป็นแบบ globe valve ball valve หรือ butterfly valve ก็แล้วแต่ว่าของเหลวนั้นเป็นอะไร) และโดยการปรับช่องว่างให้ของเหลวไหลผ่านตัววาล์ว เราก็จะสามารถปรับอัตราการไหลได้

ถ้าจำเป็นต้องติดตั้งวาล์วควบคุมการไหล ก็จำเป็นต้องเดินท่อการไหลย้อนกลับเอาไว้ด้วย ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ของเหลวในตัวปั๊มเดือดถ้าหากว่าวาล์วควบคุมการไหลเกิดปิดตัวเต็มที่ขึ้นมา (ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการปรับการไหลเองหรือระบบมีปัญหาทำให้วาล์วปิดตัวเองอัตโนมัติ)


ส่วนที่ ๘ ท่อไหลย้อนกลับและวาล์วท่อไหลย้อนกลับ

ท่อไหลย้อนกลับนี้บางทีก็เรียกว่า return line หรือไม่ก็เรียกว่า minimum flow line ท่อนี้ทำหน้าที่แบ่งของเหลวบางส่วนที่ออกมาจากปั๊มให้ไหลย้อนกลับไปยังด้านขาเข้า (ถังเก็บ) ใหม่ ขนาดของท่อนี้ถูกกำหนดโดยอัตราการไหลที่ต่ำที่สุดของของเหลว ที่ทำให้ของเหลวที่ไหลผ่านปั๊มนั้นไม่เดือด (หรือเกิด cavitation) ท่อนี้ทำให้มั่นใจได้ว่ามีของเหลวไหลผ่านปั๊มตลอดเวลาแม้ว่าวาล์วต่าง ๆ ด้านขาออกจะปิดสนิท ท่อไหลย้อนกลับนี้จะเป็นท่อที่มีขนาดเล็กกว่าท่อด้านขาเข้าและท่อด้านขาออก

ท่อไหลย้อนกลับถือเป็นระบบความปลอดภัยระบบหนึ่งของปั๊ม แต่การมีท่อไหลย้อนกลับก็มีข้อเสียคือเป็นการสูญเสียพลังงานไปส่วนหนึ่ง เพราะปั๊มต้องมีการสูบของเหลวส่วนหนึ่งไหลวนกลับมายังที่เดิม ในบางครั้งอาจมีการตัดสินใจที่จะลดการสูญเสียตรงนี้โดยการปิดวาล์วท่อไหลย้อนกลับลงบ้าง เพื่อให้ปริมาณของเหลวที่ไหลเวียนกลับไปยังที่เดิมลดลง (หรือบางครั้งก็อาจปิดไปเลย) ดังนั้นวาล์วที่อยู่บนท่อไหลย้อนกลับนี้จึงมักเป็น globe valve แต่การกระทำดังกล่าวก็ทำให้เกิดความเสี่ยงถ้าหากว่าปั๊มไม่สามารถจ่ายของเหลวให้ไหลไปด้านขาออกได้


ก่อนเริ่มเดินเครื่องปั๊มนั้นควรเติมของเหลวให้เข้าไปเต็มตัวปั๊มก่อน การเติมของเหลวเข้าไปในปั๊มต้องเปิดวาล์วระบายอากาศออกจากตัวปั๊มด้วย ปั๊มมักจะมีวาล์วระบายอากาศออกอยู่ที่ตำแหน่งบนสุดของปั๊ม แต่ถ้าหากท่อด้านขาออกอยู่ที่ตำแหน่งบนสุดแล้วก็จะไม่มีวาล์วระบายอากาศตัวนี้

ในกรณีที่ระดับของเหลวจากแหล่งที่จะทำการสูบนั้นสูงกว่าตำแหน่งที่ตั้งปั๊ม (ดังเช่นที่แสดงในรูปที่ 1) การเปิดวาล์วด้านขาเข้าก็จะทำให้ของเหลวไหลเข้าไปเต็มปั๊มได้เลย แต่ถ้าหากตัวปั๊มอยู่สูงกว่าระดับผิวบนสุดของของเหลวที่ต้องการสูบ (ดังแสดงในรูปที่ 2) ในกรณีนี้จะมีการติดตั้งวาล์วกันการไหลย้อนกลับเข้าไปที่ปลายท่อด้านข้าเข้า (วาล์วตัวนี้เป็น check valve แบบหนึ่ง ซึ่งมักเรียกว่า foot valve) และต้องเติมของเหลวเข้าไปในตัวปั๊มให้เต็มก่อนเริ่มเดินเครื่อง ตัวอย่างเช่นในการสูบน้ำจากบ่อน้ำ ตัวปั๊มจะตั้งอยู่บนปากบ่อ โดยมีท่อด้านขาเข้าปั๊มจุ่มลงไปในบ่อน้ำ ก่อนเดินเครื่องปั๊มต้องทำการเติมน้ำเข้าไปในท่อด้านขาเข้าและตัวปั๊มให้เต็มก่อน ถ้าเป็นปั๊มขนาดเล็กก็จะใช้วิธีการตักน้ำมาเทลงไปในช่องเปิดด้านบนปั๊ม foot valve ที่ติดไว้ที่ปลายท่อด้านที่จุ่มอยู่ในบ่อน้ำจะป้องกันไม่ให้น้ำที่เติมเข้าไปในท่อด้านขาเข้าไหลลงไปในบ่อ การทำเช่นนี้ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "การล่อน้ำ" แต่ถ้าเป็นปั๊มขนาดใหญ่มากเช่นปั๊มที่สูบน้ำหล่อเย็นจากฐานของ cooling tower (หอทำน้ำเย็น) ซึ่งอาจมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 24 นิ้วหรือใหญ่กว่า จะมีการเดินท่อน้ำต่อเข้าไปยังท่อด้านขาเข้าเลย เพราะจะให้ค่อย ๆ ตักน้ำเติมเข้าไปก็คงจะไม่ไหว


รูปที่ 2 การสูบน้ำขึ้นมาจากแหล่งที่อยู่ต่ำกว่าตัวปั๊ม ต้องมีการติดตั้ง foot valve ไว้ที่ปลายท่อด้านที่จุ่มลงในบ่อน้ำ (รูปนี้ละการแสดงรายละเอียดพวกวาล์วต่าง ๆ) เพื่อให้น้ำคงค้างอยู่ในท่อด้านขาเข้าเมื่อเติมน้ำเข้าไปก่อนเริ่มเดินเครื่องปั๊ม


ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมต้องมีการล่อน้ำนั้น คอยอ่านในเรื่อง NPSH ที่จะออกตามมาก็แล้วกัน แต่ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะออกได้เมื่อไร ขอให้หายจากหวัดและตรวจข้อสอบเสร็จก่อน แต่ก็จะพยายามเขียนให้อ่านกันก่อนออกไปฝึกงาน